title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม OR เปิดพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรจำหน่ายมะม่วงในพีทีที สเตชั่น [กระทรวงการคลัง]
|
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
ธ.ก.ส. ร่วม OR เปิดพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรจําหน่ายมะม่วงในพีทีที สเตชั่น [กระทรวงการคลัง]
ธ.ก.ส. ร่วม OR เปิดพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรจําหน่ายมะม่วงในพีทีที สเตชั่น
ธ.ก.ส. ร่วมกับ OR เปิด “พื้นที่ปันสุข” ช่วยเหลือเกษตรกรฝ่าวิกฤต COVID-19 พร้อมเชิญชวน พี่น้องประชาชนร่วมอุดหนุนมะม่วงน้ําดอกไม้สีทองเกรดส่งออก กล่องละ 5 กิโลกรัม ราคา 150 บาท และกล่องละ 10 กิโลกรัม ราคา 300 บาท ปริมาณรวมกว่า 6 ตัน โดยจําหน่ายในสถานีบริการน้ํามันพีทีที สเตชั่น 10 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี เริ่ม 22 เมษายนนี้
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทําให้การจําหน่ายสินค้าในภาคเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาล เช่น มะม่วงที่ไม่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ํามันและ การค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR เปิด “พื้นที่ปันสุข” รวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทยจัดสรรพื้นที่ให้เกษตรกรจากจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ชัยภูมิ พิษณุโลก และนครราชสีมา นํามะม่วงน้ําดอกไม้ สีทองเพื่อการส่งออกมาวางจําหน่าย ปริมาณรวมกว่า 6 ตัน ณ สถานีบริการน้ํามันพีทีที สเตชั่น จํานวน 10 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี โดยแบ่งขายเป็นกล่องละ 5 กิโลกรัม ราคา 150 บาท และกล่องละ 10 กิโลกรัม ราคา 300 บาท
สําหรับสถานีบริการน้ํามันที่เปิดพื้นที่ให้จําหน่ายมะม่วง แบ่งเป็น พื้นที่กรุงเทพมหานครจํานวน 7 แห่ง ได้แก่ สถานีบริการน้ํามันสวัสดิการ ร.1 รอ ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสน เขตพญาไท บจ.ทีเคที คอมเมอร์เชียล ถนนรามอินทรา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ บจ.เทพรักษ์ อินโนเวชั่น ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตคันนายาว บจ.ปิโตรเลียมน้ํามัน 60/8 ม.4 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน บจ.พลังไทยเพื่อไทย 58/8-58/17 ม.12 ถนนเสรีไทย (สุขาภิบาล 2) แขวงคันนายาว เขตคันนายาว สถานีบริการสาขาแยกประชาอุทิศ - ลาดพร้าว ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง และ บจ.ปิโตรเลี่ยมอเวนิว แจ้งวัฒนะ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ และพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 3 แห่ง ได้แก่ สถานีบริการน้ํามันพีทีที สเตชั่น สาขาราชพฤกษ์ 3 15/26 ม.1 ถนนราชพฤกษ์ ท่าอิฐ ปากเกร็ด บจ.ประดับดาว กรุ๊ป 97/9 ม.1 ถนนราชพฤกษ์ ท่าอิฐ ปากเกร็ด และ บจ.เจษฎาบดินทร์ออยล์ 92/7 ม.8 ถนนราชพฤกษ์ ท่าอิฐ ปากเกร็ด
“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมอุดหนุนมะม่วงจากเกษตรกร ณ สถานีบริการน้ํามันข้างต้น เพื่อสร้างขวัญกําลังใจในการประกอบอาชีพ และสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เริ่มวางจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2563 เป็นต้นไป (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) ” นายสมเกียรติกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม OR เปิดพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรจำหน่ายมะม่วงในพีทีที สเตชั่น [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
ธ.ก.ส. ร่วม OR เปิดพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรจําหน่ายมะม่วงในพีทีที สเตชั่น [กระทรวงการคลัง]
ธ.ก.ส. ร่วม OR เปิดพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรจําหน่ายมะม่วงในพีทีที สเตชั่น
ธ.ก.ส. ร่วมกับ OR เปิด “พื้นที่ปันสุข” ช่วยเหลือเกษตรกรฝ่าวิกฤต COVID-19 พร้อมเชิญชวน พี่น้องประชาชนร่วมอุดหนุนมะม่วงน้ําดอกไม้สีทองเกรดส่งออก กล่องละ 5 กิโลกรัม ราคา 150 บาท และกล่องละ 10 กิโลกรัม ราคา 300 บาท ปริมาณรวมกว่า 6 ตัน โดยจําหน่ายในสถานีบริการน้ํามันพีทีที สเตชั่น 10 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี เริ่ม 22 เมษายนนี้
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทําให้การจําหน่ายสินค้าในภาคเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาล เช่น มะม่วงที่ไม่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ํามันและ การค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR เปิด “พื้นที่ปันสุข” รวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทยจัดสรรพื้นที่ให้เกษตรกรจากจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ชัยภูมิ พิษณุโลก และนครราชสีมา นํามะม่วงน้ําดอกไม้ สีทองเพื่อการส่งออกมาวางจําหน่าย ปริมาณรวมกว่า 6 ตัน ณ สถานีบริการน้ํามันพีทีที สเตชั่น จํานวน 10 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี โดยแบ่งขายเป็นกล่องละ 5 กิโลกรัม ราคา 150 บาท และกล่องละ 10 กิโลกรัม ราคา 300 บาท
สําหรับสถานีบริการน้ํามันที่เปิดพื้นที่ให้จําหน่ายมะม่วง แบ่งเป็น พื้นที่กรุงเทพมหานครจํานวน 7 แห่ง ได้แก่ สถานีบริการน้ํามันสวัสดิการ ร.1 รอ ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสน เขตพญาไท บจ.ทีเคที คอมเมอร์เชียล ถนนรามอินทรา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ บจ.เทพรักษ์ อินโนเวชั่น ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตคันนายาว บจ.ปิโตรเลียมน้ํามัน 60/8 ม.4 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน บจ.พลังไทยเพื่อไทย 58/8-58/17 ม.12 ถนนเสรีไทย (สุขาภิบาล 2) แขวงคันนายาว เขตคันนายาว สถานีบริการสาขาแยกประชาอุทิศ - ลาดพร้าว ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง และ บจ.ปิโตรเลี่ยมอเวนิว แจ้งวัฒนะ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ และพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 3 แห่ง ได้แก่ สถานีบริการน้ํามันพีทีที สเตชั่น สาขาราชพฤกษ์ 3 15/26 ม.1 ถนนราชพฤกษ์ ท่าอิฐ ปากเกร็ด บจ.ประดับดาว กรุ๊ป 97/9 ม.1 ถนนราชพฤกษ์ ท่าอิฐ ปากเกร็ด และ บจ.เจษฎาบดินทร์ออยล์ 92/7 ม.8 ถนนราชพฤกษ์ ท่าอิฐ ปากเกร็ด
“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมอุดหนุนมะม่วงจากเกษตรกร ณ สถานีบริการน้ํามันข้างต้น เพื่อสร้างขวัญกําลังใจในการประกอบอาชีพ และสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เริ่มวางจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2563 เป็นต้นไป (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) ” นายสมเกียรติกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29547
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คกอช.เห็นชอบ 18 ตัวชี้วัดสำคัญ รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหารฉบับใหม่ มุ่งให้ไทยมั่งคงทางอาหารและโภชนาการ เพื่อชาวไทยและชาวโลก
|
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
คกอช.เห็นชอบ 18 ตัวชี้วัดสําคัญ รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหารฉบับใหม่ มุ่งให้ไทยมั่งคงทางอาหารและโภชนาการ เพื่อชาวไทยและชาวโลก
รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เห็นชอบ 18 ตังชี้วัดสําคัญ รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหารฉบับใหม่
วันนี้ (6 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ (คกอช.) ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบ ตัวชี้วัดหลัก 18 ตัวชี้วัดสําคัญที่รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579) ครอบคลุมทั้งภาคเกษตร แปรรูปอาหาร การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นําไปพิจารณาจัดทําแผนงาน/โครงการเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดการดําเนินการอย่างเป็นเอกภาพในทิศทางเดียวกันไปอีก 20 ปี ข้างหน้าสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “ประเทศไทยมีความมั่งคงด้านอาหารและโภชนาการ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อชาวไทยและชาวโลกอย่างยั่งยืน”
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะเรื่องรวม 4 คณะ ได้แก่ 1) คณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความมั่งคงอาหารตลอดห่วงโซ่ 2) คณะกรรมการขับเคลื่อนด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร 3) คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านอาหารและโภชนาการสู่คุณภาพชีวิตที่ดีและ 4) คณะกรรมการขับเคลื่อนด้านการบริหารจัดการให้เป็นกลไกในการกํากับทิศทางการดําเนินงานและเป็นเวทีพูดคุยระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วนในการวาวแผนแผนปฏิบัติงานและแก้ไขปัญหาให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นกลไกการรวมพลังและประสานความร่วมมือในการบริหารจัดการด้านอาหารอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของเป้าหมายร่วมกันทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤติ
.................................................................
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คกอช.เห็นชอบ 18 ตัวชี้วัดสำคัญ รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหารฉบับใหม่ มุ่งให้ไทยมั่งคงทางอาหารและโภชนาการ เพื่อชาวไทยและชาวโลก
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
คกอช.เห็นชอบ 18 ตัวชี้วัดสําคัญ รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหารฉบับใหม่ มุ่งให้ไทยมั่งคงทางอาหารและโภชนาการ เพื่อชาวไทยและชาวโลก
รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เห็นชอบ 18 ตังชี้วัดสําคัญ รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหารฉบับใหม่
วันนี้ (6 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ (คกอช.) ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบ ตัวชี้วัดหลัก 18 ตัวชี้วัดสําคัญที่รองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579) ครอบคลุมทั้งภาคเกษตร แปรรูปอาหาร การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นําไปพิจารณาจัดทําแผนงาน/โครงการเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดการดําเนินการอย่างเป็นเอกภาพในทิศทางเดียวกันไปอีก 20 ปี ข้างหน้าสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “ประเทศไทยมีความมั่งคงด้านอาหารและโภชนาการ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อชาวไทยและชาวโลกอย่างยั่งยืน”
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะเรื่องรวม 4 คณะ ได้แก่ 1) คณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความมั่งคงอาหารตลอดห่วงโซ่ 2) คณะกรรมการขับเคลื่อนด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร 3) คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านอาหารและโภชนาการสู่คุณภาพชีวิตที่ดีและ 4) คณะกรรมการขับเคลื่อนด้านการบริหารจัดการให้เป็นกลไกในการกํากับทิศทางการดําเนินงานและเป็นเวทีพูดคุยระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วนในการวาวแผนแผนปฏิบัติงานและแก้ไขปัญหาให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นกลไกการรวมพลังและประสานความร่วมมือในการบริหารจัดการด้านอาหารอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของเป้าหมายร่วมกันทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤติ
.................................................................
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15194
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจำนัล เหมือนดำ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่ผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดยาเสพติด
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
นายจํานัล เหมือนดํา ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแก่ผู้สมัครใจเข้ารับการบําบัดยาเสพติด
เมื่อ 19 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00น. นายจํานัล เหมือนดํา ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล
เมื่อ 19 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00น. นายจํานัล เหมือนดํา ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแก่ผู้สมัครใจเข้ารับการบําบัดยาเสพติด ณ ค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของอําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาสในกองร้อย ตชด.ที่ 447 โดยมี นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอําเภอสุไหงปาดีและส่วนราชการให้การต้อนรับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจำนัล เหมือนดำ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่ผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดยาเสพติด
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
นายจํานัล เหมือนดํา ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแก่ผู้สมัครใจเข้ารับการบําบัดยาเสพติด
เมื่อ 19 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00น. นายจํานัล เหมือนดํา ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล
เมื่อ 19 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00น. นายจํานัล เหมือนดํา ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแก่ผู้สมัครใจเข้ารับการบําบัดยาเสพติด ณ ค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของอําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาสในกองร้อย ตชด.ที่ 447 โดยมี นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอําเภอสุไหงปาดีและส่วนราชการให้การต้อนรับ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17629
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอำนวยความยุติธรรมแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
|
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560
ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอํานวยความยุติธรรมแก่กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๘/๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๐๐ น.
ณ ห้องบรรยายโรงเรียนนายอําเภอ
วิทยาลัยการปกครอง อําเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๘/๒๕๖๐
จัดโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม”
เพื่อเสริมสร้างความรู้ที่ได้รับไปบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้บริการประชาชนในพื้นที่
เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับความเป็นธรรม
ผ่านกลไกผู้นําชุมชนได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเสมอภาค
ซึ่งจะนําไปสู่การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ําในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอำนวยความยุติธรรมแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560
ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอํานวยความยุติธรรมแก่กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๘/๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๐๐ น.
ณ ห้องบรรยายโรงเรียนนายอําเภอ
วิทยาลัยการปกครอง อําเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๘/๒๕๖๐
จัดโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม”
เพื่อเสริมสร้างความรู้ที่ได้รับไปบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้บริการประชาชนในพื้นที่
เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับความเป็นธรรม
ผ่านกลไกผู้นําชุมชนได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเสมอภาค
ซึ่งจะนําไปสู่การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ําในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2526
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 883 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.36 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 883 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.36 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายวรวรรธน์ ภิญโญ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 883 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.36 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 485 คดี ค่าปรับ 4.67 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 269 คดี ค่าปรับ 5.23 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 17 คดี ค่าปรับ 0.16 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 35 คดี ค่าปรับ 0.32 ล้านบาท น้ําหอม 3 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 56 คดี ค่าปรับ จํานวน 1.39 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 18 คดี ค่าปรับ 0.57 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 5,453.150 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,143 ซอง ไพ่ จํานวน 536 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 81,100.000 ลิตร น้ําหอมจํานวน 636 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 59 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน 2562 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 5,283 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 81.42 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 2,868 คดี ค่าปรับ 26.77 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,743 คดี ค่าปรับ 39.08 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 118 คดี ค่าปรับ 1.18 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 195 คดี ค่าปรับ 3.28 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 261 คดี ค่าปรับ จํานวน 4.83 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 88 คดี ค่าปรับ 6.14 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 27,469.071 ลิตร ยาสูบ จํานวน 54,526 ซอง ไพ่ จํานวน 10,896 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 190,866.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 1,416 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 289 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 883 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.36 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 883 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.36 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายวรวรรธน์ ภิญโญ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 883 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.36 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 485 คดี ค่าปรับ 4.67 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 269 คดี ค่าปรับ 5.23 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 17 คดี ค่าปรับ 0.16 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 35 คดี ค่าปรับ 0.32 ล้านบาท น้ําหอม 3 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 56 คดี ค่าปรับ จํานวน 1.39 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 18 คดี ค่าปรับ 0.57 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 5,453.150 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,143 ซอง ไพ่ จํานวน 536 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 81,100.000 ลิตร น้ําหอมจํานวน 636 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 59 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน 2562 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 5,283 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 81.42 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 2,868 คดี ค่าปรับ 26.77 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,743 คดี ค่าปรับ 39.08 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 118 คดี ค่าปรับ 1.18 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 195 คดี ค่าปรับ 3.28 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 261 คดี ค่าปรับ จํานวน 4.83 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 88 คดี ค่าปรับ 6.14 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 27,469.071 ลิตร ยาสูบ จํานวน 54,526 ซอง ไพ่ จํานวน 10,896 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 190,866.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 1,416 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 289 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24758
|
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2016 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่ง ประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2559 เวลา 20.15 น.
|
พิธีกร: สวัสดีค่ะ ดิฉันพันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการคืนความสุขให้คนในชาติค่ะ เป็นประจําทุกสัปดาห์นะคะ ที่ท่านนายกรัฐมนตรี จะมาพูดคุย บอกเล่าเรื่องราวสิ่งดี ๆ และความก้าวหน้าในการ บริหารราชการแผ่นดินให้พี่น้องประชาชน ได้ทราบค่ะในเวลานี้ท่านนายกรัฐมนตรีอยู่กับดิฉันแล้ว สวัสดีค่ะท่านนายกฯคะ ท่านนายกฯคะ ในสัปดาห์นี้ มีเรื่องอะไรที่เป็นเรื่อง ที่น่ายินดีของพี่น้องประชาชนชาวไทยบ้างคะ
นายกรัฐมนตรี: สัปดาห์นี้ก็มีหลายเรื่องด้วยกันนะครับ เรื่องแรกก็เมื่อวานนี้วันที่ 28 เมษายน 2559 วันครบรอบวันราชาภิเษกสมรส ครบ 66 ปี / ขอให้ 2 พระองค์ “ทรงพระเจริญ” / แบบอย่างของผู้ครองเรือน นี่ก็เป็นสิ่งสําคัญนะ คิดว่าประชาชนคนไทยก็คงต้องร่วมกันถวายพระพรด้วย
พิธีกร: ทราบว่าปีนี้เป็นปีทองของนักกีฬาไทย และเป็นปีทองของเยาวชนไทยด้วย ทราบว่านักกีฬาของเราทําผลงานดีในต่างประเทศมากมาย ทราบว่าท่านนายกมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย ว่าใครประสบความสําเร็จบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: คนแรก น้องเมย์ รัชนก รัฐบาลก็ได้นําความกราบบังคมทูลเพื่อขอพระราชทาน และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่ง ดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นทุติยดิเรกคุณาภรณ์ เป็นกรณีพิเศษ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณกับตนเองและครอบครัว ซึ่งจะได้เป็นกําลังใจต่อไปในการมุ่งมั่น ที่จะเอาชนะเลิศในการแข่งขันกีฬา อื่นๆ ในวันหน้านะครับ
เรื่องของการรักษาแชมป์เอเชีย ก็ไม่เป็นไร ผมถือว่า นักกีฬาทุกคนเป็นเพื่อนกัน ใครชนะใครแพ้ก็เป็นเพื่อนกันทั้งหมด แบ่งปันกันบ้าง ก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจมีความมุ่งมั่นในการเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจการ รักษาแชมป์ผมว่ามันยากกว่าการทําแชมป์นะ ก็อย่าเสียใจ นายกรัฐมนตรีและคนไทยขอเป็นกําลังใจให้เสมอ
คนที่ 2 ก็เป็น“น้องณี” สุธิยา จิวเฉลิมมิตร คว้าแชมป์เวิลด์คัพ ยิงเป้าบิน เป็นคนไทยคนแรกที่ได้แชมป์ประเภทนี้ นอกจากนี้ก็มี เทควันโด ยกน้ําหนัก ได้รับเหรียญรางวัล เหรียญทอง เหรียญเงินบ้าง ทั้งสองอย่าง ได้โควตาไปโอลิมปิคด้วย /ขอเป็นกําลังใจ “ทัพนักกีฬาไทย”ทั้งที่กล่าวถึงและยังไม่ได้กล่าวถึง ทุกคนที่ตั้งอกตั้งใจในการทําชื่อเสียงให้กับประเทศไทย สําหรับที่ผ่านไปแล้วก็ขอให้ ผ่านรอบคัดเลือก ไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2016 ประเทศบราซิล นะครับ ก็จะเป็นความสําเร็จของเยาวชนไทยในโอกาสต่อไปด้วย
สําหรับในอีกเรื่องก็จะเป็นเรื่อง ในเวทีประกวดนวัตกรรมนานาชาติครั้งที่ 44 ณ กรุงเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ (1) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2) ทีมนักศึกษาอาชีวะจากวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีและวิทยาลัยเทคนิคลําพูน / ได้รับเหรียญรางวัลหลายรายการ/ ผลงานทั้งหมดส่งเข้าระบบบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทย โดยสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) แบบ Fast Track เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตและจําหน่ายเชิงพาณิชย์ต่อไป
พิธีกร: ค่ะเยาวชนเหล่านี้ต่อไปก็จะสามารถเติบโตขึ้น เป็นพลังที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศเราได้นะคะ และอีกไม่กี่วันแล้วค่ะก็จะถึงวันแรงงานแล้วค่ะ พี่น้องแรงงานไทยก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสําคัญให้กับประเทศไทยเหมือนกันนะ คะ ท่านนายกฯ มีอะไรจะฝากถึงพี่น้องแรงงานไทย
นายกรัฐมนตรี: ขอร่วมเป็นกําลังใจในการทํางานของแรงงานทุกคน ที่ช่วยกันสร้างชาติ และขอให้มีการพัฒนาตนอย่างสม่ําเสมอพัฒนาฝีมือ เพื่อยกระดับให้มีรายได้ที่แตกต่างด้วยฝีมือ มากกว่าใช้แรงงานอย่างเดียว และก็มุ่งสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย เพราะว่าวันนี้เราต้องพัฒนาตัวเองด้วยการเรียนรู้ ก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้มากขึ้น จะได้ติดตามวิวัฒนาการ เทคโนโลยีของโลกเพื่อจะได้กําหนดตัวเองว่าเราจะไปอยู่ตรงไหนของโลกในอนาคต
การกําหนดมาตรฐานฝีมือแรงงาน อันนี้ได้ให้กระทรวงแรงงานมีการออกใบรับรองมาตรฐาน 22 สาขาอาชีพ ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมและภาคบริการ ทั้งนี้ต้องเตรียมการในการรับสถานการณ์สังคมสูงวัยในอนาคตด้วยด้วย ซึ่งจะมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเราจะมีการขาดแรงงาน
อีกอันก็คือเราจะต้องเตรียมการไปสู่สังคมเศรษฐกิจที่เรียกว่าไทยแลนด์ 4.0 มีการลงทุน ใช้หุ่นยนต์ ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มากมายไปหมด ผมก็พยายามพูดไปหลายครั้งแล้วนะครับ
สิ่งที่สิ่งที่อยากจะเรียนก็คือว่ารัฐบาลดําเนินการ หลายอย่าง
(1) อันแรกคือ ได้จัดทําแอปพลิเคชั่นด้านแรงงานให้การบริการSMART LABOUR
(2) ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย Smart job center หรือ Smart job mobile แอพพลิเคชั่นบนมือถือ
(3) การส่งเสริมแรงงานคนพิการ ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน
(4) การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ
พิธีกร: ในช่วงนี้ประเทศเราก้าวเข้าสู่ AEC แล้วค่ะ ในเรื่องของแรงงานต่างด้าวรัฐบาลมีการดําเนินการอย่างไรในเรื่องนี้บ้างคะ
นายกรัฐมนตรี: แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เป็นหลักก็คือ (เมียนมา ลาว และกัมพูชา) และอีกหลายประเทศที่ดําเนินการอยู่ เวียดนามก็มี กําลังดําเนินการเดินหน้าในเรื่องนี้อยู่ ได้มีการขึ้นทะเบียน one stop service ของเรา ที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว กว่า 1.6 ล้านคน รวมครอบครัว มีประเทศไทยใจดี (มีครอบครัวผู้ติดตาม ประมาณอีก 1 แสนคน)
ขั้นตอนต่อไปประเทศต้นทางแรงงานต่างด้าว ต้องมีการตรวจสอบ + มีการรับรองสัญชาติ ซึ่งที่ผ่านมานั้นไม่ได้รับรองมาตั้งแต่ต้น ต้องจัดชุดมาพิสูจน์สัญชาติในประเทศไทยซึ่งช้า ก็ได้มีการต่อทะเบียนไปเรื่อยๆ ต่อใบอนุญาตไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัญหาหลายเรื่องด้วยกันพวกที่ยังไม่ได้เป็นการถาวร ยังพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ เหล่านี้ก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายไปที่โน่นที่นี่ มันอาจจะผิดกฎหมาย ต้องถูกดําเนินการตามกฎหมาย ก็อาจจะมีการเรียกรับผลประโยชน์นะ
ต้องเรียนว่า คนไทยเราไม่ค่อยนิยมการใช้แรงงาน ก็ไม่เป็นไร แต่ก็น่าจะนําไปสู่การเป็นหัวหน้าเขาให้ได้ และเราต้องพึ่งพากันและกันอยู่แล้ว แรงงานต่างชาติของเราก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน
(1) ด้านเศรษฐกิจ เราต้องแก้ปัญหาว่าวันนี้เราก็ขาดแรงงานจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคการผลิตและบริการ
(2) ด้านความมั่นคงการค้ามนุษย์ + ยาเสพติด ก็เกี่ยวข้องมาด้วยเพราะว่าก็ยังมีตนที่แสวงหาผลประโยชน์ตรงนี้ ผมก็ให้นโยบายว่า ก่อนจะเข้ามาประเทศไทยก็ให้ประเทศต้นทางเค้าได้มีการรับรองสัญชาติมาก่อนได้ หรือไม่ จะได้ไม่ต้องตามมาตรวจทีหลังแบบนี้ ของเก่าก็ยังค้างหลายแสนคน ก็ยังค้าง ๆ อยู่ แต่ก็มีบัตรชั่วคราวใช่ไหม ทีนี้ถ้ามันควบคุมไม่ได้ อันนี้อันตราย
(3) ยาเสพติดบ้าง สังคม อาชญากรรม ด้านสวัสดิการสังคม ก็เป็นภาระเพราะว่าเป็นแรงงานที่ไม่ได้ระบุไว้ ก็ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้น จากที่เคยประมาณการไว้นั้นคือปัญหาของเรา
พิธีกร: เหตุผลหนึ่งของการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลและ คสช. คือการสร้างความมั่นคงและการปฏิรูปประเทศท่านนายกฯ มีวาระในการดําเนินงานอย่างไร เพราะว่าในการปฏิรูปบางเรื่องไม่ได้สั้น หรือทําง่าย หรือเสร็จสิ้นภายในปีสองปี ท่านนายกฯ วางแผนเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ
นายกรัฐมนตรี: ตั้งแต่เข้ามา ผมได้เรียนไปแล้วว่าผมมีโรดแมปของผม ก็คิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร อันที่ 1. คือขจัดความขัดแย้ง แก้ปัญหาเดิม ๆ ที่มันซ้ําซ้อนกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา ไอเคโอ้ ไอยูยู ประมง อะไรเหล่านี้ คิดก็แก้ไปด้วย ขณะเดียวกัน ต้องมีการบริหารราชการแผ่นดินในเชิงบูรณาการ คือว่าเอากลุ่มงานที่มันเกี่ยวข้องหลายกระทรวง หลายหน่วยงานมาทําพร้อมกัน ก็ทํามาตลอดจนถึงวันนี้ ก็เป็นงานที่หนักพอสมควร แต่ไม่เป็นไร
คราวนี้เราก็มามองว่า สมมติว่าเราอยู่ตามโรดแมปคือสองปีโดยประมาณถึงปี 60
ระยะที่ 1 เราจะสิ้นสุดปฏิรูปคือ กรกฎาคม 2560 ตามโรดแมป
จากนั้น รัฐบาลใหม่ เราก็จะวางพื้นฐานไว้ให้ คือยุทธศาสตร์ชาติ 60-79 20 ปีเพราะเรามุ่งถึงอนาคตเยาวชนอายุ 20 วันโน้นเราต้องมีเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 ก็จะเริ่ม 60-64 จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ ต.ค. 59
พิธีกร: สําหรับประชาชนเองจะต้องร่วมมือกับรัฐบาลด้วย เตรียมตัวเพื่อที่จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวไปพร้อมกับแผนปฏิรูปของรัฐบาล และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องมีการร่วมมือกันทั้งสามเสาหลัก คือ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ตอนนี้ด้านความมั่นคง ท่านนายกฯ อยากจะเล่ามั้ยคะว่า มีเรื่องอะไรที่รัฐบาลได้ทําสําเร็จไปแล้วบ้าง เพื่อให้ประชาชน ได้เตรียมที่จะก้าวพร้อม ไปกับรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี: นอกจาก 3 ด้านแล้ว ผมอยากให้เพิ่มด้านการต่างประเทศไปด้วย เพราะจะมีส่วนในการสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือกับต่างประเทศไปด้วย เป็นด้านสาขาของเศรษฐกิจไง ความมั่นคงต้องร่วมมือในทุกมิติอยู่แล้ว ผมจึงให้ความสําคัญในด้านต่างประเทศด้วยจริง ๆ แล้วสําคัญทุกอัน มากกว่านี้อีก ก็ทําทุกเรื่อง
ศูนย์ดํารงธรรม ที่ตั้งมาแล้วเราให้บริการมากกว่า 2 ล้าน 6 แสนเรื่อง / เสร็จร้อยละ 97
การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด “เชิงรุก” ด้วยแผนปฏิบัติการแม่โขงปลอดภัยระยะเวลา 3 ปี (2559-2561)ร่วมกับชาติพันธมิตร 5ประเทศ (เมียนมาร์ + ลาว + กัมพูชา + เวียดนาม + จีน) ทําลายตั้งแต่แหล่งผลิต / ตัดวงจรสารตั้งต้น / ตัดเส้นทางลําเลียง ฯลฯ ในส่วนของประชาชนก็ต้อง ป้องกัน ป้องปราม ฟื้นฟู ให้เขารักตัวเอง อย่าไปเสพเลย ยาเสพติดไม่เกิดประโยชน์ สุขภาพก็แย่ เงินทองก็หมดไปไม่เป็นประโยชน์
อื่นๆ ได้แก่
(1) เรื่องของการปฏิรูปกองทัพ + ตํารวจ ทหาร หรืออะไรก็แล้วแต่ ความจริงเขาก็มีแผนอยู่แล้ว จะ 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งอยู่ในแผนของฝ่ายความมั่นคงเค้า วันหลังจะนําเรียนให้ทราบต่อไป
(2) เรื่องของการปรับกําลัง ปรับหน่วยงาน ให้เกิดการบูรณาการมากขึ้น กองทัพเข้มแข็ง มีขนาดเล็กลง ก็ต้องมีพัฒนาการในเรื่องของเทคโนโลยีการใช้ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ถึงจะลดคนได้ และอย่างที่เรียนไปแล้วว่า บางครั้งเรามองอย่างต่างประเทศ อาจจะยังไม่ค่อยได้มากนัก เพราะว่าเรายังมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งด้วยอะไรด้วย และเครื่องมือก็ราคาแพง วันนี้เรายังซื้อไม่ได้หลายอย่าง เมื่อซื้อไม่ได้ก็ต้องใช้คน ใช้ตา ใช้มือ ใช้แรงใจ แรงกายของทุกคน ช่วยกันทุ่มเท ให้ประเทศ
เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และตํารวจ อย่ากังวลผมเข้าใจดี เราต้องไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ถ้าไม่มีทหาร ไม่มีตํารวจเลยคงอยู่ไม่ได้ ทุกประเทศในโลกอยู่ไม่ได้หมด เขามีทหารทั้งหมด ต้องเข้มแข็ง ไม่ได้มีไว้เพื่อรบ มีไว้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และดูแลเรื่องเศรษฐกิจ จะได้มีน้ําหนักมากขึ้น
เรื่องสําคัญอีกเรื่องคือการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราได้มีการตั้งคณะพูดคุยสันติภาพ มีการพูดคุยมาหลายครั้งแล้ว ก็มีความก้าวหน้า ตามลําดับ คราวนี้ไม่อยากใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวกําหนดว่าจะเสร็จเมื่อไหร่อย่างไร ก็อยากจะขอให้เข้าใจด้วยไม่ว่าจะสื่อหรือประชาชน เราทําไมจะไม่อยากให้มันจบ เพราะเราเสียดายชีวิตพ่อแม่พี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม แล้วก็เจ้าหน้าที่ทุกคนมีครอบครัว มีลูกหลาน ก็ไม่อยากให้ใครบาดเจ็บสูญเสียทั้งสิ้น เสียเวลา เสียโอกาส เสียเวลามากมาย ทหารก็ได้กลับบ้าน เหลือแต่ทหารในพื้นที่ได้ไหม ถ้ามันสงบลงแล้ว ก็เหมือนจังหวัดอื่น ๆ เราต้องเอากําลังไปเติม เพราะดูแลไม่ทั่วถึง ขอร้องแล้วกัน ฝากไปพวกที่ก่อเหตุต่าง ๆ ขอให้เลิก เรากลับมาเป็นคนไทย ร่วมกันพัฒนาชาติไทยด้วยกันดีกว่า เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โอกาสของภาคใต้มากมาย
พิธีกร: ค่ะ เรามองเห็นภาพของความมั่นคงแล้วเป็นภาพกว้าง เมื่อขยับเข้ามาหน่อย ก็จะเป็นมิติของทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ท่านนายกค่ะ ความคืบหน้าทางด้านเศรษฐกิจที่ทางรัฐบาลได้ทําหรือไม่ค่ะ ในช่วงนี้มีอะไรที่จะบอกเล่าให้ฟังสู้พี่น้องประชาชนบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: จริง ๆ ด้านเศรษฐกิจเราต้องสร้างความเข้มแข็ง มีอยู่ 2 ประการเป็นคําที่อาจจะต้องให้ความเข้าใจและก็คุ้นเคย อันแรกก็คือความเข้มแข็งของประเทศ อันที่สองคือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เหล่านี้เป็นเครื่องจักรของประเทศเราที่จะทําให้เรากินดีอยู่ดีมีการลงทุนมี การประกอบการ ทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ที่เพียงพอเหมาะสม เพราะฉะนั้นในเรื่องของ...แรก เรื่องแรกของการจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้นก็ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ประเทศให้ได้ สร้างความมีเสถียรภาพเพื่อจะเรียกกลับความเชื่อมั่นฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากสถานการณ์ความไม่สงบทั้งหมดในประเทศภายในช่วงที่ผ่านมาหลายปีมาแล้ว แล้วก็ก่อนปี 57 วันนี้หลายอย่างดีขึ้น ต้องขอขอบคุณทุกคน ประชาชนทุกคน ทุกพวกทุกฝ่าย หลักการสําคัญคือเราใช้หลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานําในการพัฒนา ระบบเศรษฐกิจก็คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันที่สองคือกลไกประชารัฐ
เราก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน เป็น “เครื่องมือ” เพิ่มเติมมาอีก ได้แก่ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ที่เราตั้งมาแล้ว เรียกว่า กรอ. แก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ มีส่วนกลาง จากส่วนกลางมีทั้งในกลุ่มจังหวัดด้วย เพราะว่ามีผู้ประกอบการทั้งภาคธุรกิจเอกชนอยู่ด้วย ร่วมกับคณะกรรมการของเรา ของรัฐบาลนะ อันนี้เราได้ตั้งไปแล้ว คนร.
อันที่สองคือเรื่องของคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจอันนี้ก็จะกํากับดูแลส่วนงานของรัฐวิสาหะกิจทั้งหมด อันที่สามคือ คณะทํางานประชารัฐ 12 คณะ จะได้เกาะเกี่ยวกันได้ทันที่ที่เขาเรียกว่าบูรณาการ แล้วการบริการให้สะดวกรวดเร็วขึ้น เพื่อจะง่ายในการประกอบการธุรกิจ เราก็จัดตั้งศูนย์ One Stop Service เพื่อให้การบริการด้านธุรกิจด้วย เช่น รถไฟทางคู่“กําลังก่อสร้าง 2 สาย”ใช่ไหม แก่งคอย-ฉะเชิงเทรา และถนนจิระ – ขอนแก่น “ในอนาคตอีก 5 สาย” คือ มาบกะเบา– ถนนจิระ นครปฐม – หัวหิน หัวหิน – ประจวบฯ ประจวบฯ – ชุมพร และ ลพบุรี – ปากน้ําโพ มูลค่า 1.3 แสนล้านบาท ก็มาก จะสร้างงานสร้างอาชีพได้พอสมควรถ้าเกิดได้ อันที่สองก็คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ประกอบด้วย โครงการเร่งด่วน (วงเงิน 3,700 ล้านบาท) แล้วก็ทําแผนแม่บท ในเรื่องการปรับโครงสร้าง ICT เหล่านี้นะ วงเงินประมาณ 15,000 ล้านบาท อันนี้ต้องทําให้มันทั่วประเทศไง
พิธีกร: ที่จะเป็นโครงข่ายยกระดับพื้นฐานอินเตอร์เน็ตทั้งทั่วประเทศใช่ไหมค่ะ
นายกรัฐมนตรี: ต้องถึงทุกจุดที่มีความจําเป็นไม่ใช้ถึงทุกตารางนิ้วมันเป็นไปไม่ได้ ถึงทุกจุดที่มีความจําเป็นต้องใช้ แค่นี้ใช้เงินพอสมควร เงินที่ได้มาจากการประมูลบ้างอะไรบ้าง จากงบประมาณบ้าง ปัจจุบันก็ต้องเร่งออกกฎหมายให้ได้โดยเร็วอีก 8 ฉบับทั้งหมด จะได้ทํางานได้ ไม่เช่นนั้นก็ติดกฎหมายต่าง ๆ การออกกฎหมายก็ไม่ใช่ว่าออกง่าย ๆ ต้องไปพิจารณา 3 ขั้นตอน 3 วาระ อยู่ใน สนช.ด้วย
เรื่องสําคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนระยะ 7 ปี (2558-2564)
(1) ระยะที่ 1ครอบคลุม 5 จังหวัด (ตาก + สระแก้ว + ตราด + มุกดาหาร + สงขลา)ใน 13 กลุ่มอุตสาหกรรม นะครับ
(2)ระยะที่ 2 อีก5 จังหวัด (เชียงราย + หนองคาย + นครพนม + กาญจนบุรี+ นราธิวาส)
(3) คือศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน OSS จะมีทุกเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่กล่าวไปเมื่อสักครู่ เพื่อจะได้สะดวกไง มาติดต่อที่กรุงเทพซึ่งเป็นศูนย์กลางแล้ว หน่วยงานใหญ่แล้ว ไปในพื้นที่ก็ไปพอเขาที่โน้นก็จะมีเจ้าหน้าที่ให้รายละเอียด ให้คําชี้แจ้งและจะพาไปดูสถานที่ด้วย ก็มีหลายประเทศ หลายผู้ประกอบการก็สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เข้าไปดูแล้ว
อีกอันที่เราจะต้องเร่งคือโครงการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจ ฐานราก คําว่าฐานรากก็คือประชาชนะ ที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งจริง ๆ ผมเรียกว่า ถ้าราก ก็เป็นรากแก้ว ที่มั่นคงแข็งแรงต่อไปในอนาคต เรามีโครงการเหล่านี้กว่า 4 หมื่นล้านบาท ตอนนี้เบิกจ่ายไปแล้วมากกว่าร้อยละ 90 ได้แก่
(1) โครงการ “ตําบลละ 5 ล้านบาท” ความเข้มแข็งของตําบลตามความต้องการของประชาชน
(2) โครงการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจน การสร้างงานสร้างอาชีพด้วยนะ ให้เขามีเงินใช้ด้วยจ้างงานนะ
(3) โครงการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่ม เกษตรกร เพราะว่าวันนี้ใช้แรงอย่างเดียวไม่ได้ สมัยแล้วต้องใช้เครื่องจักรเครื่องไม้เครื่องมือ คราวนี้ถ้าใช้เอกชนอย่างเดียวราคาจะสูง เราเอาไปเทียบเคียงให้เขาว่าราคาควรจะเท่าไร ถ้าเราลดต้นทุนการผลิตไม่ได้ ด้วยการลดราคาการจ้างเครื่องจักรไม่ได้ ก็ประชาชน เกษตรกรก็เป็น มีหนี้มีสินตลอดไปเพราะฉะนั้นจะต้องดูตั้งแต่ต้นทาง
พิธีกร: ในช่วงที่ผ่านมาท่านนายกได้พูดถึง Thailand 4.0 SME Matching แล้วก็ New Startup สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ค่ะ
นายกรัฐมนตรี: ต้องมี เพราะว่าที่พูดออกไปเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า โลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงมาตามลําดับ จะพูดว่า ระยะที่หนึ่ง Thailand 1.0 ใช้แรงงานอย่างเดียว 2.0 ใช้เครื่องจักรขนาดเบา ขนาดเล็กบ้างมาผสมผสานในการผลิต ต่อไปยุด 3.0 เราต้องติดอยู่ที่ 3.0 นี้ก็คือที่ผ่านมาประมาณ 20-30 ปีมาแล้ว มีทั้งเครื่องจักรเบาเครื่องจักรหนัก ผสมแรงงานไปด้วย แต่จากนี้ไปจะไม่ทันเขา ถ้าเราไม่มีการพัฒนาตัวเอง 4.0 นั้นต้องเอา 3.0 มาดูว่าที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้าง คือความเหลือล้ํา ความไม่เท่าเทียมหรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่สมดุล หรือการสนใจในเรื่องของสังคมจิตวิทยาน้อยเกินไป เหล่านี้ทําให้ประเทศเดินหน้าได้ไม่ค่อยเร็วนัก ก็เลยทําให้ติดกับดักตัวเอง รายได้ปานกลาง เพราะฉะนั้นต้องเดิน 3 อย่างด้วยกัน คือ Thailand 4.0
พิธีกร: เรื่อง Startup
นายกรัฐมนตรี: Startup คือโลกให้ความสนใจเรื่อง SMEs คือธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อสนับสนุนขนาดเล็กให้เป็นกลาง ขนาดกลางให้เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นในการประชุม UN หรือในการประชุมอาเซียน เขากล่าวถึงคําว่า SMEs ทุกประเทศ ประเทศไทยมีธุรกิจที่เราส่งออกที่เป็น SMEs กว่า สองล้านราย เรียกว่า 90% ขณะนี้ก็เร่งรัดเรื่องการจดทะเบียน การให้ทุน การให้ความรู้ การจัดทําบัญชีเดียวอะไรเหล่านี้ ระบบการเสียภาษีทั้งหมด ต้องเร่งทั้งหมดเลยเพราะว่า ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ใส่ใจกับตรงนี้ วันนี้ก็พยายามเร่งอยู่ อีกอันหนึ่งคือในเรื่องของ Startup กับ SMEs อันเดียวกัน เพียงแต่อันนี้เป็นคนรุ่นใหม่ จากที่เราพูดไปเรื่องของ 4.0 บ้าง พูดไปในเรื่องของการขับเคลื่อนประเทศไปอย่างไร และในอนาคต 4.0 คือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ใช้เครื่องจักรกลที่เป็นหุ่นยนต์บ้างอะไรบ้าง คือต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ออกมาเป็น นวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะว่าอันนี้คือเรียกว่า New Startup เพื่อจะสนับสนุน S Curved New S Curved 5 อุตสาหกรรมหลักของประเทศในอนาคตเดิมมีอยู่ 5 บวกใหม่อีก 5 เพื่อจะรองรับโลกในวันข้างหน้าด้วย วันนี้ทําทุกอย่าง
อันหนึ่งที่สําคัญก็คือว่า การเกษตร สินค้าการเกษตรตกต่ํา ประชาชนมีรายได้น้อย เกษตกรก็จะผละอาชีพไปทั้งหมด น้ําก็แล้ง ทํานองนี้ เราก็มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ 882 แห่ง ของกระทรวงเกษตรในทุกพื้นที่ ศูนย์บริการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจําตําบล ทั้งหมดจํานวน 7,110 ศูนย์ ด้วย ศบกต. แล้วมีวิสาหกิจชุมชน Social Enterprise / Holding Company ซึ่งกําลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ให้เห็นในหลายจังหวัดด้วยกัน เป็นการร่วมมือกันของภาคเอกชนที่จัดตั้งบริษัทขึ้นมาแล้วให้ประชาชนได้มีการ บริหารกันเอง แล้วผลประโยชน์ก็ไม่ได้เอามาแบ่งปั้นให้เป็นเบี้ยเลี้ยง ค่าแรงของเจ้าหน้าที่ ผลกําไรก็เก็บมาเพื่อจะเอาไปขยายต่อของเขาเอง เป็นทางเลือกของเขา จะได้แข่งขันกับพ่อค้าคนกลางได้บ้าง แล้วสนับสนุนความร่วมมือจากธุรกิจขนาดใหญ่ของเขา ช่วยกันรับซื้อแบ่งเบาภาระไปบ้าง วันนี้เกิดขึ้นหลายพื้นที่แล้ว
อีกอันที่สําคัญคือปัญหาเรื่องน้ํา ถ้าเราไม่มีการ Zoning พื้นที่เกษตรกรรม ก็จะเป็นปัญหา การโซนนิ่งพื้นที่การใช้น้ําเหล่านี้จะได้ไม่มีปัญหาไปทั้งหมด แล้วการปลูกพืชที่เกินความต้องการ เพราะฉะนั้นวันนี้ให้ทางกระทรวงเกษตรจัดทํา Agri Map คงจะได้ยินกันแล้ว ไปดู ผมให้ทําทั้งประเทศ แล้วกระทรวงเกษตรฯ ทําออกมาเป็นผลสําเร็จ ผมชื่นชมเขา ผมบอกอยากให้ชัดเจนขึ้น เขาก็ทํามาแล้ว Agri Map ก็คือทุกคนจะรู้ว่าในพื้นที่ของตัวเอง จังหวัดของตัวเอง บ้านตัวเอง มีน้ําเท่าไร ตรงไหน ดินเป็นยังไง อากาศเป็นอย่างไรเหมาะสมปลูกพืชชนิดไหน ก็เป็นการแนะนําเขา
ต่อไปจะให้ความรู้เพิ่มเติมอีกเป็นแบบ อินเทริเจน แม็พ ให้เขาเรียนรู้ว่าถ้าเขามีที่ 5 ไร่ 10 ไร่ 30ไร่ ถ้าพื้นที่ตรงกับใน Agri Map เขาควรจะบริหารอย่างไร ปลูกอะไร ทําอะไรที่มันจะเกิดรายได้
วันนี้ก็นอกจากที่ทําใส่เข้าไปในระบบ IT แล้ว ตามช่องทาง G News ก็มีอีกมากมายเลยที่ให้ไปเป็นเล่มไปอ่านกันเอง แล้วก็ให้ไปติดต่อกันเอง ที่ไหนสําเร็จก็ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
วันนี้ โซนนิ่งพื้นที่เกษตรกรรมไปแล้ว 150 ล้านไร่ คือทําเป็นเกษตรแปลงใหญ่ 263 แปลง แปลงขนาดใหญ่ 500 ไร่บ้าง 1000 ไร่บ้าง เพื่อจะจัดสรรพื้นที่จัดสรรน้ําให้เหมาะสม แล้วก็มีการตลาดที่เพียงพอ และให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมใหม่ไปด้วย อันนี้ก็จะเป็นว่ามีสถิติการลงทุนใหม่ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงปีที่ ผ่านมาและในช่วงต้นปีที่ผ่านมาสูงขึ้น แต่ขณะนี้เขาก็รอดูว่า สถานการณ์เราเป็นอย่างไร บ้านเมืองสงบเรียบร้อยหรือไม่ ผมก็อยากจะฝากทุกคน เราอย่าไปขัดแย้งกันอีกเลย สิ่งเหล่านี้กําลังจะเกิดขึ้น เราดี ๆ และพี่น้องเราจะได้หายจากความลําบากยากแค้นสักทีผมสงสารเขา
พิธีกร: ท่านนายกฯ คะ ดูเหมือนว่าช่วง ปี-สองปีที่ผ่านมา “ภัยแล้ง” จะเป็นอุปสรรค์สําคัญในการก้าวหน้าทางด้านเกษตรกรรมของประเทศ แต่ท่านนายกฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการบริการจัดการน้ํา ไว้เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง อยากให้ท่านนายกฯ ได้เล่าให้ฟังถึงว่าการทํางานของคณะบริหารจัดการน้ํามีความคืบหน้าไปแค่ไหน แล้วบ้างอย่างไรค่ะ
นายกรัฐมนตรี: เราได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ตั้งแต่ตอน คสช. เข้ามา ตอนนี้มีการปรับเข้ามาสู่ระบบบริหารราชการแล้ว เข้าสู่กระทรวง หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้มีการประชุมมาหลายครั้ง เป็นการภายใน เพื่อจะปรับแก้แผนทั้งหมด เป็นแผน 15 ปีมั้ง (MC: เป็นแผนระยะยาว) ระยะยาวคราวนี้เราจะทยอยทําไปตามลําดับ ตามแผนที่วางไว้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ยากเพราะว่าเราประเมินสถานการณ์ล่วงหน้ามากนักไม่ได้ ไม่รู้ฝนจะตกแบบปีที่แล้วหรือไม่ ทํานองนี้ ปีหน้าโลกเปลี่ยนแปลงง่ายยังไง ตอนนี้ทั้งโลกมีปัญหาหมด เดี๋ยวมีพายุลูกเห็บขนาดใหญ่บ้าง มีหิมะตกไม่ตก ต่างประเทศเขาก็เป็น ประเทศไทยมีอย่างเดียงฝนไม่ตก ตกน้อยเกินไป เราก็ไม่ใช่ว่าตกน้อยในรอบ 40 ปี ก็เลยทําให้น้ําต้นทุนเราที่มีอยู่อย่างจํากัด น้ําในเขื่อนลดลง
อันที่สองคือการทําการเกษตรนอกเขตชลประทานต้องดูแลอีก วันนี้ก็เร่งรัดให้เขาทําความชัดเจนให้เกิดขึ้นว่าเราทําอะไรไปแล้วบ้าง อยากจะเรียนว่าข้อมูลความคืบหน้า ทั้งหมด 12 กิจกรรมมีระยะเวลาในการทําโครงการต่างกัน เน้นทั่วถึง กระจายทั่วประเทศยกตัวอย่างเช่น
– น้ําบาดาลช่วยภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ผมปรับงบประมาณมาตลอด บางที่ก็ไม่พอเอายังไง ก็ต้องปรับเอาที่ต้องทําคราวหน้ามาใส่ครั้งนี้ก่อน ประชาชนเดือดร้อน ทั้งหมดมีเป้าหมาย ทั้งหมด 3,086 แห่ง เราทําเสร็จแล้วประมาณสักครึ่งหนึ่ง ร้อยละ 51 ก็เร่งอยู่
– อันที่สองคือน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร อันนี้ 12 ปี เราทําเป้าหมายไว้ทั้งหมด 18,559 แห่ง ไม่เคยทํามากเท่านี้มาก่อน ทําแล้ว ร้อยละ 12
– ขุดสระน้ําในไร่นา 13 ปี ระยะยาว เป้าหมาย 331,750 สระ ทําแล้วร้อยละ 34 โครงการ
– ต่อไปเรื่องประปาหมู่บ้าน 4 ปี เป้าหมายทั้งหมด 7,490 หมู่บ้าน ที่ยังไม่มีแหล่งน้ําประปา คือทําประชาหมู่บ้านไม่ได้ ทําแล้วประมาณร้อยละ 75 ขณะนี้
– สําหรับประปาโรงเรียน ก็ต้องดูอีก ระยะยาว 7 ปี เป้าหมายทั้งหมด 6,132 แห่ง ทําไปแล้ว ร้อยละ 18
– ต่อไปเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ํา 3 ปี เป้าหมาย 2,922 แห่งทําแล้ว ร้อยละ 56
แล้วการช่วยเพิ่มปริมาณน้ําเพื่อการเกษตร เข้าสู่ระบบ เติมน้ําอะไรทํานองนี้ 1,178 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 14 ทําไปแล้ว สําหรับเป้าหมาย 12 ปี ต้องทําให้ได้น้ําเพิ่มขึ้น 8,250 ล้าน ลบ.ม.
หลักการคือว่า ทําอย่างไรประชาชนหรือเกษตรกรจะเข้าถึงแหล่งน้ํา ไม่ว่าจะอุปโภค บริโภค หรือน้ําเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม น้ําเพื่อระบบนิเวศน์ด้วย 3-4 อันนี่ เน้นการเรื่องการเข้าถึง การเตรียมแหล่งน้ํา เพื่อจะรองรับฝนหน้านี้ ผมก็ปรับระยะยางกลับมาใส่ตรงนี้ เพราะเราคาดหวังว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ จะเกิดในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน พายุฤดูร้อนกําลังเข้ามาตอนนี้ น่าจะมีฝนตก คาดหวังไว้ แต่เราก็เตรียมแหล่งน้ําไว้รองรับฝนหน้าไว้พอสมควรนะ
เรื่องต่อไปคือเราจะต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น เพราะเวลาแล้งแล้วไม่มีความสุข
พิธีกร: ดูหดหู่ไปหมดเลย
นายกรัฐมนตรี: เราขึ้นเครื่องบินไป เรานั่งรถไป อะไรต่ออะไร เห็นแล้งๆ แล้วเราก็สงสารเขา ไม่รู้จะหาเงินได้จากตรงไหน ลูกหลานก็ต้องไปทํางานนอกพื้นที่ ความอบอุ่นในครอบครัวก็หายไป ทําไงเขาจะมีความเข้มแข็งในพื้นที่ของเขา ในภูมิภาคของเขา ในจังหวัดของเขา ผมก็ได้อธิบายทางด้านอื่นไปแล้ว ให้สอดคล้องกัน
เรื่องในส่วนของการบริหารจัดการน้ําเพื่อ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน ปี 60 เราใช้ไปทั้งหมด 99,356 ล้านบาท สําหรับกรณีที่มีเรื่องทุจริตอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา คสช. เข้ามาจะไม่ปล่อยปละละเลย เพราะบางครั้งการตรวจสอบโครงการเหล่านี้ บางทีตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ต้องทยอยตรวจสอบไป ใช่หรือไม่ แต่เราจะไม่ปล่อยปละละเลย ใครแจ้งมา อะไรมา ก็รีบเร่งตรวจสอบก่อน ตอนนี้ก็มีข่าวอยู่ เราจะไม่ปล่อยปละละเลยนะ เมื่อชี้มาก็ต้องตรวจสอบ ลงโทษ เราจะไม่ปล่อยให้ทุกคนไม่มีความผิด ลอยนวล เกิดขึ้นไม่ได้ เราจะเร่งนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้ความเป็นธรรม เป็นเงินภาษีประชาชน เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่ารัฐบาลนี้มีเหมือนกัน ทุจริตเหมือนกัน ไม่ใช่อยู่ที่ทุจริตแล้ว จะดําเนินการอย่างไรต่อไป ไม่ใช่หยุดทั้งหมด ไม่ใช่หยุดไม่ทําเลย ไม่ได้ก็ต้องต่อไป คนทําผิดก็เอาออกไป ลงโทษ ติดคุกอะไรไป กฎอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ลงโทษทางวินัยบ้าง อะไรบ้าง แต่การทํางานต้องทําต่อเนื่องใช่หรือไม่
พิธีกร: ท่านนายกฯ พูดถึงมาแล้ว 2 ด้าน ด้านความมั่นคง และด้านเศรษฐกิจ ต่อไปเป็นมิติทางด้านสังคมจิตวิทยาบ้าง ว่า คสช. ประสบความสําเร็จในการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างไรบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: ย้อนกลับไปดูก่อนเมื่อวันที่ 22 กับ หลัง 22 พฤษภาคม ไปดูเรื่องคิวมอเตอร์ไซต์ รถตู้ ทางเท้า ชายหาด รถแท็กซี่ รถเมล์ รถต่าง ๆ มากมายไปหมด ทําไปก็สําเร็จ พอว่างเว้น พอไปทําตรงอื่น ก็เริ่มกลับมาอีกแล้ว คือเป็นสิ่งที่ผมอยากขอร้องทุกคน ก็รู้ว่าจน แต่ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ไม่งั้นก็ไม่เท่าเทียม คนทําผิดกฎหมายก็ขายไม่ได้ยังไง เพราะว่าเคารพกฎหมาย คนไม่เคารพกฎหมายก็ขายได้ แล้วบอกว่าจน แล้วจะเท่าเทียมไหมในกิจการเดียวกัน เพราะคนไทยทั้งคู่ ผมต้องการให้คนในกลุ่มเดียวกันนี่ เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎหมาย ร่วมมือกัน เผื่อแผ่แบ่งปันกันบ้าง เดี๋ยวรัฐบาลก็จะไปหาที่ขายให้ ก็หลาย ๆ ที่ ย้ายไปก็ดีขึ้น คลองถม เห็นเขาบอกว่าขายดีขึ้น ใหม่ ๆ ก็ธรรมดา เคยชินมา 10-20 ปี ก็ขอร้องอย่ากลับมาที่เดิมแล้วกัน
อันที่สองเรื่องผืนป่าที่ถูกบุกรุก จริง ๆ แล้ว ผมไม่อยากใช้คําว่าทวงคืน แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมาย เราจะต้องรักษาผืนป่าให้สมบูรณ์ไว้ได้ประมาณร้อยละ 40 ของประเทศ คือประมาณ 128 ล้านไร่ ใน 10 ปีนะ เราจะต้องเอากลับมา 128 ล้านไร่ ใน 10ปี ไม่ใช่ปีนี้จะเอากลับมาได้128 ล้านไร่ เป็นไปไม่ได้ 10ปี เพราะว่าเอาคืนมาก็ต้องหาที่ให้คนเหล่านี้ทํากิน เพราะว่าประชาชนเข้าไปบุกรุกอยู่ในนั้น ต้องสร้างความเข้าใจ หาที่ดินให้เขา เพราะฉะนั้นป่าไม้ที่มีการบุกรุก เอากลับมาก็ต้องมาดูว่า เป็นป่าต้นน้ํา ป่าอุทยานหรือไม่ หรือป่าที่เสื่อมสภาพแล้ว ถ้าเสื่อมสภาพแล้วก็จัดให้เขาทํากิน เหมือนที่เราไปมอบมาหลายๆ ครั้งมาแล้ว คือเขาจะได้สบายใจ เขาบุกรุกอยู่แล้ว บุกรุกมาหลายปีแล้ว แล้วป่าก็หมดสภาพป่า แต่ผมไม่ให้บุกรุกใหม่ ของเก่าก็บริหารจัดการให้ได้ ใครยังไม่มีก็มาเติม หาที่อยู่ที่ไม่บุกรุกป่า เพราะเข้าไปในป่าต้นน้ํา ป่าอุทยานไม่ได้ แล้วก็สร้างป่าชุมชน กับป่าเศรษฐกิจให้เขาด้วยจะได้ใช้ได้ จะได้หาอาหารได้ในพื้นที่ป่าชุมชน เป็นธนาคารอาหาร Food Bank ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
การดําเนินการเรื่องนี้ ได้มีการดําเนินคดีไปแล้วประมาณ 1 แสนไร่ คิดเป็นร้อยละ 45 และอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ 4.6 ล้านไร่ สรุปว่าแล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 20 สําหรับป่าที่เหลือให้เจ้าหน้าที่ร่วมกับชุมชนดูแลร่วมกัน รวมอีก 101 ล้านไร่ เรื่องนี้เสร็จทั้งหมด ในเรื่องของการทวงคืนพื้นที่ป่าไม้ที่บุกรุกปลูกยางพารา มีการบุกรุกมากจนปลูกจนเกินปริมาณความต้องการในประเทศ และต่างประเทศต้องมาแก้ด้วยการนําสู่การผลิตในประเทศ ใช้ในประเทศให้มากขึ้น วันนี้ที่จะต้องทวงคืนมาก็ 5.5 ล้านไร่ แล้วเสร็จไปแค่ 1.2 แสนไร่
ประการแรกผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จากนั้นการถูกหรือผิดก็จะต้องไปหาวิธีการบริหารจัดการที่ดีทั้งรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ ว่าจะทํายังไงแก้ไขปัญหาให้เขาได้หรือไม่ ถ้าเขาไม่ยากจน ถ้าเขาไม่มีที่ทํากินที่เพียงพอ เขาก็จะต้องเป็นอยู่อย่างนี้ เราถึงต้องไปมองมิติอื่นด้วย อาชีพอื่น ๆ ที่เสริม ที่พูดไปแล้ว เรื่องอุตสาหกรรม ที่จะต้องควบคู่กันไปในท้องถิ่นด้วย อย่าคัดค้านกันมากนักเลย
วันนี้จัดสรรที่ดินที่ผมพูดไปแล้วคือ มีคณะกรรมการ คทช. เป้าหมายปี 2559 เราก็จะทําทั้งหมด 80 พื้นที่ 47 จังหวัด 325,205 ไร่ ล่าสุดวันก่อนผมไป จ.เชียงใหม่ ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์-อยู่อาศัย ลักษณะ “แปลงรวม” ขายไม่ได้ไม่ให้กรรมสิทธิ์ เพราะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่เป็นป่าที่เสื่อมโทรมแล้ว เช่น ป่าแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 3,878 ไร่ (2) ป่าลุ่มน้ําแม่ฝาง 2,308 ไร่
ต่อไปคงเป็นเรื่องของการปราบปรามการทุจริต เชื่อมโยงกันหมด ประเทศไทยปัญหามาก เพราะการปล่อยปละละเลย ในปี 2556-2558แล้วก็ต่อๆ ไปนี่ผมจะไม่ละเว้นนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะผิดจะถูกไปสู้คดีกันเอาเอง คดีทุจริตมีมูลค่าความเสียหายรวม มากกว่า 5 แสนล้านบาท เสียดาย 5 แสนล้านทําอะไรได้มากมาย ทํารถไฟ ทํารถไฟฟ้าได้เส้นหนึ่ง สถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยในปี 2558 ถึงแม้จะดีที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ผมก็ไม่พอใจต้องเร่งรัดให้มากขึ้นกว่านี้เราพยายามกําหนดมาตรการสําคัญเยอะแยะ นะ
เรื่องที่หนึ่งคือการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)
เรื่องที่สองการตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)
เรื่องที่สาม พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558
เรื่องการใช้สัญญาคุณธรรม (IP)
ระบบ CoST มีระบบร้องเรียน มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด มีการตรวจสอบทั้งก่อน และหลังการทําโครงการ บางครั้งตรวจก่อนไม่ได้ เพราะตอนแรกเขาเร่งดําเนินการกัน เพราะเป็นแสนๆ โครงการ แต่ก็ต้องทํา ตรวจสอบยังไม่เสร็จ บางอันก็ต้องมาตรวจสอบต่อ เขาก็ต้องทําไปก่อน พอทําเสร็จแล้วเจอที่พูดไปเมื่อสักครู่ ก็ต้องลงโทษ
พิธีกร: การปฏิรูปการศึกษาของรัฐ
นายกรัฐมนตรี: ทุกคนต้องมองว่าการปฏิรูปเป็นเรื่องสําคัญที่สุด การปฏิรูปการศึกษาเพราะเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผมเห็นด้วย แต่คราวนี้เราจะทําอย่างไร เราไม่ได้ว่าระบบเราเหลวแหลก ล้มเหลวไปทั้งหมด ไม่เช่นนั้นอยู่ไม่ได้ ประเทศนะ ทีนี้ทํายังไงจะดีขึ้น ดีขึ้นก็คือว่า ผลิตคนที่ตรงความต้องการของประเทศ แล้วประชาชนมีการเรียนรู้มากกว่าเรียนเพื่อจะรับปริญญา หรือเพื่อจะเลื่อนวิทยฐานะ ไม่ใช่ ต้องเรียนรู้ทั้งในภาคการศึกษา แล้วสอนให้คนมีคุณธรรม ไม่ทุจริตอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นอนาคตทั้งนั้น
การศึกษาที่เราเร่งมากที่สุดคือว่า ทําอย่างไรจะมีการบูรณาการระหว่าง 5 แท่งให้ได้ ผมก็จําเป็นต้องใช้มาตรา 44 ในการที่จะ แก้ไขปัญหา ไม่ใช่ยุบ เพียงแต่ว่ามีคณะกรรมการบูรณาการมา ไม่เช่นนั้นทุกแท่นทํากันเองหมด พรบ. ตัวเอง งบประมาณตัวเอง เสร็จแล้วรัฐมนตรีก็สั่งอะไรไม่ได้มากนัก เพราะแบ่งงานให้รัฐมนตรีช่วยไปหมด นั่นคืออดีต
วันนี้ผมให้รัฐมนตรีว่าการรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวข้างบน แล้วสั่งการลงมา มีรัฐมนตรีช่วย ช่วยกันแล้วก็ขับเคลื่อนคณะกรรมการ ขับเคลื่อนบูรณาการด้านการศึกษา ซึ่งมี 5 แท่ง คือหัวหน้าหน่วยงาน 5 แท่ง จะสร้างไปข้างล่างให้ต่อกัน ตอนนี้หลายอย่างเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว อาจจะไม่ทันใจมากนัก เพราะติดกฎหมายหลายตัว ไม่จําเป็นผมไม่ใช้ เกี่ยวกับเรื่องการศึกษา แต่จําเป็นจริง ๆ
วันนี้มีจัดตั้งเขตการศึกษาใหม่ 18 เขต แล้วให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอะไรต่างๆ ก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การศึกษา อบท. อะไรต่างๆ แต่อย่าเพิ่งไปโอนให้ใครเลย ผมว่าวันนี้ทุกคนมาร่วมมือกัน ทําให้การศึกษาในท้องที่ดีขึ้น วันนี้คณะกรรมการ 12 คณะของเราก็ลงไปดูเรื่องการศึกษาด้วย มีการจัดทวิภาคีด้วย ก็หลายอย่างมาเสริมกันหมด หลายอย่างก็ให้ติดตามแล้วกัน
อันที่สองคือการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเรียนรู้ อันนี้คือเรียนและเรียนรู้ เรียนเพื่อปริญญา เรียนเพื่อตัวเอง แต่ก็ต้องเรียนรู้เพื่อสังคมด้วย จะต้องอยู่กันยังไง ไม่ขัดแย้ง อันนี้ สอง สาม พูดรวมกันแล้วกัน
อันที่สี่คือโครงการ “โรงเรียนคู่พัฒนา” ที่เรียกว่าทวิภาคียังไง คือจะต้อง โรงเรียนนี้ กับโรงเรียนโน้น พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อนไปด้วยกัน แล้วทั้งสองโรงเรียนก็จะเป็นคู่กันในการพัฒนาร่วมกัน จะได้ลดความแตกต่าง ในด้านมาตรฐานการสอน ที่ผ่านมาบางทีต่างคนต่างสอน ไม่ได้ดูกันยังไง วันนี้ต้องดูกันแล้วก็พัฒนาตัวเองให้เท่าเทียม คนได้ประโยชน์คือใคร คือเด็กใช่หรือไม่ คือครูใช่ไหม คือประเทศชาติใช่หรือไม่
อันที่ห้าคือ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มไว้ DLTV นานแล้ว วันนี้เราก็สามารถทําได้ทั้งหมดแล้ว ประมาณ 15,000 กว่าโรงเรียน เพื่อสนองแนวทางพระราชดําริ กําลังปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้น ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ถึงต้องไปสู่การเป็น Digital Economy ด้วย
ต่อไปเรื่องที่หก คือโรงเรียนประชารัฐ เรามีความมุ่งหมายว่า ทํายังไงจะทําให้มีส่วนร่วมในโรงเรียนเหล่านี้ ในการประสานความร่วมมือในภาคประชารัฐ ในภาคประชาชน ภาครัฐบาล ภาคประชาสังคม มาร่วมมือในโรงเรียนด้วย เป้าหมายระยะแรก 1 ตําบล 1 โรงเรียนต้นแบบก็คือ 7,424 แห่ง แต่ละตําบลนะครับ แล้วต่อไปก็จะขยายลงมา จากตําบลก็ไปเป็น พื้นที่ ๆ เล็กลงไปกว่านั้น
พิธีกร: เข้าไปถึงหมู่บ้านเลย
นายกรัฐมนตรี: ต้องดูกัน ต้องฝากครูฝากบุคคลากรทางการศึกษาช่วยดูกันด้วย ดูแลด้วย ถ้าเราไม่ทําตามนี้ ไปไม่ได้ ต่างคนต่างเรียน ต่างคนต่างขับเคลื่อน ไม่ได้
เรื่องการขับเคลื่อนเรื่องวิจัยพัฒนานี่สําคัญ เพราะเราบางทีรัฐลงทุนไม่ได้มากนัก ต้องไปร่วมมือกับใคร ของรัฐก็มี ของ สวทช. ของ ภาคเอกชนที่ ทุกบริษัทใหญ่ๆ เขามีหมด สถาบันวิจัยของเขาเอง เราก็ไปร่วมมือกับเขา อันที่สามร่วมมือกับสถานศึกษาของเราตามมหาวิทยาลัยมีมากมาย เรื่องวิจัย ตอนนี้รัฐบาลกําลังรวบรวมทั้งหมดไว้ แล้วมาดูซิว่าเราจะจัดระเบียบตรงนี้อย่างไร ทุนการศึกษา เฉพาะในสิ่งที่เราต้องการนี่เป็นหลัก
อันที่สองคือตามอิสระ ต้องจัดการอย่างนี้ ถ้าเพียงจ่ายทุน ๆ แล้วกลับมาอะไรหรือเปล่าไม่รู้ไปไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่ได้ วันนี้ก็ให้รวบรวมมาได้แล้วนะ ประเทศไทยมีจบปริญญาเอกเท่าไรรู้ไหม 30,000 กว่าคน
พิธีกร: เป็น ดอกเตอร์ ทั้งนั้นเลย
นายกรัฐมนตรี: ดอกเตอร์ 3 หมื่นกว่าคน ต้องทําให้ดอกเตอร์ 3 หมื่นกว่าคน ทําให้คนไทยฉลาดขึ้นให้ได้ แล้วทําให้คนไทยเลิกความขัดแย้ง ให้เข้าใจว่าโลกภายนอก เขาเป็นอย่างไร มองตัวเองคนเดียวไม่ได้แล้ว ต้องแก้ไข เรื่องการพัฒนาระบบ ICT ให้กว้างขวางทั่วประเทศ พูดไปแล้ว
ตัวอย่างที่เห็นเร็วๆ ตอนนี้ก็คือ “การสร้างพลังประชารัฐ จากพลังเยาวชน” ผ่านกลไกสภานักเรียน ซึ่งผมเห็นกระทรวงศึกษาเขาทําอยู่ มีประโยชน์ แล้วก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น ผมคิดว่าสิ่งนี้จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต
พิธีกร: เท่าที่เห็นทุก ๆ ปี สภานักเรียนจะมายื่นข้อเสนอกับท่านนายกฯ ทีนี้ ฝันของสภานักเรียนจะเป็นจริงแล้วใช่ไหมคะ
นายกรัฐมนตรี: ต้องเป็นจริงเพราะว่า แต่บางอย่างเป็นปัญหาที่ทับซ้อน ต้องแกะออกมา ต้องแกะปัญหาออกมาเป็นปัญหาย่อย ปัญหาเล็กน้อย แล้วก็แก้ทีละปัญหา ปัญหาใหญ่ถึงจะจบ อะไรที่แก้ได้เลยก็แก้เลย กระทรวงศึกษาต้องแก้เลยนะ ผมถึงให้อํานาจเขา เพราะฉะนั้นจะต้องให้ทํางานร่วมกันกับกระทรวงศึกษา ของสภานักเรียน ให้ครอบคลุมปัญหาต่าง ๆ ในสังคม วันนี้ก็เห็นเขามีความสุขขึ้น ตัวแทนมาพบรัฐมนตรีศึกษา ก็บอกพอใจ ศธ. จะเป็นตัวกลาง เชื่อมสภานักเรียนกับกระทรวงยุติธรรม ในเรื่องของยาเสพติด เชื่อมกับกระทรวงทรัพย์ฯ เรื่องป่า น้ํา ขยะ กระทรวงวัฒนธรรม เรื่องการเสพสื่อ Social เหล่านี้ ก็ต้องเร่งทุกอัน กระทรวงศึกษากําลังทําอยู่ แล้วต้องนําเรื่องของกรปลูกฝังประชารัฐ ฟังเสียงเยาวชน ร่วมสร้าง กําหนดอนาคตที่เด็กๆ ต้องการ เพื่อจะสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ 20 ปีข้างหน้าด้วย
พิธีกร: ท่านนายกฯ คะ ทราบว่าทางรัฐบาลมีแผนยุทธศาสตร์ 10 ปี ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชน แผนนี้จะเริ่มในปีนี้เลยใช่ไหมคะ แล้วมีโครงการอะไรบ้างคะท่านนายกฯ คะ
นายกรัฐมนตรี: ตอนนี้มีหลายหน่วยงานที่ผมสั่งงานไปแล้ว ไม่ว่าจะกระทรวงพัฒนาความมั่นคงมนุษย์ กระทรวงกลาโหม เพราะเราต้องดูแลไปถึงข้าราชการพลเรือง ตํารวจ ทหาร ด้วย ระดับเด็กๆ รายได้น้อย แล้วก็ประชาชนที่ยังไม่มีบ้านของตัวเอง ก็ต้องวางแผนยาว 2559 ถึง 2568 ก็จะเน้นผู้มีรายได้น้อย ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ประมาณ2.7 ล้านครัวเรือน ในขณะนี้นะ จากทั้งหมด 4.6 ล้านครัวเรือน อันนี้แผนระยะยาวยังได้ 2.7 เลย ทั้งหมด 4.6 นะ คิดเอาแล้วกัน แล้วระหว่างนี้เรากําลังสร้าง ๆ แล้วคนใหม่ใช้อีกเท่าไร ต้องมากกว่านี้ อันหนึ่งก็คือจะมีที่อยู่อาศัยในอนาคต อันที่ 2 ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการก่อสร้างเหล่านี้
ปัญหาคือ มีเสียงกลับมาว่า บางครั้งไม่เข้ากติกา เขาต้องมีกติกาไม่เช่นนั้นหนี้จะเป็น NPL ยังไง กู้เขามา บางคนก็เคยมีกรรมสิทธิ์บ้านหลังอื่นมาก่อน เขาเขียนบ้านหลังแรกยังไง ก็กําลังให้เขาดูอยู่ว่าจะทํายังไง อายุมากเกินเกณฑ์ที่กําหนด นี่ก็อีกอัน เขาต้องแค็ป เหล่านี้ไว้ด้วย บ้านพร้อมที่ดินมีราคามากกว่า 1.5 ล้านบาท ผมก็บอกว่าไปหาบ้านที่ราคาถูกได้ไหม บ้านประกอบ น๊อคดาว ผมเห็นรูปมากมายไป ทําไมไม่เอามาคิดกัน บ้านไม่กี่แสน แสน สองแสน การปลูก ซ่อมแซมบ้าน บนที่ดินของคนอื่น เหล่านี้เป็นปัญหาทั้งสิ้นทีเราต้องไปแก้ตามต่อ ไม่ใช่คิดจะทํา แล้วทําได้เลย ติดหมด ให้กระทรวงการคลัง กระทรวง พม. แล้วก็กระทรวงกลาโหม เป็นแม่งาน ไปช่วยกันดูแล คณะกรรมการขับเคลื่อน
ความสามารถในการผ่อนชําระ ภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งถ้าเราปล่อยไปมาก ๆ จะหนี้เสีย NPL มากขึ้น สถาบันการเงินเขาจะมีปัญหา เพราะฉะนั้นเราต้องประเมินผลโครงการในระยะยาว ช่วยเหลืออย่างแท้จริงแก้ปัญหาผู้ที่จะแก้ปัญหาผู้อยากร่วม แต่ร่วมไม่ได้ยังไง จะทํายังไง กําลังให้พิจารณาอยู่นะครับ ขอให้ระมัดระวังหน่อยนะ การใช้เงิน การมีหนี้โดยไม่จําเป็น การใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ให้สํารวจหนี้สินของตัวเอง เสียก่อน ภาระการใช้จ่าย ฟังรัฐบาลชี้แจงอย่าไปทําหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
อีกอันหนึ่งคือเรื่องของข้าราชการก็ดูแลเขาต้องไปดูว่าที่ของกรมธนารักษ์ ที่ราชพัสดุ สามารถจะทําได้ไหม เพื่อจะให้ข้าราชการที่ไม่มีบ้านอยู่ในการทํางานในช่วง กําลังอยู่ใน ยังไม่เกษียณนะ ก่อนเกษียณอายุ จะเช่าอยู่ได้ ระยะสั้น ระยะยาว แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งที่สามารถจะเช่าซื้อได้ เพื่อเป็นอนาคต เมื่อเขาเกษียณไปแล้ว นี่ความมั่นคงสําคัญนะ ลูกหลานจะอยู่กันยังไงในวันหน้า ต้องคิดให้ครบระบบ ปัญหาคือระยะเวลา ปัญหาคืองบประมาณ ปัญหาคือความขัดแย้ง อันนี้ก็ทําทั้งหมดนะ ก็จะมีข้อมูลให้ทราบต่อไป บางอย่างก็รัฐจัดทํา บางอย่างก็เอกชนสร้างบ้างอะไรบ้าง ร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน
พิธีกร: ทั้งนี้ที่ทําก็เพื่อช่วยเหลือข้าราชการชั้นผู้น้อย เพื่อให้เขามีบ้านพัก มีที่อยู่อาศัย
นายกรัฐมนตรี: ตามสิทธิ์เขาต้องได้บ้านพัก มีค่าเช่า บ้านพัก อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด เอาตรงนั้นมาทําตรงนี้ได้ไหม จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านยังไง ก็เป็นการลงทุนบ้านให้เขาไปเลยนะ บางอันก็เช่า พอเกษียณอายุ หรือย้ายออกไป คนอื่นมาอยู่แทน อีกอันเช่าซื้อตอนเกษียณ อยู่ตอนเกษียณ ก็ถ้าคนรุ่นใหม่ที่จบมาก็พยายามติดตามหน่อยนะ ที่ยังไม่เริ่มทําหนี้ มาเป็นหนี้แบบนี้ดีกว่า เป็นมูลค่าวันหน้าถ้าไม่พอใจ เล็กเกินไปก็ขาย แล้วก็ไปซื้อบ้านหลังใหญ่กว่า ก็ได้ นี่ไม่มีทรัพย์สิน มีแต่หนี้ จะทําได้หรือไม่ ต้องแก้ไข
นายกรัฐมนตรี: ด้านต่างประเทศเหมือนกัน ก็ต้องทําต่อทั้งหมด หลายอย่างนะ G 77 เรื่องการประชุม การวางยุทธศาสตร์ร่วมด้านการต่างประเทศ กับแต่ละประเทศต้องชัดเจน รัฐบาลไทยทําทั้งหมด เชิงรุก แสดงบทบาทนําในเชิงพฤตินัย สร้างความเชื่อมโยงให้ได้
พิธีกร: นอกจากนั้นแล้วยังมีด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมอีก ซึ่งทราบว่าทางรัฐบาลนี้ก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้ แล้วก็แก้ไขปัญหา ออกกฎหมายเพิ่มมาเป็นจํานวนหลายร้อยฉบับแล้ว
นายกรัฐมนตรี: จริง ๆ แล้วกฎหมายต้องเป็นสากล ทันสมัย กฎหมายที่ไม่จําเป็นก็จะยกเลิก ทีนี้ประชาชนบอกว่ายกเลิกกฎหมาย 5,000 ฉบับ คงไม่ใช่อย่างนั้น เป็นการพูดตัวเลขเฉยๆ กลมๆ ยกตัวอย่าง ไม่ใช่จะเลิก 5,000 ฉบับ เลิกไม่ได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่า ไม่มีเวลาหรอก เพราะฉะนั้น ก็ไปดูว่ากฎหมายแรก ๆ ที่เราจะแก้ไขคือที่ยังไม่เป็นสากล ที่จะต้องเพิ่มเติม ให้ทันสมัย อะไรที่ยังออกไม่ครบเช่นประมง อะไรเหล่านี้จะต้องออกให้ครบ หลายอย่าง แล้วก็กฎหมายที่ไม่จําเป็นแล้ว บางทีบอกมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดเลย ไม่ได้ใช้ ก็จะต้องยกเลิก อันนี้รวมความไปถึง ไม่ใช่ 5,000 ฉบับ ไม่ใช่ ยกเลิกกฎหมายกฎกระทรวง พรบ. มากมายไปหมด ระเบียบอะไร กฎหมายทั้งสิ้น พันกันไปหมดยังไง แก้อันนี้ ไปกระเทือนอันโน้นหมด วันนี้กฎหมายใหม่มา ต้องออกกฎหมายลูกอีกยังไง แก้กฎหมายลูกอีก กฎกระทรวงทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องเสียเวลาพอสมควร ลดเวลาของกระบวนการศาลเข้าไปอีก ต้องเร่งดําเนินการนะ เท่าที่ทําได้ ที่เราเหลือเวลานี่จะทําให้มากที่สุดนะครับ เอาที่จําเป็นก่อนะ ได้ไหม ต้องร่วมมือกันนะครับ
พิธีกร: ค่ะแล้วก็เมื่อวันพุธที่ผ่านมานะคะ ท่านนายกฯ ได้ลงพื้นที่ไปที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปติดตามการบริหารราชการแผ่นดิน แล้วติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตามแนวนโยบายของรัฐบาล แล้วก็ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดบ้างคะที่ประสบความสําเร็จแล้วในเรื่องนี้ค่ะ
นายกรัฐมนตรี: สําเร็จหลักๆ ก็คือการแก้ไขหมอกควันระยะแรก ผมเน้นไปว่าก็ต้องหาความร่วมมือกับเพื่อนบ้านด้วย เพราะเกิดทั้งสองฝั่ง เอาของเราที่เราทําได้ผลไปแลกเปลี่ยนกับเขา ให้เขาช่วยกันเพราะกระเทือนทั้งหมด ไม่ใช่เราคนเดียว
การมอบที่ดินทํากิน อย่างที่กล่าวไปแล้ว มีการบูรณาการทุกหน่วยงาน ได้ติดตามเรื่องศูนย์สั่งการเบ็ดเสร็จ Single Command ของการแก้ปัญหาหมอกควันนี่ไง ต้องเป็น Single Command มีหลายหน่วยงานอยู่ในที่เดียวกัน แล้วสั่งงานพร้อมกัน เพื่อจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนนะ แล้วก็ประสานไปต่างประเทศด้วย
ในเรื่องของ “อาเซียน” เราก็จัดทํา Road Map อาเซียนปลอดหมอกควัน ภายในปี 2563 ดําเนินการขณะนี้ ลด HOTSPOT ได้ 47 % เชียวนะ จาก 384 จุดปีที่แล้ว เหลือเพียง 30 จุดในปีนี้ Hot Spot คือที่แดง ๆ แล้วโชว์ขึ้นมาในจอ
โครงการป่าชุมชน ก็ไปเกิดขึ้นหลายที่ อยู่ร่วมกับป่า ดูแล – รักษา – ฟื้นฟู “ป่ายั่งยืน” 200 หมู่บ้าน ปี 2558 ทําไปแล้ว 450 หมู่บ้าน ปี 2559 จํานวน 200 หมู่บ้าน ทําไปแล้ว 178 หมู่บ้าน
พิธีกร: แล้วตอนนี้ก็มาถึงช่วงท้ายของรายการแล้ว ท่านนายกฯ มีสิ่งดีๆ หรือมีกิจกรรมอะไรดีๆ จะฝากถึงพี่น้องประชาชนบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: เอาย่อๆ แล้วกันนะ เพราะพูดมาเยอะแล้ว นานแล้ว คนก็ไม่อยากฟังอีก เห็นไหมเล่าพูดยังไม่จบเลยนี่ นี่ผมย่อไปตั้งเยอะแล้ว ที่ทํามากกว่านี้อีก ไม่ใช่อวดอ้าง ไม่ใช่พูด แต่บางอันยังไม่เสร็จคนก็รอเมื่อไรเสร็จๆ แล้วบอกเสร็จแล้วให้รีบไป หลายคนพูดแบบนี้ ผมว่าจะได้เข้าใจกัน
สรุปสั้นๆ วันนี้ก็เริ่ม STARTUP วันก่อนผมไปเปิดงาน น่าพอใจ สําหรับเศรษฐกิจใหม่ก็จะเป็นการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เอาคนรุ่นใหม่มาทํา แล้วก็พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน บริษัทใหญ่ จูงบริษัทเล็ก อะไรอย่างนี้ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้ได้ แล้วใช้ระบบ ICT ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มาตรการยกเว้นภาษี ต่างๆ ยกให้เขา ดูแลให้เขา ขั้นเริ่มต้นนี่นะ มีการเปิดเวทีพบปะ แลกเปลี่ยน สร้างแรงบันดาลใจ จากกูรู –ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา จาก 10 ประเทศ สร้าง “ความคิดเชิงธุรกิจ นักวิเคราะห์” มีเกือบ 200 บริษัท สตาร์อัพ มาออกบู๊ท น่าชื่นใจนะ
นักเรียนนอก หลายคนกลับมาพัฒนาประเทศ หลายคนจบปริญญามา ไปทําอาชีพอื่น เลิก กลับมาบริหารธุรกิจแล้ว เพราะเห็นรัฐบาลนี้สนับสนุนจริงจัง ก็กลับมา มาฟังมาหาเงิน หากองทุนแล้วก็หาพี่ๆ มาดูแล ก็ชี่นชมนะ มีพี่ ๆ ของมหาวิทยาลัย จุฬา ธรรมศาสตร์ แล้วมหาวิทยาลัยเอกชนอื่น ๆ หลายคนเขามาที่งานนี้ด้วย เขาก็ส่งเสริมรุ่นน้องเขา หลายคนที่มีศักยภาพ ไปประกอบการนี่โน่น ผมก็เลยฝากไว้ บอกว่าทําไมนักศึกษาดี ๆ เราก็มากมาย มาดูแลรุ่นน้อง มาผลิตผลงานออกมา บางคนทําไมไม่ค่อยเรียบร้อย ก็ฝากสถาบันไปดูแลด้วย หลายคนเรียนไม่จบสักทีไง แล้วก็สร้างความวุ่นวาย เสียชื่อสถาบัน คนเขาสร้างความดีมากมายไป นักศึกษาช่วยผมด้วยแล้วกันนะ ผมรักทุกคน ก็คือลูก คือหลานผมทั้งนั้น ไม่ว่าจะดี ไม่ดี ก็ลูกหลานผม แต่ผมไม่อยากให้เขาทําให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวายไปมากกว่านี้
เรื่องเหล่านี้ไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1313 นะ
เรื่องงาน “การศึกษาสร้างชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างสุข สัญจร” ช่วง 11 – 13 พฤษภาคมนี้ จะเปิด ก็ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ สัญจร ลดค่าใช้จ่าย ต่อยอด “ตลาดคลองผดุง” ไปที่ต่างจังหวัดด้วยยังไง ผมบอกแล้ว ไม่ได้เกิดแต่ในกรุงเทพฯ
จําหน่ายเครื่องแบบ อุปกรณ์การเรียน คุณภาพดี ราคาถูกกว่าท้องตลาด กว่า 40 %, สินค้าผลิตภัณฑ์ของนักเรียนและประชาชน ให้เขามาขาย ศูนย์บริการสร้างซ่อม (Fix it Center), การแสดงของนักเรียนนักศึกษา, การจัดนิทรรศการเปิดโลกอาชีพ, สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับรางวัลในระดับภาค ที่พูดมาเหนื่อยไหม ฟังแล้วเหนื่อยไหม พูดก็เหนื่อย ทําก็เหนื่อยกว่า ถ้าคิดแล้วพูด ไม่ต้องทํานี่ ไม่เหนื่อยหรอก นี่เหนื่อย เหนื่อยใจด้วย แรงกดดันก็สูง ต้องทําให้สําเร็จไง ประชาชนเดือดร้อน เห็นแววตาเขาก็ไม่รู้สิ ผมก็เต็มตื้นทุกที เวลาเจอคนจน เวลาพูดถึงเขาผมไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก เสียเวลามามากแล้ว
ขอให้ทุกคนร่วมมือกับรัฐบาล กับ คสช. หลายอย่างที่เป็นกฎหมายก็เชื่อฟังกฎหมายก็ไม่เกิดความขัดแย้ง อย่าบิดเบือนกันอีกต่อไปเลย เลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะฟังบ้าง เลือกที่จะอ่านบ้าง อะไรที่สร้างความขัดแย้งมาก ๆ ก็อย่าไปเชื่อมากนักเลย บางที่ก็มีจุดประสงค์อย่างอื่น เจตนาไม่บริสุทธิ์ไง ผมนี้เจตนาบริสุทธิ์ ถ้าดูหัวใจผมได้ก็จะให้ดูว่าผมให้ทุกอย่างไว้แล้ว ชีวิต จิตใจ ผมให้หมดแล้ว ขอขอบคุณในความร่วมมือ ขอบคุณในการที่เราจะมองอนาคตร่วมกัน อย่างที่เราวาดหวังไว้ใน 20 ปีข้างหน้า ไปพร้อม ๆ กัน สวัสดีครับ
พิธีกร: ค่ะในสัปดาห์นี้นะคะ ท่านนายกฯ ได้เผยให้เห็นมิติของความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม นะคะ ที่พวกเราจะต้องก้าวเดินไปด้วนกันนะคะ เพื่อสร้างประเทศไทยของเราให้มั่นคง และเข้มแข็ง สําหรับรายการคืนความสุขให้คนในชาติวันนี้นะคะ ขอลาไปก่อนค่ะ แล้วพบกับท่านนายกฯ ได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าค่ะ สวัสดีค่ะ
|
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2016 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่ง ประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2559 เวลา 20.15 น.
พิธีกร: สวัสดีค่ะ ดิฉันพันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการคืนความสุขให้คนในชาติค่ะ เป็นประจําทุกสัปดาห์นะคะ ที่ท่านนายกรัฐมนตรี จะมาพูดคุย บอกเล่าเรื่องราวสิ่งดี ๆ และความก้าวหน้าในการ บริหารราชการแผ่นดินให้พี่น้องประชาชน ได้ทราบค่ะในเวลานี้ท่านนายกรัฐมนตรีอยู่กับดิฉันแล้ว สวัสดีค่ะท่านนายกฯคะ ท่านนายกฯคะ ในสัปดาห์นี้ มีเรื่องอะไรที่เป็นเรื่อง ที่น่ายินดีของพี่น้องประชาชนชาวไทยบ้างคะ
นายกรัฐมนตรี: สัปดาห์นี้ก็มีหลายเรื่องด้วยกันนะครับ เรื่องแรกก็เมื่อวานนี้วันที่ 28 เมษายน 2559 วันครบรอบวันราชาภิเษกสมรส ครบ 66 ปี / ขอให้ 2 พระองค์ “ทรงพระเจริญ” / แบบอย่างของผู้ครองเรือน นี่ก็เป็นสิ่งสําคัญนะ คิดว่าประชาชนคนไทยก็คงต้องร่วมกันถวายพระพรด้วย
พิธีกร: ทราบว่าปีนี้เป็นปีทองของนักกีฬาไทย และเป็นปีทองของเยาวชนไทยด้วย ทราบว่านักกีฬาของเราทําผลงานดีในต่างประเทศมากมาย ทราบว่าท่านนายกมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย ว่าใครประสบความสําเร็จบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: คนแรก น้องเมย์ รัชนก รัฐบาลก็ได้นําความกราบบังคมทูลเพื่อขอพระราชทาน และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่ง ดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นทุติยดิเรกคุณาภรณ์ เป็นกรณีพิเศษ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณกับตนเองและครอบครัว ซึ่งจะได้เป็นกําลังใจต่อไปในการมุ่งมั่น ที่จะเอาชนะเลิศในการแข่งขันกีฬา อื่นๆ ในวันหน้านะครับ
เรื่องของการรักษาแชมป์เอเชีย ก็ไม่เป็นไร ผมถือว่า นักกีฬาทุกคนเป็นเพื่อนกัน ใครชนะใครแพ้ก็เป็นเพื่อนกันทั้งหมด แบ่งปันกันบ้าง ก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจมีความมุ่งมั่นในการเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจการ รักษาแชมป์ผมว่ามันยากกว่าการทําแชมป์นะ ก็อย่าเสียใจ นายกรัฐมนตรีและคนไทยขอเป็นกําลังใจให้เสมอ
คนที่ 2 ก็เป็น“น้องณี” สุธิยา จิวเฉลิมมิตร คว้าแชมป์เวิลด์คัพ ยิงเป้าบิน เป็นคนไทยคนแรกที่ได้แชมป์ประเภทนี้ นอกจากนี้ก็มี เทควันโด ยกน้ําหนัก ได้รับเหรียญรางวัล เหรียญทอง เหรียญเงินบ้าง ทั้งสองอย่าง ได้โควตาไปโอลิมปิคด้วย /ขอเป็นกําลังใจ “ทัพนักกีฬาไทย”ทั้งที่กล่าวถึงและยังไม่ได้กล่าวถึง ทุกคนที่ตั้งอกตั้งใจในการทําชื่อเสียงให้กับประเทศไทย สําหรับที่ผ่านไปแล้วก็ขอให้ ผ่านรอบคัดเลือก ไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2016 ประเทศบราซิล นะครับ ก็จะเป็นความสําเร็จของเยาวชนไทยในโอกาสต่อไปด้วย
สําหรับในอีกเรื่องก็จะเป็นเรื่อง ในเวทีประกวดนวัตกรรมนานาชาติครั้งที่ 44 ณ กรุงเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ (1) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2) ทีมนักศึกษาอาชีวะจากวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีและวิทยาลัยเทคนิคลําพูน / ได้รับเหรียญรางวัลหลายรายการ/ ผลงานทั้งหมดส่งเข้าระบบบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทย โดยสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) แบบ Fast Track เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตและจําหน่ายเชิงพาณิชย์ต่อไป
พิธีกร: ค่ะเยาวชนเหล่านี้ต่อไปก็จะสามารถเติบโตขึ้น เป็นพลังที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศเราได้นะคะ และอีกไม่กี่วันแล้วค่ะก็จะถึงวันแรงงานแล้วค่ะ พี่น้องแรงงานไทยก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสําคัญให้กับประเทศไทยเหมือนกันนะ คะ ท่านนายกฯ มีอะไรจะฝากถึงพี่น้องแรงงานไทย
นายกรัฐมนตรี: ขอร่วมเป็นกําลังใจในการทํางานของแรงงานทุกคน ที่ช่วยกันสร้างชาติ และขอให้มีการพัฒนาตนอย่างสม่ําเสมอพัฒนาฝีมือ เพื่อยกระดับให้มีรายได้ที่แตกต่างด้วยฝีมือ มากกว่าใช้แรงงานอย่างเดียว และก็มุ่งสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย เพราะว่าวันนี้เราต้องพัฒนาตัวเองด้วยการเรียนรู้ ก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้มากขึ้น จะได้ติดตามวิวัฒนาการ เทคโนโลยีของโลกเพื่อจะได้กําหนดตัวเองว่าเราจะไปอยู่ตรงไหนของโลกในอนาคต
การกําหนดมาตรฐานฝีมือแรงงาน อันนี้ได้ให้กระทรวงแรงงานมีการออกใบรับรองมาตรฐาน 22 สาขาอาชีพ ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมและภาคบริการ ทั้งนี้ต้องเตรียมการในการรับสถานการณ์สังคมสูงวัยในอนาคตด้วยด้วย ซึ่งจะมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเราจะมีการขาดแรงงาน
อีกอันก็คือเราจะต้องเตรียมการไปสู่สังคมเศรษฐกิจที่เรียกว่าไทยแลนด์ 4.0 มีการลงทุน ใช้หุ่นยนต์ ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มากมายไปหมด ผมก็พยายามพูดไปหลายครั้งแล้วนะครับ
สิ่งที่สิ่งที่อยากจะเรียนก็คือว่ารัฐบาลดําเนินการ หลายอย่าง
(1) อันแรกคือ ได้จัดทําแอปพลิเคชั่นด้านแรงงานให้การบริการSMART LABOUR
(2) ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย Smart job center หรือ Smart job mobile แอพพลิเคชั่นบนมือถือ
(3) การส่งเสริมแรงงานคนพิการ ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน
(4) การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ
พิธีกร: ในช่วงนี้ประเทศเราก้าวเข้าสู่ AEC แล้วค่ะ ในเรื่องของแรงงานต่างด้าวรัฐบาลมีการดําเนินการอย่างไรในเรื่องนี้บ้างคะ
นายกรัฐมนตรี: แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เป็นหลักก็คือ (เมียนมา ลาว และกัมพูชา) และอีกหลายประเทศที่ดําเนินการอยู่ เวียดนามก็มี กําลังดําเนินการเดินหน้าในเรื่องนี้อยู่ ได้มีการขึ้นทะเบียน one stop service ของเรา ที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว กว่า 1.6 ล้านคน รวมครอบครัว มีประเทศไทยใจดี (มีครอบครัวผู้ติดตาม ประมาณอีก 1 แสนคน)
ขั้นตอนต่อไปประเทศต้นทางแรงงานต่างด้าว ต้องมีการตรวจสอบ + มีการรับรองสัญชาติ ซึ่งที่ผ่านมานั้นไม่ได้รับรองมาตั้งแต่ต้น ต้องจัดชุดมาพิสูจน์สัญชาติในประเทศไทยซึ่งช้า ก็ได้มีการต่อทะเบียนไปเรื่อยๆ ต่อใบอนุญาตไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัญหาหลายเรื่องด้วยกันพวกที่ยังไม่ได้เป็นการถาวร ยังพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ เหล่านี้ก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายไปที่โน่นที่นี่ มันอาจจะผิดกฎหมาย ต้องถูกดําเนินการตามกฎหมาย ก็อาจจะมีการเรียกรับผลประโยชน์นะ
ต้องเรียนว่า คนไทยเราไม่ค่อยนิยมการใช้แรงงาน ก็ไม่เป็นไร แต่ก็น่าจะนําไปสู่การเป็นหัวหน้าเขาให้ได้ และเราต้องพึ่งพากันและกันอยู่แล้ว แรงงานต่างชาติของเราก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน
(1) ด้านเศรษฐกิจ เราต้องแก้ปัญหาว่าวันนี้เราก็ขาดแรงงานจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคการผลิตและบริการ
(2) ด้านความมั่นคงการค้ามนุษย์ + ยาเสพติด ก็เกี่ยวข้องมาด้วยเพราะว่าก็ยังมีตนที่แสวงหาผลประโยชน์ตรงนี้ ผมก็ให้นโยบายว่า ก่อนจะเข้ามาประเทศไทยก็ให้ประเทศต้นทางเค้าได้มีการรับรองสัญชาติมาก่อนได้ หรือไม่ จะได้ไม่ต้องตามมาตรวจทีหลังแบบนี้ ของเก่าก็ยังค้างหลายแสนคน ก็ยังค้าง ๆ อยู่ แต่ก็มีบัตรชั่วคราวใช่ไหม ทีนี้ถ้ามันควบคุมไม่ได้ อันนี้อันตราย
(3) ยาเสพติดบ้าง สังคม อาชญากรรม ด้านสวัสดิการสังคม ก็เป็นภาระเพราะว่าเป็นแรงงานที่ไม่ได้ระบุไว้ ก็ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้น จากที่เคยประมาณการไว้นั้นคือปัญหาของเรา
พิธีกร: เหตุผลหนึ่งของการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลและ คสช. คือการสร้างความมั่นคงและการปฏิรูปประเทศท่านนายกฯ มีวาระในการดําเนินงานอย่างไร เพราะว่าในการปฏิรูปบางเรื่องไม่ได้สั้น หรือทําง่าย หรือเสร็จสิ้นภายในปีสองปี ท่านนายกฯ วางแผนเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ
นายกรัฐมนตรี: ตั้งแต่เข้ามา ผมได้เรียนไปแล้วว่าผมมีโรดแมปของผม ก็คิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร อันที่ 1. คือขจัดความขัดแย้ง แก้ปัญหาเดิม ๆ ที่มันซ้ําซ้อนกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา ไอเคโอ้ ไอยูยู ประมง อะไรเหล่านี้ คิดก็แก้ไปด้วย ขณะเดียวกัน ต้องมีการบริหารราชการแผ่นดินในเชิงบูรณาการ คือว่าเอากลุ่มงานที่มันเกี่ยวข้องหลายกระทรวง หลายหน่วยงานมาทําพร้อมกัน ก็ทํามาตลอดจนถึงวันนี้ ก็เป็นงานที่หนักพอสมควร แต่ไม่เป็นไร
คราวนี้เราก็มามองว่า สมมติว่าเราอยู่ตามโรดแมปคือสองปีโดยประมาณถึงปี 60
ระยะที่ 1 เราจะสิ้นสุดปฏิรูปคือ กรกฎาคม 2560 ตามโรดแมป
จากนั้น รัฐบาลใหม่ เราก็จะวางพื้นฐานไว้ให้ คือยุทธศาสตร์ชาติ 60-79 20 ปีเพราะเรามุ่งถึงอนาคตเยาวชนอายุ 20 วันโน้นเราต้องมีเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 ก็จะเริ่ม 60-64 จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ ต.ค. 59
พิธีกร: สําหรับประชาชนเองจะต้องร่วมมือกับรัฐบาลด้วย เตรียมตัวเพื่อที่จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวไปพร้อมกับแผนปฏิรูปของรัฐบาล และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องมีการร่วมมือกันทั้งสามเสาหลัก คือ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ตอนนี้ด้านความมั่นคง ท่านนายกฯ อยากจะเล่ามั้ยคะว่า มีเรื่องอะไรที่รัฐบาลได้ทําสําเร็จไปแล้วบ้าง เพื่อให้ประชาชน ได้เตรียมที่จะก้าวพร้อม ไปกับรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี: นอกจาก 3 ด้านแล้ว ผมอยากให้เพิ่มด้านการต่างประเทศไปด้วย เพราะจะมีส่วนในการสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือกับต่างประเทศไปด้วย เป็นด้านสาขาของเศรษฐกิจไง ความมั่นคงต้องร่วมมือในทุกมิติอยู่แล้ว ผมจึงให้ความสําคัญในด้านต่างประเทศด้วยจริง ๆ แล้วสําคัญทุกอัน มากกว่านี้อีก ก็ทําทุกเรื่อง
ศูนย์ดํารงธรรม ที่ตั้งมาแล้วเราให้บริการมากกว่า 2 ล้าน 6 แสนเรื่อง / เสร็จร้อยละ 97
การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด “เชิงรุก” ด้วยแผนปฏิบัติการแม่โขงปลอดภัยระยะเวลา 3 ปี (2559-2561)ร่วมกับชาติพันธมิตร 5ประเทศ (เมียนมาร์ + ลาว + กัมพูชา + เวียดนาม + จีน) ทําลายตั้งแต่แหล่งผลิต / ตัดวงจรสารตั้งต้น / ตัดเส้นทางลําเลียง ฯลฯ ในส่วนของประชาชนก็ต้อง ป้องกัน ป้องปราม ฟื้นฟู ให้เขารักตัวเอง อย่าไปเสพเลย ยาเสพติดไม่เกิดประโยชน์ สุขภาพก็แย่ เงินทองก็หมดไปไม่เป็นประโยชน์
อื่นๆ ได้แก่
(1) เรื่องของการปฏิรูปกองทัพ + ตํารวจ ทหาร หรืออะไรก็แล้วแต่ ความจริงเขาก็มีแผนอยู่แล้ว จะ 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งอยู่ในแผนของฝ่ายความมั่นคงเค้า วันหลังจะนําเรียนให้ทราบต่อไป
(2) เรื่องของการปรับกําลัง ปรับหน่วยงาน ให้เกิดการบูรณาการมากขึ้น กองทัพเข้มแข็ง มีขนาดเล็กลง ก็ต้องมีพัฒนาการในเรื่องของเทคโนโลยีการใช้ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ถึงจะลดคนได้ และอย่างที่เรียนไปแล้วว่า บางครั้งเรามองอย่างต่างประเทศ อาจจะยังไม่ค่อยได้มากนัก เพราะว่าเรายังมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งด้วยอะไรด้วย และเครื่องมือก็ราคาแพง วันนี้เรายังซื้อไม่ได้หลายอย่าง เมื่อซื้อไม่ได้ก็ต้องใช้คน ใช้ตา ใช้มือ ใช้แรงใจ แรงกายของทุกคน ช่วยกันทุ่มเท ให้ประเทศ
เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และตํารวจ อย่ากังวลผมเข้าใจดี เราต้องไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ถ้าไม่มีทหาร ไม่มีตํารวจเลยคงอยู่ไม่ได้ ทุกประเทศในโลกอยู่ไม่ได้หมด เขามีทหารทั้งหมด ต้องเข้มแข็ง ไม่ได้มีไว้เพื่อรบ มีไว้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และดูแลเรื่องเศรษฐกิจ จะได้มีน้ําหนักมากขึ้น
เรื่องสําคัญอีกเรื่องคือการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราได้มีการตั้งคณะพูดคุยสันติภาพ มีการพูดคุยมาหลายครั้งแล้ว ก็มีความก้าวหน้า ตามลําดับ คราวนี้ไม่อยากใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวกําหนดว่าจะเสร็จเมื่อไหร่อย่างไร ก็อยากจะขอให้เข้าใจด้วยไม่ว่าจะสื่อหรือประชาชน เราทําไมจะไม่อยากให้มันจบ เพราะเราเสียดายชีวิตพ่อแม่พี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม แล้วก็เจ้าหน้าที่ทุกคนมีครอบครัว มีลูกหลาน ก็ไม่อยากให้ใครบาดเจ็บสูญเสียทั้งสิ้น เสียเวลา เสียโอกาส เสียเวลามากมาย ทหารก็ได้กลับบ้าน เหลือแต่ทหารในพื้นที่ได้ไหม ถ้ามันสงบลงแล้ว ก็เหมือนจังหวัดอื่น ๆ เราต้องเอากําลังไปเติม เพราะดูแลไม่ทั่วถึง ขอร้องแล้วกัน ฝากไปพวกที่ก่อเหตุต่าง ๆ ขอให้เลิก เรากลับมาเป็นคนไทย ร่วมกันพัฒนาชาติไทยด้วยกันดีกว่า เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โอกาสของภาคใต้มากมาย
พิธีกร: ค่ะ เรามองเห็นภาพของความมั่นคงแล้วเป็นภาพกว้าง เมื่อขยับเข้ามาหน่อย ก็จะเป็นมิติของทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ท่านนายกค่ะ ความคืบหน้าทางด้านเศรษฐกิจที่ทางรัฐบาลได้ทําหรือไม่ค่ะ ในช่วงนี้มีอะไรที่จะบอกเล่าให้ฟังสู้พี่น้องประชาชนบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: จริง ๆ ด้านเศรษฐกิจเราต้องสร้างความเข้มแข็ง มีอยู่ 2 ประการเป็นคําที่อาจจะต้องให้ความเข้าใจและก็คุ้นเคย อันแรกก็คือความเข้มแข็งของประเทศ อันที่สองคือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เหล่านี้เป็นเครื่องจักรของประเทศเราที่จะทําให้เรากินดีอยู่ดีมีการลงทุนมี การประกอบการ ทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ที่เพียงพอเหมาะสม เพราะฉะนั้นในเรื่องของ...แรก เรื่องแรกของการจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้นก็ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ประเทศให้ได้ สร้างความมีเสถียรภาพเพื่อจะเรียกกลับความเชื่อมั่นฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากสถานการณ์ความไม่สงบทั้งหมดในประเทศภายในช่วงที่ผ่านมาหลายปีมาแล้ว แล้วก็ก่อนปี 57 วันนี้หลายอย่างดีขึ้น ต้องขอขอบคุณทุกคน ประชาชนทุกคน ทุกพวกทุกฝ่าย หลักการสําคัญคือเราใช้หลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานําในการพัฒนา ระบบเศรษฐกิจก็คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันที่สองคือกลไกประชารัฐ
เราก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน เป็น “เครื่องมือ” เพิ่มเติมมาอีก ได้แก่ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ที่เราตั้งมาแล้ว เรียกว่า กรอ. แก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ มีส่วนกลาง จากส่วนกลางมีทั้งในกลุ่มจังหวัดด้วย เพราะว่ามีผู้ประกอบการทั้งภาคธุรกิจเอกชนอยู่ด้วย ร่วมกับคณะกรรมการของเรา ของรัฐบาลนะ อันนี้เราได้ตั้งไปแล้ว คนร.
อันที่สองคือเรื่องของคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจอันนี้ก็จะกํากับดูแลส่วนงานของรัฐวิสาหะกิจทั้งหมด อันที่สามคือ คณะทํางานประชารัฐ 12 คณะ จะได้เกาะเกี่ยวกันได้ทันที่ที่เขาเรียกว่าบูรณาการ แล้วการบริการให้สะดวกรวดเร็วขึ้น เพื่อจะง่ายในการประกอบการธุรกิจ เราก็จัดตั้งศูนย์ One Stop Service เพื่อให้การบริการด้านธุรกิจด้วย เช่น รถไฟทางคู่“กําลังก่อสร้าง 2 สาย”ใช่ไหม แก่งคอย-ฉะเชิงเทรา และถนนจิระ – ขอนแก่น “ในอนาคตอีก 5 สาย” คือ มาบกะเบา– ถนนจิระ นครปฐม – หัวหิน หัวหิน – ประจวบฯ ประจวบฯ – ชุมพร และ ลพบุรี – ปากน้ําโพ มูลค่า 1.3 แสนล้านบาท ก็มาก จะสร้างงานสร้างอาชีพได้พอสมควรถ้าเกิดได้ อันที่สองก็คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ประกอบด้วย โครงการเร่งด่วน (วงเงิน 3,700 ล้านบาท) แล้วก็ทําแผนแม่บท ในเรื่องการปรับโครงสร้าง ICT เหล่านี้นะ วงเงินประมาณ 15,000 ล้านบาท อันนี้ต้องทําให้มันทั่วประเทศไง
พิธีกร: ที่จะเป็นโครงข่ายยกระดับพื้นฐานอินเตอร์เน็ตทั้งทั่วประเทศใช่ไหมค่ะ
นายกรัฐมนตรี: ต้องถึงทุกจุดที่มีความจําเป็นไม่ใช้ถึงทุกตารางนิ้วมันเป็นไปไม่ได้ ถึงทุกจุดที่มีความจําเป็นต้องใช้ แค่นี้ใช้เงินพอสมควร เงินที่ได้มาจากการประมูลบ้างอะไรบ้าง จากงบประมาณบ้าง ปัจจุบันก็ต้องเร่งออกกฎหมายให้ได้โดยเร็วอีก 8 ฉบับทั้งหมด จะได้ทํางานได้ ไม่เช่นนั้นก็ติดกฎหมายต่าง ๆ การออกกฎหมายก็ไม่ใช่ว่าออกง่าย ๆ ต้องไปพิจารณา 3 ขั้นตอน 3 วาระ อยู่ใน สนช.ด้วย
เรื่องสําคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนระยะ 7 ปี (2558-2564)
(1) ระยะที่ 1ครอบคลุม 5 จังหวัด (ตาก + สระแก้ว + ตราด + มุกดาหาร + สงขลา)ใน 13 กลุ่มอุตสาหกรรม นะครับ
(2)ระยะที่ 2 อีก5 จังหวัด (เชียงราย + หนองคาย + นครพนม + กาญจนบุรี+ นราธิวาส)
(3) คือศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน OSS จะมีทุกเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่กล่าวไปเมื่อสักครู่ เพื่อจะได้สะดวกไง มาติดต่อที่กรุงเทพซึ่งเป็นศูนย์กลางแล้ว หน่วยงานใหญ่แล้ว ไปในพื้นที่ก็ไปพอเขาที่โน้นก็จะมีเจ้าหน้าที่ให้รายละเอียด ให้คําชี้แจ้งและจะพาไปดูสถานที่ด้วย ก็มีหลายประเทศ หลายผู้ประกอบการก็สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เข้าไปดูแล้ว
อีกอันที่เราจะต้องเร่งคือโครงการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจ ฐานราก คําว่าฐานรากก็คือประชาชนะ ที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งจริง ๆ ผมเรียกว่า ถ้าราก ก็เป็นรากแก้ว ที่มั่นคงแข็งแรงต่อไปในอนาคต เรามีโครงการเหล่านี้กว่า 4 หมื่นล้านบาท ตอนนี้เบิกจ่ายไปแล้วมากกว่าร้อยละ 90 ได้แก่
(1) โครงการ “ตําบลละ 5 ล้านบาท” ความเข้มแข็งของตําบลตามความต้องการของประชาชน
(2) โครงการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจน การสร้างงานสร้างอาชีพด้วยนะ ให้เขามีเงินใช้ด้วยจ้างงานนะ
(3) โครงการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่ม เกษตรกร เพราะว่าวันนี้ใช้แรงอย่างเดียวไม่ได้ สมัยแล้วต้องใช้เครื่องจักรเครื่องไม้เครื่องมือ คราวนี้ถ้าใช้เอกชนอย่างเดียวราคาจะสูง เราเอาไปเทียบเคียงให้เขาว่าราคาควรจะเท่าไร ถ้าเราลดต้นทุนการผลิตไม่ได้ ด้วยการลดราคาการจ้างเครื่องจักรไม่ได้ ก็ประชาชน เกษตรกรก็เป็น มีหนี้มีสินตลอดไปเพราะฉะนั้นจะต้องดูตั้งแต่ต้นทาง
พิธีกร: ในช่วงที่ผ่านมาท่านนายกได้พูดถึง Thailand 4.0 SME Matching แล้วก็ New Startup สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ค่ะ
นายกรัฐมนตรี: ต้องมี เพราะว่าที่พูดออกไปเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า โลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงมาตามลําดับ จะพูดว่า ระยะที่หนึ่ง Thailand 1.0 ใช้แรงงานอย่างเดียว 2.0 ใช้เครื่องจักรขนาดเบา ขนาดเล็กบ้างมาผสมผสานในการผลิต ต่อไปยุด 3.0 เราต้องติดอยู่ที่ 3.0 นี้ก็คือที่ผ่านมาประมาณ 20-30 ปีมาแล้ว มีทั้งเครื่องจักรเบาเครื่องจักรหนัก ผสมแรงงานไปด้วย แต่จากนี้ไปจะไม่ทันเขา ถ้าเราไม่มีการพัฒนาตัวเอง 4.0 นั้นต้องเอา 3.0 มาดูว่าที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้าง คือความเหลือล้ํา ความไม่เท่าเทียมหรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่สมดุล หรือการสนใจในเรื่องของสังคมจิตวิทยาน้อยเกินไป เหล่านี้ทําให้ประเทศเดินหน้าได้ไม่ค่อยเร็วนัก ก็เลยทําให้ติดกับดักตัวเอง รายได้ปานกลาง เพราะฉะนั้นต้องเดิน 3 อย่างด้วยกัน คือ Thailand 4.0
พิธีกร: เรื่อง Startup
นายกรัฐมนตรี: Startup คือโลกให้ความสนใจเรื่อง SMEs คือธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อสนับสนุนขนาดเล็กให้เป็นกลาง ขนาดกลางให้เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นในการประชุม UN หรือในการประชุมอาเซียน เขากล่าวถึงคําว่า SMEs ทุกประเทศ ประเทศไทยมีธุรกิจที่เราส่งออกที่เป็น SMEs กว่า สองล้านราย เรียกว่า 90% ขณะนี้ก็เร่งรัดเรื่องการจดทะเบียน การให้ทุน การให้ความรู้ การจัดทําบัญชีเดียวอะไรเหล่านี้ ระบบการเสียภาษีทั้งหมด ต้องเร่งทั้งหมดเลยเพราะว่า ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ใส่ใจกับตรงนี้ วันนี้ก็พยายามเร่งอยู่ อีกอันหนึ่งคือในเรื่องของ Startup กับ SMEs อันเดียวกัน เพียงแต่อันนี้เป็นคนรุ่นใหม่ จากที่เราพูดไปเรื่องของ 4.0 บ้าง พูดไปในเรื่องของการขับเคลื่อนประเทศไปอย่างไร และในอนาคต 4.0 คือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ใช้เครื่องจักรกลที่เป็นหุ่นยนต์บ้างอะไรบ้าง คือต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ออกมาเป็น นวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะว่าอันนี้คือเรียกว่า New Startup เพื่อจะสนับสนุน S Curved New S Curved 5 อุตสาหกรรมหลักของประเทศในอนาคตเดิมมีอยู่ 5 บวกใหม่อีก 5 เพื่อจะรองรับโลกในวันข้างหน้าด้วย วันนี้ทําทุกอย่าง
อันหนึ่งที่สําคัญก็คือว่า การเกษตร สินค้าการเกษตรตกต่ํา ประชาชนมีรายได้น้อย เกษตกรก็จะผละอาชีพไปทั้งหมด น้ําก็แล้ง ทํานองนี้ เราก็มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ 882 แห่ง ของกระทรวงเกษตรในทุกพื้นที่ ศูนย์บริการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจําตําบล ทั้งหมดจํานวน 7,110 ศูนย์ ด้วย ศบกต. แล้วมีวิสาหกิจชุมชน Social Enterprise / Holding Company ซึ่งกําลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ให้เห็นในหลายจังหวัดด้วยกัน เป็นการร่วมมือกันของภาคเอกชนที่จัดตั้งบริษัทขึ้นมาแล้วให้ประชาชนได้มีการ บริหารกันเอง แล้วผลประโยชน์ก็ไม่ได้เอามาแบ่งปั้นให้เป็นเบี้ยเลี้ยง ค่าแรงของเจ้าหน้าที่ ผลกําไรก็เก็บมาเพื่อจะเอาไปขยายต่อของเขาเอง เป็นทางเลือกของเขา จะได้แข่งขันกับพ่อค้าคนกลางได้บ้าง แล้วสนับสนุนความร่วมมือจากธุรกิจขนาดใหญ่ของเขา ช่วยกันรับซื้อแบ่งเบาภาระไปบ้าง วันนี้เกิดขึ้นหลายพื้นที่แล้ว
อีกอันที่สําคัญคือปัญหาเรื่องน้ํา ถ้าเราไม่มีการ Zoning พื้นที่เกษตรกรรม ก็จะเป็นปัญหา การโซนนิ่งพื้นที่การใช้น้ําเหล่านี้จะได้ไม่มีปัญหาไปทั้งหมด แล้วการปลูกพืชที่เกินความต้องการ เพราะฉะนั้นวันนี้ให้ทางกระทรวงเกษตรจัดทํา Agri Map คงจะได้ยินกันแล้ว ไปดู ผมให้ทําทั้งประเทศ แล้วกระทรวงเกษตรฯ ทําออกมาเป็นผลสําเร็จ ผมชื่นชมเขา ผมบอกอยากให้ชัดเจนขึ้น เขาก็ทํามาแล้ว Agri Map ก็คือทุกคนจะรู้ว่าในพื้นที่ของตัวเอง จังหวัดของตัวเอง บ้านตัวเอง มีน้ําเท่าไร ตรงไหน ดินเป็นยังไง อากาศเป็นอย่างไรเหมาะสมปลูกพืชชนิดไหน ก็เป็นการแนะนําเขา
ต่อไปจะให้ความรู้เพิ่มเติมอีกเป็นแบบ อินเทริเจน แม็พ ให้เขาเรียนรู้ว่าถ้าเขามีที่ 5 ไร่ 10 ไร่ 30ไร่ ถ้าพื้นที่ตรงกับใน Agri Map เขาควรจะบริหารอย่างไร ปลูกอะไร ทําอะไรที่มันจะเกิดรายได้
วันนี้ก็นอกจากที่ทําใส่เข้าไปในระบบ IT แล้ว ตามช่องทาง G News ก็มีอีกมากมายเลยที่ให้ไปเป็นเล่มไปอ่านกันเอง แล้วก็ให้ไปติดต่อกันเอง ที่ไหนสําเร็จก็ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
วันนี้ โซนนิ่งพื้นที่เกษตรกรรมไปแล้ว 150 ล้านไร่ คือทําเป็นเกษตรแปลงใหญ่ 263 แปลง แปลงขนาดใหญ่ 500 ไร่บ้าง 1000 ไร่บ้าง เพื่อจะจัดสรรพื้นที่จัดสรรน้ําให้เหมาะสม แล้วก็มีการตลาดที่เพียงพอ และให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมใหม่ไปด้วย อันนี้ก็จะเป็นว่ามีสถิติการลงทุนใหม่ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงปีที่ ผ่านมาและในช่วงต้นปีที่ผ่านมาสูงขึ้น แต่ขณะนี้เขาก็รอดูว่า สถานการณ์เราเป็นอย่างไร บ้านเมืองสงบเรียบร้อยหรือไม่ ผมก็อยากจะฝากทุกคน เราอย่าไปขัดแย้งกันอีกเลย สิ่งเหล่านี้กําลังจะเกิดขึ้น เราดี ๆ และพี่น้องเราจะได้หายจากความลําบากยากแค้นสักทีผมสงสารเขา
พิธีกร: ท่านนายกฯ คะ ดูเหมือนว่าช่วง ปี-สองปีที่ผ่านมา “ภัยแล้ง” จะเป็นอุปสรรค์สําคัญในการก้าวหน้าทางด้านเกษตรกรรมของประเทศ แต่ท่านนายกฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการบริการจัดการน้ํา ไว้เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง อยากให้ท่านนายกฯ ได้เล่าให้ฟังถึงว่าการทํางานของคณะบริหารจัดการน้ํามีความคืบหน้าไปแค่ไหน แล้วบ้างอย่างไรค่ะ
นายกรัฐมนตรี: เราได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ตั้งแต่ตอน คสช. เข้ามา ตอนนี้มีการปรับเข้ามาสู่ระบบบริหารราชการแล้ว เข้าสู่กระทรวง หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้มีการประชุมมาหลายครั้ง เป็นการภายใน เพื่อจะปรับแก้แผนทั้งหมด เป็นแผน 15 ปีมั้ง (MC: เป็นแผนระยะยาว) ระยะยาวคราวนี้เราจะทยอยทําไปตามลําดับ ตามแผนที่วางไว้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ยากเพราะว่าเราประเมินสถานการณ์ล่วงหน้ามากนักไม่ได้ ไม่รู้ฝนจะตกแบบปีที่แล้วหรือไม่ ทํานองนี้ ปีหน้าโลกเปลี่ยนแปลงง่ายยังไง ตอนนี้ทั้งโลกมีปัญหาหมด เดี๋ยวมีพายุลูกเห็บขนาดใหญ่บ้าง มีหิมะตกไม่ตก ต่างประเทศเขาก็เป็น ประเทศไทยมีอย่างเดียงฝนไม่ตก ตกน้อยเกินไป เราก็ไม่ใช่ว่าตกน้อยในรอบ 40 ปี ก็เลยทําให้น้ําต้นทุนเราที่มีอยู่อย่างจํากัด น้ําในเขื่อนลดลง
อันที่สองคือการทําการเกษตรนอกเขตชลประทานต้องดูแลอีก วันนี้ก็เร่งรัดให้เขาทําความชัดเจนให้เกิดขึ้นว่าเราทําอะไรไปแล้วบ้าง อยากจะเรียนว่าข้อมูลความคืบหน้า ทั้งหมด 12 กิจกรรมมีระยะเวลาในการทําโครงการต่างกัน เน้นทั่วถึง กระจายทั่วประเทศยกตัวอย่างเช่น
– น้ําบาดาลช่วยภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ผมปรับงบประมาณมาตลอด บางที่ก็ไม่พอเอายังไง ก็ต้องปรับเอาที่ต้องทําคราวหน้ามาใส่ครั้งนี้ก่อน ประชาชนเดือดร้อน ทั้งหมดมีเป้าหมาย ทั้งหมด 3,086 แห่ง เราทําเสร็จแล้วประมาณสักครึ่งหนึ่ง ร้อยละ 51 ก็เร่งอยู่
– อันที่สองคือน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร อันนี้ 12 ปี เราทําเป้าหมายไว้ทั้งหมด 18,559 แห่ง ไม่เคยทํามากเท่านี้มาก่อน ทําแล้ว ร้อยละ 12
– ขุดสระน้ําในไร่นา 13 ปี ระยะยาว เป้าหมาย 331,750 สระ ทําแล้วร้อยละ 34 โครงการ
– ต่อไปเรื่องประปาหมู่บ้าน 4 ปี เป้าหมายทั้งหมด 7,490 หมู่บ้าน ที่ยังไม่มีแหล่งน้ําประปา คือทําประชาหมู่บ้านไม่ได้ ทําแล้วประมาณร้อยละ 75 ขณะนี้
– สําหรับประปาโรงเรียน ก็ต้องดูอีก ระยะยาว 7 ปี เป้าหมายทั้งหมด 6,132 แห่ง ทําไปแล้ว ร้อยละ 18
– ต่อไปเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ํา 3 ปี เป้าหมาย 2,922 แห่งทําแล้ว ร้อยละ 56
แล้วการช่วยเพิ่มปริมาณน้ําเพื่อการเกษตร เข้าสู่ระบบ เติมน้ําอะไรทํานองนี้ 1,178 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 14 ทําไปแล้ว สําหรับเป้าหมาย 12 ปี ต้องทําให้ได้น้ําเพิ่มขึ้น 8,250 ล้าน ลบ.ม.
หลักการคือว่า ทําอย่างไรประชาชนหรือเกษตรกรจะเข้าถึงแหล่งน้ํา ไม่ว่าจะอุปโภค บริโภค หรือน้ําเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม น้ําเพื่อระบบนิเวศน์ด้วย 3-4 อันนี่ เน้นการเรื่องการเข้าถึง การเตรียมแหล่งน้ํา เพื่อจะรองรับฝนหน้านี้ ผมก็ปรับระยะยางกลับมาใส่ตรงนี้ เพราะเราคาดหวังว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ จะเกิดในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน พายุฤดูร้อนกําลังเข้ามาตอนนี้ น่าจะมีฝนตก คาดหวังไว้ แต่เราก็เตรียมแหล่งน้ําไว้รองรับฝนหน้าไว้พอสมควรนะ
เรื่องต่อไปคือเราจะต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น เพราะเวลาแล้งแล้วไม่มีความสุข
พิธีกร: ดูหดหู่ไปหมดเลย
นายกรัฐมนตรี: เราขึ้นเครื่องบินไป เรานั่งรถไป อะไรต่ออะไร เห็นแล้งๆ แล้วเราก็สงสารเขา ไม่รู้จะหาเงินได้จากตรงไหน ลูกหลานก็ต้องไปทํางานนอกพื้นที่ ความอบอุ่นในครอบครัวก็หายไป ทําไงเขาจะมีความเข้มแข็งในพื้นที่ของเขา ในภูมิภาคของเขา ในจังหวัดของเขา ผมก็ได้อธิบายทางด้านอื่นไปแล้ว ให้สอดคล้องกัน
เรื่องในส่วนของการบริหารจัดการน้ําเพื่อ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน ปี 60 เราใช้ไปทั้งหมด 99,356 ล้านบาท สําหรับกรณีที่มีเรื่องทุจริตอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา คสช. เข้ามาจะไม่ปล่อยปละละเลย เพราะบางครั้งการตรวจสอบโครงการเหล่านี้ บางทีตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ต้องทยอยตรวจสอบไป ใช่หรือไม่ แต่เราจะไม่ปล่อยปละละเลย ใครแจ้งมา อะไรมา ก็รีบเร่งตรวจสอบก่อน ตอนนี้ก็มีข่าวอยู่ เราจะไม่ปล่อยปละละเลยนะ เมื่อชี้มาก็ต้องตรวจสอบ ลงโทษ เราจะไม่ปล่อยให้ทุกคนไม่มีความผิด ลอยนวล เกิดขึ้นไม่ได้ เราจะเร่งนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้ความเป็นธรรม เป็นเงินภาษีประชาชน เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่ารัฐบาลนี้มีเหมือนกัน ทุจริตเหมือนกัน ไม่ใช่อยู่ที่ทุจริตแล้ว จะดําเนินการอย่างไรต่อไป ไม่ใช่หยุดทั้งหมด ไม่ใช่หยุดไม่ทําเลย ไม่ได้ก็ต้องต่อไป คนทําผิดก็เอาออกไป ลงโทษ ติดคุกอะไรไป กฎอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ลงโทษทางวินัยบ้าง อะไรบ้าง แต่การทํางานต้องทําต่อเนื่องใช่หรือไม่
พิธีกร: ท่านนายกฯ พูดถึงมาแล้ว 2 ด้าน ด้านความมั่นคง และด้านเศรษฐกิจ ต่อไปเป็นมิติทางด้านสังคมจิตวิทยาบ้าง ว่า คสช. ประสบความสําเร็จในการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างไรบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: ย้อนกลับไปดูก่อนเมื่อวันที่ 22 กับ หลัง 22 พฤษภาคม ไปดูเรื่องคิวมอเตอร์ไซต์ รถตู้ ทางเท้า ชายหาด รถแท็กซี่ รถเมล์ รถต่าง ๆ มากมายไปหมด ทําไปก็สําเร็จ พอว่างเว้น พอไปทําตรงอื่น ก็เริ่มกลับมาอีกแล้ว คือเป็นสิ่งที่ผมอยากขอร้องทุกคน ก็รู้ว่าจน แต่ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ไม่งั้นก็ไม่เท่าเทียม คนทําผิดกฎหมายก็ขายไม่ได้ยังไง เพราะว่าเคารพกฎหมาย คนไม่เคารพกฎหมายก็ขายได้ แล้วบอกว่าจน แล้วจะเท่าเทียมไหมในกิจการเดียวกัน เพราะคนไทยทั้งคู่ ผมต้องการให้คนในกลุ่มเดียวกันนี่ เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎหมาย ร่วมมือกัน เผื่อแผ่แบ่งปันกันบ้าง เดี๋ยวรัฐบาลก็จะไปหาที่ขายให้ ก็หลาย ๆ ที่ ย้ายไปก็ดีขึ้น คลองถม เห็นเขาบอกว่าขายดีขึ้น ใหม่ ๆ ก็ธรรมดา เคยชินมา 10-20 ปี ก็ขอร้องอย่ากลับมาที่เดิมแล้วกัน
อันที่สองเรื่องผืนป่าที่ถูกบุกรุก จริง ๆ แล้ว ผมไม่อยากใช้คําว่าทวงคืน แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมาย เราจะต้องรักษาผืนป่าให้สมบูรณ์ไว้ได้ประมาณร้อยละ 40 ของประเทศ คือประมาณ 128 ล้านไร่ ใน 10 ปีนะ เราจะต้องเอากลับมา 128 ล้านไร่ ใน 10ปี ไม่ใช่ปีนี้จะเอากลับมาได้128 ล้านไร่ เป็นไปไม่ได้ 10ปี เพราะว่าเอาคืนมาก็ต้องหาที่ให้คนเหล่านี้ทํากิน เพราะว่าประชาชนเข้าไปบุกรุกอยู่ในนั้น ต้องสร้างความเข้าใจ หาที่ดินให้เขา เพราะฉะนั้นป่าไม้ที่มีการบุกรุก เอากลับมาก็ต้องมาดูว่า เป็นป่าต้นน้ํา ป่าอุทยานหรือไม่ หรือป่าที่เสื่อมสภาพแล้ว ถ้าเสื่อมสภาพแล้วก็จัดให้เขาทํากิน เหมือนที่เราไปมอบมาหลายๆ ครั้งมาแล้ว คือเขาจะได้สบายใจ เขาบุกรุกอยู่แล้ว บุกรุกมาหลายปีแล้ว แล้วป่าก็หมดสภาพป่า แต่ผมไม่ให้บุกรุกใหม่ ของเก่าก็บริหารจัดการให้ได้ ใครยังไม่มีก็มาเติม หาที่อยู่ที่ไม่บุกรุกป่า เพราะเข้าไปในป่าต้นน้ํา ป่าอุทยานไม่ได้ แล้วก็สร้างป่าชุมชน กับป่าเศรษฐกิจให้เขาด้วยจะได้ใช้ได้ จะได้หาอาหารได้ในพื้นที่ป่าชุมชน เป็นธนาคารอาหาร Food Bank ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
การดําเนินการเรื่องนี้ ได้มีการดําเนินคดีไปแล้วประมาณ 1 แสนไร่ คิดเป็นร้อยละ 45 และอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ 4.6 ล้านไร่ สรุปว่าแล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 20 สําหรับป่าที่เหลือให้เจ้าหน้าที่ร่วมกับชุมชนดูแลร่วมกัน รวมอีก 101 ล้านไร่ เรื่องนี้เสร็จทั้งหมด ในเรื่องของการทวงคืนพื้นที่ป่าไม้ที่บุกรุกปลูกยางพารา มีการบุกรุกมากจนปลูกจนเกินปริมาณความต้องการในประเทศ และต่างประเทศต้องมาแก้ด้วยการนําสู่การผลิตในประเทศ ใช้ในประเทศให้มากขึ้น วันนี้ที่จะต้องทวงคืนมาก็ 5.5 ล้านไร่ แล้วเสร็จไปแค่ 1.2 แสนไร่
ประการแรกผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จากนั้นการถูกหรือผิดก็จะต้องไปหาวิธีการบริหารจัดการที่ดีทั้งรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ ว่าจะทํายังไงแก้ไขปัญหาให้เขาได้หรือไม่ ถ้าเขาไม่ยากจน ถ้าเขาไม่มีที่ทํากินที่เพียงพอ เขาก็จะต้องเป็นอยู่อย่างนี้ เราถึงต้องไปมองมิติอื่นด้วย อาชีพอื่น ๆ ที่เสริม ที่พูดไปแล้ว เรื่องอุตสาหกรรม ที่จะต้องควบคู่กันไปในท้องถิ่นด้วย อย่าคัดค้านกันมากนักเลย
วันนี้จัดสรรที่ดินที่ผมพูดไปแล้วคือ มีคณะกรรมการ คทช. เป้าหมายปี 2559 เราก็จะทําทั้งหมด 80 พื้นที่ 47 จังหวัด 325,205 ไร่ ล่าสุดวันก่อนผมไป จ.เชียงใหม่ ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์-อยู่อาศัย ลักษณะ “แปลงรวม” ขายไม่ได้ไม่ให้กรรมสิทธิ์ เพราะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่เป็นป่าที่เสื่อมโทรมแล้ว เช่น ป่าแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 3,878 ไร่ (2) ป่าลุ่มน้ําแม่ฝาง 2,308 ไร่
ต่อไปคงเป็นเรื่องของการปราบปรามการทุจริต เชื่อมโยงกันหมด ประเทศไทยปัญหามาก เพราะการปล่อยปละละเลย ในปี 2556-2558แล้วก็ต่อๆ ไปนี่ผมจะไม่ละเว้นนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะผิดจะถูกไปสู้คดีกันเอาเอง คดีทุจริตมีมูลค่าความเสียหายรวม มากกว่า 5 แสนล้านบาท เสียดาย 5 แสนล้านทําอะไรได้มากมาย ทํารถไฟ ทํารถไฟฟ้าได้เส้นหนึ่ง สถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยในปี 2558 ถึงแม้จะดีที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ผมก็ไม่พอใจต้องเร่งรัดให้มากขึ้นกว่านี้เราพยายามกําหนดมาตรการสําคัญเยอะแยะ นะ
เรื่องที่หนึ่งคือการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)
เรื่องที่สองการตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)
เรื่องที่สาม พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558
เรื่องการใช้สัญญาคุณธรรม (IP)
ระบบ CoST มีระบบร้องเรียน มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด มีการตรวจสอบทั้งก่อน และหลังการทําโครงการ บางครั้งตรวจก่อนไม่ได้ เพราะตอนแรกเขาเร่งดําเนินการกัน เพราะเป็นแสนๆ โครงการ แต่ก็ต้องทํา ตรวจสอบยังไม่เสร็จ บางอันก็ต้องมาตรวจสอบต่อ เขาก็ต้องทําไปก่อน พอทําเสร็จแล้วเจอที่พูดไปเมื่อสักครู่ ก็ต้องลงโทษ
พิธีกร: การปฏิรูปการศึกษาของรัฐ
นายกรัฐมนตรี: ทุกคนต้องมองว่าการปฏิรูปเป็นเรื่องสําคัญที่สุด การปฏิรูปการศึกษาเพราะเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผมเห็นด้วย แต่คราวนี้เราจะทําอย่างไร เราไม่ได้ว่าระบบเราเหลวแหลก ล้มเหลวไปทั้งหมด ไม่เช่นนั้นอยู่ไม่ได้ ประเทศนะ ทีนี้ทํายังไงจะดีขึ้น ดีขึ้นก็คือว่า ผลิตคนที่ตรงความต้องการของประเทศ แล้วประชาชนมีการเรียนรู้มากกว่าเรียนเพื่อจะรับปริญญา หรือเพื่อจะเลื่อนวิทยฐานะ ไม่ใช่ ต้องเรียนรู้ทั้งในภาคการศึกษา แล้วสอนให้คนมีคุณธรรม ไม่ทุจริตอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นอนาคตทั้งนั้น
การศึกษาที่เราเร่งมากที่สุดคือว่า ทําอย่างไรจะมีการบูรณาการระหว่าง 5 แท่งให้ได้ ผมก็จําเป็นต้องใช้มาตรา 44 ในการที่จะ แก้ไขปัญหา ไม่ใช่ยุบ เพียงแต่ว่ามีคณะกรรมการบูรณาการมา ไม่เช่นนั้นทุกแท่นทํากันเองหมด พรบ. ตัวเอง งบประมาณตัวเอง เสร็จแล้วรัฐมนตรีก็สั่งอะไรไม่ได้มากนัก เพราะแบ่งงานให้รัฐมนตรีช่วยไปหมด นั่นคืออดีต
วันนี้ผมให้รัฐมนตรีว่าการรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวข้างบน แล้วสั่งการลงมา มีรัฐมนตรีช่วย ช่วยกันแล้วก็ขับเคลื่อนคณะกรรมการ ขับเคลื่อนบูรณาการด้านการศึกษา ซึ่งมี 5 แท่ง คือหัวหน้าหน่วยงาน 5 แท่ง จะสร้างไปข้างล่างให้ต่อกัน ตอนนี้หลายอย่างเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว อาจจะไม่ทันใจมากนัก เพราะติดกฎหมายหลายตัว ไม่จําเป็นผมไม่ใช้ เกี่ยวกับเรื่องการศึกษา แต่จําเป็นจริง ๆ
วันนี้มีจัดตั้งเขตการศึกษาใหม่ 18 เขต แล้วให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอะไรต่างๆ ก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การศึกษา อบท. อะไรต่างๆ แต่อย่าเพิ่งไปโอนให้ใครเลย ผมว่าวันนี้ทุกคนมาร่วมมือกัน ทําให้การศึกษาในท้องที่ดีขึ้น วันนี้คณะกรรมการ 12 คณะของเราก็ลงไปดูเรื่องการศึกษาด้วย มีการจัดทวิภาคีด้วย ก็หลายอย่างมาเสริมกันหมด หลายอย่างก็ให้ติดตามแล้วกัน
อันที่สองคือการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเรียนรู้ อันนี้คือเรียนและเรียนรู้ เรียนเพื่อปริญญา เรียนเพื่อตัวเอง แต่ก็ต้องเรียนรู้เพื่อสังคมด้วย จะต้องอยู่กันยังไง ไม่ขัดแย้ง อันนี้ สอง สาม พูดรวมกันแล้วกัน
อันที่สี่คือโครงการ “โรงเรียนคู่พัฒนา” ที่เรียกว่าทวิภาคียังไง คือจะต้อง โรงเรียนนี้ กับโรงเรียนโน้น พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อนไปด้วยกัน แล้วทั้งสองโรงเรียนก็จะเป็นคู่กันในการพัฒนาร่วมกัน จะได้ลดความแตกต่าง ในด้านมาตรฐานการสอน ที่ผ่านมาบางทีต่างคนต่างสอน ไม่ได้ดูกันยังไง วันนี้ต้องดูกันแล้วก็พัฒนาตัวเองให้เท่าเทียม คนได้ประโยชน์คือใคร คือเด็กใช่หรือไม่ คือครูใช่ไหม คือประเทศชาติใช่หรือไม่
อันที่ห้าคือ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มไว้ DLTV นานแล้ว วันนี้เราก็สามารถทําได้ทั้งหมดแล้ว ประมาณ 15,000 กว่าโรงเรียน เพื่อสนองแนวทางพระราชดําริ กําลังปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้น ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ถึงต้องไปสู่การเป็น Digital Economy ด้วย
ต่อไปเรื่องที่หก คือโรงเรียนประชารัฐ เรามีความมุ่งหมายว่า ทํายังไงจะทําให้มีส่วนร่วมในโรงเรียนเหล่านี้ ในการประสานความร่วมมือในภาคประชารัฐ ในภาคประชาชน ภาครัฐบาล ภาคประชาสังคม มาร่วมมือในโรงเรียนด้วย เป้าหมายระยะแรก 1 ตําบล 1 โรงเรียนต้นแบบก็คือ 7,424 แห่ง แต่ละตําบลนะครับ แล้วต่อไปก็จะขยายลงมา จากตําบลก็ไปเป็น พื้นที่ ๆ เล็กลงไปกว่านั้น
พิธีกร: เข้าไปถึงหมู่บ้านเลย
นายกรัฐมนตรี: ต้องดูกัน ต้องฝากครูฝากบุคคลากรทางการศึกษาช่วยดูกันด้วย ดูแลด้วย ถ้าเราไม่ทําตามนี้ ไปไม่ได้ ต่างคนต่างเรียน ต่างคนต่างขับเคลื่อน ไม่ได้
เรื่องการขับเคลื่อนเรื่องวิจัยพัฒนานี่สําคัญ เพราะเราบางทีรัฐลงทุนไม่ได้มากนัก ต้องไปร่วมมือกับใคร ของรัฐก็มี ของ สวทช. ของ ภาคเอกชนที่ ทุกบริษัทใหญ่ๆ เขามีหมด สถาบันวิจัยของเขาเอง เราก็ไปร่วมมือกับเขา อันที่สามร่วมมือกับสถานศึกษาของเราตามมหาวิทยาลัยมีมากมาย เรื่องวิจัย ตอนนี้รัฐบาลกําลังรวบรวมทั้งหมดไว้ แล้วมาดูซิว่าเราจะจัดระเบียบตรงนี้อย่างไร ทุนการศึกษา เฉพาะในสิ่งที่เราต้องการนี่เป็นหลัก
อันที่สองคือตามอิสระ ต้องจัดการอย่างนี้ ถ้าเพียงจ่ายทุน ๆ แล้วกลับมาอะไรหรือเปล่าไม่รู้ไปไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่ได้ วันนี้ก็ให้รวบรวมมาได้แล้วนะ ประเทศไทยมีจบปริญญาเอกเท่าไรรู้ไหม 30,000 กว่าคน
พิธีกร: เป็น ดอกเตอร์ ทั้งนั้นเลย
นายกรัฐมนตรี: ดอกเตอร์ 3 หมื่นกว่าคน ต้องทําให้ดอกเตอร์ 3 หมื่นกว่าคน ทําให้คนไทยฉลาดขึ้นให้ได้ แล้วทําให้คนไทยเลิกความขัดแย้ง ให้เข้าใจว่าโลกภายนอก เขาเป็นอย่างไร มองตัวเองคนเดียวไม่ได้แล้ว ต้องแก้ไข เรื่องการพัฒนาระบบ ICT ให้กว้างขวางทั่วประเทศ พูดไปแล้ว
ตัวอย่างที่เห็นเร็วๆ ตอนนี้ก็คือ “การสร้างพลังประชารัฐ จากพลังเยาวชน” ผ่านกลไกสภานักเรียน ซึ่งผมเห็นกระทรวงศึกษาเขาทําอยู่ มีประโยชน์ แล้วก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น ผมคิดว่าสิ่งนี้จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต
พิธีกร: เท่าที่เห็นทุก ๆ ปี สภานักเรียนจะมายื่นข้อเสนอกับท่านนายกฯ ทีนี้ ฝันของสภานักเรียนจะเป็นจริงแล้วใช่ไหมคะ
นายกรัฐมนตรี: ต้องเป็นจริงเพราะว่า แต่บางอย่างเป็นปัญหาที่ทับซ้อน ต้องแกะออกมา ต้องแกะปัญหาออกมาเป็นปัญหาย่อย ปัญหาเล็กน้อย แล้วก็แก้ทีละปัญหา ปัญหาใหญ่ถึงจะจบ อะไรที่แก้ได้เลยก็แก้เลย กระทรวงศึกษาต้องแก้เลยนะ ผมถึงให้อํานาจเขา เพราะฉะนั้นจะต้องให้ทํางานร่วมกันกับกระทรวงศึกษา ของสภานักเรียน ให้ครอบคลุมปัญหาต่าง ๆ ในสังคม วันนี้ก็เห็นเขามีความสุขขึ้น ตัวแทนมาพบรัฐมนตรีศึกษา ก็บอกพอใจ ศธ. จะเป็นตัวกลาง เชื่อมสภานักเรียนกับกระทรวงยุติธรรม ในเรื่องของยาเสพติด เชื่อมกับกระทรวงทรัพย์ฯ เรื่องป่า น้ํา ขยะ กระทรวงวัฒนธรรม เรื่องการเสพสื่อ Social เหล่านี้ ก็ต้องเร่งทุกอัน กระทรวงศึกษากําลังทําอยู่ แล้วต้องนําเรื่องของกรปลูกฝังประชารัฐ ฟังเสียงเยาวชน ร่วมสร้าง กําหนดอนาคตที่เด็กๆ ต้องการ เพื่อจะสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ 20 ปีข้างหน้าด้วย
พิธีกร: ท่านนายกฯ คะ ทราบว่าทางรัฐบาลมีแผนยุทธศาสตร์ 10 ปี ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชน แผนนี้จะเริ่มในปีนี้เลยใช่ไหมคะ แล้วมีโครงการอะไรบ้างคะท่านนายกฯ คะ
นายกรัฐมนตรี: ตอนนี้มีหลายหน่วยงานที่ผมสั่งงานไปแล้ว ไม่ว่าจะกระทรวงพัฒนาความมั่นคงมนุษย์ กระทรวงกลาโหม เพราะเราต้องดูแลไปถึงข้าราชการพลเรือง ตํารวจ ทหาร ด้วย ระดับเด็กๆ รายได้น้อย แล้วก็ประชาชนที่ยังไม่มีบ้านของตัวเอง ก็ต้องวางแผนยาว 2559 ถึง 2568 ก็จะเน้นผู้มีรายได้น้อย ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ประมาณ2.7 ล้านครัวเรือน ในขณะนี้นะ จากทั้งหมด 4.6 ล้านครัวเรือน อันนี้แผนระยะยาวยังได้ 2.7 เลย ทั้งหมด 4.6 นะ คิดเอาแล้วกัน แล้วระหว่างนี้เรากําลังสร้าง ๆ แล้วคนใหม่ใช้อีกเท่าไร ต้องมากกว่านี้ อันหนึ่งก็คือจะมีที่อยู่อาศัยในอนาคต อันที่ 2 ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการก่อสร้างเหล่านี้
ปัญหาคือ มีเสียงกลับมาว่า บางครั้งไม่เข้ากติกา เขาต้องมีกติกาไม่เช่นนั้นหนี้จะเป็น NPL ยังไง กู้เขามา บางคนก็เคยมีกรรมสิทธิ์บ้านหลังอื่นมาก่อน เขาเขียนบ้านหลังแรกยังไง ก็กําลังให้เขาดูอยู่ว่าจะทํายังไง อายุมากเกินเกณฑ์ที่กําหนด นี่ก็อีกอัน เขาต้องแค็ป เหล่านี้ไว้ด้วย บ้านพร้อมที่ดินมีราคามากกว่า 1.5 ล้านบาท ผมก็บอกว่าไปหาบ้านที่ราคาถูกได้ไหม บ้านประกอบ น๊อคดาว ผมเห็นรูปมากมายไป ทําไมไม่เอามาคิดกัน บ้านไม่กี่แสน แสน สองแสน การปลูก ซ่อมแซมบ้าน บนที่ดินของคนอื่น เหล่านี้เป็นปัญหาทั้งสิ้นทีเราต้องไปแก้ตามต่อ ไม่ใช่คิดจะทํา แล้วทําได้เลย ติดหมด ให้กระทรวงการคลัง กระทรวง พม. แล้วก็กระทรวงกลาโหม เป็นแม่งาน ไปช่วยกันดูแล คณะกรรมการขับเคลื่อน
ความสามารถในการผ่อนชําระ ภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งถ้าเราปล่อยไปมาก ๆ จะหนี้เสีย NPL มากขึ้น สถาบันการเงินเขาจะมีปัญหา เพราะฉะนั้นเราต้องประเมินผลโครงการในระยะยาว ช่วยเหลืออย่างแท้จริงแก้ปัญหาผู้ที่จะแก้ปัญหาผู้อยากร่วม แต่ร่วมไม่ได้ยังไง จะทํายังไง กําลังให้พิจารณาอยู่นะครับ ขอให้ระมัดระวังหน่อยนะ การใช้เงิน การมีหนี้โดยไม่จําเป็น การใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ให้สํารวจหนี้สินของตัวเอง เสียก่อน ภาระการใช้จ่าย ฟังรัฐบาลชี้แจงอย่าไปทําหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
อีกอันหนึ่งคือเรื่องของข้าราชการก็ดูแลเขาต้องไปดูว่าที่ของกรมธนารักษ์ ที่ราชพัสดุ สามารถจะทําได้ไหม เพื่อจะให้ข้าราชการที่ไม่มีบ้านอยู่ในการทํางานในช่วง กําลังอยู่ใน ยังไม่เกษียณนะ ก่อนเกษียณอายุ จะเช่าอยู่ได้ ระยะสั้น ระยะยาว แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งที่สามารถจะเช่าซื้อได้ เพื่อเป็นอนาคต เมื่อเขาเกษียณไปแล้ว นี่ความมั่นคงสําคัญนะ ลูกหลานจะอยู่กันยังไงในวันหน้า ต้องคิดให้ครบระบบ ปัญหาคือระยะเวลา ปัญหาคืองบประมาณ ปัญหาคือความขัดแย้ง อันนี้ก็ทําทั้งหมดนะ ก็จะมีข้อมูลให้ทราบต่อไป บางอย่างก็รัฐจัดทํา บางอย่างก็เอกชนสร้างบ้างอะไรบ้าง ร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน
พิธีกร: ทั้งนี้ที่ทําก็เพื่อช่วยเหลือข้าราชการชั้นผู้น้อย เพื่อให้เขามีบ้านพัก มีที่อยู่อาศัย
นายกรัฐมนตรี: ตามสิทธิ์เขาต้องได้บ้านพัก มีค่าเช่า บ้านพัก อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด เอาตรงนั้นมาทําตรงนี้ได้ไหม จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านยังไง ก็เป็นการลงทุนบ้านให้เขาไปเลยนะ บางอันก็เช่า พอเกษียณอายุ หรือย้ายออกไป คนอื่นมาอยู่แทน อีกอันเช่าซื้อตอนเกษียณ อยู่ตอนเกษียณ ก็ถ้าคนรุ่นใหม่ที่จบมาก็พยายามติดตามหน่อยนะ ที่ยังไม่เริ่มทําหนี้ มาเป็นหนี้แบบนี้ดีกว่า เป็นมูลค่าวันหน้าถ้าไม่พอใจ เล็กเกินไปก็ขาย แล้วก็ไปซื้อบ้านหลังใหญ่กว่า ก็ได้ นี่ไม่มีทรัพย์สิน มีแต่หนี้ จะทําได้หรือไม่ ต้องแก้ไข
นายกรัฐมนตรี: ด้านต่างประเทศเหมือนกัน ก็ต้องทําต่อทั้งหมด หลายอย่างนะ G 77 เรื่องการประชุม การวางยุทธศาสตร์ร่วมด้านการต่างประเทศ กับแต่ละประเทศต้องชัดเจน รัฐบาลไทยทําทั้งหมด เชิงรุก แสดงบทบาทนําในเชิงพฤตินัย สร้างความเชื่อมโยงให้ได้
พิธีกร: นอกจากนั้นแล้วยังมีด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมอีก ซึ่งทราบว่าทางรัฐบาลนี้ก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้ แล้วก็แก้ไขปัญหา ออกกฎหมายเพิ่มมาเป็นจํานวนหลายร้อยฉบับแล้ว
นายกรัฐมนตรี: จริง ๆ แล้วกฎหมายต้องเป็นสากล ทันสมัย กฎหมายที่ไม่จําเป็นก็จะยกเลิก ทีนี้ประชาชนบอกว่ายกเลิกกฎหมาย 5,000 ฉบับ คงไม่ใช่อย่างนั้น เป็นการพูดตัวเลขเฉยๆ กลมๆ ยกตัวอย่าง ไม่ใช่จะเลิก 5,000 ฉบับ เลิกไม่ได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่า ไม่มีเวลาหรอก เพราะฉะนั้น ก็ไปดูว่ากฎหมายแรก ๆ ที่เราจะแก้ไขคือที่ยังไม่เป็นสากล ที่จะต้องเพิ่มเติม ให้ทันสมัย อะไรที่ยังออกไม่ครบเช่นประมง อะไรเหล่านี้จะต้องออกให้ครบ หลายอย่าง แล้วก็กฎหมายที่ไม่จําเป็นแล้ว บางทีบอกมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดเลย ไม่ได้ใช้ ก็จะต้องยกเลิก อันนี้รวมความไปถึง ไม่ใช่ 5,000 ฉบับ ไม่ใช่ ยกเลิกกฎหมายกฎกระทรวง พรบ. มากมายไปหมด ระเบียบอะไร กฎหมายทั้งสิ้น พันกันไปหมดยังไง แก้อันนี้ ไปกระเทือนอันโน้นหมด วันนี้กฎหมายใหม่มา ต้องออกกฎหมายลูกอีกยังไง แก้กฎหมายลูกอีก กฎกระทรวงทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องเสียเวลาพอสมควร ลดเวลาของกระบวนการศาลเข้าไปอีก ต้องเร่งดําเนินการนะ เท่าที่ทําได้ ที่เราเหลือเวลานี่จะทําให้มากที่สุดนะครับ เอาที่จําเป็นก่อนะ ได้ไหม ต้องร่วมมือกันนะครับ
พิธีกร: ค่ะแล้วก็เมื่อวันพุธที่ผ่านมานะคะ ท่านนายกฯ ได้ลงพื้นที่ไปที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปติดตามการบริหารราชการแผ่นดิน แล้วติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตามแนวนโยบายของรัฐบาล แล้วก็ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดบ้างคะที่ประสบความสําเร็จแล้วในเรื่องนี้ค่ะ
นายกรัฐมนตรี: สําเร็จหลักๆ ก็คือการแก้ไขหมอกควันระยะแรก ผมเน้นไปว่าก็ต้องหาความร่วมมือกับเพื่อนบ้านด้วย เพราะเกิดทั้งสองฝั่ง เอาของเราที่เราทําได้ผลไปแลกเปลี่ยนกับเขา ให้เขาช่วยกันเพราะกระเทือนทั้งหมด ไม่ใช่เราคนเดียว
การมอบที่ดินทํากิน อย่างที่กล่าวไปแล้ว มีการบูรณาการทุกหน่วยงาน ได้ติดตามเรื่องศูนย์สั่งการเบ็ดเสร็จ Single Command ของการแก้ปัญหาหมอกควันนี่ไง ต้องเป็น Single Command มีหลายหน่วยงานอยู่ในที่เดียวกัน แล้วสั่งงานพร้อมกัน เพื่อจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนนะ แล้วก็ประสานไปต่างประเทศด้วย
ในเรื่องของ “อาเซียน” เราก็จัดทํา Road Map อาเซียนปลอดหมอกควัน ภายในปี 2563 ดําเนินการขณะนี้ ลด HOTSPOT ได้ 47 % เชียวนะ จาก 384 จุดปีที่แล้ว เหลือเพียง 30 จุดในปีนี้ Hot Spot คือที่แดง ๆ แล้วโชว์ขึ้นมาในจอ
โครงการป่าชุมชน ก็ไปเกิดขึ้นหลายที่ อยู่ร่วมกับป่า ดูแล – รักษา – ฟื้นฟู “ป่ายั่งยืน” 200 หมู่บ้าน ปี 2558 ทําไปแล้ว 450 หมู่บ้าน ปี 2559 จํานวน 200 หมู่บ้าน ทําไปแล้ว 178 หมู่บ้าน
พิธีกร: แล้วตอนนี้ก็มาถึงช่วงท้ายของรายการแล้ว ท่านนายกฯ มีสิ่งดีๆ หรือมีกิจกรรมอะไรดีๆ จะฝากถึงพี่น้องประชาชนบ้างค่ะ
นายกรัฐมนตรี: เอาย่อๆ แล้วกันนะ เพราะพูดมาเยอะแล้ว นานแล้ว คนก็ไม่อยากฟังอีก เห็นไหมเล่าพูดยังไม่จบเลยนี่ นี่ผมย่อไปตั้งเยอะแล้ว ที่ทํามากกว่านี้อีก ไม่ใช่อวดอ้าง ไม่ใช่พูด แต่บางอันยังไม่เสร็จคนก็รอเมื่อไรเสร็จๆ แล้วบอกเสร็จแล้วให้รีบไป หลายคนพูดแบบนี้ ผมว่าจะได้เข้าใจกัน
สรุปสั้นๆ วันนี้ก็เริ่ม STARTUP วันก่อนผมไปเปิดงาน น่าพอใจ สําหรับเศรษฐกิจใหม่ก็จะเป็นการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เอาคนรุ่นใหม่มาทํา แล้วก็พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน บริษัทใหญ่ จูงบริษัทเล็ก อะไรอย่างนี้ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้ได้ แล้วใช้ระบบ ICT ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มาตรการยกเว้นภาษี ต่างๆ ยกให้เขา ดูแลให้เขา ขั้นเริ่มต้นนี่นะ มีการเปิดเวทีพบปะ แลกเปลี่ยน สร้างแรงบันดาลใจ จากกูรู –ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา จาก 10 ประเทศ สร้าง “ความคิดเชิงธุรกิจ นักวิเคราะห์” มีเกือบ 200 บริษัท สตาร์อัพ มาออกบู๊ท น่าชื่นใจนะ
นักเรียนนอก หลายคนกลับมาพัฒนาประเทศ หลายคนจบปริญญามา ไปทําอาชีพอื่น เลิก กลับมาบริหารธุรกิจแล้ว เพราะเห็นรัฐบาลนี้สนับสนุนจริงจัง ก็กลับมา มาฟังมาหาเงิน หากองทุนแล้วก็หาพี่ๆ มาดูแล ก็ชี่นชมนะ มีพี่ ๆ ของมหาวิทยาลัย จุฬา ธรรมศาสตร์ แล้วมหาวิทยาลัยเอกชนอื่น ๆ หลายคนเขามาที่งานนี้ด้วย เขาก็ส่งเสริมรุ่นน้องเขา หลายคนที่มีศักยภาพ ไปประกอบการนี่โน่น ผมก็เลยฝากไว้ บอกว่าทําไมนักศึกษาดี ๆ เราก็มากมาย มาดูแลรุ่นน้อง มาผลิตผลงานออกมา บางคนทําไมไม่ค่อยเรียบร้อย ก็ฝากสถาบันไปดูแลด้วย หลายคนเรียนไม่จบสักทีไง แล้วก็สร้างความวุ่นวาย เสียชื่อสถาบัน คนเขาสร้างความดีมากมายไป นักศึกษาช่วยผมด้วยแล้วกันนะ ผมรักทุกคน ก็คือลูก คือหลานผมทั้งนั้น ไม่ว่าจะดี ไม่ดี ก็ลูกหลานผม แต่ผมไม่อยากให้เขาทําให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวายไปมากกว่านี้
เรื่องเหล่านี้ไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1313 นะ
เรื่องงาน “การศึกษาสร้างชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างสุข สัญจร” ช่วง 11 – 13 พฤษภาคมนี้ จะเปิด ก็ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ สัญจร ลดค่าใช้จ่าย ต่อยอด “ตลาดคลองผดุง” ไปที่ต่างจังหวัดด้วยยังไง ผมบอกแล้ว ไม่ได้เกิดแต่ในกรุงเทพฯ
จําหน่ายเครื่องแบบ อุปกรณ์การเรียน คุณภาพดี ราคาถูกกว่าท้องตลาด กว่า 40 %, สินค้าผลิตภัณฑ์ของนักเรียนและประชาชน ให้เขามาขาย ศูนย์บริการสร้างซ่อม (Fix it Center), การแสดงของนักเรียนนักศึกษา, การจัดนิทรรศการเปิดโลกอาชีพ, สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับรางวัลในระดับภาค ที่พูดมาเหนื่อยไหม ฟังแล้วเหนื่อยไหม พูดก็เหนื่อย ทําก็เหนื่อยกว่า ถ้าคิดแล้วพูด ไม่ต้องทํานี่ ไม่เหนื่อยหรอก นี่เหนื่อย เหนื่อยใจด้วย แรงกดดันก็สูง ต้องทําให้สําเร็จไง ประชาชนเดือดร้อน เห็นแววตาเขาก็ไม่รู้สิ ผมก็เต็มตื้นทุกที เวลาเจอคนจน เวลาพูดถึงเขาผมไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก เสียเวลามามากแล้ว
ขอให้ทุกคนร่วมมือกับรัฐบาล กับ คสช. หลายอย่างที่เป็นกฎหมายก็เชื่อฟังกฎหมายก็ไม่เกิดความขัดแย้ง อย่าบิดเบือนกันอีกต่อไปเลย เลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะฟังบ้าง เลือกที่จะอ่านบ้าง อะไรที่สร้างความขัดแย้งมาก ๆ ก็อย่าไปเชื่อมากนักเลย บางที่ก็มีจุดประสงค์อย่างอื่น เจตนาไม่บริสุทธิ์ไง ผมนี้เจตนาบริสุทธิ์ ถ้าดูหัวใจผมได้ก็จะให้ดูว่าผมให้ทุกอย่างไว้แล้ว ชีวิต จิตใจ ผมให้หมดแล้ว ขอขอบคุณในความร่วมมือ ขอบคุณในการที่เราจะมองอนาคตร่วมกัน อย่างที่เราวาดหวังไว้ใน 20 ปีข้างหน้า ไปพร้อม ๆ กัน สวัสดีครับ
พิธีกร: ค่ะในสัปดาห์นี้นะคะ ท่านนายกฯ ได้เผยให้เห็นมิติของความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม นะคะ ที่พวกเราจะต้องก้าวเดินไปด้วนกันนะคะ เพื่อสร้างประเทศไทยของเราให้มั่นคง และเข้มแข็ง สําหรับรายการคืนความสุขให้คนในชาติวันนี้นะคะ ขอลาไปก่อนค่ะ แล้วพบกับท่านนายกฯ ได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าค่ะ สวัสดีค่ะ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข.ครั้งที่ 2/61 เห็นชอบโครงการสินเชื่อ เพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร
|
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข.ครั้งที่ 2/61 เห็นชอบโครงการสินเชื่อ เพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร
นรม.ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/61 เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร และสถาบันเกษตร ตั้งเป้าให้สินเชื่อลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ 10,000 ราย พร้อมรับทราบมาตรการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าวปีผลิต 60/61 ที่ส่งผลราคาข้าวเปลือกทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น
วันนี้ (30 เม.ย.61) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 2/2561 โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ นบข. ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุม นบข. เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนของ ธ.ก.ส. สํารองจ่ายประมาณ 1,671 ล้านบาท และเงินจ่ายขาดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชดเชยดอกเบี้ย ไม่เกิน 250.65 ล้านบาท จากเงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีเป้าหมายให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตร ที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ 10,000 ราย วงเงินกู้ กรณีเกษตรกรรายคนไม่เกิน 1.5 แสนบาท กรณีสถาบันเกษตรกรไม่เกินแห่งละ 3 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้เข้าร่วมโครงการรับภาระเองร้อยละ 1 ต่อปี ทั้งนี้ เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร จะต้องเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อชะลอขายข้าวเปลือกนาปีทุกปีจนกว่าจะชําระหนี้เสร็จสิ้น
“โครงการนี้มีที่มาที่ไปมาจากที่รัฐบาลได้ดําเนินโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โดยให้เกษตรกรเก็บข้าวเปลือกของตัวเองไว้ในยุ้งฉาง แต่ที่ผ่านมาพบว่ายังมีเกษตรกรหลายรายที่ไม่มียุ้งฉางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เพียงพอกับการเก็บรักษาข้าวเปลือก รัฐบาลจึงได้พิจารณาโครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่อง และมีความเชื่อมโยงกันว่า ถ้ารัฐบาลให้สินเชื่อเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรนําไปสร้างยุ้งฉางแล้ว พี่น้องเกษตรกรก็จะต้องมาเข้าร่วมโครงการ เพื่อใช้ยุ้งฉางที่ได้รับสินเชื่อไปสร้างนั้นเก็บข้าวไว้ในโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกต่อไป ซึ่งจะทําให้โครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายที่ได้ดําเนินการมาก่อนนี้แล้วประสบความสําเร็จ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าว
พร้อมกันนี้ นบข. รับทราบการดําเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 60/61 ด้านการตลาด ในการดึงอุปทานข้าวเปลือกออกจากตลาดเป้าหมาย 12.5 ล้านตัน ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ซึ่งสามารถดึงอุปทานออกจากตลาดได้ 6.21 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 49.7 ของเป้าหมาย ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่มีราคาถึงตันละ 17,000 บาทที่เป็นการปรับราคาสูงขึ้นถึง 25% ทั้งนี้ ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในภาคเหนือตอนกลางและภาคเหนือตอนล่างปรับราคาสูงขึ้นถึง 68.57% ข้าวเหนียวเมล็ดยาวปรับราคาขึ้น 3.13% ข้าวเหนียวคละ 16.28% ข้าวเจ้า 5% ปรับราคาขึ้น 7.28% และข้าวปทุมธานีปรับราคาขึ้นถึง 32%
นอกจากนี้ นบข. รับทราบผลการดําเนินการเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมเชื่อมโยงตลาดข้าว กข43 ที่เป็นข้าวชนิดพิเศษ มีค่าแตกตัวเป็นน้ําตาลน้อย มีดัชนีน้ําตาลปานกลางถึงต่ํา จึงเป็นข้าวที่เหมาะสมกับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน รัฐบาลจึงให้การส่งเสริมเพื่อให้เกิดการตลาดของข้าวพันธุ์ใหม่ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตมาผลิตข้าวเฉพาะเป็นข้าวชนิดพิเศษ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลได้ทําการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการตลาด คือเชื่อมโยงข้าว กข43 เข้ากับผู้ซื้อและผู้ประกอบการเพื่อให้มีตลาดรองรับได้อย่างเพียงพอ โดยเป็นการบรูณาการดําเนินการร่วมกัน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ที่มุ่งเน้นส่งเสริมข้าวที่มีคุณภาพสูง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกร ให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการกําหนดเครื่องหมายรับรองข้าวพันธุ์แท้ เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด สื่อความหมายถึงการดําเนินการแบบนาแปลงใหญ่ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเป็นข้าว กข43 ได้รับรองจากกรมการข้าว ปลูกโดยชาวนาที่ขึ้นทะเบียนนาแปลงใหญ่ สีแปรโดยสหกรณ์ที่ได้ GMP, มีมาตรฐาน Q ตรวจสอบย้อนกลับได้โดยระบบ QR Code กระทรวงพาณิชย์ เชื่อมโยงตลาดตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา จํานวนกว่า 1,121 ตัน
“ข้าว กข43 จํานวนกว่า 1,121 ตัน จะมีผู้รับไปจําหน่ายแน่นอน และจะเริ่มวางจําหน่ายใน Modern Trade 4 แห่ง ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป ราคา 60 บาท โดยจะมีการให้สิทธิพิเศษ ยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ Modern Trade เรียกเก็บจากผู้ประกอบการทั่วไป เพื่อส่งเสริมให้ข้าว กข43 เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จะประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์เพื่อส่งเสริมการบริโภคข้าว กข43 ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น สื่อมัลติมีเดียในสถานีรถไฟฟ้า ในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนํา และสปอตโฆษณาเผยแพร่ทางสถานีวิทยุชั้นนํา ที่สําคัญคือได้กําหนดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการรับซื้อและจําหน่ายข้าว กข43 ระหว่างผู้รับซื้อคือสหกรณ์ ผู้ประกอบการ และห้าง Modern Trade ต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยได้กราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและสักขีพยานการลงนาม” อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าว
อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวต่อไปว่า นบข. ยังเห็นชอบการระบายข้าวในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน หรือข้าวกลุ่มที่ 2 และข้าวที่จะระบายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ หรือข้าวกลุ่มที่ 3 ปริมาณรวม 2 ล้านตัน โดยให้ระบายออกให้เสร็จสิ้นตามเป้าหมายในปี 2561
อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวด้วยว่า สําหรับในปีนี้ราคาข้าวอยู่ในระดับที่น่าพอใจเนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการและมีคําสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ประกอบกับข้าวนาปรังได้ออกสู่ตลาดหมดแล้ว การส่งมอบข้าวแบบจีทูจีให้รัฐบาลจีนในงวดที่ 5 ปริมาณ 1 แสนตัน ได้มีการส่งมอบแล้ว 61,400 ตัน คาดว่าจะส่งมอบเต็มจํานวนเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และรัฐบาลฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลนําเข้าข้าวแบบจีทูจี ปริมาณรวม 2.5 แสนตัน ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ไทยจะเข้าร่วมการประมูลเพื่อหาตลาดเพิ่มเติมในตลาดต่างประเทศ เพื่อรองรับผลผลิตข้าว ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจะได้รับ และเป็นผลดีต่อสถานการณ์ตลาดข้าวไทยทั้งระบบอีกด้วย
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ นบข.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข.ครั้งที่ 2/61 เห็นชอบโครงการสินเชื่อ เพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข.ครั้งที่ 2/61 เห็นชอบโครงการสินเชื่อ เพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร
นรม.ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/61 เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร และสถาบันเกษตร ตั้งเป้าให้สินเชื่อลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ 10,000 ราย พร้อมรับทราบมาตรการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าวปีผลิต 60/61 ที่ส่งผลราคาข้าวเปลือกทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น
วันนี้ (30 เม.ย.61) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 2/2561 โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ นบข. ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุม นบข. เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนของ ธ.ก.ส. สํารองจ่ายประมาณ 1,671 ล้านบาท และเงินจ่ายขาดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชดเชยดอกเบี้ย ไม่เกิน 250.65 ล้านบาท จากเงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีเป้าหมายให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตร ที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ 10,000 ราย วงเงินกู้ กรณีเกษตรกรรายคนไม่เกิน 1.5 แสนบาท กรณีสถาบันเกษตรกรไม่เกินแห่งละ 3 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้เข้าร่วมโครงการรับภาระเองร้อยละ 1 ต่อปี ทั้งนี้ เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร จะต้องเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อชะลอขายข้าวเปลือกนาปีทุกปีจนกว่าจะชําระหนี้เสร็จสิ้น
“โครงการนี้มีที่มาที่ไปมาจากที่รัฐบาลได้ดําเนินโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โดยให้เกษตรกรเก็บข้าวเปลือกของตัวเองไว้ในยุ้งฉาง แต่ที่ผ่านมาพบว่ายังมีเกษตรกรหลายรายที่ไม่มียุ้งฉางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เพียงพอกับการเก็บรักษาข้าวเปลือก รัฐบาลจึงได้พิจารณาโครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่อง และมีความเชื่อมโยงกันว่า ถ้ารัฐบาลให้สินเชื่อเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรนําไปสร้างยุ้งฉางแล้ว พี่น้องเกษตรกรก็จะต้องมาเข้าร่วมโครงการ เพื่อใช้ยุ้งฉางที่ได้รับสินเชื่อไปสร้างนั้นเก็บข้าวไว้ในโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกต่อไป ซึ่งจะทําให้โครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายที่ได้ดําเนินการมาก่อนนี้แล้วประสบความสําเร็จ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าว
พร้อมกันนี้ นบข. รับทราบการดําเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 60/61 ด้านการตลาด ในการดึงอุปทานข้าวเปลือกออกจากตลาดเป้าหมาย 12.5 ล้านตัน ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ซึ่งสามารถดึงอุปทานออกจากตลาดได้ 6.21 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 49.7 ของเป้าหมาย ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่มีราคาถึงตันละ 17,000 บาทที่เป็นการปรับราคาสูงขึ้นถึง 25% ทั้งนี้ ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในภาคเหนือตอนกลางและภาคเหนือตอนล่างปรับราคาสูงขึ้นถึง 68.57% ข้าวเหนียวเมล็ดยาวปรับราคาขึ้น 3.13% ข้าวเหนียวคละ 16.28% ข้าวเจ้า 5% ปรับราคาขึ้น 7.28% และข้าวปทุมธานีปรับราคาขึ้นถึง 32%
นอกจากนี้ นบข. รับทราบผลการดําเนินการเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมเชื่อมโยงตลาดข้าว กข43 ที่เป็นข้าวชนิดพิเศษ มีค่าแตกตัวเป็นน้ําตาลน้อย มีดัชนีน้ําตาลปานกลางถึงต่ํา จึงเป็นข้าวที่เหมาะสมกับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน รัฐบาลจึงให้การส่งเสริมเพื่อให้เกิดการตลาดของข้าวพันธุ์ใหม่ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตมาผลิตข้าวเฉพาะเป็นข้าวชนิดพิเศษ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลได้ทําการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการตลาด คือเชื่อมโยงข้าว กข43 เข้ากับผู้ซื้อและผู้ประกอบการเพื่อให้มีตลาดรองรับได้อย่างเพียงพอ โดยเป็นการบรูณาการดําเนินการร่วมกัน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ที่มุ่งเน้นส่งเสริมข้าวที่มีคุณภาพสูง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกร ให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการกําหนดเครื่องหมายรับรองข้าวพันธุ์แท้ เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด สื่อความหมายถึงการดําเนินการแบบนาแปลงใหญ่ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเป็นข้าว กข43 ได้รับรองจากกรมการข้าว ปลูกโดยชาวนาที่ขึ้นทะเบียนนาแปลงใหญ่ สีแปรโดยสหกรณ์ที่ได้ GMP, มีมาตรฐาน Q ตรวจสอบย้อนกลับได้โดยระบบ QR Code กระทรวงพาณิชย์ เชื่อมโยงตลาดตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา จํานวนกว่า 1,121 ตัน
“ข้าว กข43 จํานวนกว่า 1,121 ตัน จะมีผู้รับไปจําหน่ายแน่นอน และจะเริ่มวางจําหน่ายใน Modern Trade 4 แห่ง ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป ราคา 60 บาท โดยจะมีการให้สิทธิพิเศษ ยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ Modern Trade เรียกเก็บจากผู้ประกอบการทั่วไป เพื่อส่งเสริมให้ข้าว กข43 เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จะประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์เพื่อส่งเสริมการบริโภคข้าว กข43 ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น สื่อมัลติมีเดียในสถานีรถไฟฟ้า ในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนํา และสปอตโฆษณาเผยแพร่ทางสถานีวิทยุชั้นนํา ที่สําคัญคือได้กําหนดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการรับซื้อและจําหน่ายข้าว กข43 ระหว่างผู้รับซื้อคือสหกรณ์ ผู้ประกอบการ และห้าง Modern Trade ต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยได้กราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและสักขีพยานการลงนาม” อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าว
อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวต่อไปว่า นบข. ยังเห็นชอบการระบายข้าวในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน หรือข้าวกลุ่มที่ 2 และข้าวที่จะระบายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ หรือข้าวกลุ่มที่ 3 ปริมาณรวม 2 ล้านตัน โดยให้ระบายออกให้เสร็จสิ้นตามเป้าหมายในปี 2561
อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวด้วยว่า สําหรับในปีนี้ราคาข้าวอยู่ในระดับที่น่าพอใจเนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการและมีคําสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ประกอบกับข้าวนาปรังได้ออกสู่ตลาดหมดแล้ว การส่งมอบข้าวแบบจีทูจีให้รัฐบาลจีนในงวดที่ 5 ปริมาณ 1 แสนตัน ได้มีการส่งมอบแล้ว 61,400 ตัน คาดว่าจะส่งมอบเต็มจํานวนเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และรัฐบาลฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลนําเข้าข้าวแบบจีทูจี ปริมาณรวม 2.5 แสนตัน ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ไทยจะเข้าร่วมการประมูลเพื่อหาตลาดเพิ่มเติมในตลาดต่างประเทศ เพื่อรองรับผลผลิตข้าว ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจะได้รับ และเป็นผลดีต่อสถานการณ์ตลาดข้าวไทยทั้งระบบอีกด้วย
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ นบข.)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย
วันนี้ (24 เม.ย. 63) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงาน รวมถึงคนเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย ที่รวมตัวกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยให้จัดทําอาหารแจกให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้มีอาหารกินครบทุกมื้อ รวมถึงให้จัดทําฐานข้อมูล แนะแนวให้ความช่วยเหลือบุคคลที่ตกงานที่ต้องการจะเดินทางกลับบ้าน
ทั้งนี้ จากการดําเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ยืนยันรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ พร้อมกับขอความร่วมมือประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ให้ประสานงานกับส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่กําหนดไว้ต่อไป
-------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย
วันนี้ (24 เม.ย. 63) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงาน รวมถึงคนเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัย ที่รวมตัวกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยให้จัดทําอาหารแจกให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้มีอาหารกินครบทุกมื้อ รวมถึงให้จัดทําฐานข้อมูล แนะแนวให้ความช่วยเหลือบุคคลที่ตกงานที่ต้องการจะเดินทางกลับบ้าน
ทั้งนี้ จากการดําเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ยืนยันรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ พร้อมกับขอความร่วมมือประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ให้ประสานงานกับส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่กําหนดไว้ต่อไป
-------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29670
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ผนึกความร่วมมือ DITP ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยสู่เวทีการค้าการลงทุนในโลกดิจิทัล
|
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561
EXIM BANK ผนึกความร่วมมือ DITP ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยสู่เวทีการค้าการลงทุนในโลกดิจิทัล
EXIM BANK ลงนาม MOU กับ DITP ผนึกความร่วมมือด้านการสนับสนุนองค์ความรู้และเครื่องมือทางการเงิน เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ในโลกการค้ายุคใหม่
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ในงานสัมมนา “สูตรสําเร็จจากธุรกิจ SMEs สู่การค้าระหว่างประเทศ” ณ อาคารสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (รัชดาภิเษก) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โดย EXIM BANK และ DITP จะบูรณาการข้อมูลเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศแก่ผู้ประกอบการไทย รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ Startup รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านบริการและเครื่องมือทางการเงินที่จะเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจและประสบความสําเร็จ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้ความสามารถด้านนวัตกรรมผนวกกับการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในโลกการค้ายุคใหม่ เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK และ DITP มีความร่วมมือด้านการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ความเชี่ยวชาญขององค์กรเสริมสร้างองค์ความรู้และเครื่องมือทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการไทยพร้อมแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันทิศทางเศรษฐกิจและรูปแบบการค้าการลงทุนของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ในปี 2560 E-Commerce ได้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทั่วโลกราว 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากปีก่อนถึง 24.8% EXIM BANK จึงได้พัฒนา e-Trading Platform เชื่อมต่อระบบธนาคารกับการค้าออนไลน์ของโลก ทําให้สามารถให้บริการสินเชื่อและประกันการส่งออกแก่ผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของ EXIM BANK ในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยช่องทางการค้าออนไลน์อย่างครบวงจร ขณะที่ DITP พัฒนาช่องทางการค้าออนไลน์ภายใต้เว็บไซต์ Thaitrade.com เพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนในต่างประเทศแก่ผู้ประกอบการไทย
“ในโลกการค้ายุคใหม่ ผู้ประกอบการไทยต้องแข่งขันได้ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ประกอบกับข้อมูลข่าวสารที่รู้ทันโลกการค้ายุคใหม่ ตลอดจนมีเครื่องมือทางการเงินที่จะเริ่มต้นหรือขยายกิจการในตลาดการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ สามารถก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและประสบความสําเร็จในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ผนึกความร่วมมือ DITP ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยสู่เวทีการค้าการลงทุนในโลกดิจิทัล
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561
EXIM BANK ผนึกความร่วมมือ DITP ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยสู่เวทีการค้าการลงทุนในโลกดิจิทัล
EXIM BANK ลงนาม MOU กับ DITP ผนึกความร่วมมือด้านการสนับสนุนองค์ความรู้และเครื่องมือทางการเงิน เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ในโลกการค้ายุคใหม่
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ในงานสัมมนา “สูตรสําเร็จจากธุรกิจ SMEs สู่การค้าระหว่างประเทศ” ณ อาคารสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (รัชดาภิเษก) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โดย EXIM BANK และ DITP จะบูรณาการข้อมูลเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศแก่ผู้ประกอบการไทย รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ Startup รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านบริการและเครื่องมือทางการเงินที่จะเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจและประสบความสําเร็จ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้ความสามารถด้านนวัตกรรมผนวกกับการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในโลกการค้ายุคใหม่ เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK และ DITP มีความร่วมมือด้านการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ความเชี่ยวชาญขององค์กรเสริมสร้างองค์ความรู้และเครื่องมือทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการไทยพร้อมแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันทิศทางเศรษฐกิจและรูปแบบการค้าการลงทุนของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ในปี 2560 E-Commerce ได้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทั่วโลกราว 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากปีก่อนถึง 24.8% EXIM BANK จึงได้พัฒนา e-Trading Platform เชื่อมต่อระบบธนาคารกับการค้าออนไลน์ของโลก ทําให้สามารถให้บริการสินเชื่อและประกันการส่งออกแก่ผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของ EXIM BANK ในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยช่องทางการค้าออนไลน์อย่างครบวงจร ขณะที่ DITP พัฒนาช่องทางการค้าออนไลน์ภายใต้เว็บไซต์ Thaitrade.com เพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนในต่างประเทศแก่ผู้ประกอบการไทย
“ในโลกการค้ายุคใหม่ ผู้ประกอบการไทยต้องแข่งขันได้ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ประกอบกับข้อมูลข่าวสารที่รู้ทันโลกการค้ายุคใหม่ ตลอดจนมีเครื่องมือทางการเงินที่จะเริ่มต้นหรือขยายกิจการในตลาดการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ สามารถก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและประสบความสําเร็จในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17449
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต รวมพลัง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” สร้างจุดเปลี่ยนด้านสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ
|
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
สาธิต รวมพลัง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” สร้างจุดเปลี่ยนด้านสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม เดิน-วิ่ง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” เริ่มต้นที่บุคลากรสาธารณสุข และ อสม. ขอ 60 วัน 60 กิโลเมตร สร้างจุดเปลี่ยนทางสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม เดิน-วิ่ง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” เริ่มต้นที่บุคลากรสาธารณสุข และ อสม. ขอ 60 วัน 60 กิโลเมตร สร้างจุดเปลี่ยนทางสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ
วันนี้ (22 มกราคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 โดยมี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ผู้บริหาร บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภาคีเครือข่ายและประชาชนร่วมกิจกรรม จํานวน 3,000 คน
ดร.สาธิต กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกกําลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง สะสมระยะทาง (virtual run) ก้าวท้าใจ 60 วัน 60 กิโลเมตร เป็นก้าวแรกในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาตระหนักถึงความสําคัญของการออกกําลังกายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นนโยบายสําคัญของกระทรวงสาธารณสุข ที่ขับเคลื่อนและผลักดันการออกกําลังกายในระดับชาติ โดยกิจกรรม เดิน –วิ่ง ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 ครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นการก้าวผ่านข้อจํากัดการออกกําลังกาย เน้นให้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขจํานวน 400,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) จํานวน 1,050,000 คน เป็นต้นแบบด้านสุขภาพ (Health Model) และชักชวนประชาชนร่วมกันออกกําลังกาย โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การออกกําลังกายมีความน่าสนใจ ผ่าน Line แอปพลิเคชั่น เพียงเพิ่มเพื่อน @thnvr ได้ทั้งระบบ IOS และ Android ซึ่งระบบจะทําการบันทึกและประมวลผลการออกกําลังกาย ประเมินดัชนีมวลกาย (BMI) และให้คําแนะนําในการดูแลร่างกายแต่ละบุคคล จะขยายผลสู่ประชาชนทั่วประเทศในระยะต่อไป
“ผมเชื่อมั่นว่า การก้าวท้าใจของคนไทยในครั้งนี้ จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสุขภาพ ครั้งใหญ่ ของประเทศ ขอเชิญให้ทุกคนมาร่วมกัน ก้าว...ออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่ง ท้า...ให้คนไทย บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขมาเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี ร่วมแก้ปัญหา NCDs ไปด้วยกัน และขอใช้ใจ...ในการเริ่มออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง” ดร.สาธิต กล่าว
ด้านแพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวว่า ภายในงานเปิดตัวโครงการก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 ประกอบด้วยกิจกรรม Virtual Run ออกกําลังกายคีตะมวยไทย และการเปิดตัว Application Virtual Run ซึ่งผู้ที่สนใจ เข้าร่วม โครงการส่งเสริมการออกกําลังกายเดิน –วิ่ง สะสมระยะทาง (Virtual Run) ก้าวท้าใจ 60 วัน 60 กิโลเมตร สามารถลงทะเบียนผ่าน Line แอปพลิเคชั่น โดยการเพิ่มเพื่อน @thnvr ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 เริ่มนับสะสมระยะจริง 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2563 (60 วัน) ประกาศผลและมอบรางวัลประเภท อสม.
ในวันที่ 20 มีนาคม 2563 และประเภท บุคคล ในเดือนเมษายน 2563
*********************************** 22 มกราคม 2563
********************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต รวมพลัง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” สร้างจุดเปลี่ยนด้านสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
สาธิต รวมพลัง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” สร้างจุดเปลี่ยนด้านสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม เดิน-วิ่ง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” เริ่มต้นที่บุคลากรสาธารณสุข และ อสม. ขอ 60 วัน 60 กิโลเมตร สร้างจุดเปลี่ยนทางสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม เดิน-วิ่ง “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1” เริ่มต้นที่บุคลากรสาธารณสุข และ อสม. ขอ 60 วัน 60 กิโลเมตร สร้างจุดเปลี่ยนทางสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ
วันนี้ (22 มกราคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรม ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 โดยมี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ผู้บริหาร บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภาคีเครือข่ายและประชาชนร่วมกิจกรรม จํานวน 3,000 คน
ดร.สาธิต กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกกําลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง สะสมระยะทาง (virtual run) ก้าวท้าใจ 60 วัน 60 กิโลเมตร เป็นก้าวแรกในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาตระหนักถึงความสําคัญของการออกกําลังกายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นนโยบายสําคัญของกระทรวงสาธารณสุข ที่ขับเคลื่อนและผลักดันการออกกําลังกายในระดับชาติ โดยกิจกรรม เดิน –วิ่ง ก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 ครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นการก้าวผ่านข้อจํากัดการออกกําลังกาย เน้นให้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขจํานวน 400,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) จํานวน 1,050,000 คน เป็นต้นแบบด้านสุขภาพ (Health Model) และชักชวนประชาชนร่วมกันออกกําลังกาย โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การออกกําลังกายมีความน่าสนใจ ผ่าน Line แอปพลิเคชั่น เพียงเพิ่มเพื่อน @thnvr ได้ทั้งระบบ IOS และ Android ซึ่งระบบจะทําการบันทึกและประมวลผลการออกกําลังกาย ประเมินดัชนีมวลกาย (BMI) และให้คําแนะนําในการดูแลร่างกายแต่ละบุคคล จะขยายผลสู่ประชาชนทั่วประเทศในระยะต่อไป
“ผมเชื่อมั่นว่า การก้าวท้าใจของคนไทยในครั้งนี้ จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสุขภาพ ครั้งใหญ่ ของประเทศ ขอเชิญให้ทุกคนมาร่วมกัน ก้าว...ออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่ง ท้า...ให้คนไทย บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขมาเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี ร่วมแก้ปัญหา NCDs ไปด้วยกัน และขอใช้ใจ...ในการเริ่มออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง” ดร.สาธิต กล่าว
ด้านแพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวว่า ภายในงานเปิดตัวโครงการก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 ประกอบด้วยกิจกรรม Virtual Run ออกกําลังกายคีตะมวยไทย และการเปิดตัว Application Virtual Run ซึ่งผู้ที่สนใจ เข้าร่วม โครงการส่งเสริมการออกกําลังกายเดิน –วิ่ง สะสมระยะทาง (Virtual Run) ก้าวท้าใจ 60 วัน 60 กิโลเมตร สามารถลงทะเบียนผ่าน Line แอปพลิเคชั่น โดยการเพิ่มเพื่อน @thnvr ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 เริ่มนับสะสมระยะจริง 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2563 (60 วัน) ประกาศผลและมอบรางวัลประเภท อสม.
ในวันที่ 20 มีนาคม 2563 และประเภท บุคคล ในเดือนเมษายน 2563
*********************************** 22 มกราคม 2563
********************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25995
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบหมายสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม
|
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรีมอบหมายสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม
นายกรัฐมนตรีมอบหมายสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณ ห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งทยอยออกจากระบบ ว่าต้องเข้าใจว่านี้คือปัญหาระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งเป็นหน้าที่สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม โดยในเบื้องต้นผู้ประกันสังคมต้องหาโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้เคียงใช้บริการไปก่อน เพราะรัฐบาลไม่สามารถไปบังคับโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจและผลประกอบการ ทั้งนี้ มีกฎหมายบังคับอยู่แล้ว
-------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบหมายสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรีมอบหมายสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม
นายกรัฐมนตรีมอบหมายสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณ ห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งทยอยออกจากระบบ ว่าต้องเข้าใจว่านี้คือปัญหาระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งเป็นหน้าที่สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันสังคม โดยในเบื้องต้นผู้ประกันสังคมต้องหาโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้เคียงใช้บริการไปก่อน เพราะรัฐบาลไม่สามารถไปบังคับโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจและผลประกอบการ ทั้งนี้ มีกฎหมายบังคับอยู่แล้ว
-------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5456
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฯ แจ้งข้อปฏิบัติการเดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง) ตามข้อกำหนดของจังหวัดนครศรีธรรมราช
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
การรถไฟฯ แจ้งข้อปฏิบัติการเดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง) ตามข้อกําหนดของจังหวัดนครศรีธรรมราช
การรรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับการประสานงานจากอําเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรรธรรมราช แจ้งเรื่อง การให้ผู้โดยสารที่เดินทางกับขบวนรถไฟมาสถานีชุมทางทุ่งสง โดยขบวนรถโดยสารพิเศษ ที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง)
และมีความประสงค์เดินทางข้ามจังหวัด ขอให้ผู้โดยสารติดต่อญาติมารับที่สถานี เนื่องจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่มีการให้บริการรถสาธารณะข้ามจังหวัดทุกเส้นทาง ตามคําสั่งขยายเวลาบังคับใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 หากกรณีที่เดินทางมาถึงสถานีชุมทางทุ่งสงแล้วไม่มีญาติหรือบุคคลมารอรับ จะไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารดังกล่าวออกนอกพื้นที่อาคารสถานีโดยเด็ดขาด แต่สามารถพักค้างคืนภายในสถานีที่กําหนดได้ 1 คืน หากวันรุ่งขึ้น ยังไม่มีญาติมาติดต่อรอรับ ผู้โดยสารจะต้องเดินทางกลับโดยขบวนรถโดยสารพิเศษ ที่ 9086 (ทุ่งสง – กรุงเทพ)
เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้ผู้โดยสารที่เดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง) ที่มีปลายทางสถานีทุ่งสง และต้องการเดินทางข้ามเขตจังหวัดไปยังจังหวัดใกล้เคียง หากทราบข้อกําหนดของจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่มีญาติหรือบุคคลมารอรับ หากมีความประสงค์ลงจากขบวนรถก่อนถึงสถานีทุ่งสง สามารถคืนเงินค่าโดยสารส่วนต่างที่สถานีได้ทันที โดยไม่หักค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด หรือ ประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษดังกล่าว หากไม่ประสงค์จะเดินทาง สามารถติดต่อขอคืนเงินได้เต็มราคาเป็นกรณีพิเศษที่ช่องจําหน่ายตั๋วสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
การรถไฟฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฯ แจ้งข้อปฏิบัติการเดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง) ตามข้อกำหนดของจังหวัดนครศรีธรรมราช
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
การรถไฟฯ แจ้งข้อปฏิบัติการเดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง) ตามข้อกําหนดของจังหวัดนครศรีธรรมราช
การรรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับการประสานงานจากอําเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรรธรรมราช แจ้งเรื่อง การให้ผู้โดยสารที่เดินทางกับขบวนรถไฟมาสถานีชุมทางทุ่งสง โดยขบวนรถโดยสารพิเศษ ที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง)
และมีความประสงค์เดินทางข้ามจังหวัด ขอให้ผู้โดยสารติดต่อญาติมารับที่สถานี เนื่องจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่มีการให้บริการรถสาธารณะข้ามจังหวัดทุกเส้นทาง ตามคําสั่งขยายเวลาบังคับใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 หากกรณีที่เดินทางมาถึงสถานีชุมทางทุ่งสงแล้วไม่มีญาติหรือบุคคลมารอรับ จะไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารดังกล่าวออกนอกพื้นที่อาคารสถานีโดยเด็ดขาด แต่สามารถพักค้างคืนภายในสถานีที่กําหนดได้ 1 คืน หากวันรุ่งขึ้น ยังไม่มีญาติมาติดต่อรอรับ ผู้โดยสารจะต้องเดินทางกลับโดยขบวนรถโดยสารพิเศษ ที่ 9086 (ทุ่งสง – กรุงเทพ)
เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้ผู้โดยสารที่เดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9085 (กรุงเทพ - ทุ่งสง) ที่มีปลายทางสถานีทุ่งสง และต้องการเดินทางข้ามเขตจังหวัดไปยังจังหวัดใกล้เคียง หากทราบข้อกําหนดของจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่มีญาติหรือบุคคลมารอรับ หากมีความประสงค์ลงจากขบวนรถก่อนถึงสถานีทุ่งสง สามารถคืนเงินค่าโดยสารส่วนต่างที่สถานีได้ทันที โดยไม่หักค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด หรือ ประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางกับขบวนรถโดยสารพิเศษดังกล่าว หากไม่ประสงค์จะเดินทาง สามารถติดต่อขอคืนเงินได้เต็มราคาเป็นกรณีพิเศษที่ช่องจําหน่ายตั๋วสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
การรถไฟฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31304
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 2 พฤษภาคม 2560
|
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 2 พฤษภาคม 2560
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ประวิตรฯ ย้ำใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนสนใจการกีฬาเพิ่มมากขึ้น
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563
รอง นรม. ประวิตรฯ ย้ําใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนสนใจการกีฬาเพิ่มมากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เน้นย้ําใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส พร้อมแนะส่งเสริม การสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนมีความสนใจกีฬาเพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศมากที่สุด
วันนี้ (30 มกราคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยที่ประชุมรับทราบประเด็นสําคัญ อาทิ รายงานผลการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ งบลงทุน และเงินสํารองของการกีฬาแห่งประเทศไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สรุปผลการเลือกกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ประเภทผู้แทนสมาคมกีฬาที่ใช้คําว่า "แห่งประเทศไทย" และการสอบทานข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล สําหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 และสําหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานอนุกรรมการ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รองประธานอนุกรรมการ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย รองประธานอนุกรรมการ เพื่อพัฒนาการกีฬาของประเทศ โดยเฉพาะกีฬาที่เป็นสากลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นพื้นฐานหลัก รวมถึงศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนากีฬาเป็นเลิศจากต่างประเทศและใช้โอกาสความร่วมมือกับหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงประเทศต่าง ๆ ที่ได้ทําความตกลงร่วมมือให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ สามารถพัฒนากีฬาของชาติสู่ความเป็นเลิศ พร้อมทั้งพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการจากเงินรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยให้ดําเนินการตามข้อบังคับ ระเบียบ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบเปลี่ยนชื่อตําแหน่งภายในและสายงานของพนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย ตามอัตราตําแหน่งที่ว่าง เพื่อมาสนับสนุนการดําเนินงานของการกีฬาแห่งประเทศไทย ในส่วนที่ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความจําเป็นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและขับเคลื่อนภารกิจขององค์กรให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ํานโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตรวจสอบดูแลอย่างเคร่งครัด ให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดความเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมทั้งให้การกีฬาแห่งประเทศไทยแจ้งความคืบหน้าในวาระสืบเนื่องในการประชุมด้วยทุกครั้ง สําหรับในเรื่องของการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนต่าง ๆ โดยเฉพาะสมาคมกีฬาให้ดําเนินการด้วยความรวดเร็ว ทันต่อการฝึกซ้อมและแข่งขัน ในส่วนของการใช้เงินสํารองของการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้พิจารณาใช้เท่าที่จําเป็นตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด เร่งรัดกําหนดและจัดทําหลักเกณฑ์การใช้เงินสํารอง และจัดสรรเงินอุดหนุนทางสมาคมกีฬาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ ให้คณะอนุกรรมการพัฒนากีฬาที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่ สรรหาผู้ที่มีประสบการณ์ ความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างแท้จริง กําหนดกรอบเวลาการทํางานเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว โดยต้องสามารถพัฒนานักกีฬาทั้งด้านกําลังกาย ด้านเทคนิค ด้านจิตวิทยา ให้บรรลุเป้าหมาย และสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนสนใจการกีฬาเพิ่มมากขึ้น ดําเนินการให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศมากที่สุด
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ประวิตรฯ ย้ำใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนสนใจการกีฬาเพิ่มมากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563
รอง นรม. ประวิตรฯ ย้ําใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส เน้นสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนสนใจการกีฬาเพิ่มมากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เน้นย้ําใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส พร้อมแนะส่งเสริม การสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนมีความสนใจกีฬาเพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศมากที่สุด
วันนี้ (30 มกราคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยที่ประชุมรับทราบประเด็นสําคัญ อาทิ รายงานผลการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ งบลงทุน และเงินสํารองของการกีฬาแห่งประเทศไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สรุปผลการเลือกกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ประเภทผู้แทนสมาคมกีฬาที่ใช้คําว่า "แห่งประเทศไทย" และการสอบทานข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล สําหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 และสําหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานอนุกรรมการ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รองประธานอนุกรรมการ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย รองประธานอนุกรรมการ เพื่อพัฒนาการกีฬาของประเทศ โดยเฉพาะกีฬาที่เป็นสากลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นพื้นฐานหลัก รวมถึงศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนากีฬาเป็นเลิศจากต่างประเทศและใช้โอกาสความร่วมมือกับหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงประเทศต่าง ๆ ที่ได้ทําความตกลงร่วมมือให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ สามารถพัฒนากีฬาของชาติสู่ความเป็นเลิศ พร้อมทั้งพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการจากเงินรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยให้ดําเนินการตามข้อบังคับ ระเบียบ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบเปลี่ยนชื่อตําแหน่งภายในและสายงานของพนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย ตามอัตราตําแหน่งที่ว่าง เพื่อมาสนับสนุนการดําเนินงานของการกีฬาแห่งประเทศไทย ในส่วนที่ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความจําเป็นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและขับเคลื่อนภารกิจขององค์กรให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ํานโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตรวจสอบดูแลอย่างเคร่งครัด ให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดความเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมทั้งให้การกีฬาแห่งประเทศไทยแจ้งความคืบหน้าในวาระสืบเนื่องในการประชุมด้วยทุกครั้ง สําหรับในเรื่องของการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนต่าง ๆ โดยเฉพาะสมาคมกีฬาให้ดําเนินการด้วยความรวดเร็ว ทันต่อการฝึกซ้อมและแข่งขัน ในส่วนของการใช้เงินสํารองของการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้พิจารณาใช้เท่าที่จําเป็นตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด เร่งรัดกําหนดและจัดทําหลักเกณฑ์การใช้เงินสํารอง และจัดสรรเงินอุดหนุนทางสมาคมกีฬาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ ให้คณะอนุกรรมการพัฒนากีฬาที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่ สรรหาผู้ที่มีประสบการณ์ ความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างแท้จริง กําหนดกรอบเวลาการทํางานเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว โดยต้องสามารถพัฒนานักกีฬาทั้งด้านกําลังกาย ด้านเทคนิค ด้านจิตวิทยา ให้บรรลุเป้าหมาย และสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนสนใจการกีฬาเพิ่มมากขึ้น ดําเนินการให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศมากที่สุด
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26173
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การออมเพื่ออนาคต”
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การออมเพื่ออนาคต”
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การออมเพื่ออนาคต”
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่าจากการศึกษาของศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน พบว่าภาพรวมการออมของประเทศไทยยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยเงินฝากขยายตัวลดลงขณะที่การออมเพื่อการลงทุนในกองทุนและเงินสํารองประกันภัยขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจึงทําให้เงินออมในระบบชะลอตัวลง ทั้งนี้ ภาพรวมเงินฝากและเงินออมเพื่อการลงทุนประกอบด้วย (1) เงินฝากสะสมในสถาบันรับฝากเงินอยู่ที่ 18.0 ล้านล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 58.7) ขยายตัวร้อยละ 3.4 (2) เงินออมเพื่อการลงทุนจํานวน 9.9 ล้านล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 32.0) ขยายตัวร้อยละ 9.0 และเงินสํารองประกันภัย 2.7 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 9) ขยายตัวร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจุบันประเทศไทยกําลังเผชิญกับความท้าทายจากการที่ประเทศเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปสูงถึง 9.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.9 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของ UN ที่กําหนดที่ร้อยละ 10.0 จะถือว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งภาวะสังคมดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้กําลังแรงงานลดลง การบริโภคลดลง และข้อเท็จจริงพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ของไทยมีเงินออมไม่เพียงพอต่อการดําเนินชีวิตหลังการเกษียณอายุ ซึ่งจะทําให้ประสบปัญหาคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง ดังนั้น การส่งเสริมการออมและการวางแผนการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
ธนาคารออมสินมีพันธกิจหลักในการส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน และได้ดําเนินโครงการส่งเสริมฯ ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งผลการดําเนินงานที่ผ่านมาสามารถบรรลุผลสําเร็จอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากงานวิจัยของศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ร่วมกับสถาบันเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในโครงการสํารวจทักษะทางการเงินและการออมของลูกค้าธนาคารออมสินปี 2562 ซึ่งครอบคลุมตัวอย่างจํานวน 5,679 ตัวอย่างทั่วประเทศ ภายใต้กรอบแนวคิดขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งผลสํารวจพบว่า ค่าเฉลี่ยทักษะทางการเงินของลูกค้าธนาคารออมสินอยู่ที่ร้อยละ 66.8 ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ลูกค้าธนาคารออมสินที่มีคะแนนร้อยละ 60.7 และสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยภาพรวมของประเทศไทยที่มีคะแนนร้อยละ 61.0 (BOT2559) อีกทั้งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยประชากรของกลุ่มประเทศ OECD (2558) ที่มีคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 62.9 ผลสํารวจดังกล่าวสะท้อนผลสําเร็จตามพันธกิจของธนาคารออมสินในการเป็นผู้นําในการส่งเสริมออมและสร้างวินัยทางการเงิน
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ได้ทําการสํารวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานราก จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศจํานวน 2,186 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 61.6 ของกลุ่มตัวอย่างมีเงินออม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่อยู่ร้อยละ 32.2 โดยส่วนใหญ่ ของผู้ที่มีเงินออม ร้อยละ 79.9 มีการออมแบบรายเดือน จํานวนเงินออมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ โดยภาพรวมการออมของประชาชนฐานรากปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว แต่จํานวนเงินออมเฉลี่ยต่อครั้งลดลง
สําหรับวัตถุประสงค์การออมของประชาชนฐานราก ส่วนใหญ่มีการออมเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน/เจ็บป่วย (ร้อยละ 87.5) และออม เพื่อเป้าหมายต่างๆ ซึ่งพบว่า 3 อันดับแรก คือ ออมเพื่อ เก็บไว้ใช้ยามเกษียณ (ร้อยละ 45.0) เป็นทุนประกอบ อาชีพ และเพื่อที่อยู่อาศัย (ร้อยละ 13.6) ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากัน และซื้อยานพาหนะ (ร้อยละ 12.3)
เมื่อสํารวจลักษณะการออมและการลงทุนที่มีในปัจจุบันของประชาชนฐานราก พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นลูกจ้างประจําจะมีการออมกับหน่วยงาน/บริษัท อาทิ จ่ายเงินสมทบ เข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ/ประกันสังคมฯ และฝากกับธนาคาร ในขณะที่กลุ่มที่มีอาชีพอิสระจะฝากกับธนาคาร เก็บไว้ที่บ้าน และเล่นแชร์
อุปสรรคสําคัญที่ประชาชนฐานรากไม่สามารถออมเงินได้ คือ ไม่มีเงินเหลือไว้ออม (ร้อยละ 82.7) มีเหตุจําเป็นต้องใช้เงิน (ร้อยละ 55.5) และมีภาระหนี้สิน (ร้อยละ 28.0)
สําหรับเงินสํารองของประชาชนฐานราก หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ พบว่า ประชาชนฐานรากร้อยละ 33.7 ไม่มีเงินสํารองฉุกเฉินเลยซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วง ในขณะที่ (ร้อยละ 33.3) มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1 เดือน และ (ร้อยละ 28.5) มีใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือน
ถ้าหากมีเหตุฉุกเฉิน (ไม่มีรายได้) ประชาชนฐานรากจะทําอย่างไร ? พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.4 เลือกที่จะขอยืมเงินจากคนในครอบครัว/ญาติ/คนรอบข้าง รองลงมาคือขายทรัพย์สินของตนเอง (ร้อยละ 34.1) และจํานอง/จํานําทรัพย์สินของตนเอง (ร้อยละ 33.1
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การออมเพื่ออนาคต”
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การออมเพื่ออนาคต”
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การออมเพื่ออนาคต”
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่าจากการศึกษาของศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน พบว่าภาพรวมการออมของประเทศไทยยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยเงินฝากขยายตัวลดลงขณะที่การออมเพื่อการลงทุนในกองทุนและเงินสํารองประกันภัยขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจึงทําให้เงินออมในระบบชะลอตัวลง ทั้งนี้ ภาพรวมเงินฝากและเงินออมเพื่อการลงทุนประกอบด้วย (1) เงินฝากสะสมในสถาบันรับฝากเงินอยู่ที่ 18.0 ล้านล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 58.7) ขยายตัวร้อยละ 3.4 (2) เงินออมเพื่อการลงทุนจํานวน 9.9 ล้านล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 32.0) ขยายตัวร้อยละ 9.0 และเงินสํารองประกันภัย 2.7 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 9) ขยายตัวร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจุบันประเทศไทยกําลังเผชิญกับความท้าทายจากการที่ประเทศเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปสูงถึง 9.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.9 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของ UN ที่กําหนดที่ร้อยละ 10.0 จะถือว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งภาวะสังคมดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้กําลังแรงงานลดลง การบริโภคลดลง และข้อเท็จจริงพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ของไทยมีเงินออมไม่เพียงพอต่อการดําเนินชีวิตหลังการเกษียณอายุ ซึ่งจะทําให้ประสบปัญหาคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง ดังนั้น การส่งเสริมการออมและการวางแผนการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
ธนาคารออมสินมีพันธกิจหลักในการส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน และได้ดําเนินโครงการส่งเสริมฯ ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งผลการดําเนินงานที่ผ่านมาสามารถบรรลุผลสําเร็จอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากงานวิจัยของศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ร่วมกับสถาบันเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในโครงการสํารวจทักษะทางการเงินและการออมของลูกค้าธนาคารออมสินปี 2562 ซึ่งครอบคลุมตัวอย่างจํานวน 5,679 ตัวอย่างทั่วประเทศ ภายใต้กรอบแนวคิดขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งผลสํารวจพบว่า ค่าเฉลี่ยทักษะทางการเงินของลูกค้าธนาคารออมสินอยู่ที่ร้อยละ 66.8 ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ลูกค้าธนาคารออมสินที่มีคะแนนร้อยละ 60.7 และสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยภาพรวมของประเทศไทยที่มีคะแนนร้อยละ 61.0 (BOT2559) อีกทั้งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยประชากรของกลุ่มประเทศ OECD (2558) ที่มีคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 62.9 ผลสํารวจดังกล่าวสะท้อนผลสําเร็จตามพันธกิจของธนาคารออมสินในการเป็นผู้นําในการส่งเสริมออมและสร้างวินัยทางการเงิน
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ได้ทําการสํารวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานราก จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศจํานวน 2,186 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 61.6 ของกลุ่มตัวอย่างมีเงินออม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่อยู่ร้อยละ 32.2 โดยส่วนใหญ่ ของผู้ที่มีเงินออม ร้อยละ 79.9 มีการออมแบบรายเดือน จํานวนเงินออมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ โดยภาพรวมการออมของประชาชนฐานรากปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว แต่จํานวนเงินออมเฉลี่ยต่อครั้งลดลง
สําหรับวัตถุประสงค์การออมของประชาชนฐานราก ส่วนใหญ่มีการออมเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน/เจ็บป่วย (ร้อยละ 87.5) และออม เพื่อเป้าหมายต่างๆ ซึ่งพบว่า 3 อันดับแรก คือ ออมเพื่อ เก็บไว้ใช้ยามเกษียณ (ร้อยละ 45.0) เป็นทุนประกอบ อาชีพ และเพื่อที่อยู่อาศัย (ร้อยละ 13.6) ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากัน และซื้อยานพาหนะ (ร้อยละ 12.3)
เมื่อสํารวจลักษณะการออมและการลงทุนที่มีในปัจจุบันของประชาชนฐานราก พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นลูกจ้างประจําจะมีการออมกับหน่วยงาน/บริษัท อาทิ จ่ายเงินสมทบ เข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ/ประกันสังคมฯ และฝากกับธนาคาร ในขณะที่กลุ่มที่มีอาชีพอิสระจะฝากกับธนาคาร เก็บไว้ที่บ้าน และเล่นแชร์
อุปสรรคสําคัญที่ประชาชนฐานรากไม่สามารถออมเงินได้ คือ ไม่มีเงินเหลือไว้ออม (ร้อยละ 82.7) มีเหตุจําเป็นต้องใช้เงิน (ร้อยละ 55.5) และมีภาระหนี้สิน (ร้อยละ 28.0)
สําหรับเงินสํารองของประชาชนฐานราก หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ พบว่า ประชาชนฐานรากร้อยละ 33.7 ไม่มีเงินสํารองฉุกเฉินเลยซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วง ในขณะที่ (ร้อยละ 33.3) มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1 เดือน และ (ร้อยละ 28.5) มีใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือน
ถ้าหากมีเหตุฉุกเฉิน (ไม่มีรายได้) ประชาชนฐานรากจะทําอย่างไร ? พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.4 เลือกที่จะขอยืมเงินจากคนในครอบครัว/ญาติ/คนรอบข้าง รองลงมาคือขายทรัพย์สินของตนเอง (ร้อยละ 34.1) และจํานอง/จํานําทรัพย์สินของตนเอง (ร้อยละ 33.1
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24188
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผย ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลำดับ
|
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผย ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับ
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผย ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ผลการสํารวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ประจําไตรมาส 4 ปี 2559 ได้ดําเนินการสํารวจจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จํานวน 1,532 ตัวอย่าง พบว่า GSI ประจําไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณ ดีขึ้นเป็นลําดับ อยู่ที่ระดับ 49.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ที่อยู่ระดับ 49.0 ประชาชนระดับฐานราก มีความคาดหวังรายได้ในอนาคต จากการดําเนินนโยบายของรัฐบาล ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการปรับค่าจ้างขั้นต่ําภายในประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ของประชาชนฐานรากในปีหน้า จึงทําให้ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเกือบใกล้เคียงกับระดับความเชื่อมั่นปานกลาง (ระดับ 50)
“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากต่อสถานการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.8 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มาอยู่ที่ ระดับ 52.8 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2559 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้าในระดับที่ดี เนื่องจากความคาดหวังรายได้ในอนาคตจากการดําเนินนโยบายของรัฐบาล เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ เทียบกับ ไตรมาสที่ 3 ปี 2559 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านภาระหนี้สิน และการออม ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่วนด้านการจับจ่ายใช้สอย การหารายได้ ภาวะเศรษฐกิจ และการหางานทํา ปรับตัวลดลงเล็กน้อย” นายชาติชายฯ กล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก คาดการณ์ว่าการบริโภคของประชาชนฐานรากยังฟื้นตัวไม่มากนักในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยเพราะมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้าเป็นต้นไป ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง และประสิทธิภาพของการใช้จ่าย และการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังได้สํารวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิตของประชาชนฐานรากโดยเมื่อสอบถามถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนฐานราก พบว่า เกือบทั้งหมด (ร้อยละ 96.5) มีความรู้ความเข้าใจ และเมื่อพิจารณาถึงระดับความรู้ ความเข้าใจ พบว่าส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในระดับ ปานกลาง (ร้อยละ 59.6) โดยเชื่อว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ ต่อการดําเนินชีวิต (ร้อยละ 94.7) และได้มี การนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน (ร้อยละ 77.7)
สําหรับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่นิยมนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน พบว่า 3 อันดับคือ การเก็บออม (ร้อยละ 69.9) การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น (ร้อยละ 69.0) และอยู่อย่างเหมาะสมกับฐานะ (ร้อยละ 59.6) ตามลําดับ ทั้งนี้ จะเห็นว่าเรื่องที่ประชาชนระดับฐานรากนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน โดยส่วนใหญ่คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงินส่วนบุคคลเป็นอันดับต้นๆ
โดยผู้ที่มีการนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจําวัน ส่วนใหญ่เห็นว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น (ร้อยละ 55.7) โดยเรื่องที่เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นคือเรื่องการมีสติ ความสุขในชีวิต (ร้อยละ 55.3) เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น (ร้อยละ 54.3) ความสามัคคีในครอบครัว/ คนรอบข้าง (ร้อยละ 53.7) และหนี้สินลดลง (ร้อยละ 40.6)
ในส่วนของผู้ที่ไม่นําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ มีสาเหตุมาจากการดําเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน (ร้อยละ 22.3) รองลงมาคือขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ (ร้อยละ 19.6) และนํามาปฏิบัติยาก (ร้อยละ 14.5) ตามลําดับ และเมื่อถามต่อไปว่าในอนาคตคิดว่าจะนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจําวันหรือไม่ พบว่าผู้ที่ ยังไม่แน่ใจ (ร้อยละ 46.5) และ ผู้ที่จะนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างแน่นอน (ร้อยละ 42.2)
ᐦᐅ สรุปประเด็น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน มองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับอยู่ที่ระดับ 49.9 และแนวโน้มของ GSI ต่อสถานการณ์อีก 6 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นสองไตรมาสติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 52.8 ทั้งนี้ประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับปานกลาง และมีการนํามาใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจําวัน โดยหลักการที่นิยมนํามาใช้ในการดําเนินชีวิตคือการเก็บออม การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น และ อยู่อย่างเหมาะสมกับฐานะ ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการมีสติ การมีความสุขในชีวิต การเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น มีความสามัคคีกับคนรอบข้างและคนในครอบครัว และหนี้สินลดลง สําหรับสาเหตุของผู้ที่ไม่ได้ นําหลักดังกล่าวมาใช้นั้น เนื่องจากเห็นว่าการดําเนินชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักดังกล่าว และคิดว่านํามาปฏิบัติจริงได้ยาก ซึ่งธนาคารออมสิน พร้อมที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับประชาชนฐานราก โดยปรับให้เข้าใจได้ง่าย พร้อมยกตัวอย่างของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวันได้ เพื่อให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และไม่ยากอย่างที่คิด สอดแทรกไว้เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งในการอบรมหลักสูตรการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy)
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผย ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลำดับ
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผย ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับ
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน เผย ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ผลการสํารวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ประจําไตรมาส 4 ปี 2559 ได้ดําเนินการสํารวจจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จํานวน 1,532 ตัวอย่าง พบว่า GSI ประจําไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณ ดีขึ้นเป็นลําดับ อยู่ที่ระดับ 49.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ที่อยู่ระดับ 49.0 ประชาชนระดับฐานราก มีความคาดหวังรายได้ในอนาคต จากการดําเนินนโยบายของรัฐบาล ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการปรับค่าจ้างขั้นต่ําภายในประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ของประชาชนฐานรากในปีหน้า จึงทําให้ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเกือบใกล้เคียงกับระดับความเชื่อมั่นปานกลาง (ระดับ 50)
“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากต่อสถานการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.8 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มาอยู่ที่ ระดับ 52.8 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2559 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้าในระดับที่ดี เนื่องจากความคาดหวังรายได้ในอนาคตจากการดําเนินนโยบายของรัฐบาล เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ เทียบกับ ไตรมาสที่ 3 ปี 2559 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านภาระหนี้สิน และการออม ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่วนด้านการจับจ่ายใช้สอย การหารายได้ ภาวะเศรษฐกิจ และการหางานทํา ปรับตัวลดลงเล็กน้อย” นายชาติชายฯ กล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก คาดการณ์ว่าการบริโภคของประชาชนฐานรากยังฟื้นตัวไม่มากนักในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยเพราะมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้าเป็นต้นไป ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง และประสิทธิภาพของการใช้จ่าย และการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังได้สํารวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิตของประชาชนฐานรากโดยเมื่อสอบถามถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนฐานราก พบว่า เกือบทั้งหมด (ร้อยละ 96.5) มีความรู้ความเข้าใจ และเมื่อพิจารณาถึงระดับความรู้ ความเข้าใจ พบว่าส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในระดับ ปานกลาง (ร้อยละ 59.6) โดยเชื่อว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ ต่อการดําเนินชีวิต (ร้อยละ 94.7) และได้มี การนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน (ร้อยละ 77.7)
สําหรับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่นิยมนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน พบว่า 3 อันดับคือ การเก็บออม (ร้อยละ 69.9) การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น (ร้อยละ 69.0) และอยู่อย่างเหมาะสมกับฐานะ (ร้อยละ 59.6) ตามลําดับ ทั้งนี้ จะเห็นว่าเรื่องที่ประชาชนระดับฐานรากนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน โดยส่วนใหญ่คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงินส่วนบุคคลเป็นอันดับต้นๆ
โดยผู้ที่มีการนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจําวัน ส่วนใหญ่เห็นว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น (ร้อยละ 55.7) โดยเรื่องที่เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นคือเรื่องการมีสติ ความสุขในชีวิต (ร้อยละ 55.3) เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น (ร้อยละ 54.3) ความสามัคคีในครอบครัว/ คนรอบข้าง (ร้อยละ 53.7) และหนี้สินลดลง (ร้อยละ 40.6)
ในส่วนของผู้ที่ไม่นําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ มีสาเหตุมาจากการดําเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน (ร้อยละ 22.3) รองลงมาคือขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ (ร้อยละ 19.6) และนํามาปฏิบัติยาก (ร้อยละ 14.5) ตามลําดับ และเมื่อถามต่อไปว่าในอนาคตคิดว่าจะนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจําวันหรือไม่ พบว่าผู้ที่ ยังไม่แน่ใจ (ร้อยละ 46.5) และ ผู้ที่จะนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างแน่นอน (ร้อยละ 42.2)
ᐦᐅ สรุปประเด็น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน มองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 ส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นลําดับอยู่ที่ระดับ 49.9 และแนวโน้มของ GSI ต่อสถานการณ์อีก 6 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นสองไตรมาสติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 52.8 ทั้งนี้ประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับปานกลาง และมีการนํามาใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจําวัน โดยหลักการที่นิยมนํามาใช้ในการดําเนินชีวิตคือการเก็บออม การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น และ อยู่อย่างเหมาะสมกับฐานะ ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการมีสติ การมีความสุขในชีวิต การเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น มีความสามัคคีกับคนรอบข้างและคนในครอบครัว และหนี้สินลดลง สําหรับสาเหตุของผู้ที่ไม่ได้ นําหลักดังกล่าวมาใช้นั้น เนื่องจากเห็นว่าการดําเนินชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักดังกล่าว และคิดว่านํามาปฏิบัติจริงได้ยาก ซึ่งธนาคารออมสิน พร้อมที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับประชาชนฐานราก โดยปรับให้เข้าใจได้ง่าย พร้อมยกตัวอย่างของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวันได้ เพื่อให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และไม่ยากอย่างที่คิด สอดแทรกไว้เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งในการอบรมหลักสูตรการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy)
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1232
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นการขออนุญาต
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
อนุทิน เผย พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นการขออนุญาต
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 เพิ่มความยืดหยุ่นวิธีขออนุญาต ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรออกสู่ตลาดมากขึ้น เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้เกษตรกรไทย กระตุ้นเศรษฐกิจชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 เพิ่มความยืดหยุ่นวิธีขออนุญาต ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรออกสู่ตลาดมากขึ้น เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้เกษตรกรไทย กระตุ้นเศรษฐกิจชาติให้แข็งแรง
วันนี้ (23 กันยายน 2562) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานประชุมคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 โดยมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม และให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกเพื่อรับทราบผลการขับเคลื่อนนโยบายการดําเนินงาน ตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ที่มีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย แก้ไขในส่วนที่เป็นอุปสรรค เช่น การขอขึ้นทะเบียน การไม่สามารถกล่าวอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์จําพวกอาหารเสริม เป็นต้น จึงได้จัดทําพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ขึ้น มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2562ที่ผ่านมา
นายอนุทินกล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้ปรับปรุงในส่วนวิธีการอนุญาตขึ้นทะเบียนยาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ฟังเสียงประชาชน ได้มอบเป็นนโยบายให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา แก้ไขจุดที่เป็นปัญหาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเห็นชอบและขึ้นทะเบียนให้ได้มากที่สุด เพราะประโยชน์ที่ได้รับคือจะได้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีคุณภาพ ปลอดภัยมากขึ้น ทดแทนการนําเข้ายาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง เกิดประโยชน์ย้อนกลับสู่เกษตรกรที่มีผลผลิตในมือ ประชาชนมีทางเลือกทางสุขภาพ ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจชาติให้แข็งแรง
“การนําสมุนไพรไทยมาแปรรูปเป็นสินค้า ทั้งยา อาหารเสริม เครื่องสําอาง ขอให้ปรับปรุงแพ็คเกจให้สวยงามน่าใช้ เพราะสินค้ามีคุณภาพดีอยู่แล้ว บางชนิดคุณภาพอาจจะดีกว่าแบรนด์ดังๆ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญ และขอให้พัฒนาให้ดีเพื่อขยับฐานการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในวันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าและการขับเคลื่อนนโยบายและแผนงานด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรแห่งชาติ ระหว่างปี 2562-2564 เกี่ยวกับการกําหนดแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 กลไกการขับเคลื่อนแผนงานด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร การวิจัยและนวัตกรรม และโครงการตามนโยบายรัฐบาลสมุนไพรเสริมเศรษฐกิจไทย รวมทั้งพิจารณา (ร่าง)ประกาศคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ 3ฉบับ (ร่าง) แผนการวิจัยและนวัตกรรมสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย
****************************** 23 กันยายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นการขออนุญาต
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
อนุทิน เผย พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นการขออนุญาต
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 เพิ่มความยืดหยุ่นวิธีขออนุญาต ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรออกสู่ตลาดมากขึ้น เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้เกษตรกรไทย กระตุ้นเศรษฐกิจชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 เพิ่มความยืดหยุ่นวิธีขออนุญาต ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรออกสู่ตลาดมากขึ้น เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้เกษตรกรไทย กระตุ้นเศรษฐกิจชาติให้แข็งแรง
วันนี้ (23 กันยายน 2562) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานประชุมคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 โดยมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม และให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกเพื่อรับทราบผลการขับเคลื่อนนโยบายการดําเนินงาน ตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ที่มีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย แก้ไขในส่วนที่เป็นอุปสรรค เช่น การขอขึ้นทะเบียน การไม่สามารถกล่าวอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์จําพวกอาหารเสริม เป็นต้น จึงได้จัดทําพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ขึ้น มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2562ที่ผ่านมา
นายอนุทินกล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้ปรับปรุงในส่วนวิธีการอนุญาตขึ้นทะเบียนยาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ฟังเสียงประชาชน ได้มอบเป็นนโยบายให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา แก้ไขจุดที่เป็นปัญหาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเห็นชอบและขึ้นทะเบียนให้ได้มากที่สุด เพราะประโยชน์ที่ได้รับคือจะได้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีคุณภาพ ปลอดภัยมากขึ้น ทดแทนการนําเข้ายาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง เกิดประโยชน์ย้อนกลับสู่เกษตรกรที่มีผลผลิตในมือ ประชาชนมีทางเลือกทางสุขภาพ ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจชาติให้แข็งแรง
“การนําสมุนไพรไทยมาแปรรูปเป็นสินค้า ทั้งยา อาหารเสริม เครื่องสําอาง ขอให้ปรับปรุงแพ็คเกจให้สวยงามน่าใช้ เพราะสินค้ามีคุณภาพดีอยู่แล้ว บางชนิดคุณภาพอาจจะดีกว่าแบรนด์ดังๆ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญ และขอให้พัฒนาให้ดีเพื่อขยับฐานการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในวันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าและการขับเคลื่อนนโยบายและแผนงานด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรแห่งชาติ ระหว่างปี 2562-2564 เกี่ยวกับการกําหนดแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 กลไกการขับเคลื่อนแผนงานด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร การวิจัยและนวัตกรรม และโครงการตามนโยบายรัฐบาลสมุนไพรเสริมเศรษฐกิจไทย รวมทั้งพิจารณา (ร่าง)ประกาศคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ 3ฉบับ (ร่าง) แผนการวิจัยและนวัตกรรมสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย
****************************** 23 กันยายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23323
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 14– 20 ธันวาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 683 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.56 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 14– 20 ธันวาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 683 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.56 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิต ได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ จากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลัง กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการ ที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 683 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.56 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 398 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.08 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 167 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 4.48 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 15 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.19 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 39 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.71 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 1 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.05 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 42 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.92 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 21 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 0.14 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 8,626.755 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,196 ซอง ไพ่ จํานวน 710 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 15,614.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 422 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 50 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 14– 20 ธันวาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 683 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.56 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 14– 20 ธันวาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 683 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.56 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิต ได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ จากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลัง กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการ ที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 683 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.56 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 398 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.08 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 167 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 4.48 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 15 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.19 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 39 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.71 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 1 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.05 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 42 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.92 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 21 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 0.14 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 8,626.755 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,196 ซอง ไพ่ จํานวน 710 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 15,614.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 422 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 50 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17666
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุดรับ-ส่งประชาชนของ ขสมก.
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
จุดรับ-ส่งประชาชนของ ขสมก.
จุดรับ-ส่งประชาชนของ ขสมก.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุดรับ-ส่งประชาชนของ ขสมก.
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
จุดรับ-ส่งประชาชนของ ขสมก.
จุดรับ-ส่งประชาชนของ ขสมก.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/582
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน.ชี้แจงข้อสังเกตที่ ครม.อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563
|
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
สบน.ชี้แจงข้อสังเกตที่ ครม.อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2563
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงประเด็นข้อสังเกตที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2563 ก่อนที่จะนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏร
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอชี้แจงว่า พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 กําหนดให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ เพื่อเป็นกรอบในการกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ กําหนด ได้แก่ เพดานการกู้เงินและการค้ําประกันหนี้ของรัฐบาล รวมทั้งสอดคล้องกับกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้แก่ แผนการคลังระยะปานกลาง สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สัดส่วนงบชําระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหนี้ที่รัฐบาลรับภาระ
การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ โดยกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ได้บรรจุไว้ เป็นวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เพื่อประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้รัฐสภาพิจารณา โดยกระทรวงการคลังจะสามารถกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาและประกาศเป็นกฎหมายแล้ว
นอกจากนี้ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะยังมีการกู้เงินของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจในส่วนอื่น โดยเฉพาะโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งจะต้องเสนอขอบรรจุวงเงินกู้ไว้ในแผน การบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนภาครัฐสามารถดําเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน.ชี้แจงข้อสังเกตที่ ครม.อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
สบน.ชี้แจงข้อสังเกตที่ ครม.อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2563
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงประเด็นข้อสังเกตที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2563 ก่อนที่จะนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏร
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอชี้แจงว่า พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 กําหนดให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ เพื่อเป็นกรอบในการกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ กําหนด ได้แก่ เพดานการกู้เงินและการค้ําประกันหนี้ของรัฐบาล รวมทั้งสอดคล้องกับกรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้แก่ แผนการคลังระยะปานกลาง สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สัดส่วนงบชําระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหนี้ที่รัฐบาลรับภาระ
การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ โดยกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ได้บรรจุไว้ เป็นวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เพื่อประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้รัฐสภาพิจารณา โดยกระทรวงการคลังจะสามารถกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาและประกาศเป็นกฎหมายแล้ว
นอกจากนี้ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะยังมีการกู้เงินของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจในส่วนอื่น โดยเฉพาะโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งจะต้องเสนอขอบรรจุวงเงินกู้ไว้ในแผน การบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนภาครัฐสามารถดําเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23452
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อขยายความร่วมมือระดับอาเซียน (Asian Plus)
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2560
พม. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อขยายความร่วมมือระดับอาเซียน (Asian Plus)
พม. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อขยายความร่วมมือระดับอาเซียน (Asian Plus)
วันนี้ (25 พ.ค. 60) เวลา 13.00 น. ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานครนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครไทยและอาสาสมัครชาวต่างชาติ ได้มีองค์ความรู้และทักษะการปฏิบัติงานให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางาน และร่วมกันพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนางานอาสาสมัครไทย
นายไมตรีกล่าวว่า อาสาสมัครไทยและอาสาสมัครชาวต่างประเทศ ถือว่าเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ด้านการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม การมีส่วนร่วม ทางสังคม และการประสานส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาสาสมัครปฏิบัติงานด้วยจิตอาสา มีความทุ่มเท และเสียสละ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน จนสามารถผลักดันงานด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมให้เป็นที่ประจักษ์ และสร้าง การยอมรับจากสังคม ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับเครือข่ายจิตอาสา ได้กําหนดแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัคร พร้อมเปิดตัวศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ ให้เป็นศูนย์กลางระดับชาติ ในการประสานงาน ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการดําเนินงานด้านอาสาสมัครและองค์กรเครือข่าย โดยมีการกําหนดกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และอาสาสมัครของทุกกระทรวง อาสาสมัครชาวต่างประเทศที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือ การพัฒนาของประเทศไทย รวมทั้งองค์กรอาสาสมัครทุกภาคส่วน และเครือข่ายจิตอาสา โดยมีภารกิจสําคัญในการประสานการดําเนินงาน เพื่อพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการ กําหนดนโยบาย มาตรการส่งเสริมและสนับสนุน การเป็นหุ้นส่วนและเป็นกลไกที่เสริมความเข้มแข็งให้แก่ภาครัฐในทุกระดับ รวมทั้งเป็นกลไกหนุนเสริมและรวพลังผู้มีจิตอาสา เพื่อการช่วยเหลือทั้งในสถานการณ์ปกติและเมื่อเกิดสาธารณภัย ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครทุกประเภททั้งในด้านทักษะการปฏิบัติงาน องค์ความรู้ และระบบข้อมูลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานอาสาสมัคร นอกจากนี้ ยังต้องบูรณาการงานอาสาสมัคร เครือข่าย ภาคประชาสังคม เครือข่ายประชารัฐ ทั้งในระดับประเทศ และภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Plus)
นายไมตรีกล่าวต่ออีกว่า สําหรับกิจกรรมสําคัญภายในงาน ประกอบด้วย การยื่นข้อเสนอเพื่อการพัฒนา งานอาสาสมัคร โดย ผู้นํา อพม. 4 ภาค และกรุงเทพมหานคร และผู้นําอาสาสมัครชาวต่างประเทศ การบรรยายพิเศษ เรื่อง "พลังอาสาสมัคร พัฒนาแผ่นดิน” และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ "พลังอาสาสมัครสร้างงาน พัฒนาสังคม” โดยมี อพม. อาสาสมัครชาวต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด เข้าร่วมงานเป็นจํานวนทั้งสิ้น 500 คน
"กระทรวง พม. โดย พส. พร้อมขับเคลื่อนงานศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อยกระดับ "More Hands Make Bigger” คือ การประสานมือ คือ พลัง ในการ "ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมรับผิดชอบ” ให้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสังคมแห่งความเอื้ออาทร ลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรอาเซียนให้ดียิ่งขึ้นไป”นายไมตรีกล่าวตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อขยายความร่วมมือระดับอาเซียน (Asian Plus)
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2560
พม. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อขยายความร่วมมือระดับอาเซียน (Asian Plus)
พม. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อขยายความร่วมมือระดับอาเซียน (Asian Plus)
วันนี้ (25 พ.ค. 60) เวลา 13.00 น. ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานครนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความร่วมมืออาสาสมัคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครไทยและอาสาสมัครชาวต่างชาติ ได้มีองค์ความรู้และทักษะการปฏิบัติงานให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางาน และร่วมกันพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนางานอาสาสมัครไทย
นายไมตรีกล่าวว่า อาสาสมัครไทยและอาสาสมัครชาวต่างประเทศ ถือว่าเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ด้านการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม การมีส่วนร่วม ทางสังคม และการประสานส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาสาสมัครปฏิบัติงานด้วยจิตอาสา มีความทุ่มเท และเสียสละ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน จนสามารถผลักดันงานด้านการส่งเสริมสวัสดิการสังคมให้เป็นที่ประจักษ์ และสร้าง การยอมรับจากสังคม ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับเครือข่ายจิตอาสา ได้กําหนดแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัคร พร้อมเปิดตัวศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ ให้เป็นศูนย์กลางระดับชาติ ในการประสานงาน ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการดําเนินงานด้านอาสาสมัครและองค์กรเครือข่าย โดยมีการกําหนดกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และอาสาสมัครของทุกกระทรวง อาสาสมัครชาวต่างประเทศที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือ การพัฒนาของประเทศไทย รวมทั้งองค์กรอาสาสมัครทุกภาคส่วน และเครือข่ายจิตอาสา โดยมีภารกิจสําคัญในการประสานการดําเนินงาน เพื่อพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการ กําหนดนโยบาย มาตรการส่งเสริมและสนับสนุน การเป็นหุ้นส่วนและเป็นกลไกที่เสริมความเข้มแข็งให้แก่ภาครัฐในทุกระดับ รวมทั้งเป็นกลไกหนุนเสริมและรวพลังผู้มีจิตอาสา เพื่อการช่วยเหลือทั้งในสถานการณ์ปกติและเมื่อเกิดสาธารณภัย ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครทุกประเภททั้งในด้านทักษะการปฏิบัติงาน องค์ความรู้ และระบบข้อมูลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานอาสาสมัคร นอกจากนี้ ยังต้องบูรณาการงานอาสาสมัคร เครือข่าย ภาคประชาสังคม เครือข่ายประชารัฐ ทั้งในระดับประเทศ และภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Plus)
นายไมตรีกล่าวต่ออีกว่า สําหรับกิจกรรมสําคัญภายในงาน ประกอบด้วย การยื่นข้อเสนอเพื่อการพัฒนา งานอาสาสมัคร โดย ผู้นํา อพม. 4 ภาค และกรุงเทพมหานคร และผู้นําอาสาสมัครชาวต่างประเทศ การบรรยายพิเศษ เรื่อง "พลังอาสาสมัคร พัฒนาแผ่นดิน” และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ "พลังอาสาสมัครสร้างงาน พัฒนาสังคม” โดยมี อพม. อาสาสมัครชาวต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด เข้าร่วมงานเป็นจํานวนทั้งสิ้น 500 คน
"กระทรวง พม. โดย พส. พร้อมขับเคลื่อนงานศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อยกระดับ "More Hands Make Bigger” คือ การประสานมือ คือ พลัง ในการ "ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมรับผิดชอบ” ให้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสังคมแห่งความเอื้ออาทร ลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรอาเซียนให้ดียิ่งขึ้นไป”นายไมตรีกล่าวตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4026
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ธันวาคม 2562
|
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ธันวาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
วันนี้ (11 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กําหนด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา 00.02 ของวันที่ 3 มกราคม 2563)
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 3 ฉบับ
7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนด เขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
12. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
13. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
15. เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม
16. เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว)
17. เรื่อง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีสําหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลาย ปี 2562
19. เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า
20. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2563
ต่างประเทศ
21. เรื่อง การจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต และหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ
22. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจําปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง
23. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง- ล้านช้าง ระหว่างสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กับสถาน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจําประเทศไทย
24. เรื่อง การให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สําหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ําครั้งที่ 1 ภายใต้ กรอบความร่วมมือแม่โขง -ล้านช้าง
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
26. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9
27. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยม เวียดนาม ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าว มายังสาธารณรัฐเกาหลี
28. เรื่อง ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและ หนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ
29. เรื่อง ร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงาน ยุติธรรม
30. เรื่อง การจัดทําความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
31. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส
แต่งตั้ง
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรรม)
36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
37. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
39. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
*******************
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กําหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2563)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กําหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบังและทางแยกเข้าพัทยา ตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา พ.ศ. 2561 และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน พ.ศ. 2555 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2563
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จํานวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... 3) ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกําหนดเวลา พ.ศ. .... 4. ร่างกฎกระทรวงกําหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1 กําหนดค่าธรรมเนียมการคัดและรับรองสําเนารายการทะเบียนบ้าน ค่าธรรมเนียมการแจ้งเกิด การตาย และการย้ายที่อยู่ ค่าธรรมเนียมการขอสําเนาทะเบียนบ้านแทนฉบับที่สูญหาย กําหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมการคัดสําเนาหรือการคัดและรับรองสําเนารายการทะเบียนราษฎร เพื่อใช้ใน การบางอย่าง เช่น การศึกษา การศาสนา และการยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งการเกิด การตาย ที่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่นและการขอรับสําเนาทะเบียนบ้านแทนฉบับที่สูญหายในเขตท้องที่ที่ประสบสาธารณภัย
2. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
2.1 กําหนดให้มีการแจ้งการเกิดและการตายสําหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยทุกคนที่เกิดหรือตายในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
2.2 กําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบสําคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสําคัญประจําตัวคนต่างด้าว คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลาตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนด ปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสํารวจตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร การจัดทําทะเบียนประวัติ และการจัดทําบัตรประจําตัว
2.3 กําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องนอกจากกลุ่มที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนด เช่น กลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ รวมถึงบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรปฏิบัติเกี่ยวกับการสํารวจตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร การจัดทําประวัติ การแจ้งการย้ายที่อยู่ และการจัดทําบัตรประจําตัว
2.4 กําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลาน้อยกว่าหกเดือน รวมถึงบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร
2.5 กําหนดระยะเวลาที่คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยจะต้องยื่นคําร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือขอจัดทําทะเบียนประวัติให้ชัดเจน
2.6 กําหนดค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียม
3. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3 กําหนดค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอที่ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอได้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อพ้นกําหนดเวลาที่กฎหมายกําหนด ได้แก่ การแจ้งการเกิด การตาย การจัดการศพ การย้ายที่อยู่ การขอเลขที่บ้าน การขอเพิ่มชื่อหรือจัดทําทะเบียนประวัติของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย การแก้ไขปรับปรุงรายการทะเบียนบ้าน การรื้อถอนบ้าน และการแจ้งย้ายบ้านที่เคลื่อนย้ายได้ กําหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกําหนดเวลา ในกรณีมีเหตุจําเป็นที่ทําให้ผู้แจ้งหรือผู้ขอไม่สามารถแจ้งหรือขอได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด เช่น เกิดภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติในบริเวณท้องที่ที่อยู่อาศัย เป็นผู้พิการทางกายเดินไม่ได้ เป็นใบ้ ตาบอดทั้งสองข้าง เป็นต้น
4. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 4 กําหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่จําต้องกําหนดเลขประจําอาคารและจัดทําทะเบียนอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เช่น โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่สร้างด้วยวัสดุถาวร มีพื้นที่ภายในที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปใช้สอยหรือใช้ประโยชน์ได้ ได้แก่ อาคารเพื่อการพาณิชยกรรม อาคารเพื่อการบริการสาธารณะ อาคารเพื่อประกอบกิจการหรือใช้เป็นสํานักงานหรือที่ทําการของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชน คลังสินค้า โรงงาน
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือ บางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอและให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อประโยชน์ในด้านการผังเมืองและการสถาปัตยกรรม
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้หินที่สามารถทําเป็นแผ่นหรือรูปทรงอื่นใดเพื่อการประดับหรือตกแต่งได้เป็นหินประดับ ได้แก่ หินกรวดมน หินกรวดเหลี่ยม หินแกรนิต หินชนวน หินทราย หินทราเวอร์ทีน หินนาคกระสวย หินไนส์ หินบะซอลต์ และหินปูน
2. กําหนดให้หินตาม 1. ซึ่งมีคุณภาพไม่เหมาะสมที่จะทําให้เป็นหินประดับและหินชนิดอื่นนอกจากหินตาม 1. เป็นหินอุตสาหกรรม
3. กําหนดชนิดของดินให้เป็นดินอุตสาหกรรม ได้แก่ ดินขาว ดินซีเมนต์ ดินทนไฟ ดินเบาหรือไดอะทอไมต์หรือไดอะตอมเมเชียสเอิร์ท ดินมาร์ล เว้นแต่ดินมาร์ลที่นําไปผ่านกระบวนการแต่งเป็นดินสอพองและใช้เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมพื้นบ้าน ดินเหนียวสีเว้นแต่ดินเหนียวสีที่ใช้เพื่อประโยชน์ในงานหัตถกรรมหรืออุตสาหกรรมพื้นบ้าน และบอลเคลย์
4. กําหนดให้ทรายแก้วหรือทรายซิลิกาเป็นทรายอุตสาหกรรม
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการจัดทํากฎหมายลําดับรองได้ภายในกําหนดสองปีนับแต่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียม และกําหนดคุณสมบัติของผู้ถือประทานบัตร ผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่ หรือผู้รับใบอนุญาตประกอบ โลหกรรมที่มีสิทธิได้รับการยกเว้น หรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปี โดยต้องเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคม มีการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านสิ่งแวดล้อม และผ่านเกณฑ์มาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว หรือตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กําหนด และได้รับการประกาศรายชื่อจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตรที่มีมาตรฐานสูงกว่าหรือเทียบเท่า
2. กรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังคงรักษาเกณฑ์มาตรฐานการประกอบกิจการได้สูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกําหนด หรือเทียบเท่าอย่างต่อเนื่องและได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตร ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากที่มีการประกาศรายชื่อ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับการลดค่าธรรมเนียมเป็นจํานวนกึ่งหนึ่งของอัตราค่าธรรมเนียมตามที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง
3. กรณีสถานประกอบกิจการประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หากในปีนั้นได้ชําระค่าธรรมเนียมรายปีไว้แล้วให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่ประสบเหตุทางธรรมชาติ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน
พ.ศ. 2535 จํานวน 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งในกรณีได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตขยายโรงงานตามมาตรา 18/1
2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการแจ้งการเพิ่มจํานวน เปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกําลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการบําบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรําคาญหรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่น หรือการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงาน หรือ การก่อสร้างอาคาร โรงงานเพิ่มขึ้นตามมาตรา 19
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ การแจ้งเพิ่มประเภท หรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิมตามมาตรา 19/1 และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1
1.1 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะขยายโรงงานตามมาตรา 18 แต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามมาตรา 18/1 ให้แจ้งผู้อนุญาตทราบเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนการดําเนินการ
1.2 แบบใบแจ้งให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.3 กําหนดสถานที่แจ้ง กรณีโรงงานตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด
1.4 กําหนดให้การแจ้งและการแจ้งผลการพิจารณาสามารถแจ้งผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
1.5 กําหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบและระยะเวลาพร้อมการแจ้งผลการตรวจสอบโดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน ผู้อนุญาตต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน และแจ้งผลการตรวจสอบภายใน 5 วัน โดยระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดนี้จะต้องไม่รวมถึงกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้อนุญาตมีคําสั่งให้คืนใบแจ้งเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน หรือมีคําสั่งให้ผู้แจ้งดําเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงสถานที่ตั้งโรงงาน อาคารโรงงาน เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นํามาใช้ในโรงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์ หรือระยะเวลาที่ต้องไปรับความเห็นชอบอนุญาต หรืออนุมัติจากหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ (ถ้ามี)
2. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
2.1 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะดําเนินการตามมาตรา 19 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการดําเนินการ
2.2 กําหนดให้การแจ้งกรณีที่มีการเพิ่มจํานวน เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกําลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการบําบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรําคาญ หรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่นทําให้เครื่องจักรมีกําลังรวมลดลงหรือเพิ่มขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นขยายโรงงาน ผู้แจ้งต้องยื่นเอกสารแสดงแบบแปลนเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ดังกล่าวพร้อมกับการแจ้งด้วย
2.3 กําหนดให้การแจ้งกรณีที่มีการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานออกไปหรือกรณีที่มีการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นใหม่ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของโรงงานนั้นโดยตรง ผู้แจ้งต้องยื่นแบบแปลนแสดงการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานหรือการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นเพื่อแสดงถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย
2.4 กําหนดสถานที่แจ้ง โดยกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด
2.5 กําหนดให้การแจ้งสามารถผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
3. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3
3.1 กําหนดความหมายของคําว่า “เพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิม” รวมทั้งกําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะดําเนินการตามมาตรการ 19/1 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนมีการดําเนินการ
3.2 กําหนดให้การแจ้งตามมาตรการ 19/1 ผู้แจ้งต้องยื่นเอกสารแสดงถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระบวนการผลิต วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ มาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย มาพร้อมกับการแจ้งฯ ด้วย
3.3 กําหนดสถานที่แจ้งโดยกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด
3.4 กําหนดให้การแจ้งและแจ้งผลการพิจารณาสามารถดําเนินการผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
3.5 กําหนดระยะเวลาการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่เกิน 7 วัน ผู้อนุญาตไม่เกิน 3 วัน และแจ้งผลการพิจารณาไม่เกิน 2 วัน โดยระยะเวลาดังกล่าวนี้ไม่รวมถึงวันที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้อนุญาตมีคําสั่งให้คืนใบแจ้งเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนหรือมีคําสั่งให้ผู้แจ้งไปดําเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงสถานที่ตั้งโรงงาน อาคารโรงงาน เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นํามาใช้ในโรงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์หรือระยะเวลาที่ต้องได้รับความเห็นชอบ อนุญาต หรืออนุมัติจากหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ หรือระยะเวลาที่มีผู้โต้แย้งเกี่ยวกับการเพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานดังกล่าว
7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างประกาศ
ให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวงฯ
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... กําหนดให้ส่วนราชการที่รับชําระภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หักค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 3 ของภาษีที่รับชําระไว้แทน และให้นําส่งภาษีหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วให้แก่ อปท. ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ พ.ศ. ....
2.1 กําหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.1.1 ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทําประโยชน์ได้ แต่ไม่มีการทําประโยชน์ในที่ดินนั้นตลอดปีที่ผ่านมา เว้นแต่การที่ไม่สามารถทําประโยชน์นั้นเนื่องจากมีเหตุธรรมชาติหรือเหตุพ้นวิสัย
2.1.2 สิ่งปลูกสร้างที่โดยสภาพทําประโยชน์ได้ แต่ถูกทิ้งร้างและไม่มีการทําประโยชน์ในสิ่งปลูกสร้างนั้นตลอดปีที่ผ่านมา
2.2 กําหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.2.1 ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทําประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม แต่มีการทําประโยชน์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนด ตลอดปีที่ผ่านมา
2.2.2 สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงเสร็จแล้ว และโดยสภาพสามารถทําประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม หรือเป็นที่อยู่อาศัย หรือทําประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่การทําประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไม่รวมถึงที่ดินที่อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อทําประโยชน์หรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกรอนสิทธิในการทําประโยชน์โดยกฎหมาย หรือโดยคําสั่งหรือคําพิพากษาของศาล หรือที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง โดยในการพิจารณาว่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างใดเป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ให้คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิประเทศ สภาพดิน ความลาดชันของพื้นดิน และการทําประโยชน์ของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในบริเวณใกล้เคียง
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... กําหนดให้ อปท. จัดทําประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นที่จําเป็นตามลักษณะการใช้ประโยชน์ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีแต่ละราย ตามแบบ ภ.ด.ส. 1 และ ภ.ด.ส. 2 และให้ อปท. ปิดประกาศก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของทุกปี โดยให้แสดงไว้ ณ สํานักงานหรือที่ทําการของ อปท. และสถานที่อื่นใดที่ประชาชนเข้าถึงได้ หรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของ อปท.
4. ร่างกฎกระทรวงการผ่อนชําระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... กําหนดให้ผู้เสียภาษีที่มีวงเงินตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ยื่นหนังสือขอผ่อนชําระภาษีต่อ อปท. ภายในเดือนเมษายนของปี และกําหนดเวลาผ่อนชําระภาษี 3 งวด งวดละเท่า ๆ กัน (เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน)
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอํานวยความสะดวกแก่การจราจร
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดําเนินการต่อไป
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร เพื่อให้สามารถกําหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเพื่อการรับรองเฉพาะด้าน โดยกําหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติมขึ้นเป็นอีกเครื่องหมายหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานตามมาตรฐานสากล รายละเอียดดังนี้
1. กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
2. กําหนดให้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรมีลักษณะดังนี้
2.1 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานบังคับสําหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานบังคับ มีลักษณะเป็นรูปอักษรคิวสีเขียวทรงกลม อยู่ในกรอบหกเหลี่ยมสีเขียว และมีส่วนสัดตามแบบ ก.ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
2.2 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสําหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไป มี 2 ลักษณะ ดังนี้
(1) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสําหรับสินค้าเกษตร มีลักษณะเป็นรูปอักษรคิวสีเขียวทรงกลม และมีส่วนสัดตามแบบ ข. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
(2) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสําหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไปที่เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมขอบสีดําพื้นสีขาวด้านล่างมีอักษรว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” สีเขียวเข้ม ภายในมีรูปวงกลมสีเขียวอ่อนและมีอักษรภาษาอังกฤษว่า “Organic” สีเขียวเข้มอยู่เหนืออักษรภาษาอังกฤษว่า “Thailand” สีดําใต้ตัวอักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นสามเส้น สีแดง สีน้ําเงิน และสีแดง ตามลําดับ และมีส่วนสัดตามแบบ ค. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
ทั้งนี้ สีตามที่ระบุไว้ใน (2.1) และ (2.2) สามารถใช้สีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียว ซึ่งเห็นได้ง่ายและชัดเจนก็ได้
3. กําหนดให้ผู้ได้รับใบรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรเป็นผู้จัดทําเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน และกําหนดให้การแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานให้แสดงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้รับการรับรองให้แสดงให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนไว้ที่สินค้าเกษตร และจะแสดงไว้ที่สิ่งบรรจุ หีบห่อ สิ่งหุ้มห่อ สิ่งผูกมัด หรือป้ายของสินค้า สถานประกอบการ เอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีกด้วยก็ได้
4. กําหนดให้การรับรองมาตรฐานกระบวนการจัดการการผลิตให้แสดงไว้ที่สถานประกอบการ เอกสารกํากับสินค้า หรือเอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์
5. กําหนดให้การแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานให้ระบุ (1) ชื่อผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน (2) มาตรฐานสินค้าเกษตรที่ให้การรับรอง (3) ชื่อผู้ได้รับใบรับรองไว้ใต้เครื่องหมายรับรองมาตรฐาน
6. กําหนดให้สินค้าเกษตรที่จะแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานได้รับใบรับรองตามมาตรฐานตั้งแต่สองมาตรฐานขึ้นไป อาจระบุรายละเอียดตามข้อ 5. ทุกมาตรฐานไว้ใต้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานแบบเดียวกันก็ได้
7. กําหนดให้การแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรเกี่ยวกับมาตรฐานกระบวนการจัดการการผลิต ให้ระบุชื่อเต็มหรือชื่อย่อของมาตรฐานไว้ให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนด้วย
8. กําหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรที่ได้แสดงไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรนั้นสิ้นอายุ
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ
การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สํานักงาน ก.พ.ร. และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการจัดทําร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1. ได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอและการออกใบอนุญาต คุณสมบัติของผู้ชํานาญการ การสั่งพักและเพิกถอนใบอนุญาต การควบคุมการปฏิบัติงานของผู้ได้รับใบอนุญาตของผู้มีสิทธิทํารายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รายละเอียดดังนี้
1. ให้ยกเลิก
1.1 กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2529) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518
1.2 ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
2. กําหนดใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระและนิติบุคคล โดยมีค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ปีละ 5,000 บาท
3. กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาต ดังนี้
3.1 ผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระต้องมีสัญชาติไทย สําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ปริญญาโท และปริญญาเอกมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี สามปี และหนึ่งปี ตามลําดับ จากสถาบันการศึกษาที่สํานักงาน ก.พ. รับรอง
3.2 ผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนิติบุคคลต้องจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย มีจํานวนหุ้นของผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ด ซึ่งมีสิทธิในการออกเสียงและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
4. กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ประจํานิติบุคคลผู้ได้รับอนุญาต ต้องเป็นผู้ที่สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าระดับปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สํานักงาน ก.พ. ไม่เคยมีส่วนร่วมในการจัดทําหรือให้การรับรองรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในส่วนที่เป็นเท็จ หรือประมาทเลินเล่อจนอาจเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
5. กําหนดรายละเอียดในการยื่นคําขอรับใบอนุญาต เอกสารและหลักฐาน โดยอาจให้ยื่นผ่านทางสื่อระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนได้ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบผลงาน ปริมาณงาน และสอบสัมภาษณ์ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประเมินความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
6. กําหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคําขอรับใบอนุญาต เอกสาร และหลักฐาน รวมทั้งการประเมินความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เงื่อนไข และสิทธิของผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแต่ละประเภท ในการจัดทํารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใด ของประชาชนหรือชุมชน หรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง แล้วแต่กรณี
7. กําหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระมีหน้าที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการผู้ชํานาญการเพื่อประกอบการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ควบคุมคุณภาพในการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีรายละเอียดถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามหลักวิชาการ
8. กําหนดให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการทําหน้าที่ของผู้ได้รับใบอนุญาตเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนกับเจ้าของโครงการ กิจการหรือการดําเนินการที่ตนรับจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเตือน การพักใช้ การเพิกถอนใบอนุญาต และการอุทธรณ์คําสั่ง
12. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 ในส่วนขององค์ประกอบของ กปส. โดยปรับเพิ่ม 5 ตําแหน่ง ได้แก่ (1) ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง และ (2) ที่ปรึกษาพิเศษของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เป็นที่ปรึกษา และ (3) ผู้แทนสํานักพระราชวัง (4) เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ (5) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นกรรมการ ทั้งนี้ สําหรับราชเลขาธิการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ตัดออกจากการเป็นกรรมการ นอกจากนี้ เห็นควรแก้ไข การกําหนดตําแหน่ง “ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เป็น “ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562 ด้วยในคราวเดียวกัน
เศรษฐกิจ - สังคม
13. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการปรับเพิ่มกรอบอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่กองร้อยอาสารักษาดินแดนอําเภอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการ ก่อนดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดําเนินการดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณ ที่เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มอัตรากําลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ใช้จ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้เสนอตั้งไว้ในขั้นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้หรือเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เท่าที่จําเป็นอย่างประหยัดตามขั้นตอนต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น 458.93 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรจุสั่งใช้กําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา ซึ่งเป็นอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขอปรับเพิ่มกรอบอัตรากําลังเป็น 12 อัตรา/กองร้อยอาสารักษาดินแดนอําเภอ จํานวน 599 กองร้อย เพื่อให้กองอาสารักษาดินแดนอําเภอทั่วประเทศ (878 กองร้อย) มีกรอบอัตรากําลังทิศทางเดียวกัน สรุปได้ ดังนี้
(ตารางนี้สามารถดาวน์โหลดในเอกสารสรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี)
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการบรรจุสั่งใช้อัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ เช่น 1) ค่าตอบแทนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน รวมค่าครองชีพ ขั้นที่ 1 2) ค่าเบี้ยเลี้ยงสนามและค่าเสบียงสนาม 3) ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 4) ค่าการศึกษาของบุตรเฉลี่ย และ 5) ค่าการฝึกอบรม เป็นต้น
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้แก่
รายการ
กําหนดการ
สถานที่
1. การประชุมคณะกรรมการบริหารสหพันธ์กีฬาโรงเรียนแห่งเอเชีย (Asian School Sport Federation: ASSF) การประชุมคณะกรรมการด้านเทคนิคของ ASSF และ ASSF Forum ครั้งที่ 8
16 – 20 ธันวาคม 2562
เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
2. การประชุมสมัชชาใหญ่ของสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย (Asian Schools Football Federation: ASFF) และการประชุมคณะกรรมการด้านเทคนิคของ ASFF
มีนาคม 2563
จังหวัดภูเก็ต
3. การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 48
1 – 9 เมษายน 2563
จังหวัดสงขลา
4. การแข่งขันฮอกกี้นักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 6
กรกฎาคม 2563
จังหวัดปทุมธานี
ในวงเงินงบประมาณ 15,000,000 บาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา และประมาณการรายรับจากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าร่วมการแข่งขัน จํานวน 46,860 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,405,800 บาท
สาระสําคัญของเรื่อง
กก.รายงานว่า
1. กก. (กรมพลศึกษา) ในฐานะสมาชิก ASSF และ ASFF ในนามประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ของ ASSF เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ และการประชุมสมัชชาใหญ่ของ ASFF เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมรวม 4 รายการ
2. ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา ค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา จํานวน 15,000,000 บาท
3. การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติให้เป็นที่ประจักษ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) รวมทั้งสนับสนุนการจัดประชุมองค์กรกีฬานักเรียนระดับนานาชาติในประเทศไทย เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการ ในขณะเดียวกันเป็นการพัฒนาการกีฬาในระดับนักเรียน เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงทักษะด้านกีฬา คัดเลือกนักกีฬาที่มีความสามารถดีเด่นจากทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและพัฒนานักกีฬาระดับนักเรียนไปสู่การแข่งขันในระดับที่สูงขึ้นและระดับนานาชาติต่อไป ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่กีฬาอาชีพในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ
15. เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
เห็นชอบในการอนุมัติเปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม ปริมาณ 2,993.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 และยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 เรื่อง การบริหารจัดการนมทั้งระบบ เนื่องจากเป็นการพิจารณาจัดสรรให้ผู้ประกอบการตามความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
มอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตาในข้อ 1. ให้ ผู้ประกอบการตามความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต โดยต้องนําเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ํานมโคจากเกษตรกร
สาระสําคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้านมผงขาดมันเนยตามความตกลงการการค้าระหว่างประเทศ ประจําปี 2562 รวม 58,312.74 ตัน โดยเก็บภาษีในโควตาเท่าเดิมตามที่เก็บจริงในอัตราภาษีร้อยละ 5 และแบ่งจัดสรรเป็น 2 กลุ่มโดยผู้ประกอบการในกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ํานมดิบ) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 80 เป็นจํานวน 46,650.20 ตัน และให้ผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 20 เป็นจํานวน 11,662.54 ตันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรโควตานําเข้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ความตกลง/ปริมาณ
เปิดตลาด (ตัน)
ปริมาณจัดสรร
(ตัน)
ความตกลง
กลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (ร้อยละ 80)
กลุ่มนิติบุคคลที่ 2
(ร้อยละ 20)
WTO และ TAFTA
งวดที่ 1 (ร้อยละ 90)
52,210.42
WTO
39,359.08
9,839.76
TAFTA
2,409.26
602.32
งวดที่ 2 (ร้อยละ 10)
5,801.16
WTO
4,640.93
1,160.23
TAFTA
-
-
TAFTA
(Specific Quota)
งวดเดียว 301.16
TAFTA
240.93
60.23
รวมปริมาณเปิดตลาด
58,312.74
46,650.20
11,662.54
2. คณะอนุกรรมการพิจารณาจัดสรรโควตาและอัตราภาษีนําเข้านมผงขาดมันเนย นมดิบ และนมพร้อมดื่มในการประชุมครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ได้พิจารณาการจัดสรรโควตานําเข้านมผงขาดมันเนยส่วนโควตาคืนและพิจารณาโควตาเพิ่มเติมโดยมีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม เบื้องต้นปริมาณไม่เกิน 5,719.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 เนื่องจากโควตา ปี 2562 จํานวน 58,312.74 ตัน ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ โดยพิจารณาจัดสรรจากความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับจัดสรรโควตาเพิ่มเติมต้องเป็นผู้นําเข้ารายเดิมและมีรายงานการนําเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เกินร้อยละ 70 ของโควตาที่ได้รับภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 ต่อมาคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ และให้กรมปศุสัตว์แจ้งปริมาณโควตาเพิ่มเติมที่ได้รับพิจารณาภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้แจ้งปริมาณการขออนุมัติเปิดตลาดนําเข้าฯ เพิ่มเติม เหลือจํานวน 2,993.02 ตัน
3. การขออนุมัติให้เปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนย ปี พ.ศ. 2562 เพิ่มเติมปริมาณ 2,993.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ในครั้งนี้ จะจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต [แบ่งเป็นกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ํานมดิบ)จํานวน 740 ตัน และกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) จํานวน 2,253.02 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนการจัดสรรโควตา เท่ากับ 24.72 : 75.28] จึงต้องขอยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ํานมดิบ) กับกลุ่มกับกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ในอัตรา 80 : 20 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548
4. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว พณ. จะดําเนินการประกาศการจัดสรรที่จะออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชําระภาษีในโควตา ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เพื่อทําให้การผลิตและการตลาดภาคธุรกิจของผู้ประกอบการดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงักเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต
5. ผลกระทบ
5.1 ด้านเศรษฐกิจ
การผลิตและการตลาดในภาคธุรกิจของผู้ประกอบการสามารถดําเนินได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ สําหรับธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและอาหารของต่างประเทศที่มีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ในไทย หากสามารถนําเข้านมผงขาดมันเนยได้พอเพียงตามความต้องการ จะทําให้สามารถวางแผนการผลิตล่วงหน้าได้ตลอดทั้งปีและมีนโยบายขยายฐานการผลิตและการลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในภาพรวม
5.2 ด้านเกษตรกร
ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์การบริหารโควตานําเข้านมผงขาดมันเนยไม่ให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ํานมโคจากเกษตรกร(ต้องเป็นผู้ประกอบการรายเดิมที่มีรายงานการนําเข้าโควตานมผงขาดมันเนยที่ได้รับจัดสรรเกินร้อยละ 70 ขึ้นไป) และยังมีแผนการผลิตและแผนการรับซื้อน้ํานมโคร่วมกันระหว่างองค์กรเกษตรกรโคนมและผู้ประกอบการการแปรรูปนมทั้งระบบ โดยได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงการบริหารจัดการน้ํานมโคทั้งระบบร่วมกันแล้ว
5.3 ด้านผู้บริโภค
ผู้บริโภคจะได้รับผลิตภัณฑ์อาหารสําเร็จรูปจากนมหลายชนิดในราคาถูก หากการดําเนินการทางธุรกิจดังกล่าวไม่หยุดชะงักและไม่มีการนําเข้าผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปจากต่างประเทศที่มีราคาสูงเข้ามาทดแทน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าที่มีส่วนประกอบของนมมีราคาแพงขึ้น
16. เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก กรณีค่าฝากเก็บและค่ารักษาคุณภาพข้าวเปลือก วงเงิน 1,500.00 ล้านบาท (2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกรวงเงิน 562.50 ล้านบาท และ (3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก วงเงิน 510 ล้านบาทเพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย 6.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
2. เห็นชอบการอนุมัติจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม)
โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัดๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370.72 ล้านบาท จําแนกเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ 1.4 ต่อปี) บวก 1 เท่ากับ 2.40 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ทําความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง ได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน รวมวงเงิน 340.00 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน 1,030.72 ล้านบาท
สาระสําคัญ
คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ดังนี้
1. รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย 6.5 ล้านตันข้าวเปลือก โดยขอรับจัดสรรงบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เป็นเงินจ่ายขาดเพื่อดําเนินโครงการ วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (โดย ธ.ก.ส.)
1.1) วงเงินสินเชื่อ ปริมาณ และราคาข้าวเปลือกในการจ่ายเงินกู้ วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท โดยกําหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกที่ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 และกําหนดเป้าหมาย ปริมาณ 1 ล้านตันข้าวเปลือก ราคาข้าวเปลือกในการให้สินเชื่อต่อตันในอัตราร้อยละ 80 ของราคาตลาดข้าวเปลือกเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2559 ถึงเดือนสิงหาคม 2562) ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิชนิด 36 กรัมขึ้นไปในเขตพื้นที่ 23 จังหวัด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา) ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิชนิด 36 กรัมขึ้นไปที่ปลูกนอกพื้นที่ 23 จังหวัด ตันละ 9,900 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,700 บาท
1.2) ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก (ต้องเก็บไว้อย่างน้อย 1 เดือน ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน) เกษตรกรที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ตันละ 1,500 บาท สําหรับสถาบันเกษตรกรได้รับ ตันละ 1,500 บาท (จําแนกเป็นสถาบันเกษตรกร ได้รับ ตันละ 1,000 บาท และให้เกษตรกรที่นําข้าวมาฝากเก็บกับสถาบันเกษตรกร ตันละ 500 บาท)
1.3) วงเงินสินเชื่อ เกษตรกร รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตร ไม่เกินสหกรณ์ละ 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกร ไม่เกินกลุ่มละ 20 ล้านบาท วิสาหกิจชุมชน (รวมถึงศูนย์ข้าวชุมชน) ไม่เกินแห่งละ 5 ล้านบาท
1.4) ระยะเวลาจัดทําสัญญาเงินกู้ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 และระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2563
1.5) การระบายข้าวเปลือกโครงการ กรณีราคาข้าวในตลาดต่ํากว่าราคาให้สินเชื่อให้ขยายระยะเวลาชําระคืนเงินกู้ออกไปอีกไม่เกิน 3 คราว คราวละ 1 เดือน หากราคาข้าวเปลือกยังไม่สูงขึ้นให้คณะอนุกรรมการติดตามกํากับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด ดําเนินการระบายข้าวเปลือกตามโครงการ
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2562/63 (โดย ธ.ก.ส.)
สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร (ไม่รวมชุมนุม15,000 ล้านบาท และจํานวนสินเชื่อคงเหลือภายในระยะเวลาโครงการฯ ไม่เกิน วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ในอัตรา MLR -1 ต่อปี เท่ากับร้อยละ 4 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ร้อยละ 5 ต่อปี) โดยมีผู้รับผิดชอบ ดังนี้ (1) สถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และ (2) คชก. รับภาระชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 –30 กันยายน 2563 ระยะเวลาชําระหนี้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และระยะเวลาโครงการตั้งแต่1 พฤศจิกายน 2562 – 31 ธันวาคม 2563 วงเงินงบประมาณ 562.50 ล้านบาท
3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2562/63 (โดยกรมการค้าภายใน)ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเก็บสต็อก ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมายดูดซับ 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร/ผู้รวบรวม ในราคาตลาดตามการค้าปกติ เก็บสต็อกอย่างน้อย 60 – 180 วัน (2 – 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 (ภาคใต้ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563) และระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 - 31 ตุลาคม 2564 โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 วงเงิน 510 ล้านบาท
2. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัดๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370.72 ล้านบาท ตามที่ธ.ก.ส. เสนอ เพื่อให้การดําเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้รัฐบาลรับภาระเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. จากการให้สินเชื่อเกษตรกร/สถาบันเกษตรตามโครงการฯ ในอัตราร้อยละ2.40 ต่อปี รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าวร้อยละ 10 ของวงเงินสินเชื่อ โดยจําแนกเป็น
1) ค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ 1.4 ต่อปี) บวก 1 เท่ากับ 2.40 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ และธ.ก.ส. ทําความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง ได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน รวมวงเงิน 340.00 ล้านบาท
2) ค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน 1,030.72 ล้านบาท
17. เรื่อง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2562/63
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ รับทราบ และเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงินรวมทั้งสิ้น 923,332,332.80 บาท
2. อนุมัติมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงิน 45,000,000 บาท
3. รับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
4. เห็นชอบเพิ่มผู้แทนกรมศุลกากรเป็นกรรมการในองค์ประกอบของคณะกรรมการ นโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.)
สาระสําคัญ
จากการหารือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชน เกษตรกร และภาครัฐ และมติคณะกรรมการ นบขพ. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
1. โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
1.1 ชนิดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพื้นที่ดําเนินการ ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้น 14.5% ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ
1.2 ราคาและปริมาณประกันรายได้ กําหนดราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ความชื้น 14.5% กก.ละ 8.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่
1.3 เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับเงินส่วนต่าง ได้แก่ เกษตรกรทุกรายที่ขึ้นทะเบียน
ผู้ปลูกและแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
1.4 เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ เกษตรกร ๑ ครัวเรือน ใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 30 ไร่
1.5 การชดเชยส่วนต่าง ธ.ก.ส. จะโอนเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง
1.6 ระยะเวลาดําเนินการ
(1) ช่วงเวลาเพาะปลูก ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
(2) ระยะเวลาใช้สิทธิ ใช้สิทธิได้ในช่วงการเก็บเกี่ยวที่ระบุไว้ในทะเบียนเกษตรกร โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินส่วนต่างครั้งแรกในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 สําหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2562 ให้มีสิทธิรับเงินชดเชยในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 20 ของเดือนจนถึงระยะเวลาสิ้นสุดการรับสิทธิชดเชยตามโครงการฯ 31 ตุลาคม 2563
(3) ระยะเวลาโครงการ 1 ธันวาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2563
3.1.7 งบประมาณ วงเงิน 923,332,332.80 บาท จําแนกเป็นค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาอ้างอิง โดยใช้แหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. วงเงิน 899,484,700 บาท และค่าใช้จ่ายในการดําเนินการของ ธ.ก.ส. วงเงิน 23,847,632.80 บาท โดยเป็นการชดเชยต้นทุนเงินในอัตราเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 หรือคิดเป็นร้อยละ 2.40 ต่อปี เป็นเงิน 21,587,632.80 บาท และค่าบริหารจัดการรายละ 5 บาท เป็นเงิน 2,260,000 บาท
2. มาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
2.1 การบริหารจัดการการนําเข้า โดยกําหนดช่วงเวลาการนําเข้าให้นําเข้าเฉพาะช่วงกุมภาพันธ์ – สิงหาคม ของทุกปี ยกเว้น อคส. หากมีนโยบายให้นําเข้าการควบคุมการขนย้ายในพื้นที่
ติดชายแดนเพื่อนบ้าน กําหนดสัดส่วนการนําเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 : 3 การตรวจสอบการลักลอบการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันระหว่างฝ่ายความมั่นคงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการกําหนดมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบนําเข้า เพิ่มความเข้มการตรวจค้นของด่านตรวจความมั่นคง จัดชุดเข้าตรวจตามช่องทางผิดกฎหมายในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการลักลอบขนย้าย และให้มีคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน เพื่อศึกษาและนําเสนอมาตรการแก้ไขปัญหา รวมทั้งพิจารณากําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ลักลอบ โดยคํานึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรและระบบการค้าในประเทศเป็นสําคัญ
2.2 การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กําหนดให้ผู้รับซื้อแสดงราคา ณ จุดรับซื้อที่ความชื้น 14.5% และ 30% พร้อมแสดงตารางการเพิ่ม – ลด ราคาตามเปอร์เซ็นต์ความชื้น และกําหนดให้ใช้เครื่องชั่งน้ําหนัก/เครื่องวัดความชื้นที่มีมาตรฐาน
2.3 การดูแลความสมดุล โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนําเข้า สถานที่เก็บ การตรวจสอบสต๊อก
2.4 การเพิ่มช่องทางการจําหน่าย โดยเชื่อมโยงผลผลิตกับผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
2.5 โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร ปี 2562/63 ให้ ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน
ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด
เลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อจําหน่ายต่อ แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก โดย ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อ วงเงิน 1,500 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MLR-1 หรือร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน วงเงินชดเชย 45,000,000 บาท โดย ธ.ก.ส. ประสานขอเบิกจ่ายจากงบประมาณประจําปีของกระทรวงการคลัง
2.6 สนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต๊อกผลผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ให้สามารถรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่ต้องเร่งระบายผลผลิตและเก็บสต๊อกไว้ในรูปแบบชนิดเมล็ด เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาดโดยไม่แทรกแซงกลไกตลาด วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตามมูลค่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เก็บสต๊อกไว้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาเก็บสต๊อก 60 – 120 วัน วงเงินชดเชย 15,000,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีสําหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562)
2. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2564 และปีต่อ ๆ ไป จํานวน 29,126.24 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ในส่วนเพิ่มเติม จํานวน 2,667.35 ล้านบาท และโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จํานวน 26,458.89 ล้านบาท ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ทําความตกลงกับสํานักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจําเป็นต่อไป
สาระสําคัญ
กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงฯ และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวซึ่ง นบข. มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562)
1) สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวงฯ : กําหนดให้เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้รับจากการสนับสนุนตามมาตราการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งได้รับโอนจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ จํานวนห้าหมื่นบาทเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2) การดําเนินการตามกฎหมาย : การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนที่ผู้มีเงินได้ได้รับตามมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยตามร่างกฎกระทรวงฯ เข้าข่ายลักษณะของกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ) และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดําเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 (ประกาศคณะกรรมการฯ) ซึ่งต้องมีการนําเสนอข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยได้จัดทํารายละเอียดข้อมูลที่ต้องนําเสนอตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 เรียบร้อยแล้ว
2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
2.1 ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63
1) ข้อเท็จจริง:
1.1 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 และ 27 สิงหาคม 2562 รับทราบและเห็นชอบหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2562 โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการหารือการดําเนินโครงการดังกล่าว วงเงินงบประมาณ 25,427.48 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ภายในกรอบวงเงิน 25,482.06 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ ภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าว มีวงเงินที่ใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํารองจ่ายให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไปก่อน จํานวน 24,810.49 ล้านบาท ซึ่งคํานวณจากฐานข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) ปี 2561 จํานวน 4.31 ล้านครัวเรือน
1.2 ผลการดําเนินงานโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2562/63 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ธ.ก.ส. โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.15 ล้านครัวเรือน เป็นเงินจํานวน 24,662.60 ล้านบาท คงเหลือวงเงินงบประมาณ 147.89 ล้านบาท และ กสก. ได้ประมาณการจํานวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 รวมทั้งคาดการณ์จํานวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ตกหล่น เพิ่มขึ้นเป็น 4.57 ล้านครัวเรือน จึงมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มอีก 0.26 ล้านครัวเรือน ส่งผลให้งบประมาณที่ยังคงเหลือไม่เพียงพอในการจ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 กับ กสก. ประกอบกับระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรภาคอื่น ๆ กําหนดให้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงจําเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรสําหรับภาคอื่น ๆ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563
2) ข้อเสนอเพื่อพิจารณา :
2.1) ธ.ก.ส. ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมสําหรับการดําเนินโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 จํานวนทั้งสิ้น 2,667.35 ล้านบาท แบ่งเป็น
2.1.1) วงเงินที่จ่ายให้เกษตรกรจํานวน 2,603.56 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สํารองจ่ายและจะจัดสรรงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือนของ ธ.ก.ส. + 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.40 ต่อปี
2.1.2) ค่าชดเชยต้นทุนเงินตามข้อ 2.1.1) เป็นเงิน 62.49 ล้านบาท
2.1.3) ค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. วงเงิน 1.3 ล้านบาท รายละ 5 บาท ประมาณการจํานวนเกษตรกร 0.26 ล้านครัวเรือน (คํานวณเฉพาะส่วนต่างของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนปี 2562 จํานวน 4.57 ล้านครัวเรือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยคํานวณไว้โดยใช้ฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2561 จํานวน 4.31 ล้านครัวเรือน)
2.2) ธ.ก.ส. ขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรสําหรับภาคอื่น ๆ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 และกรณีเกษตรกรขึ้นทะเบียนมากกว่าเป้าหมายที่กําหนดให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และให้ ธ.ก.ส. นําค่าบริหารจัดการที่เกิดขึ้นจริงจากการจ่ายเงินดังกล่าวไปรวมกับการขอจัดสรรงบประมาณประจําปีของโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63
2.2 โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
1) วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดํารงชีพอยู่ได้และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
2) กลุ่มเป้าหมาย : เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับ กสก. จํานวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท
3) ระยะเวลาโครงการ: ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
4) วิธีดําเนินโครงการ : กสก. นําข้อมูลรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับ กสก. ส่งให้ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ เพื่อดําเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกร โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ําซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาล เว้นแต่เกษตรกรจะนําพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
5) งบประมาณ : วงเงินงบประมาณรวม 26,458.89 ล้านบาท แบ่งเป็น
5.1) วงเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวจํานวน 25,793.02 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สํารองจ่ายก่อน โดยจะจัดสรรงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือนของ ธ.ก.ส. +1ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.40 ต่อปี
5.2) ค่าชดเชยต้นทุนเงินตามข้อ 5.1) เป็นเงิน 643.03 ล้านบาท
5.3) ค่าบริหารจัดการข้อมูลการโอนเงินครัวเรือนละ 5 บาท คิดเป็นเงิน 22.84 ล้านบาท
ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และปีถัด ๆ ไป เพื่อรัฐบาลชําระคืนต้นเงินและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
19. เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้าในการเพิ่มการใช้ยางพาราของแต่ละกระทรวงตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอดังนี้
สาระสําคัญ
รัฐบาลได้มีมาตรการการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อลดผลกระทบปัจจัยที่ส่งผลต่อราคายางพาราในประเทศ โดยมีผลความคืบหน้าการใช้ยางพารา ดังนี้
1. ปีงบประมาณ 2562 มีเป้าหมายการใช้ยางทั้งหมด 167,261.608 ตัน โดยมีผลการใช้น้ํายางสด 129,291.11 ตัน คิดเป็นร้อยละ 77.30 ของเป้าหมายทั้งหมด ตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจําแนกเป็นรายกระทรวง ดังนี้
(1) กระทรวงคมนาคม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 33,957.68 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 34,353.26 ตัน สําหรับทําถนนและอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย (จราจร) คิดเป็นร้อยละ 101.16 ของเป้าหมาย
(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 33,658.02 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 18,008.62 ตัน สําหรับทําถนน คิดเป็นร้อยละ 53.50 ของเป้าหมาย
(3) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 15.228 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําถนน แต่ยังไม่มีการใช้ยางตามเป้าหมาย
(4) กระทรวงกลาโหม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 42,098.47 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 1,759.54 ตัน สําหรับทําถนน ปืนจําลอง รองเท้า และที่นอน คิดเป็นร้อยละ 4.18 ของเป้าหมาย
(5) กระทรวงมหาดไทย มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 51,926.26 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 65,370.90 ตัน สําหรับทําถนน สนามเด็กเล่น และลานอเนกประสงค์ คิดเป็นร้อยละ 125.59 ของเป้าหมาย
(6) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 184.50 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําลู่วิ่ง และลานกีฬา แต่ยังไม่มีการใช้ยางตามเป้าหมาย
(7) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 15.483 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 0.20 ตัน สําหรับทําที่นอน หมอน ยางรถยนต์ ถุงมือ และรองเท้า คิดเป็นร้อยละ 1.29 ของเป้าหมาย
(8) กระทรวงยุติธรรม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 2,251.20 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง 2,251.20 ตัน สําหรับทําที่นอน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของเป้าหมาย
(9) กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 2,988.767 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 7,539.14 ตัน สําหรับทําที่นอน หมอน และถุงมือ คิดเป็นร้อยละ 252.25 ของเป้าหมาย
(10) กรุงเทพมหานคร มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 166 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 8.25 ตัน สําหรับทําถนน และงานอํานวยความปลอดภัย คิดเป็นร้อยละ 4.97 ของเป้าหมาย
2. ปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีเป้าหมายการใช้น้ํายางสด 90,356.440 ตัน โดยจําแนกเป็นรายกระทรวง ดังนี้
(1) กระทรวงคมนาคม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 52,368.04 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําถนน และงานอํานวยความปลอดภัย
(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 6,176.00 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําถนน ฝาย งานปูพื้นคอกปศุสัตว์ และโครงการส่งเสริมการใช้งานในหน่วยงานภาครัฐ
(3) กระทรวงกลาโหม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 982.70 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทํายางนอก ปืนจําลอง รองเท้าทรงสูง และหล่อยาง
(4) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 1.16 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทํารองเท้าบูท ถุงมือ หมอน ที่นอน และยางรถยนต์
(5) กระทรวงยุติธรรม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 1,113.96 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทํา
ที่นอน และพื้นสนาม
(6) กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 29,714.58 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําหมอน ที่นอน ถุงมือ สายยาง ถุงยางอนามัย และหุ่น
20. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอและอนุมัติให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป
ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าข้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ 10)
ด้วยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นตามที่กฎหมายกําหนด เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และมีมติเห็นชอบให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพื่อใช้บังคับแก่นายจ้างและลูกจ้างทุกคน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 79 (3) และมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 คณะกรรมการค่าจ้างจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ 9) ลงวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561
ข้อ 2 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบหกบาท ในท้องที่จังหวัดชลบุรีและภูเก็ต
ข้อ 3 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดระยอง
ข้อ 4 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบเอ็ดบาท ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
ข้อ 5 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบบาท ในท้องที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ข้อ 6 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
ข้อ 7 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบสี่บาท ในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี
ข้อ 8 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบสามบาท ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
ข้อ 9 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบบาท ในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ พะเยา ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์
ข้อ 10 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดกําแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลําปาง ลําพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลําภู อุทัยธานี และอํานาจเจริญ
ข้อ 11 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสิบสามบาท ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา
ข้อ 12 เพื่อประโยชน์ตามข้อ 2 ถึงข้อ 11 คําว่า “วัน” หมายถึง เวลาทํางานปกติของลูกจ้าง ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทํางานดังต่อไปนี้ แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทํางานน้อยกว่าเวลาทํางานปกติเพียงใดก็ตาม
(1) เจ็ดชั่วโมง สําหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
(2) แปดชั่วโมง สําหรับงานอื่นซึ่งไม่ใช่งานตาม (1)
ข้อ 13 ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
ข้อ 14 ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562
ต่างประเทศ
21. เรื่อง การจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (The Government of the United Arab Emirates : UAE) ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจ ลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้ กต. ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามมารถดําเนินการได้โดยนําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของร่างความตกลงฯ เป็นการดําเนินการเกี่ยวกับการอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (กรณีคนชาติไทย) และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ (กรณีคนชาติ UAE) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่านดินแดนของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม โดยให้พํานักอยู่ในดินแดนของ UAE หรือราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE หรือราชอาณาจักรไทย
การให้สิทธิประโยชน์ความตกลงฯ มีดังนี้
1. ให้คู่ภาคีทั้งสองฝ่ายอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทาง (ฝ่าย UAE ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษของ UAE ที่มีอายุใช้ได้ และคนชาติของราชอาณาจักรไทยที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของราชอาณาจักรไทยที่มีอายุใช้ได้) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่าน ดินแดนของแต่ละฝ่าย โดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม
2. ให้ UAE อนุญาตให้คนชาติไทยที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการพํานักอยู่ในดินแดนของ UAE เป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE
3. ให้ไทยอนุญาตให้คนชาติของ UAE ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษพํานักอยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ ความตกลงนี้มีผลใช้บังคับ 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งผ่านช่องทางการทูตเป็น ลายลักษณ์อักษรและมีผลใช้บังคับโดยไม่มีกําหนดระยะเวลา เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความตกลงให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต
22. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจําปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจําปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) ประจําประเทศไทย [Memorandum of Understanding (MOU) on the Cooperation on Projects of the Mekong – Lancang Cooperation (MLC) Special Fund 2018]และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง [MOU between Ministry of Agriculture and Cooperatives and Mekong Institute (MI)] รวมทั้งอนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนฯ และอนุมัติให้อธิบดีกรมการข้าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันฯ ทั้งนี้ในกรณีที่มีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดําเนินการได้โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (ตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เรื่องการจัดทําหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อ 4.8) ด้วย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สาระสําคัญของร่างบันทึกทั้ง 2 ฉบับ
1. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้างฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด โดยหลักการมุ่งบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่งคั่งต่อประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง โดยเคารพกฎหมายและกฎระเบียบของทั้งจีนและไทย และร่วมกันติดตามประเมินโครงการและการใช้กองทุน
ทั้งนี้โครงการที่ได้รับสนับสนุนงบประมาณ ได้แก่ (1) โครงการการพัฒนาของศูนย์เฝ้าระวัง พยากรณ์ และเตือนภัยของการผลิตข้าวอย่างยั่งยืนภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในอนุภูมิภาคแม่โขง – ล้านช้าง งบประมาณ 3.50 ล้านหยวน (ประมาณ 15.05 ล้านบาท) (2) โครงการการพัฒนาและการดําเนินการด้านมาตรการผลิตข้าวร่วมกันภายในอนุภูมิภาคฯ งบประมาณ 2.97 ล้านหยวน (ประมาณ 12.77 ล้านบาท) (3) โครงการส่งเสริมระบบบูรณาการเกษตรแบบยั่งยืนในกลุ่มประเทศล้านช้าง – แม่โขง งบประมาณ 0.37 ล้านหยวน (ประมาณ 1.59 ล้านบาท) (4) โครงการการขยายและพัฒนาความร่วมมือทางการค้าเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ งบประมาณ 0.95 ล้านหยวน (ประมาณ 4.08 ล้านบาท) และ (5) โครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงอาหารสําหรับเกษตรรายย่อย งบประมาณ 0.75 ล้านหยวน (ประมาณ 3.22 ล้านบาท)
2. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อดําเนินความร่วมมือในการสนับสนุนเวทีการผลิตข้าว การพัฒนาเทคโนโลยี และศักยภาพองค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง โดยมีสาขาความร่วมมือ เช่น การฝึกอบรมร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนาและการประชุม การดําเนินการโครงการวิจัยร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนบุคลากร มีระยะเวลาเริ่ม 5 ปี นับจากวันบังคับใช้ และจะขยายระยะเวลาอัตโนมัติทุก ๆ 5 ปี
23. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจําประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือสําหรับโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างสํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ( สทนช.) นําเสนอ สทนช.กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สทนช.สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตามที่ สทนช .เสนอ
สาระสําคัญ
กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งเรื่องที่สาธารณรัฐประชาชนจีน (กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง) อนุมัติโครงการการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ําข้ามพรหมแดน ด้านอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มแม่น้ําสาย- น้ํารวก ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยประสงค์ให้ สทนช.ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการวิจัยร่วมฯ ที่ได้รับการอนุมัติดังกล่าวลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือกองทุนฯ จะได้ส่งมอบเงินงบประมาณสําหรับดําเนินโครงการการวิจัยร่วมฯ จํานวน 2.45 ล้านหยวน (ประมาณ 10 ล้านบาท) ได้แก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะได้ดําเนินโครงการฯ ต่อไปโดยเริ่มดําเนินการภายในเดือนธันวาคม 2562
โครงการวิจัยร่วม ฯ มีระยะเวลา 1 ปี ( พ.ศ. 2562-2563 หรือ ค.ศ. 2019-2020 ) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําร่วมกันระหว่างประเทศไทย – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมถึงหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการกักเก็บน้ําในฤดูแล้งและระบายน้ําในแม่น้ําสาย-แม่น้ํารวก โดยมีการดําเนินการ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในพื้นที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย เพื่อจัดทําแบบจําลองสําหรับใช้ประเมินด้านน้ําท่วมและน้ําแล้ง เพื่อการบริการจัดการทรัพยากรน้ําข้ามพรมแดนของทั้งสองประเทศ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านเทคนิค และสร้างองค์ความรู้ด้านเทคนิคและวิชาการให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย
24. เรื่อง การให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สําหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ําครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง- ล้านช้าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สําหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ํา ครั้งที่1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้างช้าง ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําในร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สทนช. สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ตามที่สํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เสนอ
เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ําครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2562 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสําคัญดังนี้
1. รับทราบความคืบหน้าของความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ําของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ฯ เช่น ความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ําแม่โขง-ล้านช้างระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561-2565 การจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านทรัพยากรน้ําภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เป็นต้น
2. รับทราบความสําคัญของการบริหารจัดการน้ําของประเทศสมาชิก เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การป้องกันอุทกภัย และผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. สิ่งที่ต้องดําเนินงานต่อไป เช่น ร่วมกันนําผลการประชุมระดับผู้นําไปปฏิบัติ สนับสนุนความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ําแม่โขง-ล้านช้าง ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561-2565 ร่วมกันเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิกในการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยและเพิ่มความร่วมมือด้านการแบ่งปันข้อมูล เป็นต้น
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ เอเชีย – ยุโรป ครั้งที่ 14 และหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14ตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญร่างแถลงประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่14 เป็นการแสดงความมุ่งมั่นของสมาชิกการประชุมเอเชีย-ยุโรป ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิกให้ความสําคัญ ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
1. บทนํา กล่าวถึงบทบาทของการประชุมเอเชีย-ยุโรป ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุภาคีและการค้าระหว่างประเทศที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์ความร่วมมือตามหลักการของสหประชาชาติและองค์กรการค้าโลก ความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดจนประเด็นระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ในรัฐยะไข่ และอิหร่าน เป็นต้น
2. ด้านความมั่นคง กล่าวถึงประเด็นความร่วมมือด้านการต่อต้านก่อการร้ายความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลและความมั่นคงทางไซเบอร์
3. ประเด็นสําคัญของโลก กล่าวถึงความร่วมมือในการดําเนินการเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแก้ไขปัญหาขยะทะเล
4. ความเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน กล่าวถึงการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรปในด้านต่างๆทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง พลังงาน ดิจิทัล และการติดต่อในระดับประชาชน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกําหนดการจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2562 โดยจะมีการออกแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 เพื่อเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม
26. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9 และมอบหมายให้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการจัดการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) และการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (JHC) ต่อไป ทั้งนี้ หากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Joint Coordinating Committee for the Comprehensive Development of the Dawei Special Economic Zone and its Related Projects Areas: JCC)
สาระสําคัญของผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562
ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยที่ประชุมมีมติรับทราบ 5 ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) ผลการประชุมคณะกรรมการ JCC ครั้งที่ 8 2) ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก 3) ความคืบหน้าโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา 4) แผนการเริ่มพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะสมบูรณ์ควบคู่ไปกับโครงการทวายระยะแรก ฯ และ 5) แผนการจ่ายไฟฟ้าในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของเมียนมา รวมถึงเห็นชอบให้ศึกษาบทบาทและโครงสร้างปัจจุบันของ SVP นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุม JCC ครั้งที่ 10 ในปี 2563 ณ ประเทศไทย และหารือ การจัดการประชุม JHC ในโอกาสต่อไป
27. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี และเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคําร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ถอนคําคัดค้านของไทยต่อการเปลี่ยนระบบการนําเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์ของสาธารณรัฐเกาหลีภายหลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สาระสําคัญของร่าง AGREEMENT BETWEEN THE GOVERNMENTS OF AUSTRALIA, THE PEOPLES’S REPUBLIC OF CHINA, THE REPUBLIC OF KOREA, THE KINGDOM OF THAILAND, THE UNITED STATES OF AMERICA, AND THE SOCIALIST REPUBLIC OF VIET NAM มีสาระสําคัญ ดังนี้
1. โควตาภาษีสินค้าข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้องค์การการค้าโลก ปริมาณรวมทั้งสิ้น 408,700 ตัน จะถูกนําไปจัดสรรปริมาณ เป็น 1) โควตารายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย 15,595 ตัน สาธารณรัฐประชาชนจีน 157,195 ตัน ไทย 28,494 ตัน สหรัฐอเมริกา 132,304 ตัน และเวียดนาม 55,112 ตัน และ 2) โควตาทั่วไปสําหรับสมาชิกองค์การการค้าโลกทุกประเทศ ประมาณ 20,000 ตัน
2. สาธารณรัฐเกาหลีจะสนับสนุนให้การประมูลการนําเข้าข้าวภายใต้โควตารายประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในการประมูลข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีจะสงวนสิทธิ์ในการประมูลใหม่ หากราคาที่ยื่นเสนอในการประมูลมีราคาสูงอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเปรียบเทียบกับราคาข้าวในตลาดโลกสําหรับชนิดและคุณภาพของข้าวที่เทียบเคียงกันได้ ทั้งนี้ หากไม่สามารถหาข้อสรุปการประมูลภายใต้โควตารายประเทศได้ภายใน 3 ครั้ง หน่วยงานที่มีหน้าที่บริหารจัดการการประมูลอาจนําโควตารายประเทศนั้นมาเปิดการประมูลใหม่ภายโควตาทั่วไปซึ่งจะเป็นโควตารายปี
3. ภาคีทั้ง 5 ประเทศภายใต้ร่างข้อตกลงนี้ อาจขอหารือกับสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับโควตาภาษีสินค้าข้าวได้ โดยให้มีการหารือภายใน 30 วันหลังจากมีการยื่นคําขอ หรือโดยเร็วที่สุดหลังครบกําหนดเวลา 30 วันดังกล่าว ในกรณีที่มีเหตุล่าช้าซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
4. ในปีที่ 10 หลังจากความตกลงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สาธารณรัฐเกาหลีอาจทบทวนปริมาณการจัดสรรโควตารายประเทศตามที่ระบุไว้ในความตกลงนี้ โดยพิจารณาจากความต้องการในประเทศและสถานการณ์การค้าข้าวโลก อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐเกาหลีจะไม่ปรับปริมาณโควตารายประเทศ หากภาคีทั้ง 5 ไม่ยินยอม
28. เรื่อง ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายบัลแกเรีย เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ นอกเหนือจากที่ปรากฏ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดําเนินการได้ โดยนําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
1. ความตกลงฯ อนุญาตให้บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ เดินทางเข้า พํานัก และออกจากดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่ต้องรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งของ 180 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลเหล่านั้นจะไม่ทํางาน ไม่ว่าการทํางานนั้นจะเป็นการดําเนินกิจการของตนเอง หรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่าย ตามข้อ 1 สามารถเดินทางเข้า แวะผ่าน หรือเดินทางออกจากดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง ณ ด่านใด ๆ ซึ่งเปิดสําหรับการสัญจรของผู้โดยสารระหว่างประเทศ และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อเดินทางเข้าและพํานักในดินแดนของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
3. ความตกลงฯ จะไม่กระทบต่ออํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการปฏิเสธการเข้าเมือง หรือการลดหรือยกเลิกระยะเวลาการพํานักของคนชาติของภาคีฝ่ายหนึ่งตามกฎหมายภายในประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ
4. ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการบังคับใช้ความตกลงฯ ทั้งหมดหรือเฉพาะส่วนเป็นการชั่วคราวด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะหรือการสาธารณสุข โดยจะต้องแจ้งเหตุผลของการระงับใช้ให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูตในโอกาสแรกก่อนที่การระงับใช้จะมีผลใช้บังคับ การยกเลิกการระงับใช้ จะต้องแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูตในโอกาสแรกก่อนการใช้บังคับของการยกเลิกการระงับใช้ดังกล่าว
5. ความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 60 นับจากวันที่คู่ภาคีได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายผ่านช่องทางการทูตว่าคู่ภาคีได้แจ้งอีกฝ่ายหนึ่งแล้วถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จําเป็นของตนสําหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ และความตกลงฯ ไม่มีกําหนดระยะเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการบอกเลิกความตกลงนี้ ภาคีฝ่ายนั้นจะต้องแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต ความตกลงฯ จะสิ้นสุดการมีผลใช้บังคับในวันที่ 30 นับจากวันที่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งดังกล่าว
29. เรื่อง ร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ทั้งนี้หากก่อนลงนามมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสําคัญ ให้กระทรวงยุติธรรมหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดําเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสําคัญของร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับดังกล่าว มีทั้งสิ้น จํานวน 7 วรรค โดยแต่ละวรรคมีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
วรรค 1 วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น – ไทย ในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ข้อมูล และองค์ความรู้ทางด้านกฎหมาย
วรรค 2 ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ ด้านระบบและการดําเนินงานในการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิด การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาบุคลากรในการบริหารงานยุติธรรม การบริหารข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบกระบวนการยุติธรรม และด้านอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน
วรรค 3 กิจกรรมความร่วมมือ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและการปฏิบัติที่เป็นเลิศ การจัดการอบรม สัมมนาและการฝึกอบรม รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎหมาย
วรรค 4 กรอบความร่วมมือซึ่งกําหนดให้สอดคล้องกับภารกิจ อํานาจหน้าที่และกรอบกฎหมายของหน่วยงานของทั้งสองฝ่ายและเป็นไปตามข้อจํากัดด้านงบประมาณ กําลังคน ทั้งนี้ จะไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณใด ๆ แก่ทั้งสองฝ่าย
วรรค 5 หน่วยงานผู้ประสานงานของทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายไทย คือ กองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และฝ่ายญี่ปุ่น คือ กองการต่างประเทศ สํานักเลขาธิการรัฐมนตรี
วรรค 6 การแก้ไข ซึ่งกําหนดให้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับนี้ อาจมีแก้ไขได้เมื่อได้ตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร
วรรค 7 การเริ่มต้นและสิ้นสุดของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ โดยให้เริ่มในวันที่มีการลงนามและสิ้นสุดภายใน 90 วัน หลังจากฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร
30. การจัดทําความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจัดทําความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ และหนังสือแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือความตกลงฯ และหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยดําเนินการได้ โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และอนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจําสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสําคัญของร่างความตกลงฯ มีพันธกรณีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม และการนําเข้าวัสดุอุปกรณ์โดยปลอดภาษีอากรสําหรับการประชุมตามที่กําหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดําเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชํานัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 และพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เป็นกฎหมายอนุวัติการรับรองอยู่แล้ว
2. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (สธท.) และสํานักงาน UNODC จะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ของร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ ได้มีการแบ่ง ความรับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
3. ร่างความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ฝ่ายไทยมีหนังสือตอบโดยให้ถือว่าการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกันเพียงอย่างเดียว ก็มีผลให้เกิดเป็นความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยและสํานักงาน UNODC โดยไม่ต้องมีการลงนามในหนังสือสองฝ่าย
4. การให้การสนับสนุนงบประมาณแก่สํานักงาน UNODC สําหรับการจัดกิจกรรมดังกล่าวจํานวนทั้งสิ้น 152,000 เหรียญสหรัฐ (หนึ่งแสนห้าหมื่นสองพันเหรียญสหรัฐ) และงบประมาณการดําเนินการในส่วนอื่น ๆ ที่ สธท. เป็นผู้รับผิดชอบ จะเบิกจ่ายงบประมาณ สธท. ประจําปี พ.ศ. 2562 ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วสําหรับโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การอนุวัติมาตรฐานและบรรทัดฐานของสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา
31. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สาระสําคัญของกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส มีหลักการสําคัญ ได้แก่
1. ประเทศคู่ภาคีจะยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศซึ่งออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
2. การใช้ใบอนุญาตขับรถภายในประเทศภายใต้ร่างความตกลงฯ ทั้งสองฉบับจะเป็นการใช้แบบชั่วคราว
3. ใบอนุญาตขับรถภายในประเทศภายใต้ความตกลงฯ จะต้องมีภาษาอังกฤษกํากับโดยใช้แนวทางของหลักการตามที่กําหนดไว้ในความตกลงว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศที่ออกโดยประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดกับกฎระเบียบภายในประเทศของไทยที่มีอยู่ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและประโยชน์ของประเทศเป็นสําคัญ
แต่งตั้ง
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ตําแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองตําแหน่งเดิมเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
2. นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รองอธิบดีกรมสรรพากร ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางวิมล สุวรรณเกษาวงษ์ ผู้อํานวยการกองแผนงานและวิชาการ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 3 ราย ดังนี้
1. นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สํานักงานปลัดกระทรวง ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
2. นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
3. นายอัมพร พินะสา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สํานักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 4 ราย ดังนี้
1. นายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมพล โนดไธสง รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
3. นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
4. นายสุระ เพชรพิรุณ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ดํารงตําแหน่ง
ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่ง
ที่ว่าง
36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ รวม 6 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ประธานกรรมการ
2. นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายดุสิต เครืองาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายธวัช ชิตตระการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นางศศิวิมล มีอําพล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายพีรเดช ทองอําไพ ประธานกรรมการ
2. นายชูกิจ ลิมปิจํานงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายธรรมศักดิ์ สัมพันธ์สันติกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายพินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายมนูญ สรรค์คุณากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายรัตติกร ยิ้มนิรัญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายเรืองศักดิ์ ทรงสถาพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ดังนี้
1. นายปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
2. พลเอก มโน นุชเกษม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. พันตํารวจเอก ญาณพล ยั่งยืน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมศาสตร์
4. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
5. นายวิเชฐ ตันติวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน 6. นายบดินทร์ ทรัพย์สมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข
7. รองศาสตราจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
39. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จํานวน 7 คน ดังนี้
1. นายอัครา พรหมเผ่า เป็นกรรมการ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
2. นายศุภฤกษ์ เอี่ยมลออ เป็นกรรมการ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
3. นายมงคล ลีลาธรรม เป็นกรรมการ
4. นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา เป็นกรรมการ
5. นายธนา ธรรมวิหาร เป็นกรรมการ
6. พลตํารวจโท ภานุรัตน์ หลักบุญ เป็นกรรมการ
7. พันตํารวจเอก อธิศวิส กมลรัตน์ เป็นกรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
**************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ธันวาคม 2562
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ธันวาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
วันนี้ (11 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กําหนด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา 00.02 ของวันที่ 3 มกราคม 2563)
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 3 ฉบับ
7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนด เขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
12. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
13. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
15. เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม
16. เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว)
17. เรื่อง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีสําหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลาย ปี 2562
19. เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า
20. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2563
ต่างประเทศ
21. เรื่อง การจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต และหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ
22. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจําปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง
23. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง- ล้านช้าง ระหว่างสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กับสถาน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจําประเทศไทย
24. เรื่อง การให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สําหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ําครั้งที่ 1 ภายใต้ กรอบความร่วมมือแม่โขง -ล้านช้าง
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
26. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9
27. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยม เวียดนาม ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าว มายังสาธารณรัฐเกาหลี
28. เรื่อง ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและ หนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ
29. เรื่อง ร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงาน ยุติธรรม
30. เรื่อง การจัดทําความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
31. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส
แต่งตั้ง
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรรม)
36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
37. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
39. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
*******************
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กําหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2563)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กําหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบังและทางแยกเข้าพัทยา ตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา พ.ศ. 2561 และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน พ.ศ. 2555 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 มกราคม 2563
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จํานวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... 3) ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกําหนดเวลา พ.ศ. .... 4. ร่างกฎกระทรวงกําหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1 กําหนดค่าธรรมเนียมการคัดและรับรองสําเนารายการทะเบียนบ้าน ค่าธรรมเนียมการแจ้งเกิด การตาย และการย้ายที่อยู่ ค่าธรรมเนียมการขอสําเนาทะเบียนบ้านแทนฉบับที่สูญหาย กําหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมการคัดสําเนาหรือการคัดและรับรองสําเนารายการทะเบียนราษฎร เพื่อใช้ใน การบางอย่าง เช่น การศึกษา การศาสนา และการยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งการเกิด การตาย ที่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่นและการขอรับสําเนาทะเบียนบ้านแทนฉบับที่สูญหายในเขตท้องที่ที่ประสบสาธารณภัย
2. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
2.1 กําหนดให้มีการแจ้งการเกิดและการตายสําหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยทุกคนที่เกิดหรือตายในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
2.2 กําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบสําคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสําคัญประจําตัวคนต่างด้าว คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลาตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนด ปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน การแจ้งการย้ายที่อยู่ การสํารวจตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร การจัดทําทะเบียนประวัติ และการจัดทําบัตรประจําตัว
2.3 กําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องนอกจากกลุ่มที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนด เช่น กลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ รวมถึงบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรปฏิบัติเกี่ยวกับการสํารวจตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร การจัดทําประวัติ การแจ้งการย้ายที่อยู่ และการจัดทําบัตรประจําตัว
2.4 กําหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลาน้อยกว่าหกเดือน รวมถึงบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร
2.5 กําหนดระยะเวลาที่คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยจะต้องยื่นคําร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านหรือขอจัดทําทะเบียนประวัติให้ชัดเจน
2.6 กําหนดค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียม
3. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3 กําหนดค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอที่ผู้มีหน้าที่แจ้งหรือขอได้แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งเพื่อพ้นกําหนดเวลาที่กฎหมายกําหนด ได้แก่ การแจ้งการเกิด การตาย การจัดการศพ การย้ายที่อยู่ การขอเลขที่บ้าน การขอเพิ่มชื่อหรือจัดทําทะเบียนประวัติของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย การแก้ไขปรับปรุงรายการทะเบียนบ้าน การรื้อถอนบ้าน และการแจ้งย้ายบ้านที่เคลื่อนย้ายได้ กําหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกําหนดเวลา ในกรณีมีเหตุจําเป็นที่ทําให้ผู้แจ้งหรือผู้ขอไม่สามารถแจ้งหรือขอได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด เช่น เกิดภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติในบริเวณท้องที่ที่อยู่อาศัย เป็นผู้พิการทางกายเดินไม่ได้ เป็นใบ้ ตาบอดทั้งสองข้าง เป็นต้น
4. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 4 กําหนดอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่จําต้องกําหนดเลขประจําอาคารและจัดทําทะเบียนอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เช่น โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่สร้างด้วยวัสดุถาวร มีพื้นที่ภายในที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปใช้สอยหรือใช้ประโยชน์ได้ ได้แก่ อาคารเพื่อการพาณิชยกรรม อาคารเพื่อการบริการสาธารณะ อาคารเพื่อประกอบกิจการหรือใช้เป็นสํานักงานหรือที่ทําการของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชน คลังสินค้า โรงงาน
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือ บางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอและให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตําบลแม่นาเติง ตําบลเวียงเหนือ ตําบลเวียงใต้ ตําบลแม่ฮี้ และตําบลทุ่งยาว อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อประโยชน์ในด้านการผังเมืองและการสถาปัตยกรรม
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดหินเป็นหินประดับหรือหินอุตสาหกรรม และดินหรือทราย เป็นดินอุตสาหกรรมหรือทรายอุตสาหกรรม พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้หินที่สามารถทําเป็นแผ่นหรือรูปทรงอื่นใดเพื่อการประดับหรือตกแต่งได้เป็นหินประดับ ได้แก่ หินกรวดมน หินกรวดเหลี่ยม หินแกรนิต หินชนวน หินทราย หินทราเวอร์ทีน หินนาคกระสวย หินไนส์ หินบะซอลต์ และหินปูน
2. กําหนดให้หินตาม 1. ซึ่งมีคุณภาพไม่เหมาะสมที่จะทําให้เป็นหินประดับและหินชนิดอื่นนอกจากหินตาม 1. เป็นหินอุตสาหกรรม
3. กําหนดชนิดของดินให้เป็นดินอุตสาหกรรม ได้แก่ ดินขาว ดินซีเมนต์ ดินทนไฟ ดินเบาหรือไดอะทอไมต์หรือไดอะตอมเมเชียสเอิร์ท ดินมาร์ล เว้นแต่ดินมาร์ลที่นําไปผ่านกระบวนการแต่งเป็นดินสอพองและใช้เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมพื้นบ้าน ดินเหนียวสีเว้นแต่ดินเหนียวสีที่ใช้เพื่อประโยชน์ในงานหัตถกรรมหรืออุตสาหกรรมพื้นบ้าน และบอลเคลย์
4. กําหนดให้ทรายแก้วหรือทรายซิลิกาเป็นทรายอุตสาหกรรม
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการจัดทํากฎหมายลําดับรองได้ภายในกําหนดสองปีนับแต่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียม และกําหนดคุณสมบัติของผู้ถือประทานบัตร ผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่ หรือผู้รับใบอนุญาตประกอบ โลหกรรมที่มีสิทธิได้รับการยกเว้น หรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปี โดยต้องเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคม มีการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านสิ่งแวดล้อม และผ่านเกณฑ์มาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว หรือตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กําหนด และได้รับการประกาศรายชื่อจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตรที่มีมาตรฐานสูงกว่าหรือเทียบเท่า
2. กรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังคงรักษาเกณฑ์มาตรฐานการประกอบกิจการได้สูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกําหนด หรือเทียบเท่าอย่างต่อเนื่องและได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตร ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากที่มีการประกาศรายชื่อ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับการลดค่าธรรมเนียมเป็นจํานวนกึ่งหนึ่งของอัตราค่าธรรมเนียมตามที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง
3. กรณีสถานประกอบกิจการประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หากในปีนั้นได้ชําระค่าธรรมเนียมรายปีไว้แล้วให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่ประสบเหตุทางธรรมชาติ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน
พ.ศ. 2535 จํานวน 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งในกรณีได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตขยายโรงงานตามมาตรา 18/1
2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการแจ้งการเพิ่มจํานวน เปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกําลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการบําบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรําคาญหรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่น หรือการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงาน หรือ การก่อสร้างอาคาร โรงงานเพิ่มขึ้นตามมาตรา 19
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ การแจ้งเพิ่มประเภท หรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิมตามมาตรา 19/1 และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1
1.1 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะขยายโรงงานตามมาตรา 18 แต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามมาตรา 18/1 ให้แจ้งผู้อนุญาตทราบเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนการดําเนินการ
1.2 แบบใบแจ้งให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.3 กําหนดสถานที่แจ้ง กรณีโรงงานตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด
1.4 กําหนดให้การแจ้งและการแจ้งผลการพิจารณาสามารถแจ้งผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
1.5 กําหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบและระยะเวลาพร้อมการแจ้งผลการตรวจสอบโดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน ผู้อนุญาตต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน และแจ้งผลการตรวจสอบภายใน 5 วัน โดยระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดนี้จะต้องไม่รวมถึงกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้อนุญาตมีคําสั่งให้คืนใบแจ้งเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน หรือมีคําสั่งให้ผู้แจ้งดําเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงสถานที่ตั้งโรงงาน อาคารโรงงาน เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นํามาใช้ในโรงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์ หรือระยะเวลาที่ต้องไปรับความเห็นชอบอนุญาต หรืออนุมัติจากหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ (ถ้ามี)
2. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
2.1 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะดําเนินการตามมาตรา 19 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการดําเนินการ
2.2 กําหนดให้การแจ้งกรณีที่มีการเพิ่มจํานวน เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกําลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการบําบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรําคาญ หรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่นทําให้เครื่องจักรมีกําลังรวมลดลงหรือเพิ่มขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นขยายโรงงาน ผู้แจ้งต้องยื่นเอกสารแสดงแบบแปลนเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ดังกล่าวพร้อมกับการแจ้งด้วย
2.3 กําหนดให้การแจ้งกรณีที่มีการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานออกไปหรือกรณีที่มีการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นใหม่ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของโรงงานนั้นโดยตรง ผู้แจ้งต้องยื่นแบบแปลนแสดงการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานหรือการก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นเพื่อแสดงถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย
2.4 กําหนดสถานที่แจ้ง โดยกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด
2.5 กําหนดให้การแจ้งสามารถผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
3. ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3
3.1 กําหนดความหมายของคําว่า “เพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิม” รวมทั้งกําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผู้ใดประสงค์จะดําเนินการตามมาตรการ 19/1 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนมีการดําเนินการ
3.2 กําหนดให้การแจ้งตามมาตรการ 19/1 ผู้แจ้งต้องยื่นเอกสารแสดงถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระบวนการผลิต วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ มาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย มาพร้อมกับการแจ้งฯ ด้วย
3.3 กําหนดสถานที่แจ้งโดยกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร แจ้งได้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนกรณีที่โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร แจ้งที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในเขตท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่ หรือสถานที่อื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด
3.4 กําหนดให้การแจ้งและแจ้งผลการพิจารณาสามารถดําเนินการผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแล้วแต่กรณี
3.5 กําหนดระยะเวลาการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่เกิน 7 วัน ผู้อนุญาตไม่เกิน 3 วัน และแจ้งผลการพิจารณาไม่เกิน 2 วัน โดยระยะเวลาดังกล่าวนี้ไม่รวมถึงวันที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้อนุญาตมีคําสั่งให้คืนใบแจ้งเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนหรือมีคําสั่งให้ผู้แจ้งไปดําเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงสถานที่ตั้งโรงงาน อาคารโรงงาน เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นํามาใช้ในโรงงานให้ถูกต้องสมบูรณ์หรือระยะเวลาที่ต้องได้รับความเห็นชอบ อนุญาต หรืออนุมัติจากหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ หรือระยะเวลาที่มีผู้โต้แย้งเกี่ยวกับการเพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานดังกล่าว
7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างประกาศ
ให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตําบลวัดเกต ตําบลหนองหอย อําเภอเมืองเชียงใหม่ ตําบลหนองผึ้ง ตําบลยางเนิ้ง และตําบลสารภี อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน พ.ศ. 2558 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 4 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวงฯ
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... กําหนดให้ส่วนราชการที่รับชําระภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หักค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 3 ของภาษีที่รับชําระไว้แทน และให้นําส่งภาษีหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วให้แก่ อปท. ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ พ.ศ. ....
2.1 กําหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.1.1 ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทําประโยชน์ได้ แต่ไม่มีการทําประโยชน์ในที่ดินนั้นตลอดปีที่ผ่านมา เว้นแต่การที่ไม่สามารถทําประโยชน์นั้นเนื่องจากมีเหตุธรรมชาติหรือเหตุพ้นวิสัย
2.1.2 สิ่งปลูกสร้างที่โดยสภาพทําประโยชน์ได้ แต่ถูกทิ้งร้างและไม่มีการทําประโยชน์ในสิ่งปลูกสร้างนั้นตลอดปีที่ผ่านมา
2.2 กําหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
2.2.1 ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทําประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม แต่มีการทําประโยชน์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนด ตลอดปีที่ผ่านมา
2.2.2 สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงเสร็จแล้ว และโดยสภาพสามารถทําประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม หรือเป็นที่อยู่อาศัย หรือทําประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่การทําประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไม่รวมถึงที่ดินที่อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อทําประโยชน์หรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกรอนสิทธิในการทําประโยชน์โดยกฎหมาย หรือโดยคําสั่งหรือคําพิพากษาของศาล หรือที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง โดยในการพิจารณาว่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างใดเป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ให้คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิประเทศ สภาพดิน ความลาดชันของพื้นดิน และการทําประโยชน์ของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในบริเวณใกล้เคียง
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... กําหนดให้ อปท. จัดทําประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นที่จําเป็นตามลักษณะการใช้ประโยชน์ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีแต่ละราย ตามแบบ ภ.ด.ส. 1 และ ภ.ด.ส. 2 และให้ อปท. ปิดประกาศก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของทุกปี โดยให้แสดงไว้ ณ สํานักงานหรือที่ทําการของ อปท. และสถานที่อื่นใดที่ประชาชนเข้าถึงได้ หรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของ อปท.
4. ร่างกฎกระทรวงการผ่อนชําระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... กําหนดให้ผู้เสียภาษีที่มีวงเงินตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ยื่นหนังสือขอผ่อนชําระภาษีต่อ อปท. ภายในเดือนเมษายนของปี และกําหนดเวลาผ่อนชําระภาษี 3 งวด งวดละเท่า ๆ กัน (เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน)
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอํานวยความสะดวกแก่การจราจร
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดําเนินการต่อไป
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตร เพื่อให้สามารถกําหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเพื่อการรับรองเฉพาะด้าน โดยกําหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติมขึ้นเป็นอีกเครื่องหมายหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานตามมาตรฐานสากล รายละเอียดดังนี้
1. กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
2. กําหนดให้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรมีลักษณะดังนี้
2.1 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานบังคับสําหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานบังคับ มีลักษณะเป็นรูปอักษรคิวสีเขียวทรงกลม อยู่ในกรอบหกเหลี่ยมสีเขียว และมีส่วนสัดตามแบบ ก.ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
2.2 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสําหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไป มี 2 ลักษณะ ดังนี้
(1) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสําหรับสินค้าเกษตร มีลักษณะเป็นรูปอักษรคิวสีเขียวทรงกลม และมีส่วนสัดตามแบบ ข. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
(2) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสําหรับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไปที่เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมขอบสีดําพื้นสีขาวด้านล่างมีอักษรว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” สีเขียวเข้ม ภายในมีรูปวงกลมสีเขียวอ่อนและมีอักษรภาษาอังกฤษว่า “Organic” สีเขียวเข้มอยู่เหนืออักษรภาษาอังกฤษว่า “Thailand” สีดําใต้ตัวอักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นสามเส้น สีแดง สีน้ําเงิน และสีแดง ตามลําดับ และมีส่วนสัดตามแบบ ค. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้
ทั้งนี้ สีตามที่ระบุไว้ใน (2.1) และ (2.2) สามารถใช้สีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียว ซึ่งเห็นได้ง่ายและชัดเจนก็ได้
3. กําหนดให้ผู้ได้รับใบรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรเป็นผู้จัดทําเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน และกําหนดให้การแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานให้แสดงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้รับการรับรองให้แสดงให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนไว้ที่สินค้าเกษตร และจะแสดงไว้ที่สิ่งบรรจุ หีบห่อ สิ่งหุ้มห่อ สิ่งผูกมัด หรือป้ายของสินค้า สถานประกอบการ เอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีกด้วยก็ได้
4. กําหนดให้การรับรองมาตรฐานกระบวนการจัดการการผลิตให้แสดงไว้ที่สถานประกอบการ เอกสารกํากับสินค้า หรือเอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์
5. กําหนดให้การแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานให้ระบุ (1) ชื่อผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน (2) มาตรฐานสินค้าเกษตรที่ให้การรับรอง (3) ชื่อผู้ได้รับใบรับรองไว้ใต้เครื่องหมายรับรองมาตรฐาน
6. กําหนดให้สินค้าเกษตรที่จะแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานได้รับใบรับรองตามมาตรฐานตั้งแต่สองมาตรฐานขึ้นไป อาจระบุรายละเอียดตามข้อ 5. ทุกมาตรฐานไว้ใต้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานแบบเดียวกันก็ได้
7. กําหนดให้การแสดงหรือใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรเกี่ยวกับมาตรฐานกระบวนการจัดการการผลิต ให้ระบุชื่อเต็มหรือชื่อย่อของมาตรฐานไว้ให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนด้วย
8. กําหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรที่ได้แสดงไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบรับรองมาตรฐานสําหรับสินค้าเกษตรนั้นสิ้นอายุ
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ
การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุ การออกใบแทน การสั่งพักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต เป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สํานักงาน ก.พ.ร. และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการจัดทําร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1. ได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอและการออกใบอนุญาต คุณสมบัติของผู้ชํานาญการ การสั่งพักและเพิกถอนใบอนุญาต การควบคุมการปฏิบัติงานของผู้ได้รับใบอนุญาตของผู้มีสิทธิทํารายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รายละเอียดดังนี้
1. ให้ยกเลิก
1.1 กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2529) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518
1.2 ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
2. กําหนดใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระและนิติบุคคล โดยมีค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ปีละ 5,000 บาท
3. กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาต ดังนี้
3.1 ผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระต้องมีสัญชาติไทย สําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ปริญญาโท และปริญญาเอกมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี สามปี และหนึ่งปี ตามลําดับ จากสถาบันการศึกษาที่สํานักงาน ก.พ. รับรอง
3.2 ผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนิติบุคคลต้องจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย มีจํานวนหุ้นของผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ด ซึ่งมีสิทธิในการออกเสียงและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
4. กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ประจํานิติบุคคลผู้ได้รับอนุญาต ต้องเป็นผู้ที่สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าระดับปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สํานักงาน ก.พ. ไม่เคยมีส่วนร่วมในการจัดทําหรือให้การรับรองรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานเกี่ยวกับการศึกษาและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในส่วนที่เป็นเท็จ หรือประมาทเลินเล่อจนอาจเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
5. กําหนดรายละเอียดในการยื่นคําขอรับใบอนุญาต เอกสารและหลักฐาน โดยอาจให้ยื่นผ่านทางสื่อระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนได้ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบผลงาน ปริมาณงาน และสอบสัมภาษณ์ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประเมินความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
6. กําหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคําขอรับใบอนุญาต เอกสาร และหลักฐาน รวมทั้งการประเมินความรู้ ความสามารถ และความพร้อมในการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เงื่อนไข และสิทธิของผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแต่ละประเภท ในการจัดทํารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสําคัญอื่นใด ของประชาชนหรือชุมชน หรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง แล้วแต่กรณี
7. กําหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้จัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอิสระมีหน้าที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการผู้ชํานาญการเพื่อประกอบการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ควบคุมคุณภาพในการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีรายละเอียดถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามหลักวิชาการ
8. กําหนดให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการทําหน้าที่ของผู้ได้รับใบอนุญาตเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนกับเจ้าของโครงการ กิจการหรือการดําเนินการที่ตนรับจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเตือน การพักใช้ การเพิกถอนใบอนุญาต และการอุทธรณ์คําสั่ง
12. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 ในส่วนขององค์ประกอบของ กปส. โดยปรับเพิ่ม 5 ตําแหน่ง ได้แก่ (1) ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง และ (2) ที่ปรึกษาพิเศษของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เป็นที่ปรึกษา และ (3) ผู้แทนสํานักพระราชวัง (4) เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ (5) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นกรรมการ ทั้งนี้ สําหรับราชเลขาธิการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ตัดออกจากการเป็นกรรมการ นอกจากนี้ เห็นควรแก้ไข การกําหนดตําแหน่ง “ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เป็น “ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562 ด้วยในคราวเดียวกัน
เศรษฐกิจ - สังคม
13. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการปรับเพิ่มกรอบอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่กองร้อยอาสารักษาดินแดนอําเภอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการ ก่อนดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดําเนินการดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณ ที่เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มอัตรากําลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ใช้จ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้เสนอตั้งไว้ในขั้นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้หรือเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เท่าที่จําเป็นอย่างประหยัดตามขั้นตอนต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น 458.93 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรจุสั่งใช้กําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา ซึ่งเป็นอัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขอปรับเพิ่มกรอบอัตรากําลังเป็น 12 อัตรา/กองร้อยอาสารักษาดินแดนอําเภอ จํานวน 599 กองร้อย เพื่อให้กองอาสารักษาดินแดนอําเภอทั่วประเทศ (878 กองร้อย) มีกรอบอัตรากําลังทิศทางเดียวกัน สรุปได้ ดังนี้
(ตารางนี้สามารถดาวน์โหลดในเอกสารสรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี)
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการบรรจุสั่งใช้อัตรากําลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จํานวน 2,247 อัตรา เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ เช่น 1) ค่าตอบแทนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน รวมค่าครองชีพ ขั้นที่ 1 2) ค่าเบี้ยเลี้ยงสนามและค่าเสบียงสนาม 3) ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 4) ค่าการศึกษาของบุตรเฉลี่ย และ 5) ค่าการฝึกอบรม เป็นต้น
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้แก่
รายการ
กําหนดการ
สถานที่
1. การประชุมคณะกรรมการบริหารสหพันธ์กีฬาโรงเรียนแห่งเอเชีย (Asian School Sport Federation: ASSF) การประชุมคณะกรรมการด้านเทคนิคของ ASSF และ ASSF Forum ครั้งที่ 8
16 – 20 ธันวาคม 2562
เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
2. การประชุมสมัชชาใหญ่ของสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย (Asian Schools Football Federation: ASFF) และการประชุมคณะกรรมการด้านเทคนิคของ ASFF
มีนาคม 2563
จังหวัดภูเก็ต
3. การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 48
1 – 9 เมษายน 2563
จังหวัดสงขลา
4. การแข่งขันฮอกกี้นักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 6
กรกฎาคม 2563
จังหวัดปทุมธานี
ในวงเงินงบประมาณ 15,000,000 บาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา และประมาณการรายรับจากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าร่วมการแข่งขัน จํานวน 46,860 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,405,800 บาท
สาระสําคัญของเรื่อง
กก.รายงานว่า
1. กก. (กรมพลศึกษา) ในฐานะสมาชิก ASSF และ ASFF ในนามประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ของ ASSF เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ และการประชุมสมัชชาใหญ่ของ ASFF เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมรวม 4 รายการ
2. ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา ค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง จํานวน 4 รายการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา จํานวน 15,000,000 บาท
3. การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติให้เป็นที่ประจักษ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) รวมทั้งสนับสนุนการจัดประชุมองค์กรกีฬานักเรียนระดับนานาชาติในประเทศไทย เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการ ในขณะเดียวกันเป็นการพัฒนาการกีฬาในระดับนักเรียน เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงทักษะด้านกีฬา คัดเลือกนักกีฬาที่มีความสามารถดีเด่นจากทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและพัฒนานักกีฬาระดับนักเรียนไปสู่การแข่งขันในระดับที่สูงขึ้นและระดับนานาชาติต่อไป ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่กีฬาอาชีพในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ
15. เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
เห็นชอบในการอนุมัติเปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม ปริมาณ 2,993.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 และยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 เรื่อง การบริหารจัดการนมทั้งระบบ เนื่องจากเป็นการพิจารณาจัดสรรให้ผู้ประกอบการตามความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
มอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตาในข้อ 1. ให้ ผู้ประกอบการตามความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต โดยต้องนําเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ํานมโคจากเกษตรกร
สาระสําคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้านมผงขาดมันเนยตามความตกลงการการค้าระหว่างประเทศ ประจําปี 2562 รวม 58,312.74 ตัน โดยเก็บภาษีในโควตาเท่าเดิมตามที่เก็บจริงในอัตราภาษีร้อยละ 5 และแบ่งจัดสรรเป็น 2 กลุ่มโดยผู้ประกอบการในกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ํานมดิบ) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 80 เป็นจํานวน 46,650.20 ตัน และให้ผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 20 เป็นจํานวน 11,662.54 ตันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรโควตานําเข้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ความตกลง/ปริมาณ
เปิดตลาด (ตัน)
ปริมาณจัดสรร
(ตัน)
ความตกลง
กลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (ร้อยละ 80)
กลุ่มนิติบุคคลที่ 2
(ร้อยละ 20)
WTO และ TAFTA
งวดที่ 1 (ร้อยละ 90)
52,210.42
WTO
39,359.08
9,839.76
TAFTA
2,409.26
602.32
งวดที่ 2 (ร้อยละ 10)
5,801.16
WTO
4,640.93
1,160.23
TAFTA
-
-
TAFTA
(Specific Quota)
งวดเดียว 301.16
TAFTA
240.93
60.23
รวมปริมาณเปิดตลาด
58,312.74
46,650.20
11,662.54
2. คณะอนุกรรมการพิจารณาจัดสรรโควตาและอัตราภาษีนําเข้านมผงขาดมันเนย นมดิบ และนมพร้อมดื่มในการประชุมครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ได้พิจารณาการจัดสรรโควตานําเข้านมผงขาดมันเนยส่วนโควตาคืนและพิจารณาโควตาเพิ่มเติมโดยมีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม เบื้องต้นปริมาณไม่เกิน 5,719.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 เนื่องจากโควตา ปี 2562 จํานวน 58,312.74 ตัน ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ โดยพิจารณาจัดสรรจากความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับจัดสรรโควตาเพิ่มเติมต้องเป็นผู้นําเข้ารายเดิมและมีรายงานการนําเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เกินร้อยละ 70 ของโควตาที่ได้รับภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 ต่อมาคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ และให้กรมปศุสัตว์แจ้งปริมาณโควตาเพิ่มเติมที่ได้รับพิจารณาภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้แจ้งปริมาณการขออนุมัติเปิดตลาดนําเข้าฯ เพิ่มเติม เหลือจํานวน 2,993.02 ตัน
3. การขออนุมัติให้เปิดตลาดนําเข้านมผงขาดมันเนย ปี พ.ศ. 2562 เพิ่มเติมปริมาณ 2,993.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ในครั้งนี้ จะจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจําเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต [แบ่งเป็นกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ํานมดิบ)จํานวน 740 ตัน และกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) จํานวน 2,253.02 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนการจัดสรรโควตา เท่ากับ 24.72 : 75.28] จึงต้องขอยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ํานมดิบ) กับกลุ่มกับกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ในอัตรา 80 : 20 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548
4. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว พณ. จะดําเนินการประกาศการจัดสรรที่จะออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชําระภาษีในโควตา ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เพื่อทําให้การผลิตและการตลาดภาคธุรกิจของผู้ประกอบการดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงักเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต
5. ผลกระทบ
5.1 ด้านเศรษฐกิจ
การผลิตและการตลาดในภาคธุรกิจของผู้ประกอบการสามารถดําเนินได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ สําหรับธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและอาหารของต่างประเทศที่มีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ในไทย หากสามารถนําเข้านมผงขาดมันเนยได้พอเพียงตามความต้องการ จะทําให้สามารถวางแผนการผลิตล่วงหน้าได้ตลอดทั้งปีและมีนโยบายขยายฐานการผลิตและการลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในภาพรวม
5.2 ด้านเกษตรกร
ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์การบริหารโควตานําเข้านมผงขาดมันเนยไม่ให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ํานมโคจากเกษตรกร(ต้องเป็นผู้ประกอบการรายเดิมที่มีรายงานการนําเข้าโควตานมผงขาดมันเนยที่ได้รับจัดสรรเกินร้อยละ 70 ขึ้นไป) และยังมีแผนการผลิตและแผนการรับซื้อน้ํานมโคร่วมกันระหว่างองค์กรเกษตรกรโคนมและผู้ประกอบการการแปรรูปนมทั้งระบบ โดยได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงการบริหารจัดการน้ํานมโคทั้งระบบร่วมกันแล้ว
5.3 ด้านผู้บริโภค
ผู้บริโภคจะได้รับผลิตภัณฑ์อาหารสําเร็จรูปจากนมหลายชนิดในราคาถูก หากการดําเนินการทางธุรกิจดังกล่าวไม่หยุดชะงักและไม่มีการนําเข้าผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปจากต่างประเทศที่มีราคาสูงเข้ามาทดแทน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าที่มีส่วนประกอบของนมมีราคาแพงขึ้น
16. เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก กรณีค่าฝากเก็บและค่ารักษาคุณภาพข้าวเปลือก วงเงิน 1,500.00 ล้านบาท (2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกรวงเงิน 562.50 ล้านบาท และ (3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก วงเงิน 510 ล้านบาทเพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย 6.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
2. เห็นชอบการอนุมัติจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม)
โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัดๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370.72 ล้านบาท จําแนกเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ 1.4 ต่อปี) บวก 1 เท่ากับ 2.40 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ทําความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง ได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน รวมวงเงิน 340.00 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน 1,030.72 ล้านบาท
สาระสําคัญ
คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ดังนี้
1. รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมาย 6.5 ล้านตันข้าวเปลือก โดยขอรับจัดสรรงบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เป็นเงินจ่ายขาดเพื่อดําเนินโครงการ วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (โดย ธ.ก.ส.)
1.1) วงเงินสินเชื่อ ปริมาณ และราคาข้าวเปลือกในการจ่ายเงินกู้ วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท โดยกําหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกที่ความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 และกําหนดเป้าหมาย ปริมาณ 1 ล้านตันข้าวเปลือก ราคาข้าวเปลือกในการให้สินเชื่อต่อตันในอัตราร้อยละ 80 ของราคาตลาดข้าวเปลือกเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2559 ถึงเดือนสิงหาคม 2562) ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิชนิด 36 กรัมขึ้นไปในเขตพื้นที่ 23 จังหวัด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา) ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิชนิด 36 กรัมขึ้นไปที่ปลูกนอกพื้นที่ 23 จังหวัด ตันละ 9,900 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,700 บาท
1.2) ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก (ต้องเก็บไว้อย่างน้อย 1 เดือน ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน) เกษตรกรที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ตันละ 1,500 บาท สําหรับสถาบันเกษตรกรได้รับ ตันละ 1,500 บาท (จําแนกเป็นสถาบันเกษตรกร ได้รับ ตันละ 1,000 บาท และให้เกษตรกรที่นําข้าวมาฝากเก็บกับสถาบันเกษตรกร ตันละ 500 บาท)
1.3) วงเงินสินเชื่อ เกษตรกร รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตร ไม่เกินสหกรณ์ละ 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกร ไม่เกินกลุ่มละ 20 ล้านบาท วิสาหกิจชุมชน (รวมถึงศูนย์ข้าวชุมชน) ไม่เกินแห่งละ 5 ล้านบาท
1.4) ระยะเวลาจัดทําสัญญาเงินกู้ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 และระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2563
1.5) การระบายข้าวเปลือกโครงการ กรณีราคาข้าวในตลาดต่ํากว่าราคาให้สินเชื่อให้ขยายระยะเวลาชําระคืนเงินกู้ออกไปอีกไม่เกิน 3 คราว คราวละ 1 เดือน หากราคาข้าวเปลือกยังไม่สูงขึ้นให้คณะอนุกรรมการติดตามกํากับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด ดําเนินการระบายข้าวเปลือกตามโครงการ
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2562/63 (โดย ธ.ก.ส.)
สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร (ไม่รวมชุมนุม15,000 ล้านบาท และจํานวนสินเชื่อคงเหลือภายในระยะเวลาโครงการฯ ไม่เกิน วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ในอัตรา MLR -1 ต่อปี เท่ากับร้อยละ 4 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ร้อยละ 5 ต่อปี) โดยมีผู้รับผิดชอบ ดังนี้ (1) สถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และ (2) คชก. รับภาระชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 –30 กันยายน 2563 ระยะเวลาชําระหนี้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และระยะเวลาโครงการตั้งแต่1 พฤศจิกายน 2562 – 31 ธันวาคม 2563 วงเงินงบประมาณ 562.50 ล้านบาท
3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2562/63 (โดยกรมการค้าภายใน)ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเก็บสต็อก ในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เป้าหมายดูดซับ 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร/ผู้รวบรวม ในราคาตลาดตามการค้าปกติ เก็บสต็อกอย่างน้อย 60 – 180 วัน (2 – 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 (ภาคใต้ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563) และระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 - 31 ตุลาคม 2564 โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 วงเงิน 510 ล้านบาท
2. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) โดยให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัดๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,370.72 ล้านบาท ตามที่ธ.ก.ส. เสนอ เพื่อให้การดําเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้รัฐบาลรับภาระเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. จากการให้สินเชื่อเกษตรกร/สถาบันเกษตรตามโครงการฯ ในอัตราร้อยละ2.40 ต่อปี รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าวร้อยละ 10 ของวงเงินสินเชื่อ โดยจําแนกเป็น
1) ค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. (ปัจจุบันร้อยละ 1.4 ต่อปี) บวก 1 เท่ากับ 2.40 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ และธ.ก.ส. ทําความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง ได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน รวมวงเงิน 340.00 ล้านบาท
2) ค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบาย ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว วงเงิน 1,030.72 ล้านบาท
17. เรื่อง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2562/63
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ รับทราบ และเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงินรวมทั้งสิ้น 923,332,332.80 บาท
2. อนุมัติมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงิน 45,000,000 บาท
3. รับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
4. เห็นชอบเพิ่มผู้แทนกรมศุลกากรเป็นกรรมการในองค์ประกอบของคณะกรรมการ นโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.)
สาระสําคัญ
จากการหารือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชน เกษตรกร และภาครัฐ และมติคณะกรรมการ นบขพ. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
1. โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
1.1 ชนิดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพื้นที่ดําเนินการ ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้น 14.5% ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ
1.2 ราคาและปริมาณประกันรายได้ กําหนดราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ความชื้น 14.5% กก.ละ 8.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่
1.3 เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับเงินส่วนต่าง ได้แก่ เกษตรกรทุกรายที่ขึ้นทะเบียน
ผู้ปลูกและแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
1.4 เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ เกษตรกร ๑ ครัวเรือน ใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 30 ไร่
1.5 การชดเชยส่วนต่าง ธ.ก.ส. จะโอนเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง
1.6 ระยะเวลาดําเนินการ
(1) ช่วงเวลาเพาะปลูก ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
(2) ระยะเวลาใช้สิทธิ ใช้สิทธิได้ในช่วงการเก็บเกี่ยวที่ระบุไว้ในทะเบียนเกษตรกร โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินส่วนต่างครั้งแรกในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 สําหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2562 ให้มีสิทธิรับเงินชดเชยในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 20 ของเดือนจนถึงระยะเวลาสิ้นสุดการรับสิทธิชดเชยตามโครงการฯ 31 ตุลาคม 2563
(3) ระยะเวลาโครงการ 1 ธันวาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2563
3.1.7 งบประมาณ วงเงิน 923,332,332.80 บาท จําแนกเป็นค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาอ้างอิง โดยใช้แหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. วงเงิน 899,484,700 บาท และค่าใช้จ่ายในการดําเนินการของ ธ.ก.ส. วงเงิน 23,847,632.80 บาท โดยเป็นการชดเชยต้นทุนเงินในอัตราเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 หรือคิดเป็นร้อยละ 2.40 ต่อปี เป็นเงิน 21,587,632.80 บาท และค่าบริหารจัดการรายละ 5 บาท เป็นเงิน 2,260,000 บาท
2. มาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
2.1 การบริหารจัดการการนําเข้า โดยกําหนดช่วงเวลาการนําเข้าให้นําเข้าเฉพาะช่วงกุมภาพันธ์ – สิงหาคม ของทุกปี ยกเว้น อคส. หากมีนโยบายให้นําเข้าการควบคุมการขนย้ายในพื้นที่
ติดชายแดนเพื่อนบ้าน กําหนดสัดส่วนการนําเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 : 3 การตรวจสอบการลักลอบการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันระหว่างฝ่ายความมั่นคงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการกําหนดมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบนําเข้า เพิ่มความเข้มการตรวจค้นของด่านตรวจความมั่นคง จัดชุดเข้าตรวจตามช่องทางผิดกฎหมายในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการลักลอบขนย้าย และให้มีคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน เพื่อศึกษาและนําเสนอมาตรการแก้ไขปัญหา รวมทั้งพิจารณากําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ลักลอบ โดยคํานึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรและระบบการค้าในประเทศเป็นสําคัญ
2.2 การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กําหนดให้ผู้รับซื้อแสดงราคา ณ จุดรับซื้อที่ความชื้น 14.5% และ 30% พร้อมแสดงตารางการเพิ่ม – ลด ราคาตามเปอร์เซ็นต์ความชื้น และกําหนดให้ใช้เครื่องชั่งน้ําหนัก/เครื่องวัดความชื้นที่มีมาตรฐาน
2.3 การดูแลความสมดุล โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนําเข้า สถานที่เก็บ การตรวจสอบสต๊อก
2.4 การเพิ่มช่องทางการจําหน่าย โดยเชื่อมโยงผลผลิตกับผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
2.5 โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร ปี 2562/63 ให้ ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน
ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด
เลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อจําหน่ายต่อ แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก โดย ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อ วงเงิน 1,500 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MLR-1 หรือร้อยละ 4 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน วงเงินชดเชย 45,000,000 บาท โดย ธ.ก.ส. ประสานขอเบิกจ่ายจากงบประมาณประจําปีของกระทรวงการคลัง
2.6 สนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต๊อกผลผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ให้สามารถรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่ต้องเร่งระบายผลผลิตและเก็บสต๊อกไว้ในรูปแบบชนิดเมล็ด เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาดโดยไม่แทรกแซงกลไกตลาด วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตามมูลค่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เก็บสต๊อกไว้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาเก็บสต๊อก 60 – 120 วัน วงเงินชดเชย 15,000,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีสําหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562)
2. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2564 และปีต่อ ๆ ไป จํานวน 29,126.24 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ในส่วนเพิ่มเติม จํานวน 2,667.35 ล้านบาท และโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จํานวน 26,458.89 ล้านบาท ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ทําความตกลงกับสํานักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจําเป็นต่อไป
สาระสําคัญ
กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงฯ และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวซึ่ง นบข. มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562)
1) สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวงฯ : กําหนดให้เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้รับจากการสนับสนุนตามมาตราการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งได้รับโอนจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ จํานวนห้าหมื่นบาทเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2) การดําเนินการตามกฎหมาย : การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนที่ผู้มีเงินได้ได้รับตามมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยตามร่างกฎกระทรวงฯ เข้าข่ายลักษณะของกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ) และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดําเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 (ประกาศคณะกรรมการฯ) ซึ่งต้องมีการนําเสนอข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยได้จัดทํารายละเอียดข้อมูลที่ต้องนําเสนอตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 เรียบร้อยแล้ว
2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
2.1 ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63
1) ข้อเท็จจริง:
1.1 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 และ 27 สิงหาคม 2562 รับทราบและเห็นชอบหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2562 โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการหารือการดําเนินโครงการดังกล่าว วงเงินงบประมาณ 25,427.48 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ภายในกรอบวงเงิน 25,482.06 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ ภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าว มีวงเงินที่ใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํารองจ่ายให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไปก่อน จํานวน 24,810.49 ล้านบาท ซึ่งคํานวณจากฐานข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) ปี 2561 จํานวน 4.31 ล้านครัวเรือน
1.2 ผลการดําเนินงานโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2562/63 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ธ.ก.ส. โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.15 ล้านครัวเรือน เป็นเงินจํานวน 24,662.60 ล้านบาท คงเหลือวงเงินงบประมาณ 147.89 ล้านบาท และ กสก. ได้ประมาณการจํานวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 รวมทั้งคาดการณ์จํานวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ตกหล่น เพิ่มขึ้นเป็น 4.57 ล้านครัวเรือน จึงมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มอีก 0.26 ล้านครัวเรือน ส่งผลให้งบประมาณที่ยังคงเหลือไม่เพียงพอในการจ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562 กับ กสก. ประกอบกับระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรภาคอื่น ๆ กําหนดให้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงจําเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรสําหรับภาคอื่น ๆ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563
2) ข้อเสนอเพื่อพิจารณา :
2.1) ธ.ก.ส. ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมสําหรับการดําเนินโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 จํานวนทั้งสิ้น 2,667.35 ล้านบาท แบ่งเป็น
2.1.1) วงเงินที่จ่ายให้เกษตรกรจํานวน 2,603.56 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สํารองจ่ายและจะจัดสรรงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือนของ ธ.ก.ส. + 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.40 ต่อปี
2.1.2) ค่าชดเชยต้นทุนเงินตามข้อ 2.1.1) เป็นเงิน 62.49 ล้านบาท
2.1.3) ค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. วงเงิน 1.3 ล้านบาท รายละ 5 บาท ประมาณการจํานวนเกษตรกร 0.26 ล้านครัวเรือน (คํานวณเฉพาะส่วนต่างของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนปี 2562 จํานวน 4.57 ล้านครัวเรือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยคํานวณไว้โดยใช้ฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2561 จํานวน 4.31 ล้านครัวเรือน)
2.2) ธ.ก.ส. ขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรสําหรับภาคอื่น ๆ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 และกรณีเกษตรกรขึ้นทะเบียนมากกว่าเป้าหมายที่กําหนดให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 ภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และให้ ธ.ก.ส. นําค่าบริหารจัดการที่เกิดขึ้นจริงจากการจ่ายเงินดังกล่าวไปรวมกับการขอจัดสรรงบประมาณประจําปีของโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63
2.2 โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
1) วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดํารงชีพอยู่ได้และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
2) กลุ่มเป้าหมาย : เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับ กสก. จํานวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท
3) ระยะเวลาโครงการ: ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
4) วิธีดําเนินโครงการ : กสก. นําข้อมูลรายชื่อเกษตรกรที่ผ่านการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับ กสก. ส่งให้ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ เพื่อดําเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกร โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ําซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาล เว้นแต่เกษตรกรจะนําพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
5) งบประมาณ : วงเงินงบประมาณรวม 26,458.89 ล้านบาท แบ่งเป็น
5.1) วงเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวจํานวน 25,793.02 ล้านบาท โดยรัฐบาลใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สํารองจ่ายก่อน โดยจะจัดสรรงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือนของ ธ.ก.ส. +1ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.40 ต่อปี
5.2) ค่าชดเชยต้นทุนเงินตามข้อ 5.1) เป็นเงิน 643.03 ล้านบาท
5.3) ค่าบริหารจัดการข้อมูลการโอนเงินครัวเรือนละ 5 บาท คิดเป็นเงิน 22.84 ล้านบาท
ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และปีถัด ๆ ไป เพื่อรัฐบาลชําระคืนต้นเงินและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
19. เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้าในการเพิ่มการใช้ยางพาราของแต่ละกระทรวงตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอดังนี้
สาระสําคัญ
รัฐบาลได้มีมาตรการการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อลดผลกระทบปัจจัยที่ส่งผลต่อราคายางพาราในประเทศ โดยมีผลความคืบหน้าการใช้ยางพารา ดังนี้
1. ปีงบประมาณ 2562 มีเป้าหมายการใช้ยางทั้งหมด 167,261.608 ตัน โดยมีผลการใช้น้ํายางสด 129,291.11 ตัน คิดเป็นร้อยละ 77.30 ของเป้าหมายทั้งหมด ตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจําแนกเป็นรายกระทรวง ดังนี้
(1) กระทรวงคมนาคม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 33,957.68 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 34,353.26 ตัน สําหรับทําถนนและอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย (จราจร) คิดเป็นร้อยละ 101.16 ของเป้าหมาย
(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 33,658.02 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 18,008.62 ตัน สําหรับทําถนน คิดเป็นร้อยละ 53.50 ของเป้าหมาย
(3) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 15.228 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําถนน แต่ยังไม่มีการใช้ยางตามเป้าหมาย
(4) กระทรวงกลาโหม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 42,098.47 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 1,759.54 ตัน สําหรับทําถนน ปืนจําลอง รองเท้า และที่นอน คิดเป็นร้อยละ 4.18 ของเป้าหมาย
(5) กระทรวงมหาดไทย มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 51,926.26 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 65,370.90 ตัน สําหรับทําถนน สนามเด็กเล่น และลานอเนกประสงค์ คิดเป็นร้อยละ 125.59 ของเป้าหมาย
(6) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 184.50 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําลู่วิ่ง และลานกีฬา แต่ยังไม่มีการใช้ยางตามเป้าหมาย
(7) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 15.483 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 0.20 ตัน สําหรับทําที่นอน หมอน ยางรถยนต์ ถุงมือ และรองเท้า คิดเป็นร้อยละ 1.29 ของเป้าหมาย
(8) กระทรวงยุติธรรม มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 2,251.20 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง 2,251.20 ตัน สําหรับทําที่นอน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของเป้าหมาย
(9) กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 2,988.767 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 7,539.14 ตัน สําหรับทําที่นอน หมอน และถุงมือ คิดเป็นร้อยละ 252.25 ของเป้าหมาย
(10) กรุงเทพมหานคร มีเป้าหมายการใช้ยาง จํานวน 166 ตัน โดยมีผลการใช้ยาง จํานวน 8.25 ตัน สําหรับทําถนน และงานอํานวยความปลอดภัย คิดเป็นร้อยละ 4.97 ของเป้าหมาย
2. ปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีเป้าหมายการใช้น้ํายางสด 90,356.440 ตัน โดยจําแนกเป็นรายกระทรวง ดังนี้
(1) กระทรวงคมนาคม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 52,368.04 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําถนน และงานอํานวยความปลอดภัย
(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 6,176.00 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําถนน ฝาย งานปูพื้นคอกปศุสัตว์ และโครงการส่งเสริมการใช้งานในหน่วยงานภาครัฐ
(3) กระทรวงกลาโหม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 982.70 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทํายางนอก ปืนจําลอง รองเท้าทรงสูง และหล่อยาง
(4) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 1.16 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทํารองเท้าบูท ถุงมือ หมอน ที่นอน และยางรถยนต์
(5) กระทรวงยุติธรรม คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 1,113.96 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทํา
ที่นอน และพื้นสนาม
(6) กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะมีการใช้ยางประมาณ 29,714.58 ตัน เพื่อนําไปใช้ในการทําหมอน ที่นอน ถุงมือ สายยาง ถุงยางอนามัย และหุ่น
20. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอและอนุมัติให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป
ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าข้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ 10)
ด้วยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นตามที่กฎหมายกําหนด เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และมีมติเห็นชอบให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพื่อใช้บังคับแก่นายจ้างและลูกจ้างทุกคน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 79 (3) และมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 คณะกรรมการค่าจ้างจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา (ฉบับที่ 9) ลงวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561
ข้อ 2 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบหกบาท ในท้องที่จังหวัดชลบุรีและภูเก็ต
ข้อ 3 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดระยอง
ข้อ 4 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบเอ็ดบาท ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
ข้อ 5 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสามสิบบาท ในท้องที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ข้อ 6 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
ข้อ 7 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบสี่บาท ในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี
ข้อ 8 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบสามบาท ในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
ข้อ 9 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยยี่สิบบาท ในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ พะเยา ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์
ข้อ 10 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสิบห้าบาท ในท้องที่จังหวัดกําแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลําปาง ลําพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลําภู อุทัยธานี และอํานาจเจริญ
ข้อ 11 ให้กําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเป็นเงินวันละสามร้อยสิบสามบาท ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา
ข้อ 12 เพื่อประโยชน์ตามข้อ 2 ถึงข้อ 11 คําว่า “วัน” หมายถึง เวลาทํางานปกติของลูกจ้าง ซึ่งไม่เกินชั่วโมงทํางานดังต่อไปนี้ แม้นายจ้างจะให้ลูกจ้างทํางานน้อยกว่าเวลาทํางานปกติเพียงใดก็ตาม
(1) เจ็ดชั่วโมง สําหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
(2) แปดชั่วโมง สําหรับงานอื่นซึ่งไม่ใช่งานตาม (1)
ข้อ 13 ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
ข้อ 14 ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562
ต่างประเทศ
21. เรื่อง การจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (The Government of the United Arab Emirates : UAE) ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจ ลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้ กต. ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามมารถดําเนินการได้โดยนําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของร่างความตกลงฯ เป็นการดําเนินการเกี่ยวกับการอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (กรณีคนชาติไทย) และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ (กรณีคนชาติ UAE) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่านดินแดนของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม โดยให้พํานักอยู่ในดินแดนของ UAE หรือราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE หรือราชอาณาจักรไทย
การให้สิทธิประโยชน์ความตกลงฯ มีดังนี้
1. ให้คู่ภาคีทั้งสองฝ่ายอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทาง (ฝ่าย UAE ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษของ UAE ที่มีอายุใช้ได้ และคนชาติของราชอาณาจักรไทยที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของราชอาณาจักรไทยที่มีอายุใช้ได้) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่าน ดินแดนของแต่ละฝ่าย โดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม
2. ให้ UAE อนุญาตให้คนชาติไทยที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการพํานักอยู่ในดินแดนของ UAE เป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE
3. ให้ไทยอนุญาตให้คนชาติของ UAE ที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษพํานักอยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ ความตกลงนี้มีผลใช้บังคับ 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งผ่านช่องทางการทูตเป็น ลายลักษณ์อักษรและมีผลใช้บังคับโดยไม่มีกําหนดระยะเวลา เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความตกลงให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต
22. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจําปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจําปี 2561 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) ประจําประเทศไทย [Memorandum of Understanding (MOU) on the Cooperation on Projects of the Mekong – Lancang Cooperation (MLC) Special Fund 2018]และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง [MOU between Ministry of Agriculture and Cooperatives and Mekong Institute (MI)] รวมทั้งอนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนฯ และอนุมัติให้อธิบดีกรมการข้าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันฯ ทั้งนี้ในกรณีที่มีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดําเนินการได้โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (ตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 เรื่องการจัดทําหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อ 4.8) ด้วย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สาระสําคัญของร่างบันทึกทั้ง 2 ฉบับ
1. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้างฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด โดยหลักการมุ่งบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่งคั่งต่อประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง โดยเคารพกฎหมายและกฎระเบียบของทั้งจีนและไทย และร่วมกันติดตามประเมินโครงการและการใช้กองทุน
ทั้งนี้โครงการที่ได้รับสนับสนุนงบประมาณ ได้แก่ (1) โครงการการพัฒนาของศูนย์เฝ้าระวัง พยากรณ์ และเตือนภัยของการผลิตข้าวอย่างยั่งยืนภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในอนุภูมิภาคแม่โขง – ล้านช้าง งบประมาณ 3.50 ล้านหยวน (ประมาณ 15.05 ล้านบาท) (2) โครงการการพัฒนาและการดําเนินการด้านมาตรการผลิตข้าวร่วมกันภายในอนุภูมิภาคฯ งบประมาณ 2.97 ล้านหยวน (ประมาณ 12.77 ล้านบาท) (3) โครงการส่งเสริมระบบบูรณาการเกษตรแบบยั่งยืนในกลุ่มประเทศล้านช้าง – แม่โขง งบประมาณ 0.37 ล้านหยวน (ประมาณ 1.59 ล้านบาท) (4) โครงการการขยายและพัฒนาความร่วมมือทางการค้าเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ งบประมาณ 0.95 ล้านหยวน (ประมาณ 4.08 ล้านบาท) และ (5) โครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงอาหารสําหรับเกษตรรายย่อย งบประมาณ 0.75 ล้านหยวน (ประมาณ 3.22 ล้านบาท)
2. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถาบันฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อดําเนินความร่วมมือในการสนับสนุนเวทีการผลิตข้าว การพัฒนาเทคโนโลยี และศักยภาพองค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง โดยมีสาขาความร่วมมือ เช่น การฝึกอบรมร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนาและการประชุม การดําเนินการโครงการวิจัยร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนบุคลากร มีระยะเวลาเริ่ม 5 ปี นับจากวันบังคับใช้ และจะขยายระยะเวลาอัตโนมัติทุก ๆ 5 ปี
23. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจําประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือสําหรับโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างสํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ( สทนช.) นําเสนอ สทนช.กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สทนช.สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตามที่ สทนช .เสนอ
สาระสําคัญ
กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งเรื่องที่สาธารณรัฐประชาชนจีน (กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง) อนุมัติโครงการการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ําข้ามพรหมแดน ด้านอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มแม่น้ําสาย- น้ํารวก ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยประสงค์ให้ สทนช.ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการวิจัยร่วมฯ ที่ได้รับการอนุมัติดังกล่าวลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือกองทุนฯ จะได้ส่งมอบเงินงบประมาณสําหรับดําเนินโครงการการวิจัยร่วมฯ จํานวน 2.45 ล้านหยวน (ประมาณ 10 ล้านบาท) ได้แก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะได้ดําเนินโครงการฯ ต่อไปโดยเริ่มดําเนินการภายในเดือนธันวาคม 2562
โครงการวิจัยร่วม ฯ มีระยะเวลา 1 ปี ( พ.ศ. 2562-2563 หรือ ค.ศ. 2019-2020 ) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําร่วมกันระหว่างประเทศไทย – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมถึงหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการกักเก็บน้ําในฤดูแล้งและระบายน้ําในแม่น้ําสาย-แม่น้ํารวก โดยมีการดําเนินการ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในพื้นที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย เพื่อจัดทําแบบจําลองสําหรับใช้ประเมินด้านน้ําท่วมและน้ําแล้ง เพื่อการบริการจัดการทรัพยากรน้ําข้ามพรมแดนของทั้งสองประเทศ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านเทคนิค และสร้างองค์ความรู้ด้านเทคนิคและวิชาการให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย
24. เรื่อง การให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สําหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ําครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง- ล้านช้าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) สําหรับการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ํา ครั้งที่1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้างช้าง ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําในร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สทนช. สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ตามที่สํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เสนอ
เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมหารือโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการจัดการทรัพยากรน้ําครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2562 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสําคัญดังนี้
1. รับทราบความคืบหน้าของความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ําของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ฯ เช่น ความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ําแม่โขง-ล้านช้างระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561-2565 การจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านทรัพยากรน้ําภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เป็นต้น
2. รับทราบความสําคัญของการบริหารจัดการน้ําของประเทศสมาชิก เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การป้องกันอุทกภัย และผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. สิ่งที่ต้องดําเนินงานต่อไป เช่น ร่วมกันนําผลการประชุมระดับผู้นําไปปฏิบัติ สนับสนุนความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ําแม่โขง-ล้านช้าง ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2561-2565 ร่วมกันเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิกในการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยและเพิ่มความร่วมมือด้านการแบ่งปันข้อมูล เป็นต้น
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ เอเชีย – ยุโรป ครั้งที่ 14 และหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14ตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญร่างแถลงประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่14 เป็นการแสดงความมุ่งมั่นของสมาชิกการประชุมเอเชีย-ยุโรป ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิกให้ความสําคัญ ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
1. บทนํา กล่าวถึงบทบาทของการประชุมเอเชีย-ยุโรป ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุภาคีและการค้าระหว่างประเทศที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์ความร่วมมือตามหลักการของสหประชาชาติและองค์กรการค้าโลก ความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดจนประเด็นระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ในรัฐยะไข่ และอิหร่าน เป็นต้น
2. ด้านความมั่นคง กล่าวถึงประเด็นความร่วมมือด้านการต่อต้านก่อการร้ายความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลและความมั่นคงทางไซเบอร์
3. ประเด็นสําคัญของโลก กล่าวถึงความร่วมมือในการดําเนินการเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแก้ไขปัญหาขยะทะเล
4. ความเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน กล่าวถึงการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรปในด้านต่างๆทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง พลังงาน ดิจิทัล และการติดต่อในระดับประชาชน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกําหนดการจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2562 โดยจะมีการออกแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 เพื่อเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม
26. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9 และมอบหมายให้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการจัดการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) และการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (JHC) ต่อไป ทั้งนี้ หากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Joint Coordinating Committee for the Comprehensive Development of the Dawei Special Economic Zone and its Related Projects Areas: JCC)
สาระสําคัญของผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา (JCC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562
ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยที่ประชุมมีมติรับทราบ 5 ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) ผลการประชุมคณะกรรมการ JCC ครั้งที่ 8 2) ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก 3) ความคืบหน้าโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา 4) แผนการเริ่มพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะสมบูรณ์ควบคู่ไปกับโครงการทวายระยะแรก ฯ และ 5) แผนการจ่ายไฟฟ้าในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของเมียนมา รวมถึงเห็นชอบให้ศึกษาบทบาทและโครงสร้างปัจจุบันของ SVP นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุม JCC ครั้งที่ 10 ในปี 2563 ณ ประเทศไทย และหารือ การจัดการประชุม JHC ในโอกาสต่อไป
27. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี และเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคําร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ถอนคําคัดค้านของไทยต่อการเปลี่ยนระบบการนําเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์ของสาธารณรัฐเกาหลีภายหลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วย การกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการกําหนดปริมาณโควตารายประเทศสําหรับการนําเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สาระสําคัญของร่าง AGREEMENT BETWEEN THE GOVERNMENTS OF AUSTRALIA, THE PEOPLES’S REPUBLIC OF CHINA, THE REPUBLIC OF KOREA, THE KINGDOM OF THAILAND, THE UNITED STATES OF AMERICA, AND THE SOCIALIST REPUBLIC OF VIET NAM มีสาระสําคัญ ดังนี้
1. โควตาภาษีสินค้าข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้องค์การการค้าโลก ปริมาณรวมทั้งสิ้น 408,700 ตัน จะถูกนําไปจัดสรรปริมาณ เป็น 1) โควตารายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย 15,595 ตัน สาธารณรัฐประชาชนจีน 157,195 ตัน ไทย 28,494 ตัน สหรัฐอเมริกา 132,304 ตัน และเวียดนาม 55,112 ตัน และ 2) โควตาทั่วไปสําหรับสมาชิกองค์การการค้าโลกทุกประเทศ ประมาณ 20,000 ตัน
2. สาธารณรัฐเกาหลีจะสนับสนุนให้การประมูลการนําเข้าข้าวภายใต้โควตารายประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในการประมูลข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีจะสงวนสิทธิ์ในการประมูลใหม่ หากราคาที่ยื่นเสนอในการประมูลมีราคาสูงอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเปรียบเทียบกับราคาข้าวในตลาดโลกสําหรับชนิดและคุณภาพของข้าวที่เทียบเคียงกันได้ ทั้งนี้ หากไม่สามารถหาข้อสรุปการประมูลภายใต้โควตารายประเทศได้ภายใน 3 ครั้ง หน่วยงานที่มีหน้าที่บริหารจัดการการประมูลอาจนําโควตารายประเทศนั้นมาเปิดการประมูลใหม่ภายโควตาทั่วไปซึ่งจะเป็นโควตารายปี
3. ภาคีทั้ง 5 ประเทศภายใต้ร่างข้อตกลงนี้ อาจขอหารือกับสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับโควตาภาษีสินค้าข้าวได้ โดยให้มีการหารือภายใน 30 วันหลังจากมีการยื่นคําขอ หรือโดยเร็วที่สุดหลังครบกําหนดเวลา 30 วันดังกล่าว ในกรณีที่มีเหตุล่าช้าซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
4. ในปีที่ 10 หลังจากความตกลงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สาธารณรัฐเกาหลีอาจทบทวนปริมาณการจัดสรรโควตารายประเทศตามที่ระบุไว้ในความตกลงนี้ โดยพิจารณาจากความต้องการในประเทศและสถานการณ์การค้าข้าวโลก อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐเกาหลีจะไม่ปรับปริมาณโควตารายประเทศ หากภาคีทั้ง 5 ไม่ยินยอม
28. เรื่อง ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบัลแกเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสําหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายบัลแกเรีย เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ นอกเหนือจากที่ปรากฏ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดําเนินการได้ โดยนําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
1. ความตกลงฯ อนุญาตให้บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ เดินทางเข้า พํานัก และออกจากดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่ต้องรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งของ 180 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลเหล่านั้นจะไม่ทํางาน ไม่ว่าการทํางานนั้นจะเป็นการดําเนินกิจการของตนเอง หรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่าย ตามข้อ 1 สามารถเดินทางเข้า แวะผ่าน หรือเดินทางออกจากดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง ณ ด่านใด ๆ ซึ่งเปิดสําหรับการสัญจรของผู้โดยสารระหว่างประเทศ และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อเดินทางเข้าและพํานักในดินแดนของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
3. ความตกลงฯ จะไม่กระทบต่ออํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการปฏิเสธการเข้าเมือง หรือการลดหรือยกเลิกระยะเวลาการพํานักของคนชาติของภาคีฝ่ายหนึ่งตามกฎหมายภายในประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ
4. ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการบังคับใช้ความตกลงฯ ทั้งหมดหรือเฉพาะส่วนเป็นการชั่วคราวด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะหรือการสาธารณสุข โดยจะต้องแจ้งเหตุผลของการระงับใช้ให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูตในโอกาสแรกก่อนที่การระงับใช้จะมีผลใช้บังคับ การยกเลิกการระงับใช้ จะต้องแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูตในโอกาสแรกก่อนการใช้บังคับของการยกเลิกการระงับใช้ดังกล่าว
5. ความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 60 นับจากวันที่คู่ภาคีได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายผ่านช่องทางการทูตว่าคู่ภาคีได้แจ้งอีกฝ่ายหนึ่งแล้วถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จําเป็นของตนสําหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ และความตกลงฯ ไม่มีกําหนดระยะเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการบอกเลิกความตกลงนี้ ภาคีฝ่ายนั้นจะต้องแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต ความตกลงฯ จะสิ้นสุดการมีผลใช้บังคับในวันที่ 30 นับจากวันที่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งดังกล่าว
29. เรื่อง ร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ทั้งนี้หากก่อนลงนามมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสําคัญ ให้กระทรวงยุติธรรมหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดําเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสําคัญของร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับดังกล่าว มีทั้งสิ้น จํานวน 7 วรรค โดยแต่ละวรรคมีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
วรรค 1 วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น – ไทย ในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ข้อมูล และองค์ความรู้ทางด้านกฎหมาย
วรรค 2 ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ ด้านระบบและการดําเนินงานในการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิด การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาบุคลากรในการบริหารงานยุติธรรม การบริหารข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบกระบวนการยุติธรรม และด้านอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน
วรรค 3 กิจกรรมความร่วมมือ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและการปฏิบัติที่เป็นเลิศ การจัดการอบรม สัมมนาและการฝึกอบรม รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎหมาย
วรรค 4 กรอบความร่วมมือซึ่งกําหนดให้สอดคล้องกับภารกิจ อํานาจหน้าที่และกรอบกฎหมายของหน่วยงานของทั้งสองฝ่ายและเป็นไปตามข้อจํากัดด้านงบประมาณ กําลังคน ทั้งนี้ จะไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณใด ๆ แก่ทั้งสองฝ่าย
วรรค 5 หน่วยงานผู้ประสานงานของทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายไทย คือ กองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และฝ่ายญี่ปุ่น คือ กองการต่างประเทศ สํานักเลขาธิการรัฐมนตรี
วรรค 6 การแก้ไข ซึ่งกําหนดให้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับนี้ อาจมีแก้ไขได้เมื่อได้ตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร
วรรค 7 การเริ่มต้นและสิ้นสุดของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ โดยให้เริ่มในวันที่มีการลงนามและสิ้นสุดภายใน 90 วัน หลังจากฝ่ายหนึ่งได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร
30. การจัดทําความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจัดทําความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ และหนังสือแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือความตกลงฯ และหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยดําเนินการได้ โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และอนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจําสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสําคัญของร่างความตกลงฯ มีพันธกรณีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. การให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม และการนําเข้าวัสดุอุปกรณ์โดยปลอดภาษีอากรสําหรับการประชุมตามที่กําหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดําเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชํานัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 และพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เป็นกฎหมายอนุวัติการรับรองอยู่แล้ว
2. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (สธท.) และสํานักงาน UNODC จะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ของร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ ได้มีการแบ่ง ความรับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
3. ร่างความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ฝ่ายไทยมีหนังสือตอบโดยให้ถือว่าการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกันเพียงอย่างเดียว ก็มีผลให้เกิดเป็นความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยและสํานักงาน UNODC โดยไม่ต้องมีการลงนามในหนังสือสองฝ่าย
4. การให้การสนับสนุนงบประมาณแก่สํานักงาน UNODC สําหรับการจัดกิจกรรมดังกล่าวจํานวนทั้งสิ้น 152,000 เหรียญสหรัฐ (หนึ่งแสนห้าหมื่นสองพันเหรียญสหรัฐ) และงบประมาณการดําเนินการในส่วนอื่น ๆ ที่ สธท. เป็นผู้รับผิดชอบ จะเบิกจ่ายงบประมาณ สธท. ประจําปี พ.ศ. 2562 ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วสําหรับโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การอนุวัติมาตรฐานและบรรทัดฐานของสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา
31. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สาระสําคัญของกรอบการเจรจาเพื่อจัดทําความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างประเทศไทยกับสมาพันธรัฐสวิส มีหลักการสําคัญ ได้แก่
1. ประเทศคู่ภาคีจะยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศซึ่งออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
2. การใช้ใบอนุญาตขับรถภายในประเทศภายใต้ร่างความตกลงฯ ทั้งสองฉบับจะเป็นการใช้แบบชั่วคราว
3. ใบอนุญาตขับรถภายในประเทศภายใต้ความตกลงฯ จะต้องมีภาษาอังกฤษกํากับโดยใช้แนวทางของหลักการตามที่กําหนดไว้ในความตกลงว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศที่ออกโดยประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดกับกฎระเบียบภายในประเทศของไทยที่มีอยู่ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและประโยชน์ของประเทศเป็นสําคัญ
แต่งตั้ง
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ตําแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองตําแหน่งเดิมเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
2. นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รองอธิบดีกรมสรรพากร ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางวิมล สุวรรณเกษาวงษ์ ผู้อํานวยการกองแผนงานและวิชาการ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 3 ราย ดังนี้
1. นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สํานักงานปลัดกระทรวง ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
2. นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
3. นายอัมพร พินะสา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สํานักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 4 ราย ดังนี้
1. นายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมพล โนดไธสง รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
3. นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
4. นายสุระ เพชรพิรุณ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ดํารงตําแหน่ง
ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่ง
ที่ว่าง
36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ รวม 6 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ประธานกรรมการ
2. นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายดุสิต เครืองาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายธวัช ชิตตระการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นางศศิวิมล มีอําพล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายพีรเดช ทองอําไพ ประธานกรรมการ
2. นายชูกิจ ลิมปิจํานงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายธรรมศักดิ์ สัมพันธ์สันติกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายพินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายมนูญ สรรค์คุณากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายรัตติกร ยิ้มนิรัญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายเรืองศักดิ์ ทรงสถาพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ดังนี้
1. นายปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
2. พลเอก มโน นุชเกษม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. พันตํารวจเอก ญาณพล ยั่งยืน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมศาสตร์
4. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
5. นายวิเชฐ ตันติวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน 6. นายบดินทร์ ทรัพย์สมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข
7. รองศาสตราจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
39. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จํานวน 7 คน ดังนี้
1. นายอัครา พรหมเผ่า เป็นกรรมการ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
2. นายศุภฤกษ์ เอี่ยมลออ เป็นกรรมการ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
3. นายมงคล ลีลาธรรม เป็นกรรมการ
4. นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา เป็นกรรมการ
5. นายธนา ธรรมวิหาร เป็นกรรมการ
6. พลตํารวจโท ภานุรัตน์ หลักบุญ เป็นกรรมการ
7. พันตํารวจเอก อธิศวิส กมลรัตน์ เป็นกรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
**************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25158
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 3 คัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เร็ว อัตราเสียชีวิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
|
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
เขตสุขภาพที่ 3 คัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เร็ว อัตราเสียชีวิตต่ํากว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
เขตสุขภาพที่ 3 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลชุมชน ร่วมคัดกรองมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รักษาครบวงจรภายในเขต ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเร็วขึ้น อัตราการตายมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกลดลง ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
วันนี้ (8 มิถุนายน 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์บุญชัย ธีระกาญจน์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 3 และคณะ เยี่ยมชมการดําเนินงานดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ที่อาคารรังสีรักษา อาคาร 100 ปีการสาธารณสุขไทย โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์แห่งใหม่ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการรักษาโรคมะเร็งของเขตสุขภาพที่ 3
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายของคนไทยและทั่วโลก เนื่องจากผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการจึงทําให้ยากต่อการรักษา กระทรวงสาธารณสุข ได้ใช้กลยุทธ์การค้นหาคัดกรอง ซึ่งหากพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก็จะสามารถรักษาได้ ลดการเสียชีวิต โดยเขตสุขภาพที่ 3 ได้ร่วมกันคัดกรองผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลําไส้ ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลชุมชน ฝ่ายเวชกรรมสังคมของโรงพยาบาลจังหวัด โดยจัดอบรมให้ความรู้พยาบาลวิชาชีพให้สามารถคัดกรอง รวมทั้งการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นตรวจมะเร็งลําไส้ ทําให้พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้นเร็วขึ้น ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการฉายแสงเพื่อการรักษาเป็นแบบหายขาด เป็นสัดส่วนสูงกว่าการฉายแสงแบบประคับประคอง ส่งผลให้อัตราตายมะเร็งเต้านมในปี 2560 เหลือเพียง 7.06 (อัตราตายระดับประเทศ 12.4) และอัตราตายมะเร็งปากมดลูกในปี 2560 เหลือเพียง 4.05 (อัตราตายระดับประเทศ 6.6)
นอกจากนี้ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ได้พัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ครบวงจร สามารถตรวจวินิจฉัยด้านรังสีวิทยาและพยาธิวิทยา ผ่าตัดโรคมะเร็งได้ครบทุกระบบ อาทิ นรีเวช หูคอจมูก สมอง และการผ่าตัดมะเร็งผ่านกล้อง สามารถให้ยาเคมีบําบัดได้ เปิดบริการรังสีรักษาด้วยเครื่องจําลองการฉายแสงแบบ 2 มิติ สร้างเครือข่ายและวางแผนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และการติดตามเยี่ยมบ้าน ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับบริการฉายรังสีทั้งสิ้น 802 ราย ฉายรังสีไปแล้ว 10,922 ครั้ง ลดการรอคอย ลดภาระการตามจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 22.8 ล้านบาท รวมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พักและค่าดํารงชีพของผู้ป่วยและญาติ ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างครบวงจร ทั้งนี้ เขตสุขภาพที่ 3 ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท กําแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี
**************************** 8 มิถุนายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 3 คัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เร็ว อัตราเสียชีวิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
เขตสุขภาพที่ 3 คัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เร็ว อัตราเสียชีวิตต่ํากว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
เขตสุขภาพที่ 3 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลชุมชน ร่วมคัดกรองมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รักษาครบวงจรภายในเขต ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเร็วขึ้น อัตราการตายมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกลดลง ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
วันนี้ (8 มิถุนายน 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์บุญชัย ธีระกาญจน์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 3 และคณะ เยี่ยมชมการดําเนินงานดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ที่อาคารรังสีรักษา อาคาร 100 ปีการสาธารณสุขไทย โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์แห่งใหม่ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการรักษาโรคมะเร็งของเขตสุขภาพที่ 3
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายของคนไทยและทั่วโลก เนื่องจากผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการจึงทําให้ยากต่อการรักษา กระทรวงสาธารณสุข ได้ใช้กลยุทธ์การค้นหาคัดกรอง ซึ่งหากพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก็จะสามารถรักษาได้ ลดการเสียชีวิต โดยเขตสุขภาพที่ 3 ได้ร่วมกันคัดกรองผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลําไส้ ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลชุมชน ฝ่ายเวชกรรมสังคมของโรงพยาบาลจังหวัด โดยจัดอบรมให้ความรู้พยาบาลวิชาชีพให้สามารถคัดกรอง รวมทั้งการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นตรวจมะเร็งลําไส้ ทําให้พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้นเร็วขึ้น ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการฉายแสงเพื่อการรักษาเป็นแบบหายขาด เป็นสัดส่วนสูงกว่าการฉายแสงแบบประคับประคอง ส่งผลให้อัตราตายมะเร็งเต้านมในปี 2560 เหลือเพียง 7.06 (อัตราตายระดับประเทศ 12.4) และอัตราตายมะเร็งปากมดลูกในปี 2560 เหลือเพียง 4.05 (อัตราตายระดับประเทศ 6.6)
นอกจากนี้ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ได้พัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ครบวงจร สามารถตรวจวินิจฉัยด้านรังสีวิทยาและพยาธิวิทยา ผ่าตัดโรคมะเร็งได้ครบทุกระบบ อาทิ นรีเวช หูคอจมูก สมอง และการผ่าตัดมะเร็งผ่านกล้อง สามารถให้ยาเคมีบําบัดได้ เปิดบริการรังสีรักษาด้วยเครื่องจําลองการฉายแสงแบบ 2 มิติ สร้างเครือข่ายและวางแผนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และการติดตามเยี่ยมบ้าน ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับบริการฉายรังสีทั้งสิ้น 802 ราย ฉายรังสีไปแล้ว 10,922 ครั้ง ลดการรอคอย ลดภาระการตามจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 22.8 ล้านบาท รวมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พักและค่าดํารงชีพของผู้ป่วยและญาติ ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างครบวงจร ทั้งนี้ เขตสุขภาพที่ 3 ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท กําแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี
**************************** 8 มิถุนายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12883
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นท้าทายสำคัญต่างๆ
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นท้าทายสําคัญต่างๆ
ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นท้าทายสําคัญต่างๆ
วันนี้(26กันยายน2562)เวลา08.00น.ตามเวลาท้องถิ่นณอาคารสํานักเลขาธิการสํานักงานใหญ่สหประชาชาติพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้พบหารือกับนายอันโตนิอูกุแตเรซ(Mr. António Guterres)เลขาธิการสหประชาชาติสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของเลขาธิการสหประชาชาติที่พยายามผลักดันการปฏิรูปองค์กรในด้านต่างๆเพื่อพัฒนาการทํางานของสหประชาชาติให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ของประชาชนในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาการบริหารจัดการองค์กรตลอดจนการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการดําเนินนโยบายเพื่อการปฏิรูปดังกล่าวเพื่อช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการพัฒนาสหประชาชาติทั้งนี้ไทยพร้อมมีบทบาทที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องในประเด็นท้าทายที่ไทยให้ความสําคัญอาทิการพัฒนาที่ยั่งยืนการสาธารณสุขและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพร้อมแสดงบทบาทในการเป็นสมาชิกEcosocในปีหน้า
เลขาธิการสหประชาชาติขอบคุณบทบาทที่ชัดเจนของไทยในเวทีระหว่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกทั้งนี้ชื่นชมไทยในฐานะประธานอาเซียนที่ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืนเช่นเดียวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
การนี้นายกรัฐมนตรียืนยันแนวทางของไทยในการส่งเสริมให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและพร้อมขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน2573 (ค.ศ. 2030)ซึ่งไทยมีแนวทางการดําเนินงานด้านการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทั้งนี้นายกรัฐมนตรีย้ําว่าการแก้ปัญหาในโลกไม่มีประเทศใดทําได้ลําพังต้องมีความร่วมมือกันไม่ใช่เพียงแต่ทวิภาคีแต่ต้องดําเนินการแบบไตรภาคีและพหุภาคีด้วย
อนึ่งในเวลา12.00น.ตามเวลาท้องถิ่นนายกรัฐมนตรีและภริยาพร้อมด้วยคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติจอห์นเอฟ.เคนเนดีนครนิวยอร์กเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยและจะเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันศุกร์ที่27กันยายน2562เวลา21.55น.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นท้าทายสำคัญต่างๆ
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นท้าทายสําคัญต่างๆ
ไทยพร้อมมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นท้าทายสําคัญต่างๆ
วันนี้(26กันยายน2562)เวลา08.00น.ตามเวลาท้องถิ่นณอาคารสํานักเลขาธิการสํานักงานใหญ่สหประชาชาติพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้พบหารือกับนายอันโตนิอูกุแตเรซ(Mr. António Guterres)เลขาธิการสหประชาชาติสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของเลขาธิการสหประชาชาติที่พยายามผลักดันการปฏิรูปองค์กรในด้านต่างๆเพื่อพัฒนาการทํางานของสหประชาชาติให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ของประชาชนในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาการบริหารจัดการองค์กรตลอดจนการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการดําเนินนโยบายเพื่อการปฏิรูปดังกล่าวเพื่อช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการพัฒนาสหประชาชาติทั้งนี้ไทยพร้อมมีบทบาทที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องในประเด็นท้าทายที่ไทยให้ความสําคัญอาทิการพัฒนาที่ยั่งยืนการสาธารณสุขและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพร้อมแสดงบทบาทในการเป็นสมาชิกEcosocในปีหน้า
เลขาธิการสหประชาชาติขอบคุณบทบาทที่ชัดเจนของไทยในเวทีระหว่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกทั้งนี้ชื่นชมไทยในฐานะประธานอาเซียนที่ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืนเช่นเดียวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
การนี้นายกรัฐมนตรียืนยันแนวทางของไทยในการส่งเสริมให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและพร้อมขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน2573 (ค.ศ. 2030)ซึ่งไทยมีแนวทางการดําเนินงานด้านการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทั้งนี้นายกรัฐมนตรีย้ําว่าการแก้ปัญหาในโลกไม่มีประเทศใดทําได้ลําพังต้องมีความร่วมมือกันไม่ใช่เพียงแต่ทวิภาคีแต่ต้องดําเนินการแบบไตรภาคีและพหุภาคีด้วย
อนึ่งในเวลา12.00น.ตามเวลาท้องถิ่นนายกรัฐมนตรีและภริยาพร้อมด้วยคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติจอห์นเอฟ.เคนเนดีนครนิวยอร์กเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยและจะเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันศุกร์ที่27กันยายน2562เวลา21.55น.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SOCIAL DISTANCING
|
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
SOCIAL DISTANCING
ด้วยความห่วยใยจากกระทรวงสาธารณสุข
พิเศษใส่ไข่ ใส่ใจต้องใส่ MASK
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SOCIAL DISTANCING
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
SOCIAL DISTANCING
ด้วยความห่วยใยจากกระทรวงสาธารณสุข
พิเศษใส่ไข่ ใส่ใจต้องใส่ MASK
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28257
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-COVID-19…กับ 5 เหตุการณ์ “ที่สุด” เป็นประวัติการณ์ โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) [กระทรวงการคลัง]
|
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
COVID-19...กับ 5 เหตุการณ์ “ที่สุด” เป็นประวัติการณ์ โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) [กระทรวงการคลัง]
ผ่านมาแล้วกว่า 3 เดือนที่ COVID-19 ได้แพร่ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลก ทําให้มีผู้ติดเชื้อจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 8 แสนคน และคร่าชีวิตผู้คนกว่า 4 หมื่นราย
https://bit.ly/2R1NmSn ผ่านมาแล้วกว่า 3 เดือนที่ COVID-19 ได้แพร่ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลก ทําให้มีผู้ติดเชื้อจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 8 แสนคน และคร่าชีวิตผู้คนกว่า 4 หมื่นราย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจโลกปีนี้มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ขณะเดียวกันยังก่อให้เกิด 5 เหตุการณ์สําคัญที่สั่นคลอนเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยจะขออธิบายแต่ละเหตุการณ์ผ่านคําว่า “C-O-V-I-D” ดังนี้
Circuit Breaker (CB) - มาตรการระงับการซื้อขายชั่วคราวถูกนํามาใช้มากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกวิกฤตในอดีต ตั้งแต่ต้นปีที่ COVID-19 เริ่มระบาด ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงรุนแรงกว่า 30% ส่งผลให้ตลาดหุ้นหลายประเทศต้องงัดมาตรการ CB มาใช้มากเป็นประวัติการณ์ อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ต้องใช้ CB ถึง 4 ครั้งในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา มากกว่าช่วงวิกฤต Hamburger ที่ใช้เพียง 2 ครั้ง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่มีการใช้ CB ถึง 3 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกที่ตกต่ําลงอย่างรุนแรง
Oil Price - ราคาน้ํามันดิ่งลงแรงที่สุด นับตั้งแต่ต้นปีราคาน้ํามันดิบปรับลงกว่า 60% มากที่สุดและเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยบั่นทอนทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยอุปสงค์น้ํามันถูกกดดันจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่หดตัวจาก COVID-19 อีกทั้งยังถูกซ้ําเติมจากอุปทานน้ํามันที่เพิ่มขึ้นหลังมีการทําสงครามราคาระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย ซึ่งถือเป็นสงครามราคาครั้งใหญ่อีกครั้งในอุตสาหกรรมน้ํามันโลก จนมีการคาดการณ์อย่างสุดโต่งว่าราคาน้ํามันอาจลดลงแตะระดับ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตราคาน้ํามันรอบนี้อาจรุนแรงกว่าทุกครั้ง และย่อมส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Volatility - ความผันผวนรุนแรงที่สุด เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ดัชนีความผันผวน (VIX Index) ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นดัชนีที่นิยมใช้เป็นตัวแทนความกลัวของนักลงทุน ได้พุ่งขึ้นไปแตะ 82.69 จุด สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการจัดทําดัชนีครั้งแรกในปี 2473 สูงกว่าช่วงวิกฤต Hamburger ซึ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 80.86 จุด ขณะเดียวกันดัชนี Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยก็พุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีภายในสองวัน (17-19 มีนาคม 2563) หลังนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ทุกประเภททั้งหุ้น พันธบัตรและทองคํา เพื่อหันมาถือเงินสด สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความกลัวและความผันผวนในตลาดการเงินที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมา
Interest Rate - อัตราดอกเบี้ยต่ําที่สุด กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่หดตัวอย่างรุนแรงจาก COVID-19 ทําให้ธนาคารกลางหลายประเทศต่างงัดนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาใช้กันอย่างถ้วนหน้า ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมถึงไทย ขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปก็มีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE) มูลค่ามหาศาลกว่าช่วงวิกฤต Hamburger สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการใช้ยาแรงผ่านการอัดสภาพคล่องครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งต้องจับตามองว่าวิธีการข้างต้นจะได้ผลเหมือนวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ และจะทิ้งปัญหาไว้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในประเทศที่มีปัญหาด้านการเงินและมีหนี้ในระดับสูงอยู่แล้ว
Double Shock - ภาวะชะงักงันด้านอุปสงค์และอุปทานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน วิกฤตเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยํากุ้งหรือวิกฤต Hamburger มักมีต้นตอมาจากปัญหาในภาคการเงินที่ลุกลามจนกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านอุปสงค์เป็นหลัก (Demand Shock) แต่การระบาดของ COVID-19 ในรอบนี้ไม่เพียงกระทบด้านอุปสงค์จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง แต่ยังส่งผลกระทบถึงด้านอุปทาน (Supply Shock) อย่างรุนแรงจากการที่ภาคธุรกิจ ร้านค้า และโรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดดําเนินการเป็นวงกว้าง และอาจนํามาซึ่งการปิดกิจการในท้ายที่สุด ทําให้การเกิด Double Shock ข้างต้นอาจส่งผลให้เกิด Domino Effect เป็นวงกว้าง และแก้ไขได้ยากกว่าวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมา
จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ข้างต้น คงพอจะเห็นได้ว่าเรากําลังอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงและยืดเยื้อกว่าทุกครั้ง ท่ามกลางภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความผันผวน ดังนั้น ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ส่งออกจําเป็นต้องตั้งสติและเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่าย การบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอ รวมถึงการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรอโอกาสที่จะกลับมาหลังวิกฤตผ่านพ้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-COVID-19…กับ 5 เหตุการณ์ “ที่สุด” เป็นประวัติการณ์ โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
COVID-19...กับ 5 เหตุการณ์ “ที่สุด” เป็นประวัติการณ์ โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) [กระทรวงการคลัง]
ผ่านมาแล้วกว่า 3 เดือนที่ COVID-19 ได้แพร่ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลก ทําให้มีผู้ติดเชื้อจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 8 แสนคน และคร่าชีวิตผู้คนกว่า 4 หมื่นราย
https://bit.ly/2R1NmSn ผ่านมาแล้วกว่า 3 เดือนที่ COVID-19 ได้แพร่ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลก ทําให้มีผู้ติดเชื้อจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 8 แสนคน และคร่าชีวิตผู้คนกว่า 4 หมื่นราย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจโลกปีนี้มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ขณะเดียวกันยังก่อให้เกิด 5 เหตุการณ์สําคัญที่สั่นคลอนเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยจะขออธิบายแต่ละเหตุการณ์ผ่านคําว่า “C-O-V-I-D” ดังนี้
Circuit Breaker (CB) - มาตรการระงับการซื้อขายชั่วคราวถูกนํามาใช้มากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกวิกฤตในอดีต ตั้งแต่ต้นปีที่ COVID-19 เริ่มระบาด ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงรุนแรงกว่า 30% ส่งผลให้ตลาดหุ้นหลายประเทศต้องงัดมาตรการ CB มาใช้มากเป็นประวัติการณ์ อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ต้องใช้ CB ถึง 4 ครั้งในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา มากกว่าช่วงวิกฤต Hamburger ที่ใช้เพียง 2 ครั้ง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่มีการใช้ CB ถึง 3 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกที่ตกต่ําลงอย่างรุนแรง
Oil Price - ราคาน้ํามันดิ่งลงแรงที่สุด นับตั้งแต่ต้นปีราคาน้ํามันดิบปรับลงกว่า 60% มากที่สุดและเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยบั่นทอนทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยอุปสงค์น้ํามันถูกกดดันจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่หดตัวจาก COVID-19 อีกทั้งยังถูกซ้ําเติมจากอุปทานน้ํามันที่เพิ่มขึ้นหลังมีการทําสงครามราคาระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย ซึ่งถือเป็นสงครามราคาครั้งใหญ่อีกครั้งในอุตสาหกรรมน้ํามันโลก จนมีการคาดการณ์อย่างสุดโต่งว่าราคาน้ํามันอาจลดลงแตะระดับ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตราคาน้ํามันรอบนี้อาจรุนแรงกว่าทุกครั้ง และย่อมส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Volatility - ความผันผวนรุนแรงที่สุด เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ดัชนีความผันผวน (VIX Index) ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นดัชนีที่นิยมใช้เป็นตัวแทนความกลัวของนักลงทุน ได้พุ่งขึ้นไปแตะ 82.69 จุด สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการจัดทําดัชนีครั้งแรกในปี 2473 สูงกว่าช่วงวิกฤต Hamburger ซึ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 80.86 จุด ขณะเดียวกันดัชนี Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยก็พุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีภายในสองวัน (17-19 มีนาคม 2563) หลังนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ทุกประเภททั้งหุ้น พันธบัตรและทองคํา เพื่อหันมาถือเงินสด สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความกลัวและความผันผวนในตลาดการเงินที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมา
Interest Rate - อัตราดอกเบี้ยต่ําที่สุด กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่หดตัวอย่างรุนแรงจาก COVID-19 ทําให้ธนาคารกลางหลายประเทศต่างงัดนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาใช้กันอย่างถ้วนหน้า ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมถึงไทย ขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปก็มีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE) มูลค่ามหาศาลกว่าช่วงวิกฤต Hamburger สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการใช้ยาแรงผ่านการอัดสภาพคล่องครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งต้องจับตามองว่าวิธีการข้างต้นจะได้ผลเหมือนวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ และจะทิ้งปัญหาไว้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในประเทศที่มีปัญหาด้านการเงินและมีหนี้ในระดับสูงอยู่แล้ว
Double Shock - ภาวะชะงักงันด้านอุปสงค์และอุปทานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน วิกฤตเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยํากุ้งหรือวิกฤต Hamburger มักมีต้นตอมาจากปัญหาในภาคการเงินที่ลุกลามจนกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านอุปสงค์เป็นหลัก (Demand Shock) แต่การระบาดของ COVID-19 ในรอบนี้ไม่เพียงกระทบด้านอุปสงค์จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง แต่ยังส่งผลกระทบถึงด้านอุปทาน (Supply Shock) อย่างรุนแรงจากการที่ภาคธุรกิจ ร้านค้า และโรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดดําเนินการเป็นวงกว้าง และอาจนํามาซึ่งการปิดกิจการในท้ายที่สุด ทําให้การเกิด Double Shock ข้างต้นอาจส่งผลให้เกิด Domino Effect เป็นวงกว้าง และแก้ไขได้ยากกว่าวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมา
จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ข้างต้น คงพอจะเห็นได้ว่าเรากําลังอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงและยืดเยื้อกว่าทุกครั้ง ท่ามกลางภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความผันผวน ดังนั้น ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ส่งออกจําเป็นต้องตั้งสติและเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่าย การบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอ รวมถึงการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรอโอกาสที่จะกลับมาหลังวิกฤตผ่านพ้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28243
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ตรวจเยี่ยมชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมติดตามการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น
|
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
รมว.พม. ตรวจเยี่ยมชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมติดตามการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น
รมว.พม. ตรวจเยี่ยมชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมติดตามการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น
วันนี้ (7 ก.ค. 60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. รวมจํานวน 60 คน โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ชุมชนเทพารักษ์ 5 อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จากนั้นได้นําคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา พร้อมทั้งมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานแก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ชุมชนเทพารักษ์ 5 เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 103 ครัวเรือน 68 หลังคาเรือน มีประชาชนที่พักอาศัยในชุมชนดังกล่าวจํานวน 480 คน ส่วนใหญ่อพยพมาจากต่างถิ่น ที่ต้องเข้ามาใช้แรงงานในตัวเมือง เป็นชุมชนแออัดที่อาศัยอยู่มานานกว่า 30 ปี โดยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ค้าขาย และว่างงาน มีฐานะยากจน ซึ่งการดูแลให้ความช่วยเหลือจากท้องถิ่นและภาครัฐยังติดขัดข้อกฎหมายทางราชการ ทําให้การช่วยเหลือไม่สามารถดําเนินการได้เต็มที่ ทั้งนี้ ชาวชุมชนดังกล่าวได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชนด้วยการจัดหาที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัยให้ใหม่ โดยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวทางโครงการบ้านมั่นคง สําหรับแนวทางการช่วยเหลือชุมชนดังกล่าว กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลด้านที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือในการพัฒนาชุมชนตามแนวทางโครงการบ้านมั่นคงต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า สําหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกรมกิจการสตรีและครอบครัว (สค.) กระทรวง พม. ที่ให้บริการประชาชนทั่วไป ในการฝึกฝนอาชีพและทักษะด้านต่างๆ ในการเตรียมความพร้อมไปประกอบอาชีพของตนเอง เป็นศูนย์แสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสตรีในชุมชน และเป็นศูนย์กลางในการประสานงานของเครือข่ายอาชีพสตรีและครอบครัวในชุมชน ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 10 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภายในศูนย์ประกอบด้วยร้านกาแฟ เบเกอรี่ อาหาร นวดแผนไทย สปา เสริมสวยสตรี และตัดผมบุรุษ ฯลฯ ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายในการขับเคลื่อนงาน ให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์ฯ ที่สามารถฝึกทักษะให้สตรีที่ขาดโอกาสหรือกลุ่มเสี่ยง ไปประกอบอาชีพเป็นของตนเองได้
"ทั้งนี้ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทั้ง 2 แห่งดังกล่าว เป็นการติดตามการดําเนินการพัฒนาชุมชน พัฒนาอาชีพ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ และเป็นการให้โอกาสสตรีที่ขาดโอกาส ได้รับการฝึกฝนอาชีพ และทักษะด้านต่างๆ สามารถออกไปประกอบอาชีพที่มั่นคงได้ในระยะยาวต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ตรวจเยี่ยมชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมติดตามการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
รมว.พม. ตรวจเยี่ยมชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมติดตามการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น
รมว.พม. ตรวจเยี่ยมชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมติดตามการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น
วันนี้ (7 ก.ค. 60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนเทพารักษ์ 5 พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่เด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. รวมจํานวน 60 คน โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ชุมชนเทพารักษ์ 5 อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จากนั้นได้นําคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา พร้อมทั้งมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานแก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ชุมชนเทพารักษ์ 5 เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 103 ครัวเรือน 68 หลังคาเรือน มีประชาชนที่พักอาศัยในชุมชนดังกล่าวจํานวน 480 คน ส่วนใหญ่อพยพมาจากต่างถิ่น ที่ต้องเข้ามาใช้แรงงานในตัวเมือง เป็นชุมชนแออัดที่อาศัยอยู่มานานกว่า 30 ปี โดยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ค้าขาย และว่างงาน มีฐานะยากจน ซึ่งการดูแลให้ความช่วยเหลือจากท้องถิ่นและภาครัฐยังติดขัดข้อกฎหมายทางราชการ ทําให้การช่วยเหลือไม่สามารถดําเนินการได้เต็มที่ ทั้งนี้ ชาวชุมชนดังกล่าวได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชนด้วยการจัดหาที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัยให้ใหม่ โดยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวทางโครงการบ้านมั่นคง สําหรับแนวทางการช่วยเหลือชุมชนดังกล่าว กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลด้านที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือในการพัฒนาชุมชนตามแนวทางโครงการบ้านมั่นคงต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า สําหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกรมกิจการสตรีและครอบครัว (สค.) กระทรวง พม. ที่ให้บริการประชาชนทั่วไป ในการฝึกฝนอาชีพและทักษะด้านต่างๆ ในการเตรียมความพร้อมไปประกอบอาชีพของตนเอง เป็นศูนย์แสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสตรีในชุมชน และเป็นศูนย์กลางในการประสานงานของเครือข่ายอาชีพสตรีและครอบครัวในชุมชน ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 10 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภายในศูนย์ประกอบด้วยร้านกาแฟ เบเกอรี่ อาหาร นวดแผนไทย สปา เสริมสวยสตรี และตัดผมบุรุษ ฯลฯ ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายในการขับเคลื่อนงาน ให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์ฯ ที่สามารถฝึกทักษะให้สตรีที่ขาดโอกาสหรือกลุ่มเสี่ยง ไปประกอบอาชีพเป็นของตนเองได้
"ทั้งนี้ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทั้ง 2 แห่งดังกล่าว เป็นการติดตามการดําเนินการพัฒนาชุมชน พัฒนาอาชีพ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ และเป็นการให้โอกาสสตรีที่ขาดโอกาส ได้รับการฝึกฝนอาชีพ และทักษะด้านต่างๆ สามารถออกไปประกอบอาชีพที่มั่นคงได้ในระยะยาวต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5096
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเกษตรฯ จับมือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ผลักดันส่งออกยางพาราในตลาดยุโรป”
|
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
“ปลัดเกษตรฯ จับมือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ผลักดันส่งออกยางพาราในตลาดยุโรป”
“ปลัดเกษตรฯ จับมือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ผลักดันส่งออกยางพาราในตลาดยุโรป”
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯ และนายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชทูตฝ่ายเกษตร ผู้แทนถาวรไทยประจําสหประชาติประจํากรุงโรม เข้าหารือกับนายธนา เวสโกสิทธิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ได้แจ้งผลการประชุมสมัชชาดินโลก ซึ่งที่ประชุม FAO ลงมติสนับสนุนการมอบ “รางวัลวันดินโลก” (World Soil Day Award) ที่ประเทศไทย ทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี
ปลัดกระทรวงฯ ได้ขอความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตในการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราในตลาดอิตาลีและยุโรปด้วย ประเทศอิตาลีนําเข้ายางพาราจากไทยมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะจัดโครงการสร้างเสริมศักยภาพเพื่อขยายตลาดคู่ค้ายางพารา ตามนโยบาย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเชิญผู้ประกอบการ ผู้นําเข้ายางพาราจากต่างประเทศ และคณะทูตานุทูต เยี่ยมชมโรงงานและตลาดยางพารา ณ จังหวัดกระบี่ และจังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ 27–30 มิถุนายน 2561
นายธนา เวสโกสิทธิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ได้ให้ข้อเสนอแนะให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาขยายพื้นที่เขตอาณารับผิดชอบของสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจํากรุงโรม ให้ครอบคลุมสอดคล้องกับเขตอาณาของสถานเอกอัครทูต ณ กรุงโรม และประเทศอื่นที่เป็นยุทธศาสตร์ในการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังตลาดต่างประเทศต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเกษตรฯ จับมือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ผลักดันส่งออกยางพาราในตลาดยุโรป”
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
“ปลัดเกษตรฯ จับมือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ผลักดันส่งออกยางพาราในตลาดยุโรป”
“ปลัดเกษตรฯ จับมือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ผลักดันส่งออกยางพาราในตลาดยุโรป”
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯ และนายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชทูตฝ่ายเกษตร ผู้แทนถาวรไทยประจําสหประชาติประจํากรุงโรม เข้าหารือกับนายธนา เวสโกสิทธิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ได้แจ้งผลการประชุมสมัชชาดินโลก ซึ่งที่ประชุม FAO ลงมติสนับสนุนการมอบ “รางวัลวันดินโลก” (World Soil Day Award) ที่ประเทศไทย ทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี
ปลัดกระทรวงฯ ได้ขอความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตในการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราในตลาดอิตาลีและยุโรปด้วย ประเทศอิตาลีนําเข้ายางพาราจากไทยมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะจัดโครงการสร้างเสริมศักยภาพเพื่อขยายตลาดคู่ค้ายางพารา ตามนโยบาย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเชิญผู้ประกอบการ ผู้นําเข้ายางพาราจากต่างประเทศ และคณะทูตานุทูต เยี่ยมชมโรงงานและตลาดยางพารา ณ จังหวัดกระบี่ และจังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ 27–30 มิถุนายน 2561
นายธนา เวสโกสิทธิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ได้ให้ข้อเสนอแนะให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาขยายพื้นที่เขตอาณารับผิดชอบของสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจํากรุงโรม ให้ครอบคลุมสอดคล้องกับเขตอาณาของสถานเอกอัครทูต ณ กรุงโรม และประเทศอื่นที่เป็นยุทธศาสตร์ในการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังตลาดต่างประเทศต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13077
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมชี้แจงแกนนำระดับตำบล เน้นสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
|
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมชี้แจงแกนนําระดับตําบล เน้นสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแกนนําระดับตําบล พื้นที่จังหวัดสุโขทัย
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติวิทยาเขตสุโขทัย อําเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแกนนําระดับตําบล พื้นที่จังหวัดสุโขทัย ภายใต้โครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน จังหวัดตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดนครสวรรค์ แกนนําหมู่บ้าน/ประชาชน จังหวัดตาก สุโขทัย พิษณุโลกและกําแพงเพชร จํานวน ๒๖๓ หมู่บ้าน/ชุมชน จํานวน ๓,๐๐๐ คน เพื่อให้เกิดแนวทางป้องกันและเฝ้าระวังยาเสพติด โดยกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และส่งเสริมให้เกิดการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งแนวทางการป้องกันและเฝ้าระวัง เน้นการดําเนินการในกลุ่มจังหวัดที่มีเส้นทางติดต่อระหว่างหมู่บ้าน/ชุมชน มีเขตติดต่อการลักลอบนําเข้าทางด้านตะวันตก ในพื้นที่อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ตรงข้ามเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี แล้วใช้เส้นทางรอง การลักลอบลําเลียงผ่านกลุ่มจังหวัดตาก สุโขทัย กําแพงเพชร และพิษณุโลก
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําว่า กระผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมชี้แจงการตามระดับตําบลในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ตาก พิษณุโลก และกําแพงเพชร ซึ่งเป็นการส่งเสริมการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้านชุมชนในวันนี้ ซึ่งในปัจจุบันปัญหาการค้าและการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้เพิ่มสูงขึ้น เพราะผู้ผลิตมีขีดความสามารถในการเพิ่มกําลังการผลิตสูงขึ้นส่งผลให้ราคายาเสพติดมีแนวโน้มลดลงและผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็มีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การแก้ปัญหาโดยการจับกุมและดําเนินคดีส่งผลให้มีจํานวนนักโทษมากขึ้นจนเกิดปัญหานักโทษล้นเรือนจํา ซึ่งส่วนใหญ่นักโทษในเรือนจําเกิดจากคดียาเสพติด เรามีการบําบัดบุคคลเหล่านั้นเพื่อให้กลับคืนสู่สังคม แต่ก็ยังมีผู้ขาดการบําบัดรักษาจํานวนมากที่กลับไปใช้ยาเสพติดอีกครั้ง จนมีภาวะทางจิตและกลับกลายเป็นปัญหาต่อครอบครัวสังคมและชุมชน รัฐบาลจึงให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยให้มีการกําหนดแนวทางการดําเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ปี ๒๕๖๓ โดยมุ่งเน้นในการเสริมสร้างพื้นที่ปลอดภัย โดยในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน โดยการสร้างแนวป้องกันยาเสพติดในพื้นที่ ใช้หมู่บ้าน/ชุมชนเป็นฐานในการทํางานภายใต้แนวคิดพื้นที่ปลอดภัยด้วยกระบวนการ การมีส่วนร่วมของผู้นํา และคนในชุมชน การคิดวิเคราะห์ และดําเนินการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดหมู่บ้าน/ชุมชนนั้นๆ พร้อมทั้งการหนุนเสริมบางประการของหน่วยงานภายนอก อาทิ ภาคราชการ เครือข่ายภาคประชาชน จึงจะทําให้เกิดความยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วม ดึงพลังชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีมอบเงินสนับสนุนการดําเนินงานป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดให้กับเครือข่ายด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับตําบล จํานวน ๒๖๓ แห่ง และเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ตามแนวทางชุมชนเข้มแข็ง ยุติธรรมสร้าง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมชี้แจงแกนนำระดับตำบล เน้นสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมชี้แจงแกนนําระดับตําบล เน้นสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแกนนําระดับตําบล พื้นที่จังหวัดสุโขทัย
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติวิทยาเขตสุโขทัย อําเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแกนนําระดับตําบล พื้นที่จังหวัดสุโขทัย ภายใต้โครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน จังหวัดตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดนครสวรรค์ แกนนําหมู่บ้าน/ประชาชน จังหวัดตาก สุโขทัย พิษณุโลกและกําแพงเพชร จํานวน ๒๖๓ หมู่บ้าน/ชุมชน จํานวน ๓,๐๐๐ คน เพื่อให้เกิดแนวทางป้องกันและเฝ้าระวังยาเสพติด โดยกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และส่งเสริมให้เกิดการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งแนวทางการป้องกันและเฝ้าระวัง เน้นการดําเนินการในกลุ่มจังหวัดที่มีเส้นทางติดต่อระหว่างหมู่บ้าน/ชุมชน มีเขตติดต่อการลักลอบนําเข้าทางด้านตะวันตก ในพื้นที่อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ตรงข้ามเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี แล้วใช้เส้นทางรอง การลักลอบลําเลียงผ่านกลุ่มจังหวัดตาก สุโขทัย กําแพงเพชร และพิษณุโลก
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําว่า กระผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมชี้แจงการตามระดับตําบลในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ตาก พิษณุโลก และกําแพงเพชร ซึ่งเป็นการส่งเสริมการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้านชุมชนในวันนี้ ซึ่งในปัจจุบันปัญหาการค้าและการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้เพิ่มสูงขึ้น เพราะผู้ผลิตมีขีดความสามารถในการเพิ่มกําลังการผลิตสูงขึ้นส่งผลให้ราคายาเสพติดมีแนวโน้มลดลงและผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็มีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การแก้ปัญหาโดยการจับกุมและดําเนินคดีส่งผลให้มีจํานวนนักโทษมากขึ้นจนเกิดปัญหานักโทษล้นเรือนจํา ซึ่งส่วนใหญ่นักโทษในเรือนจําเกิดจากคดียาเสพติด เรามีการบําบัดบุคคลเหล่านั้นเพื่อให้กลับคืนสู่สังคม แต่ก็ยังมีผู้ขาดการบําบัดรักษาจํานวนมากที่กลับไปใช้ยาเสพติดอีกครั้ง จนมีภาวะทางจิตและกลับกลายเป็นปัญหาต่อครอบครัวสังคมและชุมชน รัฐบาลจึงให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยให้มีการกําหนดแนวทางการดําเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ปี ๒๕๖๓ โดยมุ่งเน้นในการเสริมสร้างพื้นที่ปลอดภัย โดยในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน โดยการสร้างแนวป้องกันยาเสพติดในพื้นที่ ใช้หมู่บ้าน/ชุมชนเป็นฐานในการทํางานภายใต้แนวคิดพื้นที่ปลอดภัยด้วยกระบวนการ การมีส่วนร่วมของผู้นํา และคนในชุมชน การคิดวิเคราะห์ และดําเนินการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดหมู่บ้าน/ชุมชนนั้นๆ พร้อมทั้งการหนุนเสริมบางประการของหน่วยงานภายนอก อาทิ ภาคราชการ เครือข่ายภาคประชาชน จึงจะทําให้เกิดความยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วม ดึงพลังชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีมอบเงินสนับสนุนการดําเนินงานป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดให้กับเครือข่ายด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับตําบล จํานวน ๒๖๓ แห่ง และเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ตามแนวทางชุมชนเข้มแข็ง ยุติธรรมสร้าง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26101
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส วอนอย่าหลงเชื่อข่าวลือไวรัสโคโรนา
|
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
ดีอีเอส วอนอย่าหลงเชื่อข่าวลือไวรัสโคโรนา
ดีอีเอส วอนอย่าหลงเชื่อข่าวลือไวรัสโคโรนา
ดีอีเอส สรุปผลมอนิเตอร์ข่าวลือไวรัสโคโรนาบนโซเชียล จากการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบเป็นข่าวปลอมถึง 22 เรื่อง และข่าวจริง 4 เรื่อง วอนคนไทยอย่าตื่นตระหนกหรือหลงเชื่อ เปิด 5 ช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลจริงที่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ดําเนินการจับกุมผู้กระทําผิดแล้ว 2 ราย
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ขณะนี้ปรากฏข่าวลือเกี่ยวกับการแพ่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งสร้างความตระหนก และหวาดกลัวให้กับคนในสังคม ส่งผลต่อการใช้ชีวิตปกติ ขณะที่ ในโลกออนไลน์ จะพบข่าวที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาเป็นจํานวนมาก และมีการแชร์โพสต์ทั้งคลิปวิดีโอ รูปภาพ รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับไวรัสดังกล่าว ซึ่งในจํานวนนี้มีทั้งข่าวจริง และข่าวปลอม ทางกระทรวงฯ ได้มีการตรวจสอบข่าวลือต่างๆ อย่างเข้มข้นผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือ Anti-Fake News Center Thailand เผยแพร่ในช่องทางของศูนย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารความจริง และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
“ช่วงที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาจํานวนมาก ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกําลังรวบรวมข้อมูลต้นตอการปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการแชร์จนส่งผลกระทบในวงกว้าง เพื่อส่งต่อให้กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดําเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทําผิดต่อไป”
ล่าสุด จากการทํางานร่วมกันระหว่างดีอีเอส, สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และ บก.ปอท. โดย สตช. ได้ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษมาทํางานร่วมกันติดตามทางโซเชียล/ออนไลน์ สรุปพบจุดที่เป็นต้นทางนําเข้าข่าวปลอมแล้ว 15 จุด มีการขอศาลออกหมายค้นและปฏิบัติการตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ถึงช่วงเช้าวันนี้ ทําการเข้าตรวจค้นทั้ง 15 จุดดังกล่าว และสามารถตรวจพบผู้ที่คิดว่าน่าจะเข้าข่ายผิด ปล่อยข่าวปลอม 6 จุด โดยในจํานวนนี้ดําเนินการสอบสวนพบว่ามีความผิดจริง และดําเนินการจับกุมแล้ว 2 ราย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
ส่วนอีก 4 ราย จากการสอบสวนถึงเจตนา และไม่พบความตั้งใจในการสร้างความเสียหาย จึงทําการตักเตือน และลงบันทึกประจําวันไว้ สําหรับในพื้นที่อีก 9 จุด หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ สตช. กําลังติดตามหาตัวผู้กระทําผิดอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งอุปสรรคส่วนหนึ่งคือ ส่วนใหญ่ผู้นําเข้าข้อมูลข่าวปลอมใช้พื้นที่อื่นลงทะเบียน หรือไม่ได้ใช้ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่จริง ทําให้ต้องใช้เวลาติดตาม
ทั้งนี้ จากการมอนิเตอร์และรับแจ้งเรื่องเกี่ยวกับประเด็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม 2563 พบว่า มีจํานวนข้อความที่แจ้งเข้ามาทั้งสิ้น 7,587 ข้อความ แต่มีจํานวนที่ต้องตรวจสอบยืนยัน (Verify) 160 ข้อความ โดยพบว่ามีข่าวที่เกี่ยวข้องโดยตรง 26 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 22 เรื่อง และข่าวจริง 4 เรื่อง
โดยข่าวปลอม ได้แก่ 1.กรมควบคุมโรค หยุดใช้เครื่องตรวจวัดฯ ไวรัสโคโรน่าฯ 2. สเปรย์พ่นปาก ฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา 3. พนักงานการบินไทยติดโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาฯ 4. กรมควบคุมโรคยกเลิกการคัดกรองผู้โดยสารด้วยเทอร์โมสแกน 5. คลิปสุดช็อค! ไวรัสโคโรนา ทําคนล้มทั้งยืน 6. เชื้อไวรัสโคโรนาฯ ติดต่อผ่านการมองตาได้ 7. พัทยาพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา 1 ราย
8. พบผู้ป่วยชาวจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา รักษาตัวที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 9. พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา เสียชีวิตที่ จ.ภูเก็ต เพิ่ม 1 ราย 10. ผู้ป่วยติดเชื่อไวรัสโคโรน่า เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จ. นครราชสีมา 11. สีจิ้นผิงสั่งใช้กฏหมายสูงสุด วิสามัญโดยเจ้าหน้าที่ 12. วิธีป้องกันคือ ต้องรักษาความชุ่มชื้นของเยื่อเมือกลําคอฯ 13. รัฐบาลจีนปิดบังข้อมูล แท้จริงมีผู้ติดเชื้อ 90,000 ราย 14. ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทําให้เสียชีวิตทุกรายในเวลาอันสั้น 15. เตือน! เขตคลองเตยให้ใส่แมส รอฟังแถลงข่าวฯ 2 รายในไอซียู 16. ชื้อ H3N2 ระบาดถึงเชียงใหม่ ‘ไวรัสโคโรนา” ตัวใหม่จากอู่ฮั่น
17. เชื้อไวรัสโคโรนาทําพิษ ชาวจีนล้มตึงกลางกลางสุวรรณภูมิ 18. แพทย์ชี้นั่งเครื่องพร้อมผู้ป่วยไวรัสโคโรนา มีโอกาสติดเชื้อทั้งลํา 19. พบผู้ติดเชื้อโคโรนาที่จังหวัดศรีสะเกษ 20. ล่าสุดกรุงเทพติดเชื้อไวรัสโคโรนา 5 ราย
21. เชื้อไวรัสโคโรนาระบาดหนัก คาดคนตายนับไม่ถ้วน รัฐสั่งทุกสื่อปิดข่าว และ 22. แชร์ว่อน!! ยืนยันสนามบินภูเก็ต ไร้จุดคัดกรอง "ไวรัสโคโรนา"
ส่วนข่าวจริง ประกอบด้วย 1.กรมควบคุมโรคยืนยันไม่หยุดคัดกรอง และเพิ่มความเข้มข้นในการรับมือไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ จริงหรือ? 2. ประกาศ!! หน้าเว็บโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนามีการปรับเปลี่ยนลิงค์ที่เผยแพร่ใหม่ จาก .html เป็น php จริงหรือ? 3. ผู้ป่วยไวรัสโคโรนา จ.นครปฐม ผลตรวจเป็นลบ สธ.รับมือเข้ม ชี้ชัดไม่พบการระบาดในไทย จริงหรือ? และ 4. คปภ.แจง ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันภัยการเดินทาง คุ้มครองโรคไวรัสโคโรนา
นายพุทธิพงษ์ กล่าวย้ําว่า กระทรวงฯ มีความห่วงใยประชาชนเรื่องข่าวลือ ข่าวปลอม ขอให้อย่าตื่นตระหนกและหลงเชื่อข่าวลือต่าง ๆ ควรจะหาข้อมูลให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนจะแชร์จะบอกต่อ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข จะมีการเฝ้าระวังและมีการชี้แจงสถานการณ์ตามข้อเท็จจริงโดยไม่ปิดบังข้อมูลใด ๆ โดยศูนย์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) จะมีการเฝ้าติดตามสถานการณ์และเป็นข่าวที่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุข ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center (https://www.facebook.com/AntiFakeNewsCenter/) ทวิตเตอร์ @AfncThailand (https://twitter.com/afncthailand) และไลน์ออฟฟิเชียล @antifakenewscenter
ที่ผ่านมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดําเนินการตรวจสอบข้อความจากช่องทางต่างๆ และการใช้ Social Listening Tool กว่า 2.16 ล้านข้อความ แบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ หมวดสุขภาพ 61% หมวดนโยบายรัฐ 27% หมวดเศรษฐกิจ 10% หมวดภัยพิบัติ 2% โดยได้ดําเนินการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐเจ้าของเรื่องในการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งจัดจัดทําข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายพร้อมภาพประชาสัมพันธ์ (Infographic) ให้แก่ประชาชนรับทราบไปแล้วกว่า 146 เรื่อง ซึ่งพบว่า หมวดสุขภาพจะมีความเชื่อกันได้ง่ายแชร์ต่อบอกต่อกันได้ง่าย และจะเห็นเปอร์เซ็นว่าเยอะกว่าทุกหมวด
“ขณะนี้เข้าใจว่าอารมณ์คนไทยมีความตื่นตระหนก ดังนั้น หากเจอข่าวแปลกๆ และไม่มั่นใจ อย่าเพิ่งแชร์ หรือส่งต่อ ขอให้มีการตรวจสอบกับสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 หรือกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา ส่วนการป้องกัน ขอแนะนําว่า หลักการเหมือนกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ คือ หลีกเลี่ยงการไปในที่มีคนแออัด ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีไข้ ไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมหน้ากากอนามัย” รมว.ดีอีเอสกล่าว
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส วอนอย่าหลงเชื่อข่าวลือไวรัสโคโรนา
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
ดีอีเอส วอนอย่าหลงเชื่อข่าวลือไวรัสโคโรนา
ดีอีเอส วอนอย่าหลงเชื่อข่าวลือไวรัสโคโรนา
ดีอีเอส สรุปผลมอนิเตอร์ข่าวลือไวรัสโคโรนาบนโซเชียล จากการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบเป็นข่าวปลอมถึง 22 เรื่อง และข่าวจริง 4 เรื่อง วอนคนไทยอย่าตื่นตระหนกหรือหลงเชื่อ เปิด 5 ช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลจริงที่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ดําเนินการจับกุมผู้กระทําผิดแล้ว 2 ราย
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ขณะนี้ปรากฏข่าวลือเกี่ยวกับการแพ่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งสร้างความตระหนก และหวาดกลัวให้กับคนในสังคม ส่งผลต่อการใช้ชีวิตปกติ ขณะที่ ในโลกออนไลน์ จะพบข่าวที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาเป็นจํานวนมาก และมีการแชร์โพสต์ทั้งคลิปวิดีโอ รูปภาพ รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับไวรัสดังกล่าว ซึ่งในจํานวนนี้มีทั้งข่าวจริง และข่าวปลอม ทางกระทรวงฯ ได้มีการตรวจสอบข่าวลือต่างๆ อย่างเข้มข้นผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือ Anti-Fake News Center Thailand เผยแพร่ในช่องทางของศูนย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารความจริง และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
“ช่วงที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาจํานวนมาก ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกําลังรวบรวมข้อมูลต้นตอการปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการแชร์จนส่งผลกระทบในวงกว้าง เพื่อส่งต่อให้กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดําเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทําผิดต่อไป”
ล่าสุด จากการทํางานร่วมกันระหว่างดีอีเอส, สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และ บก.ปอท. โดย สตช. ได้ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษมาทํางานร่วมกันติดตามทางโซเชียล/ออนไลน์ สรุปพบจุดที่เป็นต้นทางนําเข้าข่าวปลอมแล้ว 15 จุด มีการขอศาลออกหมายค้นและปฏิบัติการตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ถึงช่วงเช้าวันนี้ ทําการเข้าตรวจค้นทั้ง 15 จุดดังกล่าว และสามารถตรวจพบผู้ที่คิดว่าน่าจะเข้าข่ายผิด ปล่อยข่าวปลอม 6 จุด โดยในจํานวนนี้ดําเนินการสอบสวนพบว่ามีความผิดจริง และดําเนินการจับกุมแล้ว 2 ราย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
ส่วนอีก 4 ราย จากการสอบสวนถึงเจตนา และไม่พบความตั้งใจในการสร้างความเสียหาย จึงทําการตักเตือน และลงบันทึกประจําวันไว้ สําหรับในพื้นที่อีก 9 จุด หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ สตช. กําลังติดตามหาตัวผู้กระทําผิดอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งอุปสรรคส่วนหนึ่งคือ ส่วนใหญ่ผู้นําเข้าข้อมูลข่าวปลอมใช้พื้นที่อื่นลงทะเบียน หรือไม่ได้ใช้ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่จริง ทําให้ต้องใช้เวลาติดตาม
ทั้งนี้ จากการมอนิเตอร์และรับแจ้งเรื่องเกี่ยวกับประเด็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม 2563 พบว่า มีจํานวนข้อความที่แจ้งเข้ามาทั้งสิ้น 7,587 ข้อความ แต่มีจํานวนที่ต้องตรวจสอบยืนยัน (Verify) 160 ข้อความ โดยพบว่ามีข่าวที่เกี่ยวข้องโดยตรง 26 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 22 เรื่อง และข่าวจริง 4 เรื่อง
โดยข่าวปลอม ได้แก่ 1.กรมควบคุมโรค หยุดใช้เครื่องตรวจวัดฯ ไวรัสโคโรน่าฯ 2. สเปรย์พ่นปาก ฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา 3. พนักงานการบินไทยติดโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาฯ 4. กรมควบคุมโรคยกเลิกการคัดกรองผู้โดยสารด้วยเทอร์โมสแกน 5. คลิปสุดช็อค! ไวรัสโคโรนา ทําคนล้มทั้งยืน 6. เชื้อไวรัสโคโรนาฯ ติดต่อผ่านการมองตาได้ 7. พัทยาพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา 1 ราย
8. พบผู้ป่วยชาวจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา รักษาตัวที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 9. พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา เสียชีวิตที่ จ.ภูเก็ต เพิ่ม 1 ราย 10. ผู้ป่วยติดเชื่อไวรัสโคโรน่า เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จ. นครราชสีมา 11. สีจิ้นผิงสั่งใช้กฏหมายสูงสุด วิสามัญโดยเจ้าหน้าที่ 12. วิธีป้องกันคือ ต้องรักษาความชุ่มชื้นของเยื่อเมือกลําคอฯ 13. รัฐบาลจีนปิดบังข้อมูล แท้จริงมีผู้ติดเชื้อ 90,000 ราย 14. ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทําให้เสียชีวิตทุกรายในเวลาอันสั้น 15. เตือน! เขตคลองเตยให้ใส่แมส รอฟังแถลงข่าวฯ 2 รายในไอซียู 16. ชื้อ H3N2 ระบาดถึงเชียงใหม่ ‘ไวรัสโคโรนา” ตัวใหม่จากอู่ฮั่น
17. เชื้อไวรัสโคโรนาทําพิษ ชาวจีนล้มตึงกลางกลางสุวรรณภูมิ 18. แพทย์ชี้นั่งเครื่องพร้อมผู้ป่วยไวรัสโคโรนา มีโอกาสติดเชื้อทั้งลํา 19. พบผู้ติดเชื้อโคโรนาที่จังหวัดศรีสะเกษ 20. ล่าสุดกรุงเทพติดเชื้อไวรัสโคโรนา 5 ราย
21. เชื้อไวรัสโคโรนาระบาดหนัก คาดคนตายนับไม่ถ้วน รัฐสั่งทุกสื่อปิดข่าว และ 22. แชร์ว่อน!! ยืนยันสนามบินภูเก็ต ไร้จุดคัดกรอง "ไวรัสโคโรนา"
ส่วนข่าวจริง ประกอบด้วย 1.กรมควบคุมโรคยืนยันไม่หยุดคัดกรอง และเพิ่มความเข้มข้นในการรับมือไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ จริงหรือ? 2. ประกาศ!! หน้าเว็บโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนามีการปรับเปลี่ยนลิงค์ที่เผยแพร่ใหม่ จาก .html เป็น php จริงหรือ? 3. ผู้ป่วยไวรัสโคโรนา จ.นครปฐม ผลตรวจเป็นลบ สธ.รับมือเข้ม ชี้ชัดไม่พบการระบาดในไทย จริงหรือ? และ 4. คปภ.แจง ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันภัยการเดินทาง คุ้มครองโรคไวรัสโคโรนา
นายพุทธิพงษ์ กล่าวย้ําว่า กระทรวงฯ มีความห่วงใยประชาชนเรื่องข่าวลือ ข่าวปลอม ขอให้อย่าตื่นตระหนกและหลงเชื่อข่าวลือต่าง ๆ ควรจะหาข้อมูลให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนจะแชร์จะบอกต่อ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข จะมีการเฝ้าระวังและมีการชี้แจงสถานการณ์ตามข้อเท็จจริงโดยไม่ปิดบังข้อมูลใด ๆ โดยศูนย์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) จะมีการเฝ้าติดตามสถานการณ์และเป็นข่าวที่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุข ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center (https://www.facebook.com/AntiFakeNewsCenter/) ทวิตเตอร์ @AfncThailand (https://twitter.com/afncthailand) และไลน์ออฟฟิเชียล @antifakenewscenter
ที่ผ่านมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดําเนินการตรวจสอบข้อความจากช่องทางต่างๆ และการใช้ Social Listening Tool กว่า 2.16 ล้านข้อความ แบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ หมวดสุขภาพ 61% หมวดนโยบายรัฐ 27% หมวดเศรษฐกิจ 10% หมวดภัยพิบัติ 2% โดยได้ดําเนินการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐเจ้าของเรื่องในการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งจัดจัดทําข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายพร้อมภาพประชาสัมพันธ์ (Infographic) ให้แก่ประชาชนรับทราบไปแล้วกว่า 146 เรื่อง ซึ่งพบว่า หมวดสุขภาพจะมีความเชื่อกันได้ง่ายแชร์ต่อบอกต่อกันได้ง่าย และจะเห็นเปอร์เซ็นว่าเยอะกว่าทุกหมวด
“ขณะนี้เข้าใจว่าอารมณ์คนไทยมีความตื่นตระหนก ดังนั้น หากเจอข่าวแปลกๆ และไม่มั่นใจ อย่าเพิ่งแชร์ หรือส่งต่อ ขอให้มีการตรวจสอบกับสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 หรือกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา ส่วนการป้องกัน ขอแนะนําว่า หลักการเหมือนกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ คือ หลีกเลี่ยงการไปในที่มีคนแออัด ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีไข้ ไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมหน้ากากอนามัย” รมว.ดีอีเอสกล่าว
*******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26194
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ ! รับคืนชดเชยเงิน VAT ร้อยละ 5 จากมาตรการ “ช้อปช่วยชาติช่วงตรุษจีน 62” กรมบัญชีกลางเตรียมโอนเงินให้ผู้มีสิทธิ์ พร้อมกันทั่วประเทศ 29 พ.ย. 62
|
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562
เฮ ! รับคืนชดเชยเงิน VAT ร้อยละ 5 จากมาตรการ “ช้อปช่วยชาติช่วงตรุษจีน 62” กรมบัญชีกลางเตรียมโอนเงินให้ผู้มีสิทธิ์ พร้อมกันทั่วประเทศ 29 พ.ย. 62
กรมบัญชีกลางเตรียมจ่ายเงินชดเชย VAT 5% จากมาตรการส่งเสริมการชําระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนําส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วงระหว่างวันที่ 1–15 ก.พ.62 ให้ผู้มีสิทธิ์จํานวน 6,918 ราย จํานวนเงินกว่า 7 แสนบาท ในวันที่ 29 พ.ย.62
กรมบัญชีกลางเตรียมจ่ายเงินชดเชย VAT 5% จากมาตรการส่งเสริมการชําระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนําส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 15 ก.พ. 62 (คืน Vat ตรุษจีน )ให้กับผู้มีสิทธิ์ จํานวน 6,918 ราย จํานวนเงินกว่า 7 แสนบาท ในวันที่ 29 พ.ย. 62 พร้อมกันทั่วประเทศ
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงการคลังได้ดําเนินมาตรการส่งเสริมการชําระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนําส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือมาตรการ “ช้อปช่วยชาติช่วงตรุษจีน” โดยประชาชนที่สนใจได้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ผ่านทางเว็บไซต์ www.epayment.go.th เมื่อช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 62 ที่ผ่านมา ซึ่งจะได้รับเงินชดเชย 5% จากมูลค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้ชําระเพื่อซื้อสินค้าและบริการ นับตั้งแต่วันที่ได้มีการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ จนถึงวันที่ 15 ก.พ. 62 โดยจะได้คืนเงินสูงสุดไม่เกินคนละ 1,000 บาท ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562
“ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบข้อมูลและได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อเตรียมจ่ายให้กับผู้มีสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิ์ผ่านระบบโครงสร้างพื้นฐานการชําระเงินกลางที่ใช้เลขบัตรประจําตัวประชาชน (ระบบพร้อมเพย์) ในวันที่ 29 พ.ย. 62 เป็นเงิน 705,440.96 บาท ซึ่งมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการ มีจํานวน 6,918 ราย โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์สามารถตรวจสอบจํานวนเงินชดเชยภาษี (VAT) ที่ตนเองได้รับจากบัญชีธนาคารที่ได้ลงทะเบียนไว้” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ ! รับคืนชดเชยเงิน VAT ร้อยละ 5 จากมาตรการ “ช้อปช่วยชาติช่วงตรุษจีน 62” กรมบัญชีกลางเตรียมโอนเงินให้ผู้มีสิทธิ์ พร้อมกันทั่วประเทศ 29 พ.ย. 62
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562
เฮ ! รับคืนชดเชยเงิน VAT ร้อยละ 5 จากมาตรการ “ช้อปช่วยชาติช่วงตรุษจีน 62” กรมบัญชีกลางเตรียมโอนเงินให้ผู้มีสิทธิ์ พร้อมกันทั่วประเทศ 29 พ.ย. 62
กรมบัญชีกลางเตรียมจ่ายเงินชดเชย VAT 5% จากมาตรการส่งเสริมการชําระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนําส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วงระหว่างวันที่ 1–15 ก.พ.62 ให้ผู้มีสิทธิ์จํานวน 6,918 ราย จํานวนเงินกว่า 7 แสนบาท ในวันที่ 29 พ.ย.62
กรมบัญชีกลางเตรียมจ่ายเงินชดเชย VAT 5% จากมาตรการส่งเสริมการชําระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนําส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 15 ก.พ. 62 (คืน Vat ตรุษจีน )ให้กับผู้มีสิทธิ์ จํานวน 6,918 ราย จํานวนเงินกว่า 7 แสนบาท ในวันที่ 29 พ.ย. 62 พร้อมกันทั่วประเทศ
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงการคลังได้ดําเนินมาตรการส่งเสริมการชําระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนําส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือมาตรการ “ช้อปช่วยชาติช่วงตรุษจีน” โดยประชาชนที่สนใจได้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ผ่านทางเว็บไซต์ www.epayment.go.th เมื่อช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 62 ที่ผ่านมา ซึ่งจะได้รับเงินชดเชย 5% จากมูลค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้ชําระเพื่อซื้อสินค้าและบริการ นับตั้งแต่วันที่ได้มีการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ จนถึงวันที่ 15 ก.พ. 62 โดยจะได้คืนเงินสูงสุดไม่เกินคนละ 1,000 บาท ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562
“ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบข้อมูลและได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อเตรียมจ่ายให้กับผู้มีสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิ์ผ่านระบบโครงสร้างพื้นฐานการชําระเงินกลางที่ใช้เลขบัตรประจําตัวประชาชน (ระบบพร้อมเพย์) ในวันที่ 29 พ.ย. 62 เป็นเงิน 705,440.96 บาท ซึ่งมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการ มีจํานวน 6,918 ราย โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์สามารถตรวจสอบจํานวนเงินชดเชยภาษี (VAT) ที่ตนเองได้รับจากบัญชีธนาคารที่ได้ลงทะเบียนไว้” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24917
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ เปิดงาน “Startup Thailand 2018” สานพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชีย
|
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
กระทรวงวิทย์ฯ เปิดงาน “Startup Thailand 2018” สานพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชีย
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดงาน “Startup Thailand 2018” อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน - ENDLESS OPPORTUNITIES”
วันที่ (17 พฤษภาคม 2560) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดงาน “Startup Thailand 2018” อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน - ENDLESS OPPORTUNITIES” เพื่อประกาศเกียรติคุณ และสานพลังประชารัฐ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชีย โดยมี ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานพร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษ และดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกล่าวถึงยิ่งใหญ่ของ Startup Thailand 2018 ในหัวข้อ นโยบายเสริมทัพให้ระบบนิเวศสตาร์ทอัพแข็งแกร่ง ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในโอกาสที่ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Startup Thailand 2018” ว่า กระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่าประเทศต้องการกลไกการขับเคลื่อนแข่งขันรูปแบบใหม่ เพื่อมาเสริมทัพวิสาหกิจไทยแห่งอนาคต ที่อาจเรียกได้ว่า “นักรบเศรษฐกิจใหม่” หรือ “New Economic Warrior” โดยเหล่านักรบเศรษฐกิจใหม่จะเป็นแนวหน้าในการยกระดับธุรกิจไทยที่เติบโตเร็วไปสู่ระดับโลก และพร้อมแก้ปัญหาและสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย ให้สามารถตอบรับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่กําลังขยายตัวได้ เกิดเป็นแนวคิดการส่งเสริมการธุรกิจแนวใหม่ที่เรียกว่า “Startup” หรือ “วิสาหกิจเริ่มต้น”
ทางด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง 7 นโยบายที่จะพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ดังนี้ นโยบายที่ 1 เสนอแก้กฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ พ.ร.บ.สตาร์ทอัพ โดยแยกออกจาก พ.ร.บ.เอสเอ็มอี พร้อมมุ่งเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1) ลดอุปสรรคในการทําธุรกิจทั้งของไทยและชาวต่างชาติ โดยสตาร์ทอัพต่างชาติสามารถจดทะเบียนได้ 100% เป็นการดึงดูดสตาร์ทอัพต่างชาติมาเริ่มต้นธุรกิจมากขึ้น เกิดการจ้างงานทักษะสูง การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนเกิดระบบนิเวศที่เป็นสากล 2) ทําให้สตาร์ทอัพเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย สามารถขอแหล่งเงินทุนกับภาครัฐได้ 3) ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดเพื่อให้มีศักยภาพในการเติบโตสู่ตลาดโลก โดยการผลักดันเรื่องโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตและโปรแกรมบ่มเพาะ และ 4) ส่งเสริมการขยายการลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคเอเชียหรือตลาดโลกให้ได้ นโยบายที่ 2 เสนอกฎหมายอีกฉบับคือ พ.ร.บ. Regulatory sandbox หรือการทดสอบกฎระเบียบสําหรับสตาร์ทอัพ โดยมีข้อกําหนดเฉพาะและระยะเวลาที่จํากัดให้ครอบคลุมสตาร์ทอัพทุกประเภท, นโยบายที่ 3 คือการสร้างตลาดให้แก่สตาร์ทอัพเพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้าร่วมประมูลงานจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้ ซึ่งสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กําลังหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเพื่อแก้ไขระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง, นโยบายที่ 4 การออก SMARTVISA วีซ่าประเภทพิเศษ ซึ่งครอบคลุมถึงชาวต่างชาติที่จะเข้ามาก่อตั้งสตาร์ทอัพในไทยสามารถอยู่อาศัยได้นาน 1 ปี ซึ่งจากเดิม 90 วัน เริ่มเปิดให้ขอวีซ่านี้ได้แล้วตั้งแต่ 1 ก.พ. 61 ซึ่งจะช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตสู่เวทีโลกได้, นโยบายที่ 5 การจัดซื้อจัดจ้างเชิงวิจัยภาครัฐ กําลังจะเสนอเรื่องเข้า ครม.ซึ่งจะทําให้ภาครัฐสามารถออกโจทย์งานวิจัยนวัตกรรมที่ต้องการและออกงบประมาณวิจัย โดยให้สตาร์ทอัพเป็นผู้มาพัฒนา, นโยบายที่ 6 การออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (Bayh-Dole Act) - กฎหมายในรูปแบบเดียวกับ Bayh-Dole Act ของสหรัฐฯ ซึ่งอนุญาตให้มหาวิทยาลัย ธุรกิจขนาดเล็ก หรือองค์กรไม่แสวงหากําไร ที่ใช้งบประมาณรัฐในการวิจัย สามารถเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมนั้นๆ ได้ แตกต่างจากเดิมที่นวัตกรรมเหล่านั้นต้องตกเป็นของรัฐ และนโยบายที่ 7 การพัฒนาย่านนวัตกรรม โดยมีย่านต้นแบบคือ ย่านนวัตกรรมโยธีให้เป็นศูนย์กลางทางด้านการบริการทางการแพทย์ และย่านนวัตกรรมปุณณวิถี
ดร.สุวิทย์ ยังได้กล่าวย้ําถึงระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยว่า มีการเติบโตแบบติดจรวด เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เริ่มดึงดูดสตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา ซึ่งก้าวต่อไปเราตั้งเป้าว่าสตาร์ทอัพจะเข้ามามีบทบาทพัฒนาและเปลี่ยนแปลงการทํางานของภาคเอกชน มีการนํานวัตกรรมเข้ามาพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าขึ้น ความสนใจของสตาร์ทอัพจะหันมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการต่างๆ ที่จําเป็นต่อความเป็นอยู่ในประเทศไทย พัฒนาอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้ก้าวหน้าขึ้นไป นั่นคือความคาดหวังที่จะเกิดขึ้นในก้าวต่อไปของ STARTUP THAILAND โดยเริ่มต้นจากการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในงาน STARTUP THAILAND 2018
สําหรับงานดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในวันนี้วันที่ 17 พฤษภาคม ไปจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนและผู้สนใจทุกคนไม่ควรพลาดงานที่รวม 5 ความยิ่งใหญ่ที่สุด (BIGGEST) ของงานสตาร์ทอัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาไว้ในงานเดียวในครั้งนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ เปิดงาน “Startup Thailand 2018” สานพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชีย
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
กระทรวงวิทย์ฯ เปิดงาน “Startup Thailand 2018” สานพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชีย
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดงาน “Startup Thailand 2018” อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน - ENDLESS OPPORTUNITIES”
วันที่ (17 พฤษภาคม 2560) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดงาน “Startup Thailand 2018” อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน - ENDLESS OPPORTUNITIES” เพื่อประกาศเกียรติคุณ และสานพลังประชารัฐ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเป็น Startup Hub ของภูมิภาคเอเชีย โดยมี ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานพร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษ และดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกล่าวถึงยิ่งใหญ่ของ Startup Thailand 2018 ในหัวข้อ นโยบายเสริมทัพให้ระบบนิเวศสตาร์ทอัพแข็งแกร่ง ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในโอกาสที่ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Startup Thailand 2018” ว่า กระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่าประเทศต้องการกลไกการขับเคลื่อนแข่งขันรูปแบบใหม่ เพื่อมาเสริมทัพวิสาหกิจไทยแห่งอนาคต ที่อาจเรียกได้ว่า “นักรบเศรษฐกิจใหม่” หรือ “New Economic Warrior” โดยเหล่านักรบเศรษฐกิจใหม่จะเป็นแนวหน้าในการยกระดับธุรกิจไทยที่เติบโตเร็วไปสู่ระดับโลก และพร้อมแก้ปัญหาและสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย ให้สามารถตอบรับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่กําลังขยายตัวได้ เกิดเป็นแนวคิดการส่งเสริมการธุรกิจแนวใหม่ที่เรียกว่า “Startup” หรือ “วิสาหกิจเริ่มต้น”
ทางด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง 7 นโยบายที่จะพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ดังนี้ นโยบายที่ 1 เสนอแก้กฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ พ.ร.บ.สตาร์ทอัพ โดยแยกออกจาก พ.ร.บ.เอสเอ็มอี พร้อมมุ่งเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1) ลดอุปสรรคในการทําธุรกิจทั้งของไทยและชาวต่างชาติ โดยสตาร์ทอัพต่างชาติสามารถจดทะเบียนได้ 100% เป็นการดึงดูดสตาร์ทอัพต่างชาติมาเริ่มต้นธุรกิจมากขึ้น เกิดการจ้างงานทักษะสูง การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนเกิดระบบนิเวศที่เป็นสากล 2) ทําให้สตาร์ทอัพเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย สามารถขอแหล่งเงินทุนกับภาครัฐได้ 3) ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพเติบโตแบบก้าวกระโดดเพื่อให้มีศักยภาพในการเติบโตสู่ตลาดโลก โดยการผลักดันเรื่องโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตและโปรแกรมบ่มเพาะ และ 4) ส่งเสริมการขยายการลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคเอเชียหรือตลาดโลกให้ได้ นโยบายที่ 2 เสนอกฎหมายอีกฉบับคือ พ.ร.บ. Regulatory sandbox หรือการทดสอบกฎระเบียบสําหรับสตาร์ทอัพ โดยมีข้อกําหนดเฉพาะและระยะเวลาที่จํากัดให้ครอบคลุมสตาร์ทอัพทุกประเภท, นโยบายที่ 3 คือการสร้างตลาดให้แก่สตาร์ทอัพเพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้าร่วมประมูลงานจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้ ซึ่งสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กําลังหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเพื่อแก้ไขระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง, นโยบายที่ 4 การออก SMARTVISA วีซ่าประเภทพิเศษ ซึ่งครอบคลุมถึงชาวต่างชาติที่จะเข้ามาก่อตั้งสตาร์ทอัพในไทยสามารถอยู่อาศัยได้นาน 1 ปี ซึ่งจากเดิม 90 วัน เริ่มเปิดให้ขอวีซ่านี้ได้แล้วตั้งแต่ 1 ก.พ. 61 ซึ่งจะช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตสู่เวทีโลกได้, นโยบายที่ 5 การจัดซื้อจัดจ้างเชิงวิจัยภาครัฐ กําลังจะเสนอเรื่องเข้า ครม.ซึ่งจะทําให้ภาครัฐสามารถออกโจทย์งานวิจัยนวัตกรรมที่ต้องการและออกงบประมาณวิจัย โดยให้สตาร์ทอัพเป็นผู้มาพัฒนา, นโยบายที่ 6 การออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (Bayh-Dole Act) - กฎหมายในรูปแบบเดียวกับ Bayh-Dole Act ของสหรัฐฯ ซึ่งอนุญาตให้มหาวิทยาลัย ธุรกิจขนาดเล็ก หรือองค์กรไม่แสวงหากําไร ที่ใช้งบประมาณรัฐในการวิจัย สามารถเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมนั้นๆ ได้ แตกต่างจากเดิมที่นวัตกรรมเหล่านั้นต้องตกเป็นของรัฐ และนโยบายที่ 7 การพัฒนาย่านนวัตกรรม โดยมีย่านต้นแบบคือ ย่านนวัตกรรมโยธีให้เป็นศูนย์กลางทางด้านการบริการทางการแพทย์ และย่านนวัตกรรมปุณณวิถี
ดร.สุวิทย์ ยังได้กล่าวย้ําถึงระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยว่า มีการเติบโตแบบติดจรวด เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เริ่มดึงดูดสตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา ซึ่งก้าวต่อไปเราตั้งเป้าว่าสตาร์ทอัพจะเข้ามามีบทบาทพัฒนาและเปลี่ยนแปลงการทํางานของภาคเอกชน มีการนํานวัตกรรมเข้ามาพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าขึ้น ความสนใจของสตาร์ทอัพจะหันมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการต่างๆ ที่จําเป็นต่อความเป็นอยู่ในประเทศไทย พัฒนาอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้ก้าวหน้าขึ้นไป นั่นคือความคาดหวังที่จะเกิดขึ้นในก้าวต่อไปของ STARTUP THAILAND โดยเริ่มต้นจากการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในงาน STARTUP THAILAND 2018
สําหรับงานดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในวันนี้วันที่ 17 พฤษภาคม ไปจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนและผู้สนใจทุกคนไม่ควรพลาดงานที่รวม 5 ความยิ่งใหญ่ที่สุด (BIGGEST) ของงานสตาร์ทอัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาไว้ในงานเดียวในครั้งนี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12359
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ให้การต้อนรับ นายซัยฟ์ อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด คอฟาน อัชชามิซีย์ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ให้การต้อนรับ นายซัยฟ์ อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด คอฟาน อัชชามิซีย์ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย ณ ศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งสองฝ่ายต่างชื่นชมความสัมพันธ์สองประเทศที่มีมากว่า 40 ปี โดยมีความร่วมมือกันทั้งด้านการค้า การลงทุนและความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทําร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือทางทหารระหว่าง กห.ทั้งสองประเทศ ที่มีขอบเขตทั้งการฝึกและศึกษา การแพทย์ การจัดการกับวิกฤตการณ์และสถานการณ์ฉุกเฉิน การถ่ายทอดเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่นๆที่เห็นชอบร่วมกัน ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ให้การต้อนรับ นายซัยฟ์ อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด คอฟาน อัชชามิซีย์ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ให้การต้อนรับ นายซัยฟ์ อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด คอฟาน อัชชามิซีย์ ออท.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์/ไทย ณ ศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งสองฝ่ายต่างชื่นชมความสัมพันธ์สองประเทศที่มีมากว่า 40 ปี โดยมีความร่วมมือกันทั้งด้านการค้า การลงทุนและความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทําร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือทางทหารระหว่าง กห.ทั้งสองประเทศ ที่มีขอบเขตทั้งการฝึกและศึกษา การแพทย์ การจัดการกับวิกฤตการณ์และสถานการณ์ฉุกเฉิน การถ่ายทอดเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่นๆที่เห็นชอบร่วมกัน ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23314
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. Medical Hub เห็นชอบชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ชั่วคราว ระยะ 1 ปี ต้องมีประกันสุขภาพ
|
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
คกก. Medical Hub เห็นชอบชาวต่างชาติที่พํานักอยู่ชั่วคราว ระยะ 1 ปี ต้องมีประกันสุขภาพ
คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เห็นชอบ ปรับปรุงหลักเกณฑ์กรณีชาวต่างชาติพํานักอยู่ชั่วคราวระยะ1 ปี (Non-immigrant Visa O-A) ต้องทําประกันสุขภาพ ภาคบังคับ ภายใต้ พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบให้เป็นประธานร่วมกับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในหลักการที่จะปรับปรุงเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การขอรับการตรวจลงตราประเภทอยู่ชั่วคราวสําหรับกรณี Long stay visa 1 ปี (Non-immigrant Visa O-A) กําหนดต้องมีการประกันสุขภาพของไทยคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่พํานักให้ราชอาณาจักร จํานวนเงินเอาประกันภัยสําหรับค่ารักษาพยาบาลในกรณีผู้ป่วยนอกไม่น้อยกว่า 40,000 บาท กรณีผู้ป่วยในไม่น้อยกว่า 400,000 บาท
ส่วนผู้ที่มีประกันสุขภาพของต่างประเทศ ที่มีจํานวนเงินเอาประกันภัยไม่น้อยกว่าที่กําหนด จะได้รับการยกเว้น ไม่จําเป็นต้องทําประกันสุขภาพของไทย และสามารถนํามาใช้แสดงประกอบการขอรับการตรวจลงตราประเภทอยู่ชั่วคราวได้โดยอนุโลม โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง สํานักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย จะร่วมกันกําหนดแนวทางการตรวจสอบเอกสารการประกันของต่างประเทศ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากําหนดเป็นนโยบายต่อไป
ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ Long Stay Visa 1 ปี เป็นการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้สูงอายุที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาพํานักในประเทศไทย ซึ่งจะเกิดผลดีในด้านค่ารักษาพยาบาลกับสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนได้
**************************** 23 ธันวาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. Medical Hub เห็นชอบชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ชั่วคราว ระยะ 1 ปี ต้องมีประกันสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
คกก. Medical Hub เห็นชอบชาวต่างชาติที่พํานักอยู่ชั่วคราว ระยะ 1 ปี ต้องมีประกันสุขภาพ
คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เห็นชอบ ปรับปรุงหลักเกณฑ์กรณีชาวต่างชาติพํานักอยู่ชั่วคราวระยะ1 ปี (Non-immigrant Visa O-A) ต้องทําประกันสุขภาพ ภาคบังคับ ภายใต้ พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบให้เป็นประธานร่วมกับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในหลักการที่จะปรับปรุงเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การขอรับการตรวจลงตราประเภทอยู่ชั่วคราวสําหรับกรณี Long stay visa 1 ปี (Non-immigrant Visa O-A) กําหนดต้องมีการประกันสุขภาพของไทยคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่พํานักให้ราชอาณาจักร จํานวนเงินเอาประกันภัยสําหรับค่ารักษาพยาบาลในกรณีผู้ป่วยนอกไม่น้อยกว่า 40,000 บาท กรณีผู้ป่วยในไม่น้อยกว่า 400,000 บาท
ส่วนผู้ที่มีประกันสุขภาพของต่างประเทศ ที่มีจํานวนเงินเอาประกันภัยไม่น้อยกว่าที่กําหนด จะได้รับการยกเว้น ไม่จําเป็นต้องทําประกันสุขภาพของไทย และสามารถนํามาใช้แสดงประกอบการขอรับการตรวจลงตราประเภทอยู่ชั่วคราวได้โดยอนุโลม โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง สํานักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย จะร่วมกันกําหนดแนวทางการตรวจสอบเอกสารการประกันของต่างประเทศ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากําหนดเป็นนโยบายต่อไป
ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ Long Stay Visa 1 ปี เป็นการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้สูงอายุที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาพํานักในประเทศไทย ซึ่งจะเกิดผลดีในด้านค่ารักษาพยาบาลกับสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนได้
**************************** 23 ธันวาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17709
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562”
|
วันอังคารที่ 17 กันยายน 2562
กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562”
กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562” ภายใต้แนวคิด “Beyond Disruptive Technology” จุดเปลี่ยนอนาคตไทย ด้วยงานวิจัยเกษตร มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคการเกษตรที่พัฒนาด้วยนวัตกรรม ระหว่างวันที่ 8 - 9 ต.ค. 62
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กําหนดจัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562” ภายใต้แนวคิด “Beyond Disruptive Technology” จุดเปลี่ยนอนาคตไทย ด้วยงานวิจัยเกษตร ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 9 ตุลาคม 2562 ณ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อแสดงถึงการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับกลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยจากการเกษตรแบบเดิมไปสู่ยุคการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้านนวัตกรรม สวก. จึงได้ผลักดันและสนับสนุนงานวิจัย เพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย บนพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตามมาตรฐานการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพ
นายอนันต์ กล่าวต่อไปว่า ภาคการเกษตรของไทยนั้น จะต้องพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพ ความรู้และทักษะที่จะสามารถนําไปประกอบอาชีพเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนรัฐบาลจึงมีนโยบายในการปฏิรูปการเกษตร สู่การทําเกษตรแบบ 4.0 เพื่อให้สอดรับกับบริบทการเปลี่ยนแปลงดังกล่าง ทั้งจังมีแรงกดดันจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทีความรุนแรงมากขึ้น และความเสี่ยงจาก Disruptive Technology กระทรวงเกษตรฯจึงมีนโยบายพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีความปราดเปรื่อง (Smart Farmer) มีความรอบรู้ เพื่อประสิทธิภาพที่ดี ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งการจะสนับสนุน ต่อยอดความรู้ ทักษะเกษตรไทยได้ดีนั้น ย่อมต้องมีองค์ความรู้การศึกษาวิจัยที่รอบด้าน เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
ทั้งนี้ การจัดงานประชุมวิชาการ สวก. 2562 เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตรของประเทศ ซึ่งปีนี้ สวก. ได้คัดสรรโครงการวิจัยภายใต้ธีมงาน “Beyond Disruptive Technology” มาจัดแสดงกว่า 200 โครงการ เช่น 1) โครงการการพัฒนาระบบเรดาร์เพื่อการจัดทําแผนที่ใต้ดินสําหรับการเกษตร ผลงานของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เอกรัฐ บุญภูงา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นการพัฒนาระบบเรดาร์ สําหรับการสร้างแผนที่ใต้พื้นดิน ซึ่งแผนที่นี้จะมีข้อมูลชั้นดินและสิ่งที่อยู่ใต้ดินต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจบริหารจัดการทางการเกษตร ให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ของภาครัฐ 2) เครื่องวิเคราะห์ปริมาณน้ํามันในทะลายปาล์มน้ํามันอย่างรวดเร็วเพื่อการซื้อขายในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคนิค Near Infrared (NIR) ผลงานของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณฤทธิ์ ฤทธิรณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นการสร้างระบบและวิธีการในการวิเคราะห์ปริมาณน้ํามันในปาล์มน้ํามัน ด้วยเทคนิค NIR เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์หาปริมาณน้ํามันในผลปาล์มและทะลายปาล์มอย่างรวดเร็ว แม่นยํา และไม่ทําลายตัวอย่าง ซึ่งสามารถนํามาทดแทนการซื้อขายปาล์มจากการประเมินด้วยผู้เชี่ยวชาญ หรือการประเมินด้วยวิธีมาตรฐานที่ต้องใช้สารเคมี และใช้เวลาในการสกัดน้ํามันค่อนข้างนาน เป็นต้น ซึ่งจาก 2 โครงกาที่ได้กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่นํามาใช้ในการพัฒนาภาคการเกษตร และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรของประเทศไทย และยังมีผลงานวิจัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ในงานประชุมวิชาการ สวก. 2562
ด้าน ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า สวก. ได้กําหนดจัดงานประชุมวิชาการ สวก. 2562 ขึ้น มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อเพิ่มพูนความรู้และวิสัยทัศน์ให้แก่นักวิจัย นักวิชาการ เรื่องทิศทางงานวิจัยด้านการเกษตรของไทยและของต่างประเทศ 2) เพื่อประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลแก่นักวิจัยที่ได้รับทุนจาก สวก. ที่ไปได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับนานาชาติ นักวิจัยการเกษตรดีเด่นของ สวก. ในแต่ละคลัสเตอร์ และผู้ประกอบการดีเด่น 3) เพื่อเป็นเวทีในการนําเสนอผลงานวิจัยเด่นในแต่ละคลัสเตอร์ด้านการเกษตรของประเทศ 4) เพื่อเผยแพร่ผลการดําเนินงานภาพรวมทั้งหมดของ สวก. และ 5) เพื่อบูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดการพัฒนางานวิจัยทางด้านการเกษตรในประเทศไทยกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักวิจัย นักวิชาการ ทั้งที่อยู่ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอยู่ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ นักเรียน/นิสิต/นักศึกษา และผู้ประกอบการที่ดําเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเกษตร
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562”
วันอังคารที่ 17 กันยายน 2562
กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562”
กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562” ภายใต้แนวคิด “Beyond Disruptive Technology” จุดเปลี่ยนอนาคตไทย ด้วยงานวิจัยเกษตร มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคการเกษตรที่พัฒนาด้วยนวัตกรรม ระหว่างวันที่ 8 - 9 ต.ค. 62
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กําหนดจัดงาน “ประชุมวิชาการ สวก. 2562” ภายใต้แนวคิด “Beyond Disruptive Technology” จุดเปลี่ยนอนาคตไทย ด้วยงานวิจัยเกษตร ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 9 ตุลาคม 2562 ณ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อแสดงถึงการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับกลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยจากการเกษตรแบบเดิมไปสู่ยุคการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้านนวัตกรรม สวก. จึงได้ผลักดันและสนับสนุนงานวิจัย เพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย บนพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตามมาตรฐานการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพ
นายอนันต์ กล่าวต่อไปว่า ภาคการเกษตรของไทยนั้น จะต้องพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพ ความรู้และทักษะที่จะสามารถนําไปประกอบอาชีพเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนรัฐบาลจึงมีนโยบายในการปฏิรูปการเกษตร สู่การทําเกษตรแบบ 4.0 เพื่อให้สอดรับกับบริบทการเปลี่ยนแปลงดังกล่าง ทั้งจังมีแรงกดดันจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทีความรุนแรงมากขึ้น และความเสี่ยงจาก Disruptive Technology กระทรวงเกษตรฯจึงมีนโยบายพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีความปราดเปรื่อง (Smart Farmer) มีความรอบรู้ เพื่อประสิทธิภาพที่ดี ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งการจะสนับสนุน ต่อยอดความรู้ ทักษะเกษตรไทยได้ดีนั้น ย่อมต้องมีองค์ความรู้การศึกษาวิจัยที่รอบด้าน เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
ทั้งนี้ การจัดงานประชุมวิชาการ สวก. 2562 เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตรของประเทศ ซึ่งปีนี้ สวก. ได้คัดสรรโครงการวิจัยภายใต้ธีมงาน “Beyond Disruptive Technology” มาจัดแสดงกว่า 200 โครงการ เช่น 1) โครงการการพัฒนาระบบเรดาร์เพื่อการจัดทําแผนที่ใต้ดินสําหรับการเกษตร ผลงานของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เอกรัฐ บุญภูงา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นการพัฒนาระบบเรดาร์ สําหรับการสร้างแผนที่ใต้พื้นดิน ซึ่งแผนที่นี้จะมีข้อมูลชั้นดินและสิ่งที่อยู่ใต้ดินต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจบริหารจัดการทางการเกษตร ให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ของภาครัฐ 2) เครื่องวิเคราะห์ปริมาณน้ํามันในทะลายปาล์มน้ํามันอย่างรวดเร็วเพื่อการซื้อขายในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคนิค Near Infrared (NIR) ผลงานของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณฤทธิ์ ฤทธิรณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นการสร้างระบบและวิธีการในการวิเคราะห์ปริมาณน้ํามันในปาล์มน้ํามัน ด้วยเทคนิค NIR เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์หาปริมาณน้ํามันในผลปาล์มและทะลายปาล์มอย่างรวดเร็ว แม่นยํา และไม่ทําลายตัวอย่าง ซึ่งสามารถนํามาทดแทนการซื้อขายปาล์มจากการประเมินด้วยผู้เชี่ยวชาญ หรือการประเมินด้วยวิธีมาตรฐานที่ต้องใช้สารเคมี และใช้เวลาในการสกัดน้ํามันค่อนข้างนาน เป็นต้น ซึ่งจาก 2 โครงกาที่ได้กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่นํามาใช้ในการพัฒนาภาคการเกษตร และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรของประเทศไทย และยังมีผลงานวิจัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ในงานประชุมวิชาการ สวก. 2562
ด้าน ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า สวก. ได้กําหนดจัดงานประชุมวิชาการ สวก. 2562 ขึ้น มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อเพิ่มพูนความรู้และวิสัยทัศน์ให้แก่นักวิจัย นักวิชาการ เรื่องทิศทางงานวิจัยด้านการเกษตรของไทยและของต่างประเทศ 2) เพื่อประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลแก่นักวิจัยที่ได้รับทุนจาก สวก. ที่ไปได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับนานาชาติ นักวิจัยการเกษตรดีเด่นของ สวก. ในแต่ละคลัสเตอร์ และผู้ประกอบการดีเด่น 3) เพื่อเป็นเวทีในการนําเสนอผลงานวิจัยเด่นในแต่ละคลัสเตอร์ด้านการเกษตรของประเทศ 4) เพื่อเผยแพร่ผลการดําเนินงานภาพรวมทั้งหมดของ สวก. และ 5) เพื่อบูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดการพัฒนางานวิจัยทางด้านการเกษตรในประเทศไทยกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักวิจัย นักวิชาการ ทั้งที่อยู่ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอยู่ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ นักเรียน/นิสิต/นักศึกษา และผู้ประกอบการที่ดําเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเกษตร
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23159
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
|
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
วันนี้ (17 เม.ย. 63) เวลา 10.30 น.นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานเปิดกิจกรรม พม.ห่วงใย สู้ภัยโควิดของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายสากลกล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ทําให้ขาดรายได้ที่เพียงพอสําหรับตนเองและครอบครัว แม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาต่างๆ ทั้งนี้ จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจัดสรรสิ่งของที่จําเป็นและเงินที่ได้รับบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม และนําไปมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
นายสากลกล่าวต่ออีกว่า ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม และเป็นศูนย์กลางในการรณรงค์ระดมทรัพยากรทั้งสิ่งของที่จําเป็นและเงินจากผู้บริจาคที่มี จิตศรัทธาจากทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นบริษัทและห้างร้านต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ สําหรับ การช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อน อีกทั้งประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์รับบริจาคในสังกัดกระทรวง พม. โดยการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจากผู้ให้สู่ผู้รับที่ตรงตามความต้องการ โปร่งใส และตรวจสอบได้ สําหรับวันนี้ มีการรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ประกอบด้วย 1) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (TESCO Lotus) บริจาคข้าวสาร น้ํามันพืช ซอสปรุงรส วุ้นเส้น อุปกรณ์เครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม และผ้าขนหนู 2) บริษัทฟรีสแลนด์คัมพินา (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริจาคนมกล่อง จํานวน 100 ลัง 3) บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) บริจาคน้ําดื่ม จํานวน 2,000 ขวด และผ้าห่ม จํานวน 100 ผืน 4) บริษัท เค.เอ็ม.จี. การ์เม้นท์ จํากัด บริจาคหน้ากากผ้าคอตตอล 2 ชั้น จํานวน 1,000 ชิ้น 5) บริษัท ยิบอินซอย มูลนิธิภาณี ยิบอินซอย มูลนิธิร่มบุญ ศิษย์เก่า SJC รุ่น 1984 ร่วมบริจาคปลากระป๋อง จํานวน 6,000 กระป๋อง นมดัชมิลล์ จํานวน 3,600 กล่อง และบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป จํานวน 50 ลัง ซึ่งซื้อมาจากชุมชน เป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน เพื่อส่งต่อให้ถึงมือผู้ใช้บริการ 6) บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จํากัด (มหาชน) บริจาคข้าวหอมทิพย์ จํานวน 5,000 กิโลกรัม 7) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 62 หมู่กวาง บริจาคเงิน 50,000 บาท 8) คุณมณฑิา ศิลปะศร เชื้ออินทร์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 1 บริจาคนมผงสําหรับเด็ก และ 9) บริษัท แกรนด์ เอ็มเจ แพ็ค จํากัด บริจาคเฟรชชิลด์ จํานวน 800 ชิ้น
นายสากลกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนมีความต้องการเร่งด่วน ได้แก่ 1) เงินค่าใช้จ่าย ในการครองชีพ 2) เครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น 3) นมผงสําหรับเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี 4) ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ และ 5) ชุดยาสามัญประจําบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสําหรับกิจกรรม พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านช่องทางบริจาค ดังนี้ 1) บริจาคเงินเข้าบัญชีโดยตรง ชื่อบัญชี ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว เลขบัญชี 021-0-21170-9 และ บริจาคเงินผ่านแอปพลิเคชัน true money สําหรับการบริจาคเงิน 300 บาทขึ้นไป สามารถรับใบเสร็จรับเงินเพื่อการลดหย่อนภาษีได้ โดยส่งหลักฐานการโอนเงินทาง 1.1) โทรสารหมายเลข 02-282-2870 และ 2. อีเมล์ E-mail: oscc1300.m@m-society.go.th และ 2) บริจาคสิ่งของโดยตรงได้ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บริเวณชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ และบริจาคสิ่งของโดยส่งพัสดุถึง ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขที่ 1034 ถนนกรุงเกษม แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบฯ 10100 นอกจากนี้ ยังโทรแจ้งการรับบริจาคสิ่งของที่บ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือสายด่วน พม. โทร. 1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
วันนี้ (17 เม.ย. 63) เวลา 10.30 น.นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานเปิดกิจกรรม พม.ห่วงใย สู้ภัยโควิดของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายสากลกล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ทําให้ขาดรายได้ที่เพียงพอสําหรับตนเองและครอบครัว แม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาต่างๆ ทั้งนี้ จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจัดสรรสิ่งของที่จําเป็นและเงินที่ได้รับบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม และนําไปมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
นายสากลกล่าวต่ออีกว่า ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม และเป็นศูนย์กลางในการรณรงค์ระดมทรัพยากรทั้งสิ่งของที่จําเป็นและเงินจากผู้บริจาคที่มี จิตศรัทธาจากทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นบริษัทและห้างร้านต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ สําหรับ การช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อน อีกทั้งประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์รับบริจาคในสังกัดกระทรวง พม. โดยการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจากผู้ให้สู่ผู้รับที่ตรงตามความต้องการ โปร่งใส และตรวจสอบได้ สําหรับวันนี้ มีการรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ประกอบด้วย 1) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (TESCO Lotus) บริจาคข้าวสาร น้ํามันพืช ซอสปรุงรส วุ้นเส้น อุปกรณ์เครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม และผ้าขนหนู 2) บริษัทฟรีสแลนด์คัมพินา (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริจาคนมกล่อง จํานวน 100 ลัง 3) บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) บริจาคน้ําดื่ม จํานวน 2,000 ขวด และผ้าห่ม จํานวน 100 ผืน 4) บริษัท เค.เอ็ม.จี. การ์เม้นท์ จํากัด บริจาคหน้ากากผ้าคอตตอล 2 ชั้น จํานวน 1,000 ชิ้น 5) บริษัท ยิบอินซอย มูลนิธิภาณี ยิบอินซอย มูลนิธิร่มบุญ ศิษย์เก่า SJC รุ่น 1984 ร่วมบริจาคปลากระป๋อง จํานวน 6,000 กระป๋อง นมดัชมิลล์ จํานวน 3,600 กล่อง และบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป จํานวน 50 ลัง ซึ่งซื้อมาจากชุมชน เป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน เพื่อส่งต่อให้ถึงมือผู้ใช้บริการ 6) บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จํากัด (มหาชน) บริจาคข้าวหอมทิพย์ จํานวน 5,000 กิโลกรัม 7) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 62 หมู่กวาง บริจาคเงิน 50,000 บาท 8) คุณมณฑิา ศิลปะศร เชื้ออินทร์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 1 บริจาคนมผงสําหรับเด็ก และ 9) บริษัท แกรนด์ เอ็มเจ แพ็ค จํากัด บริจาคเฟรชชิลด์ จํานวน 800 ชิ้น
นายสากลกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนมีความต้องการเร่งด่วน ได้แก่ 1) เงินค่าใช้จ่าย ในการครองชีพ 2) เครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น 3) นมผงสําหรับเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี 4) ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ และ 5) ชุดยาสามัญประจําบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสําหรับกิจกรรม พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านช่องทางบริจาค ดังนี้ 1) บริจาคเงินเข้าบัญชีโดยตรง ชื่อบัญชี ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว เลขบัญชี 021-0-21170-9 และ บริจาคเงินผ่านแอปพลิเคชัน true money สําหรับการบริจาคเงิน 300 บาทขึ้นไป สามารถรับใบเสร็จรับเงินเพื่อการลดหย่อนภาษีได้ โดยส่งหลักฐานการโอนเงินทาง 1.1) โทรสารหมายเลข 02-282-2870 และ 2. อีเมล์ E-mail: oscc1300.m@m-society.go.th และ 2) บริจาคสิ่งของโดยตรงได้ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บริเวณชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ และบริจาคสิ่งของโดยส่งพัสดุถึง ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขที่ 1034 ถนนกรุงเกษม แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบฯ 10100 นอกจากนี้ ยังโทรแจ้งการรับบริจาคสิ่งของที่บ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือสายด่วน พม. โทร. 1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29279
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การยาสูบฯ แถลงโต้ประเด็น “ยกที่ดินให้นายทุนทำอสังหาริมทรัพย์”
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562
การยาสูบฯ แถลงโต้ประเด็น “ยกที่ดินให้นายทุนทําอสังหาริมทรัพย์”
จากกรณีที่นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระโพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คอ้างข้อมูลจากอธิการบดี ม.รังสิต กล่าวหารัฐบาลมีการบริหารงานแบบเอื้อประโยชน์นายทุน โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการยาสูบแห่งประเทศไทย ระบุว่ามีการยกที่ดินยาสูบให้แก่นายทุน เพื่อไปทําอสังหาริมทรัพย์
จากกรณีที่นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว อ้างข้อมูลจากนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวหารัฐบาลมีการบริหารงานแบบเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน โดยมีหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวกับการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งในโพสต์ข้อความระบุว่า “มีการยกที่ดินยาสูบให้แก่นายทุน เพื่อไปทําอสังหาริมทรัพย์” นั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 31 มกราคม 2562 นายนพดล หาญธนสาร รองผู้ว่าการด้านบริหาร การยาสูบแห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพสดผ่านทาง Facebook บ้านเราชาวยาสูบ ยสท. เพื่อชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย หรือโรงงานยาสูบในขณะนั้น ย้ายฐานการผลิตจากกรุงเทพมหานคร ไปยังส่วนภูมิภาค และในขณะนี้ได้ดําเนินการย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และขณะนี้ก็มีการดําเนินการย้ายส่วนที่เหลือเพิ่มเติมไป เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงต่อๆ ไป
และจากระแสข่าวที่ว่า “จะมีการยกที่ดินของการยาสูบแห่งประเทศไทยให้กับนายทุน เพื่อไปทําเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ในเรื่องนี้การยาสูบแห่งประเทศไทยขอชี้แจงว่า “ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด”
https://youtu.be/UJ1bhHidZvU
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การยาสูบฯ แถลงโต้ประเด็น “ยกที่ดินให้นายทุนทำอสังหาริมทรัพย์”
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562
การยาสูบฯ แถลงโต้ประเด็น “ยกที่ดินให้นายทุนทําอสังหาริมทรัพย์”
จากกรณีที่นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระโพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คอ้างข้อมูลจากอธิการบดี ม.รังสิต กล่าวหารัฐบาลมีการบริหารงานแบบเอื้อประโยชน์นายทุน โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการยาสูบแห่งประเทศไทย ระบุว่ามีการยกที่ดินยาสูบให้แก่นายทุน เพื่อไปทําอสังหาริมทรัพย์
จากกรณีที่นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว อ้างข้อมูลจากนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวหารัฐบาลมีการบริหารงานแบบเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน โดยมีหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวกับการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งในโพสต์ข้อความระบุว่า “มีการยกที่ดินยาสูบให้แก่นายทุน เพื่อไปทําอสังหาริมทรัพย์” นั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 31 มกราคม 2562 นายนพดล หาญธนสาร รองผู้ว่าการด้านบริหาร การยาสูบแห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพสดผ่านทาง Facebook บ้านเราชาวยาสูบ ยสท. เพื่อชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย หรือโรงงานยาสูบในขณะนั้น ย้ายฐานการผลิตจากกรุงเทพมหานคร ไปยังส่วนภูมิภาค และในขณะนี้ได้ดําเนินการย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และขณะนี้ก็มีการดําเนินการย้ายส่วนที่เหลือเพิ่มเติมไป เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงต่อๆ ไป
และจากระแสข่าวที่ว่า “จะมีการยกที่ดินของการยาสูบแห่งประเทศไทยให้กับนายทุน เพื่อไปทําเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ในเรื่องนี้การยาสูบแห่งประเทศไทยขอชี้แจงว่า “ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด”
https://youtu.be/UJ1bhHidZvU
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18480
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับจัดระเบียบชายหาด ใช้ประโยชน์หลากหลายและยึดป้องกันโควิด -19
|
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีกําชับจัดระเบียบชายหาด ใช้ประโยชน์หลากหลายและยึดป้องกันโควิด -19
นายกรัฐมนตรีกําชับจัดระเบียบชายหาด ใช้ประโยชน์หลากหลายและยึดป้องกันโควิด -19
ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการให้มีการจัดระเบียบชายหาดใหม่ และอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนเลือกทํากิจกรรมได้ตามต้องการแต่ต้องไม่เกิดความแออัดและปลอดภัยจากการแพร่หรือไปรับเชื้อโควิด-19 โดยจัดระเบียบพื้นที่ให้ชัดเจนมีโซนสําหรับประชาชนพักผ่อน รับประทานอาหารให้มีร้านหรือสามารถขายอาหารได้ พร้อมจัดให้มีพื้นที่ว่างที่ประชาชนสามารถปูเสื่อหรือนําเก้าอี้เล็กมาตั้งเพื่อรับประทานอาหารกันเองในครอบครัวรวมทั้งพื้นที่สําหรับเล่นกีฬาชายหาด กีฬาทางน้ําทางเรือทั้งหมดนี้ต้องเน้นถึงความปลอดภัยไม่ให้รบกวนซึ่งกันและกัน รวมทั้งจํากัดจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ชายหาดตั้งแต่บริเวณภายนอก ควบคุมการจราจรหากพบเห็นว่าชายหาดบริเวณดังกล่าวดูคับแคบหรือหนาแน่นไป ก็ให้พิจารณาใช้ชายหาดอื่นๆใกล้เคียงได้โดยต้องมีมาตรการเช่นเดียวกัน
นายกรัฐมนตรียังขอให้กระทรวงมหาดไทยการท่องเที่ยวฯและองค์กรปกครองท้องถิ่นรวมถึงผู้ประกอบการช่วยกันดูแลบริหารจัดการขยะโดยรอบบริเวณดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ห้ามการทํากิจกรรมใดๆ แต่ฝากให้พ่อค้าแม่ค้าคนขายของเรียนรู้ปรับตัวนําเสนอรูปแบบบริการตาม "ชีวิตวิถีใหม่"หรือ "New Normal"ด้วย
..............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับจัดระเบียบชายหาด ใช้ประโยชน์หลากหลายและยึดป้องกันโควิด -19
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีกําชับจัดระเบียบชายหาด ใช้ประโยชน์หลากหลายและยึดป้องกันโควิด -19
นายกรัฐมนตรีกําชับจัดระเบียบชายหาด ใช้ประโยชน์หลากหลายและยึดป้องกันโควิด -19
ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการให้มีการจัดระเบียบชายหาดใหม่ และอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนเลือกทํากิจกรรมได้ตามต้องการแต่ต้องไม่เกิดความแออัดและปลอดภัยจากการแพร่หรือไปรับเชื้อโควิด-19 โดยจัดระเบียบพื้นที่ให้ชัดเจนมีโซนสําหรับประชาชนพักผ่อน รับประทานอาหารให้มีร้านหรือสามารถขายอาหารได้ พร้อมจัดให้มีพื้นที่ว่างที่ประชาชนสามารถปูเสื่อหรือนําเก้าอี้เล็กมาตั้งเพื่อรับประทานอาหารกันเองในครอบครัวรวมทั้งพื้นที่สําหรับเล่นกีฬาชายหาด กีฬาทางน้ําทางเรือทั้งหมดนี้ต้องเน้นถึงความปลอดภัยไม่ให้รบกวนซึ่งกันและกัน รวมทั้งจํากัดจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ชายหาดตั้งแต่บริเวณภายนอก ควบคุมการจราจรหากพบเห็นว่าชายหาดบริเวณดังกล่าวดูคับแคบหรือหนาแน่นไป ก็ให้พิจารณาใช้ชายหาดอื่นๆใกล้เคียงได้โดยต้องมีมาตรการเช่นเดียวกัน
นายกรัฐมนตรียังขอให้กระทรวงมหาดไทยการท่องเที่ยวฯและองค์กรปกครองท้องถิ่นรวมถึงผู้ประกอบการช่วยกันดูแลบริหารจัดการขยะโดยรอบบริเวณดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ห้ามการทํากิจกรรมใดๆ แต่ฝากให้พ่อค้าแม่ค้าคนขายของเรียนรู้ปรับตัวนําเสนอรูปแบบบริการตาม "ชีวิตวิถีใหม่"หรือ "New Normal"ด้วย
..............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32026
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมจัดมาตรการช่วยเกษตกรมีรายได้หลังน้ำลด เล็งเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มรายได้ หวังไกลส่งออกตลาดที่มีข้อตกลงการค้าเสรี
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
รัฐบาลพร้อมจัดมาตรการช่วยเกษตกรมีรายได้หลังน้ําลด เล็งเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มรายได้ หวังไกลส่งออกตลาดที่มีข้อตกลงการค้าเสรี
รัฐบาลพร้อมจัดมาตรการช่วยเกษตกรมีรายได้หลังน้ําลด เล็งเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มรายได้ หวังไกลส่งออกตลาดที่มีข้อตกลงการค้าเสรี
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงการดําเนินการตามคําสั่งการนายกรัฐมนตรีที่ให้ทุกหน่วยงานรีบเข้าช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้หลังน้ําลดเร็วที่สุด ทั้งนี้ ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากเร่งดําเนินการเรื่องการสํารวจพื้นที่ๆได้รับความเสียหายจากอุทกภัยเพื่อจ่ายเงินชดเชยแล้ว ยังได้เตรียมเสนอโครงการแจกเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้น้ําน้อยแต่ใช้เวลาเพาะปลูกไม่นานเช่น เมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะประกันราคาเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าจะมีรายได้เลี้ยงชีพ และที่สําคัญจะผลักดันโครงการโคขุนสร้างรายได้โดยภาครัฐจะเป็นผู้สนับสนุนเงินกู้ และเครื่องผสมอาหารตามสูตรของกรมปศุสัตว์ ซึ่งในระยะยาว หากเกษตรกรจะหันมาเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพหลักก็มีโอกาสสร้างรายได้ได้มาก เนื่องจากมีโอกาสส่งผลิตภัณฑ์เนื้อไปต่างประเทศ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันให้เกษตกรและสหกรณ์ในพื้นที่ภาคอีสานเช่น มุกดาหาร กาฬสินธุ์ นครพนม และสกลนคร มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ประโยชน์จากการค้าเสรีโคเนื้อเพื่อเปิดตลาดสู่ต่างประเทศให้มากที่สุด ทั้งนี้หากเกษตรเลี้ยงโคเนื้อได้รับการพัฒนาในเรื่องมาตรฐานการผลิตGMP และฮาลาล คาดว่าจะมีโอกาสส่งออกไปยังจีน และประเทศอาเซียนได้มาก เพราะไม่เก็บภาษีนําเข้าสินค้าโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจากไทยภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี รวมถึงออสเตรเลียที่จะมีการลดภาษีนําเข้าเหลือร้อยละ 0 และยกเลิกการจํากัดปริมาณการนําเข้าสินค้าโคเนื้อและเครื่องใน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ตามข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัยน้ําท่วมในครั้งนี้ จะครอบคลุมไปถึงการดูแลเรื่องการทํามาหากินอย่างยั่งยืน ซึ่งในบางพื้นที่ๆไม่เหมาะกับการเพาะปลูก การมองลู่ทางในการปรับเปลี่ยนอาชีพอาจไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะรัฐบาลมีแผนการช่วยเหลือและส่งเสริมให้เกิดความั่นคงในอาชีพรองรับไว้แล้ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมจัดมาตรการช่วยเกษตกรมีรายได้หลังน้ำลด เล็งเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มรายได้ หวังไกลส่งออกตลาดที่มีข้อตกลงการค้าเสรี
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
รัฐบาลพร้อมจัดมาตรการช่วยเกษตกรมีรายได้หลังน้ําลด เล็งเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มรายได้ หวังไกลส่งออกตลาดที่มีข้อตกลงการค้าเสรี
รัฐบาลพร้อมจัดมาตรการช่วยเกษตกรมีรายได้หลังน้ําลด เล็งเลี้ยงโคเนื้อเพิ่มรายได้ หวังไกลส่งออกตลาดที่มีข้อตกลงการค้าเสรี
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงการดําเนินการตามคําสั่งการนายกรัฐมนตรีที่ให้ทุกหน่วยงานรีบเข้าช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้หลังน้ําลดเร็วที่สุด ทั้งนี้ ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากเร่งดําเนินการเรื่องการสํารวจพื้นที่ๆได้รับความเสียหายจากอุทกภัยเพื่อจ่ายเงินชดเชยแล้ว ยังได้เตรียมเสนอโครงการแจกเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้น้ําน้อยแต่ใช้เวลาเพาะปลูกไม่นานเช่น เมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะประกันราคาเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าจะมีรายได้เลี้ยงชีพ และที่สําคัญจะผลักดันโครงการโคขุนสร้างรายได้โดยภาครัฐจะเป็นผู้สนับสนุนเงินกู้ และเครื่องผสมอาหารตามสูตรของกรมปศุสัตว์ ซึ่งในระยะยาว หากเกษตรกรจะหันมาเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพหลักก็มีโอกาสสร้างรายได้ได้มาก เนื่องจากมีโอกาสส่งผลิตภัณฑ์เนื้อไปต่างประเทศ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันให้เกษตกรและสหกรณ์ในพื้นที่ภาคอีสานเช่น มุกดาหาร กาฬสินธุ์ นครพนม และสกลนคร มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ประโยชน์จากการค้าเสรีโคเนื้อเพื่อเปิดตลาดสู่ต่างประเทศให้มากที่สุด ทั้งนี้หากเกษตรเลี้ยงโคเนื้อได้รับการพัฒนาในเรื่องมาตรฐานการผลิตGMP และฮาลาล คาดว่าจะมีโอกาสส่งออกไปยังจีน และประเทศอาเซียนได้มาก เพราะไม่เก็บภาษีนําเข้าสินค้าโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจากไทยภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี รวมถึงออสเตรเลียที่จะมีการลดภาษีนําเข้าเหลือร้อยละ 0 และยกเลิกการจํากัดปริมาณการนําเข้าสินค้าโคเนื้อและเครื่องใน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ตามข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัยน้ําท่วมในครั้งนี้ จะครอบคลุมไปถึงการดูแลเรื่องการทํามาหากินอย่างยั่งยืน ซึ่งในบางพื้นที่ๆไม่เหมาะกับการเพาะปลูก การมองลู่ทางในการปรับเปลี่ยนอาชีพอาจไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะรัฐบาลมีแผนการช่วยเหลือและส่งเสริมให้เกิดความั่นคงในอาชีพรองรับไว้แล้ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23346
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สืบสานประวัติศาสตร์ชาติไทย
|
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562
สืบสานประวัติศาสตร์ชาติไทย
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
เมื่อวันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม ชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหาร ครูผู้สอนประวัติศาสตร์ บุคลากร กศน. ที่ผ่านการอบรมจิตอาสา 904 วิทยากร ผู้บริหารในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า 1,490 คน
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเวลายาวนาน สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์แห่งการดํารงอยู่ของชาติไทย ทุกคราวที่ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตนานาประการ ประเทศชาติก็สามารถผ่านพ้นมาได้เสมอ ด้วยพระบารมีขององค์บูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ตราบจนปัจจุบันนี้
ดังนั้น การเผยแพร่ความรู้หรือการสอนให้เยาวชนและประชาชน ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์และประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง ต่อการสร้างจิตสํานึกและอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องขอชื่นชมครู กศน. และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ปฏิบัติงานในการสร้างครูผู้สอนประวัติศาสตร์ได้อย่างเข้มแข็ง
การจัดงานในวันนี้ จึงเป็นการประกาศศักยภาพของครู กศน. ที่มากกว่าการเป็นครูสอนด้านวิชาการ แต่เป็นครูที่ช่วยเผยแพร่ความรู้ ช่วยสอนให้เยาวชนและประชาชน ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์และประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นครูผู้สร้างอุดมการณ์ในการเป็นพลเมืองที่ดี เป็นพลเมืองที่มีจิตสํานึกรักชาติ ศาสนา และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันจะเป็นรากฐานสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศชาติ ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนต่อไป
โดยกระทรวงศึกษาธิการ มีแนวทางที่จะส่งเสริมพัฒนาครู กศน. ที่สอนประวัติศาสตร์ชาติไทย ให้ได้เข้ารับการอบรมเพื่อเป็นวิทยากรเพิ่มเติมจาก 6,122 คน เพื่อให้มีครูวิทยากรของ กศน. ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ที่จะไปถ่ายทอดความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้อง สู่ผู้เรียน กศน. และประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป
ดร.ศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า สํานักงาน กศน.ได้ดําเนินโครงการอบรมประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ให้แก่ครู กศน. ทั่วประเทศ มาตั้งแต่ปี 2560 พร้อมขยายผลในหลักสูตรแบบเข้มข้น ภายใต้โครงการ “การอบรมวิทยากรประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพื่อสร้างครูผู้สอนประวัติศาสตร์ชาติไทยของสํานักงาน กศน. ให้เป็น "วิทยากร" เผยแพร่สร้างการรับรู้ให้แก่นักศึกษา กศน. เยาวชน และประชาชนไทยทั่วประเทศ เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดตามพระราชดํารัสของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดจนเป็นการสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้อง ในเรื่องของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย อันจะเป็นรากฐานสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนต่อไป
การจัดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอดครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสํานักงาน กศน. ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในครั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม และเพื่อเผยแพร่การดําเนินงานและกิจกรรมของครู กศน. ทั่วประเทศ ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าว ตลอดจนสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ครู กศน. ในการที่จะปฏิบัติภารกิจต่อไปได้อย่างเข้มแข็งด้วย
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สืบสานประวัติศาสตร์ชาติไทย
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562
สืบสานประวัติศาสตร์ชาติไทย
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
เมื่อวันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม ชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหาร ครูผู้สอนประวัติศาสตร์ บุคลากร กศน. ที่ผ่านการอบรมจิตอาสา 904 วิทยากร ผู้บริหารในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า 1,490 คน
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเวลายาวนาน สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์แห่งการดํารงอยู่ของชาติไทย ทุกคราวที่ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตนานาประการ ประเทศชาติก็สามารถผ่านพ้นมาได้เสมอ ด้วยพระบารมีขององค์บูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ตราบจนปัจจุบันนี้
ดังนั้น การเผยแพร่ความรู้หรือการสอนให้เยาวชนและประชาชน ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์และประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง ต่อการสร้างจิตสํานึกและอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องขอชื่นชมครู กศน. และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ปฏิบัติงานในการสร้างครูผู้สอนประวัติศาสตร์ได้อย่างเข้มแข็ง
การจัดงานในวันนี้ จึงเป็นการประกาศศักยภาพของครู กศน. ที่มากกว่าการเป็นครูสอนด้านวิชาการ แต่เป็นครูที่ช่วยเผยแพร่ความรู้ ช่วยสอนให้เยาวชนและประชาชน ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์และประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นครูผู้สร้างอุดมการณ์ในการเป็นพลเมืองที่ดี เป็นพลเมืองที่มีจิตสํานึกรักชาติ ศาสนา และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันจะเป็นรากฐานสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศชาติ ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนต่อไป
โดยกระทรวงศึกษาธิการ มีแนวทางที่จะส่งเสริมพัฒนาครู กศน. ที่สอนประวัติศาสตร์ชาติไทย ให้ได้เข้ารับการอบรมเพื่อเป็นวิทยากรเพิ่มเติมจาก 6,122 คน เพื่อให้มีครูวิทยากรของ กศน. ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ที่จะไปถ่ายทอดความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้อง สู่ผู้เรียน กศน. และประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป
ดร.ศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า สํานักงาน กศน.ได้ดําเนินโครงการอบรมประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ให้แก่ครู กศน. ทั่วประเทศ มาตั้งแต่ปี 2560 พร้อมขยายผลในหลักสูตรแบบเข้มข้น ภายใต้โครงการ “การอบรมวิทยากรประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพื่อสร้างครูผู้สอนประวัติศาสตร์ชาติไทยของสํานักงาน กศน. ให้เป็น "วิทยากร" เผยแพร่สร้างการรับรู้ให้แก่นักศึกษา กศน. เยาวชน และประชาชนไทยทั่วประเทศ เพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดตามพระราชดํารัสของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดจนเป็นการสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้อง ในเรื่องของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย อันจะเป็นรากฐานสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนต่อไป
การจัดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอดครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสํานักงาน กศน. ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในครั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม และเพื่อเผยแพร่การดําเนินงานและกิจกรรมของครู กศน. ทั่วประเทศ ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าว ตลอดจนสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ครู กศน. ในการที่จะปฏิบัติภารกิจต่อไปได้อย่างเข้มแข็งด้วย
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22660
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 11 มีนาคม 2563
|
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่ 11 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่11 มีนาคม 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่11 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 24 ราย กลับบ้านแล้ว 34 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 59 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 10 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 4,848 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 216 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 4,632 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 2,945 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,903 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 115 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 11 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 116,657 ราย เสียชีวิต 4,091 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,761 ราย เสียชีวิต 3,136 ราย
2. สธ. เผยผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย กลับบ้านได้ 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้ผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 6 ราย กลับบ้านได้ 1 ราย สรุปผู้ป่วยยืนยันรักษาหายกลับบ้านแล้ว 34 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 24 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 59 ราย เน้นย้ําความร่วมมือผู้เดินทางจากประเทศที่มีรายงานการระบาด ขอให้กักตัวสังเกตอาการตนเองที่บ้าน 14 วัน
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า สถานการณ์ของโรคในประเทศไทยขณะนี้ ยังไม่มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้ป่วยยืนยันของไทยทราบประวัติการสัมผัสชัดเจน มีหลายกรณีจากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามคําแนะนําในการกักตัวเองอยู่ที่บ้าน ไม่งดกิจกรรมทางสังคม ส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่คนในครอบครัว คนใกล้ชิด และเพื่อนร่วมงาน จึงขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่มีรายงานการระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง ขอให้แยกตัวเองอยู่ที่บ้าน เฝ้าสังเกตอาการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดจนครบ 14 วัน
ในวันนี้ ผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ชายไทย อายุ 25 ปี รักษาที่สถาบันบําราศนราดูร รักษาหายกลับบ้านได้อีก 1 ราย และพบผู้ป่วยยืนยันจํานวน 6 ราย รายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 21 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกทม.เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้มีน้ํามูก ปวดศีรษะ ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลกลาง (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 54) รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 40 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นประจําสนามบินสุวรรณภูมิ เริ่มป่วยวันที่ 7 ด้วยอาการไข้ มีน้ํามูก ปวดศีรษะ เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดศีรษะ และรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 55) รายที่ 3 เป็นชายไทยอายุ 25 ปี พนักงานบริษัทเอกชน เริ่มป่วยวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ปวดกล้ามเนื้อ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. 2 ครั้ง (วันที่ 27 กุมภาพันธ์ และ 2 มีนาคม 2563) ด้วยอาการไข้ แพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ผลเอกซเรย์พบปอดอักเสบ รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น และหาสาเหตุไม่ได้ เข้านิยามการเฝ้าระวัง จึงตรวจทางปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ขณะนี้ส่งมารักษาที่สถาบันบําราศนราดูร (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 56)
รายที่ 4 เป็นหญิงไทย อายุ 27 ปี เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ถึงไทยเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 เริ่มป่วยวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกทม.เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ ขณะนี้ ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 57) รายที่ 5 เป็นชายไทยอายุ 40 ปี เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น โดยก่อนเดินทางกลับ (25 กุมภาพันธ์ 2563) ประสบอุบัติเหตุเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น เดินทางกลับถึงไทย 26 กุมภาพันธ์ 2563 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งจากกระดูกข้อมือซ้ายหัก ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลพบเชื้อไวรัสสาเหตุโควิด-19 รักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 58) และรายที่ 6 ผู้ป่วยชายชาวสิงคโปร์ อายุ 36 ปี เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในกทม. เริ่มป่วยวันที่ 6 มีนาคม ด้วยอาการไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ขณะนี้รักษาที่สถาบันบําราศนราดูร (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 59)
โดยสรุปวันนี้ มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 34 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 24 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 59 ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนัก 1 ราย ที่รักษาตัวอยู่ที่สถาบันบําราศนราดูร ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ส่วนกรณีพนักงานบริษัทชาวสิงคโปร์ที่มีข่าวว่าติดเชื้อภายหลังเดินกลับจากประเทศไทย เข้ามาพักในประเทศไทยเพียง 1 วันและมีประวัติเดินทางไปหลายประเทศก่อนมาไทย กรมควบคุมโรคได้สอบสวนโรคและเก็บตัวอย่างผู้สัมผัสในบริษัทเดียวกัน 84 คน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคจะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ จัดเสวนาถอดบทเรียนผู้ป่วยยืนยันและผู้สัมผัส
ส่วนแรงงานไทยนอกระบบจากเกาหลีใต้ที่ฐานทัพเรือสัตหีบทั้งหมด 241 คน เป็นชาย 104 คน หญิง 137 คน (มาจากเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ 8 คน) มีกลุ่มดูแลพิเศษ 29 คน เป็นหญิงตั้งครรภ์ 6 คน เด็กเล็ก 5 คน มีโรคประจําตัว 18 คน ผลการคัดกรองไม่พบผู้อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง ทุกคนไม่มีไข้
ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทดสอบประสิทธิภาพของหน้ากากผ้าเพื่อทดแทนการใช้หน้ากากอนามัย โดยทดสอบ 3 วิธี คือ ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อศึกษาเส้นใยผ้าในการกันอนุภาค ทดสอบการเป็นขุยด้วยวิธีการซัก และทดสอบประสิทธิภาพการซึมผ่านของละอองน้ํา พบว่า ผ้าฝ้ายมัสลินมีความเหมาะสมในการนํามาใช้ทําหน้ากากผ้ามากกว่าผ้าชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม แนะนําให้ซัก ตากแห้งทุกวัน ไม่ใช้มือสัมผัสหน้ากากขณะสวมใส่ และป้องกันตนเองโดยกินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
3. คําแนะนําสําหรับประชาชน
ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ดูแลสุขภาพ โดยหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันโรค ติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขหากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ ช่องทาง Twitter, Facebook, Line official, Tik Tok “ไทยรู้ สู้โควิด” และLine official ChatBot 1422 “Kor-Ror-OK” กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 11 มีนาคม 2563
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่ 11 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่11 มีนาคม 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่11 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 24 ราย กลับบ้านแล้ว 34 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 59 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 10 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 4,848 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 216 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 4,632 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 2,945 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,903 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 115 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 11 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 116,657 ราย เสียชีวิต 4,091 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,761 ราย เสียชีวิต 3,136 ราย
2. สธ. เผยผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย กลับบ้านได้ 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้ผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 6 ราย กลับบ้านได้ 1 ราย สรุปผู้ป่วยยืนยันรักษาหายกลับบ้านแล้ว 34 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 24 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 59 ราย เน้นย้ําความร่วมมือผู้เดินทางจากประเทศที่มีรายงานการระบาด ขอให้กักตัวสังเกตอาการตนเองที่บ้าน 14 วัน
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า สถานการณ์ของโรคในประเทศไทยขณะนี้ ยังไม่มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้ป่วยยืนยันของไทยทราบประวัติการสัมผัสชัดเจน มีหลายกรณีจากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามคําแนะนําในการกักตัวเองอยู่ที่บ้าน ไม่งดกิจกรรมทางสังคม ส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่คนในครอบครัว คนใกล้ชิด และเพื่อนร่วมงาน จึงขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่มีรายงานการระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง ขอให้แยกตัวเองอยู่ที่บ้าน เฝ้าสังเกตอาการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดจนครบ 14 วัน
ในวันนี้ ผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ชายไทย อายุ 25 ปี รักษาที่สถาบันบําราศนราดูร รักษาหายกลับบ้านได้อีก 1 ราย และพบผู้ป่วยยืนยันจํานวน 6 ราย รายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 21 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกทม.เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้มีน้ํามูก ปวดศีรษะ ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลกลาง (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 54) รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 40 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นประจําสนามบินสุวรรณภูมิ เริ่มป่วยวันที่ 7 ด้วยอาการไข้ มีน้ํามูก ปวดศีรษะ เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดศีรษะ และรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 55) รายที่ 3 เป็นชายไทยอายุ 25 ปี พนักงานบริษัทเอกชน เริ่มป่วยวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ปวดกล้ามเนื้อ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. 2 ครั้ง (วันที่ 27 กุมภาพันธ์ และ 2 มีนาคม 2563) ด้วยอาการไข้ แพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ผลเอกซเรย์พบปอดอักเสบ รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น และหาสาเหตุไม่ได้ เข้านิยามการเฝ้าระวัง จึงตรวจทางปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ขณะนี้ส่งมารักษาที่สถาบันบําราศนราดูร (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 56)
รายที่ 4 เป็นหญิงไทย อายุ 27 ปี เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ถึงไทยเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 เริ่มป่วยวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกทม.เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ ขณะนี้ ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 57) รายที่ 5 เป็นชายไทยอายุ 40 ปี เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น โดยก่อนเดินทางกลับ (25 กุมภาพันธ์ 2563) ประสบอุบัติเหตุเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น เดินทางกลับถึงไทย 26 กุมภาพันธ์ 2563 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งจากกระดูกข้อมือซ้ายหัก ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลพบเชื้อไวรัสสาเหตุโควิด-19 รักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 58) และรายที่ 6 ผู้ป่วยชายชาวสิงคโปร์ อายุ 36 ปี เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในกทม. เริ่มป่วยวันที่ 6 มีนาคม ด้วยอาการไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ขณะนี้รักษาที่สถาบันบําราศนราดูร (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 59)
โดยสรุปวันนี้ มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 34 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 24 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 59 ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนัก 1 ราย ที่รักษาตัวอยู่ที่สถาบันบําราศนราดูร ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ส่วนกรณีพนักงานบริษัทชาวสิงคโปร์ที่มีข่าวว่าติดเชื้อภายหลังเดินกลับจากประเทศไทย เข้ามาพักในประเทศไทยเพียง 1 วันและมีประวัติเดินทางไปหลายประเทศก่อนมาไทย กรมควบคุมโรคได้สอบสวนโรคและเก็บตัวอย่างผู้สัมผัสในบริษัทเดียวกัน 84 คน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคจะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ จัดเสวนาถอดบทเรียนผู้ป่วยยืนยันและผู้สัมผัส
ส่วนแรงงานไทยนอกระบบจากเกาหลีใต้ที่ฐานทัพเรือสัตหีบทั้งหมด 241 คน เป็นชาย 104 คน หญิง 137 คน (มาจากเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ 8 คน) มีกลุ่มดูแลพิเศษ 29 คน เป็นหญิงตั้งครรภ์ 6 คน เด็กเล็ก 5 คน มีโรคประจําตัว 18 คน ผลการคัดกรองไม่พบผู้อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง ทุกคนไม่มีไข้
ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทดสอบประสิทธิภาพของหน้ากากผ้าเพื่อทดแทนการใช้หน้ากากอนามัย โดยทดสอบ 3 วิธี คือ ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อศึกษาเส้นใยผ้าในการกันอนุภาค ทดสอบการเป็นขุยด้วยวิธีการซัก และทดสอบประสิทธิภาพการซึมผ่านของละอองน้ํา พบว่า ผ้าฝ้ายมัสลินมีความเหมาะสมในการนํามาใช้ทําหน้ากากผ้ามากกว่าผ้าชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม แนะนําให้ซัก ตากแห้งทุกวัน ไม่ใช้มือสัมผัสหน้ากากขณะสวมใส่ และป้องกันตนเองโดยกินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
3. คําแนะนําสําหรับประชาชน
ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ดูแลสุขภาพ โดยหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันโรค ติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขหากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ ช่องทาง Twitter, Facebook, Line official, Tik Tok “ไทยรู้ สู้โควิด” และLine official ChatBot 1422 “Kor-Ror-OK” กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27066
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1
|
วันพุธที่ 22 มีนาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนให้แก่บุคลากรฝ่ายนโยบายและแผนของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจํานวน 72 คน เพื่อให้ตระหนักรู้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นเหตุให้ทางราชการเกิดความเสียหาย และสามารถนําความรู้ไปขยายผลต่อไป โดยมีนายอุทิศ บัวศรี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นวิทยากรบรรยาย ณ ภูเขางามรีสอร์ท จังหวัดนครนายก
ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายสําคัญเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) "กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเป็นแกนหลักด้านการจัดการข้อมูลสําคัญของอุตสาหกรรม , การยกคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA , การขับเคลื่อนนโยบายของจังหวัดในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) , การจัดการกากอุตสาหกรรม , การรู้เท่าทันสถานการณ์บ้านเมือง และการพัฒนาทักษะตนเองทางด้านภาษา" พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์การทํางานให้ประสบความสําเร็จและมีคุณภาพแก่ผู้เข้ารับการสัมมนาในครั้งนี้ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1
วันพุธที่ 22 มีนาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม" ครั้งที่ 1 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนให้แก่บุคลากรฝ่ายนโยบายและแผนของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจํานวน 72 คน เพื่อให้ตระหนักรู้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นเหตุให้ทางราชการเกิดความเสียหาย และสามารถนําความรู้ไปขยายผลต่อไป โดยมีนายอุทิศ บัวศรี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นวิทยากรบรรยาย ณ ภูเขางามรีสอร์ท จังหวัดนครนายก
ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายสําคัญเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) "กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเป็นแกนหลักด้านการจัดการข้อมูลสําคัญของอุตสาหกรรม , การยกคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA , การขับเคลื่อนนโยบายของจังหวัดในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) , การจัดการกากอุตสาหกรรม , การรู้เท่าทันสถานการณ์บ้านเมือง และการพัฒนาทักษะตนเองทางด้านภาษา" พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์การทํางานให้ประสบความสําเร็จและมีคุณภาพแก่ผู้เข้ารับการสัมมนาในครั้งนี้ด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2568
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank เจ้าภาพประชุมสุดยอดกรรมการตรวจสอบ ผู้บริหารงานตรวจสอบ เดินหน้าสร้างมาตรฐานระดับสากล เพิ่มความเชื่อมั่นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
|
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
SME D Bank เจ้าภาพประชุมสุดยอดกรรมการตรวจสอบ ผู้บริหารงานตรวจสอบ เดินหน้าสร้างมาตรฐานระดับสากล เพิ่มความเชื่อมั่นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
SME D Bank จัดประชุม คกก.ตรวจสอบ และผู้บริหารระดับสูงด้านตรวจสอบภายใน SFIs มุ่งเติมความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เชื่อมโยงเครือข่าย สร้างมาตรฐานงานตรวจสอบระดับสากลให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หนุนเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าในระบบสถาบันการเงิน
SME D Bank จัดประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ และผู้บริหารระดับสูงด้านการตรวจสอบภายในของหน่วยงาน SFIs มุ่งเติมความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เชื่อมโยงเครือข่าย สร้างมาตรฐานงานตรวจสอบระดับสากลให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หนุนเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าในระบบสถาบันการเงิน
นายเสรี นนทสูติ ประธานกรรมการตรวจสอบ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า ธพว. มีความคิดริเริ่มที่จะยกระดับให้คณะกรรมการตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (Specialized Financial Institution: SFIs) ให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ระหว่าง SFIs รวมถึง ผู้กํากับดูแล และผู้กําหนดนโยบายของ SFIs เพื่อสร้างมาตรฐานสากล เป็นที่ไว้วางใจของผู้มีส่วนได้เสีย โดย SME D Bank ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนา “SFIs Audit Committee Forum 2019” ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นงานสําคัญ มีคณะกรรมตรวจสอบของ SFIs ผู้บริหารด้านการตรวจสอบภายในของหน่วยงาน SFIs 8 แห่ง และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมกว่า 80 ท่าน เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้
การสัมมนาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งนี้ จะสร้างประโยชน์ให้คณะกรรมตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบจากทุกหน่วยงานได้รับการเติมความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการกํากับดูแล การควบคุมภายใน และตรวจสอบภายใน เพื่อก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจน เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างคณะตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบ นําไปสู่การประสานพลังช่วยให้การดําเนินงานตรวจสอบเกิดประสิทธิผล และมีคุณภาพ ที่สําคัญ สร้างมาตรฐานงานตรวจสอบให้ตรงกัน ลดความเสี่ยงของสถาบันการเงิน ตรงกับความคาดหวังของ ธปท. และก่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดในระบบสถาบันการเงิน
นายเสรี กล่าวต่อว่า ผลการสัมมนาในครั้งนี้ จะนําไปใช้เป็นกรอบแนวทางทํางานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทุกแห่ง ซึ่งการจัดประชุมลักษณะนี้ จะมีการหมุนเวียนไปยังทุกหน่วยงานภายใต้ SFIsต่างๆ ในปีต่อๆ ไป ช่วยให้การทํางานด้านตรวจสอบทันสมัยมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และสร้างความเข็มแข็งต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
ด้าน นายพงชาญ สําเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวเสริมว่า ในนามของ ธพว. รู้สึกเป็นเกียรติและความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้ดําเนินการเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่า จะมีส่วนสําคัญช่วยเสริมสร้างและสนับสนุนเติมเต็มความรู้แก่กรรมการตรวจสอบ ผู้บริหารด้านการตรวจสอบภายใน อีกทั้ง เกิดการประสานความร่วมมือและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการกํากับดูแลกิจการที่ดี การตรวจสอบภายในเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสีย ระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบ และหน่วยงานตรวจสอบภายในของ SFIs ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank เจ้าภาพประชุมสุดยอดกรรมการตรวจสอบ ผู้บริหารงานตรวจสอบ เดินหน้าสร้างมาตรฐานระดับสากล เพิ่มความเชื่อมั่นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
SME D Bank เจ้าภาพประชุมสุดยอดกรรมการตรวจสอบ ผู้บริหารงานตรวจสอบ เดินหน้าสร้างมาตรฐานระดับสากล เพิ่มความเชื่อมั่นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
SME D Bank จัดประชุม คกก.ตรวจสอบ และผู้บริหารระดับสูงด้านตรวจสอบภายใน SFIs มุ่งเติมความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เชื่อมโยงเครือข่าย สร้างมาตรฐานงานตรวจสอบระดับสากลให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หนุนเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าในระบบสถาบันการเงิน
SME D Bank จัดประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ และผู้บริหารระดับสูงด้านการตรวจสอบภายในของหน่วยงาน SFIs มุ่งเติมความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เชื่อมโยงเครือข่าย สร้างมาตรฐานงานตรวจสอบระดับสากลให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หนุนเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าในระบบสถาบันการเงิน
นายเสรี นนทสูติ ประธานกรรมการตรวจสอบ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า ธพว. มีความคิดริเริ่มที่จะยกระดับให้คณะกรรมการตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (Specialized Financial Institution: SFIs) ให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ระหว่าง SFIs รวมถึง ผู้กํากับดูแล และผู้กําหนดนโยบายของ SFIs เพื่อสร้างมาตรฐานสากล เป็นที่ไว้วางใจของผู้มีส่วนได้เสีย โดย SME D Bank ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนา “SFIs Audit Committee Forum 2019” ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นงานสําคัญ มีคณะกรรมตรวจสอบของ SFIs ผู้บริหารด้านการตรวจสอบภายในของหน่วยงาน SFIs 8 แห่ง และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมกว่า 80 ท่าน เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้
การสัมมนาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งนี้ จะสร้างประโยชน์ให้คณะกรรมตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบจากทุกหน่วยงานได้รับการเติมความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการกํากับดูแล การควบคุมภายใน และตรวจสอบภายใน เพื่อก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจน เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างคณะตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบ นําไปสู่การประสานพลังช่วยให้การดําเนินงานตรวจสอบเกิดประสิทธิผล และมีคุณภาพ ที่สําคัญ สร้างมาตรฐานงานตรวจสอบให้ตรงกัน ลดความเสี่ยงของสถาบันการเงิน ตรงกับความคาดหวังของ ธปท. และก่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดในระบบสถาบันการเงิน
นายเสรี กล่าวต่อว่า ผลการสัมมนาในครั้งนี้ จะนําไปใช้เป็นกรอบแนวทางทํางานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทุกแห่ง ซึ่งการจัดประชุมลักษณะนี้ จะมีการหมุนเวียนไปยังทุกหน่วยงานภายใต้ SFIsต่างๆ ในปีต่อๆ ไป ช่วยให้การทํางานด้านตรวจสอบทันสมัยมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และสร้างความเข็มแข็งต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
ด้าน นายพงชาญ สําเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวเสริมว่า ในนามของ ธพว. รู้สึกเป็นเกียรติและความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้ดําเนินการเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่า จะมีส่วนสําคัญช่วยเสริมสร้างและสนับสนุนเติมเต็มความรู้แก่กรรมการตรวจสอบ ผู้บริหารด้านการตรวจสอบภายใน อีกทั้ง เกิดการประสานความร่วมมือและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการกํากับดูแลกิจการที่ดี การตรวจสอบภายในเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสีย ระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบ และหน่วยงานตรวจสอบภายในของ SFIs ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23196
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ่งที่ควรและไม่ควรทำเมื่ออยู่ในพื้นที่เฝ้าระวัง
|
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
สิ่งที่ควรและไม่ควรทําเมื่ออยู่ในพื้นที่เฝ้าระวัง
มีอะไรกันบ้าง
-อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
-ล้างมือทุกๆ 3 ชั่วโมง
-เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล
-ปิดปากเมื่อไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู่
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่น
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ่งที่ควรและไม่ควรทำเมื่ออยู่ในพื้นที่เฝ้าระวัง
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
สิ่งที่ควรและไม่ควรทําเมื่ออยู่ในพื้นที่เฝ้าระวัง
มีอะไรกันบ้าง
-อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
-ล้างมือทุกๆ 3 ชั่วโมง
-เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล
-ปิดปากเมื่อไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู่
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่น
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29496
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
|
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
“ยุติธรรม” พัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
“ยุติธรรม” พัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
ในวันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการปฏิรูปการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญา แทนการควบคุมตัวโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เพื่อพิจารณาแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน ในการใช้มาตรการอื่นแทนการควบคุมตัวผู้กระทําความผิด ในการกําหนดองค์กรสหวิชาชีพและชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญาแทนการควบคุมตัว (Non-custodial Measures) โดยให้แบ่งหน่วยงานรับผิดชอบแยกตามแต่ละเงื่อนไขเพื่อพิจารณาเฉพาะด้านและวางมาตรการในการกําหนดหน่วยงานที่จะให้ข้อเท็จจริง ประเมิน และตัดสินใจตามด้านต่าง ๆ ให้ครบทุกองค์ประกอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและให้ฝ่ายเลขานุการเพิ่มเติมรายละเอียดข้อมูล ด้วยการเปรียบเทียบมาตรการที่ใช้ได้ในปัจจุบันและมาตรการที่ต้องพัฒนาหรือแก้ไขกฎหมาย ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ รวมทั้งระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้มีความครอบคลุมและเสนอต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
“ยุติธรรม” พัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
“ยุติธรรม” พัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
ในวันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการปฏิรูปการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญา แทนการควบคุมตัวโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เพื่อพิจารณาแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน ในการใช้มาตรการอื่นแทนการควบคุมตัวผู้กระทําความผิด ในการกําหนดองค์กรสหวิชาชีพและชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทําผิดอาญาแทนการควบคุมตัว (Non-custodial Measures) โดยให้แบ่งหน่วยงานรับผิดชอบแยกตามแต่ละเงื่อนไขเพื่อพิจารณาเฉพาะด้านและวางมาตรการในการกําหนดหน่วยงานที่จะให้ข้อเท็จจริง ประเมิน และตัดสินใจตามด้านต่าง ๆ ให้ครบทุกองค์ประกอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและให้ฝ่ายเลขานุการเพิ่มเติมรายละเอียดข้อมูล ด้วยการเปรียบเทียบมาตรการที่ใช้ได้ในปัจจุบันและมาตรการที่ต้องพัฒนาหรือแก้ไขกฎหมาย ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ รวมทั้งระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้มีความครอบคลุมและเสนอต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18572
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
รมว.วธ.ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
รมว.วธ.ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เรื่อง ความร่วมมือทางวัฒนธรรมระดับทวิภาคี เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
รมว.วธ.ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
รมว.วธ.ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประชุมหารือทางไกล (Virtual Meeting) ร่วมกับ H.E Mr. Nadiem Makarim รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เรื่อง ความร่วมมือทางวัฒนธรรมระดับทวิภาคี เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33999
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน - บ้านดอยสันเกี๋ยง
|
วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน - บ้านดอยสันเกี๋ยง
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน – บ้านดอยสันเกี๋ยง ณ บ้านแม่ปาน อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สั่งการให้ขยายรูปแบบโครงการไปยังพื้นที่อื่น ๆ
วันนี้ (จันทร์ 14 มกราคม 2562) เวลา 14.45 น. ณ บ้านแม่ปาน อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน อําเภอแม่แจ่ม ภายใต้แม่แจ่มโมเดล "The Project of Natural Safety Mae Chaem (Mae Chaem Model)" โดยให้ความสนใจฟังบรรยาย การทําเกษตรผสมผสาน การเลี้ยงหมู ไก่ และปลานิล และยังได้ทดลองชิมถั่วเน่าซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสคล้ายกะปิ ทั้งนี้โครงการธรรมชาติปลอดภัย โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้ร่วมกับภาคเอกชนคือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โปรดิ้วส จํากัด เริ่มดําเนินโครงการตั้งแต่ปี 2555 มุ่งพัฒนาระบบน้ําเพื่อการเกษตรบนพื้นที่สูงให้ชุมชนต้นแบบ ควบคู่ไปกับการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง การพัฒนาอาชีพและรายได้ โดยเฉพาะการทําเกษตรที่หลากหลาย สามารถช่วยให้เกษตรกรลดการบุกรุกป่า และการเผาป่าตามวิถีชีวิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยน้อมนําศาสตร์ของพระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยเป้าหมายสําคัญ คือ การพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน และเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ หวงแหนและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ขยายรูปแบบโครงการไปยังพื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย
-------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน - บ้านดอยสันเกี๋ยง
วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน - บ้านดอยสันเกี๋ยง
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน – บ้านดอยสันเกี๋ยง ณ บ้านแม่ปาน อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สั่งการให้ขยายรูปแบบโครงการไปยังพื้นที่อื่น ๆ
วันนี้ (จันทร์ 14 มกราคม 2562) เวลา 14.45 น. ณ บ้านแม่ปาน อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน อําเภอแม่แจ่ม ภายใต้แม่แจ่มโมเดล "The Project of Natural Safety Mae Chaem (Mae Chaem Model)" โดยให้ความสนใจฟังบรรยาย การทําเกษตรผสมผสาน การเลี้ยงหมู ไก่ และปลานิล และยังได้ทดลองชิมถั่วเน่าซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสคล้ายกะปิ ทั้งนี้โครงการธรรมชาติปลอดภัย โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้ร่วมกับภาคเอกชนคือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โปรดิ้วส จํากัด เริ่มดําเนินโครงการตั้งแต่ปี 2555 มุ่งพัฒนาระบบน้ําเพื่อการเกษตรบนพื้นที่สูงให้ชุมชนต้นแบบ ควบคู่ไปกับการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง การพัฒนาอาชีพและรายได้ โดยเฉพาะการทําเกษตรที่หลากหลาย สามารถช่วยให้เกษตรกรลดการบุกรุกป่า และการเผาป่าตามวิถีชีวิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยน้อมนําศาสตร์ของพระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยเป้าหมายสําคัญ คือ การพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน และเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ หวงแหนและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ขยายรูปแบบโครงการไปยังพื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย
-------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18116
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562
|
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยให้สามารถดํารงชีพได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1. มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน 2. มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสําหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี 2562 และเกษตรกรรายย่อย 3. มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และ 4. แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน ประกอบด้วย 4 โครงการ ดังนี้
1.1 มาตรการพยุงการบริโภคของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกคนจะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีกจํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน
1.2 มาตรการมอบเงินช่วยเหลือสําหรับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยเหลือจํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน
1.3 มาตรการช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของ พม. ที่ดูแลบุตรและเด็กเล็กที่มีอายุ 0 ถึง 6 ปี ให้ได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีกจํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน
ทั้งนี้ การบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้ง 3 มาตรการข้างต้น เป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการดํารงชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2562 โดยเติมเงินเข้าช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) เพื่อนําไปใช้ซื้อสินค้าและบริการที่จําเป็น ผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture: EDC) แอปพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ หรือถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ได้
1.4 มาตรการพักชําระหนี้เงินต้นของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่คงค้างกับสถาบันการเงิน เพื่อลดภาระในการชําระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กองทุนหมู่บ้านฯ) จํานวน 50,732 แห่ง โดยเป็นกองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จํานวน 27,249 แห่ง และอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารออมสิน จํานวน 23,483 แห่ง ทั้งนี้ การพักชําระหนี้จะพักชําระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น และยังคงต้องชําระดอกเบี้ยตามปกติ โดยมีรายละเอียดในการดําเนินงานดังนี้
1) ธ.ก.ส. เปิดลงทะเบียนกองทุนหมู่บ้านฯ ที่สมัครใจเข้าร่วมมาตรการพักชําระหนี้เงินต้นกองทุนหมู่บ้านฯ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 และจะเริ่มดําเนินการพักชําระหนี้เงินต้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 (1 รอบปีบัญชีของธนาคาร)
2) ธนาคารออมสินเปิดลงทะเบียนกองทุนหมู่บ้านฯ ที่สมัครใจเข้าร่วมมาตรการพักชําระหนี้เงินต้นกองทุนหมู่บ้านฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และจะเริ่มดําเนินการพักชําระหนี้เงินต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2563 (1 รอบปีบัญชีของธนาคาร)
2. มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสําหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี 2562 และเกษตรกรรายย่อย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระหนี้สินของผู้ประสบภาวะวิกฤติภัยแล้งและลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรรายย่อย ประกอบด้วย 3 โครงการ ดังนี้
2.1 โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยลดดอกเบี้ยให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) (ประกาศเขตฯ ภัยแล้ง) ให้ได้รับสิทธิ์จ่ายดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.1 ต่อปี สําหรับต้นเงินกู้ที่ไม่เกิน 300,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563
2.2 โครงการขยายเวลาชําระหนี้เงินกู้ โดยขยายระยะเวลาชําระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดที่มีการประกาศเขตฯ ภัยแล้ง ให้ได้รับสิทธิ์ขยายเวลาชําระหนี้เดิมเป็นระยะเวลา 2 ปี นับจากงวดชําระเดิม แต่ไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2564
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. มีมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ให้มีเงินทุนสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าลงทุนเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ และเป็นค่าสร้างหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือโรงเรือนการเกษตร รวมถึงฟื้นฟูการผลิตที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ วงเงินรวม 55,000 ล้านบาท
2.3 โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดํารงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิ์ต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 (รอบที่ 1) กับกรมส่งเสริมการเกษตร
3. มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการลงทุนของ SMEs และภาคเอกชนผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการทางภาษี โดยสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
3.1 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) โดยผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน และมีบัตรประจําตัวประชาชน สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการผ่านเว็บไซต์ ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการลงทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ 1) รัฐบาลสนับสนุนวงเงินจํานวน 1,000 บาท ต่อคน เพื่อเป็นสิทธิในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการโดยไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และ 2) หากผู้ลงทะเบียนเติมเงินเพิ่มเติมเพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก หรือค่าสินค้าท้องถิ่น จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ รัฐบาลจะสนับสนุนวงเงินชดเชยเป็นจํานวนเท่ากับร้อยละ 15 ของยอดชําระเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน (วงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน) เพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน ทั้งนี้ ในการซื้อสินค้าและบริการดังกล่าวจะต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่รับชําระเงินด้วยแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”
3.2 โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดําเนินการร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไข เพื่อสนับสนุน SMEs ทั่วไปให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องหรือลงทุนขยายกิจการ และสนับสนุน SMEs ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม ขยายกิจการ และยกระดับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการให้บริการ
3.3 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8 (PGS8) วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 150,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่มีหลักประกันไม่เพียงพอ ระยะเวลาค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี ค่าธรรมเนียมค้ําประกันเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี โดย บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 30 และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี หรือร้อยละ 3.5 ของวงเงินค้ําประกัน
3.4 มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรได้ 1.5 เท่าของที่จ่ายจริง (หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา 1 เท่าตามปกติ และทยอยหักรายจ่ายส่วนเพิ่มอีก 0.5 เท่า โดยเฉลี่ยเท่ากันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี) สําหรับการลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
นอกเหนือจากโครงการ/มาตรการสนับสนุนการลงทุนของ SMEs และการลงทุนของภาคเอกชนผ่านมาตรการด้านสินเชื่อ การค้ําประกันสินเชื่อ และมาตรการภาษีดังกล่าวข้างต้นแล้ว สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยังมีมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนเพื่อสนับสนุน SMEs และที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุน SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือลงทุนขยายกิจการ และสนับสนุนให้ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อ SMEs และวงเงิน 52,000 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย
4. แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเร่งรัดติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ มีกรรมการประกอบด้วย ส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรงบลงทุนอยู่ในระดับสูง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ โดยมีที่ปรึกษาหรือรองอธิบดีที่อธิบดีกรมบัญชีกลางมอบหมาย และที่ปรึกษาหรือรองผู้อํานวยการที่ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม และให้มีการติดตามและประชุมหารือเป็นประจําทุกไตรมาส หรือแล้วแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นสมควร
กระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อย ช่วยรักษากําลังซื้อของเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยที่จะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว และผู้ประกอบการทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และสร้างแรงส่ง (Momentum) ให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 และปี 2563 ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3229 3235 3513 3563
โทรสาร 02 618 3374
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยให้สามารถดํารงชีพได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1. มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน 2. มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสําหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี 2562 และเกษตรกรรายย่อย 3. มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และ 4. แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน ประกอบด้วย 4 โครงการ ดังนี้
1.1 มาตรการพยุงการบริโภคของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกคนจะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีกจํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน
1.2 มาตรการมอบเงินช่วยเหลือสําหรับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินช่วยเหลือจํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน
1.3 มาตรการช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของ พม. ที่ดูแลบุตรและเด็กเล็กที่มีอายุ 0 ถึง 6 ปี ให้ได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีกจํานวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน
ทั้งนี้ การบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้ง 3 มาตรการข้างต้น เป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการดํารงชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2562 โดยเติมเงินเข้าช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) เพื่อนําไปใช้ซื้อสินค้าและบริการที่จําเป็น ผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture: EDC) แอปพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ หรือถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ได้
1.4 มาตรการพักชําระหนี้เงินต้นของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่คงค้างกับสถาบันการเงิน เพื่อลดภาระในการชําระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กองทุนหมู่บ้านฯ) จํานวน 50,732 แห่ง โดยเป็นกองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จํานวน 27,249 แห่ง และอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารออมสิน จํานวน 23,483 แห่ง ทั้งนี้ การพักชําระหนี้จะพักชําระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น และยังคงต้องชําระดอกเบี้ยตามปกติ โดยมีรายละเอียดในการดําเนินงานดังนี้
1) ธ.ก.ส. เปิดลงทะเบียนกองทุนหมู่บ้านฯ ที่สมัครใจเข้าร่วมมาตรการพักชําระหนี้เงินต้นกองทุนหมู่บ้านฯ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 และจะเริ่มดําเนินการพักชําระหนี้เงินต้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 (1 รอบปีบัญชีของธนาคาร)
2) ธนาคารออมสินเปิดลงทะเบียนกองทุนหมู่บ้านฯ ที่สมัครใจเข้าร่วมมาตรการพักชําระหนี้เงินต้นกองทุนหมู่บ้านฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และจะเริ่มดําเนินการพักชําระหนี้เงินต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2563 (1 รอบปีบัญชีของธนาคาร)
2. มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสําหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี 2562 และเกษตรกรรายย่อย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระหนี้สินของผู้ประสบภาวะวิกฤติภัยแล้งและลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรรายย่อย ประกอบด้วย 3 โครงการ ดังนี้
2.1 โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยลดดอกเบี้ยให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) (ประกาศเขตฯ ภัยแล้ง) ให้ได้รับสิทธิ์จ่ายดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.1 ต่อปี สําหรับต้นเงินกู้ที่ไม่เกิน 300,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563
2.2 โครงการขยายเวลาชําระหนี้เงินกู้ โดยขยายระยะเวลาชําระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดที่มีการประกาศเขตฯ ภัยแล้ง ให้ได้รับสิทธิ์ขยายเวลาชําระหนี้เดิมเป็นระยะเวลา 2 ปี นับจากงวดชําระเดิม แต่ไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2564
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. มีมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ให้มีเงินทุนสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าลงทุนเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ และเป็นค่าสร้างหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือโรงเรือนการเกษตร รวมถึงฟื้นฟูการผลิตที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ วงเงินรวม 55,000 ล้านบาท
2.3 โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดํารงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิ์ต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 (รอบที่ 1) กับกรมส่งเสริมการเกษตร
3. มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการลงทุนของ SMEs และภาคเอกชนผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการทางภาษี โดยสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
3.1 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) โดยผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน และมีบัตรประจําตัวประชาชน สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการผ่านเว็บไซต์ ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการลงทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ 1) รัฐบาลสนับสนุนวงเงินจํานวน 1,000 บาท ต่อคน เพื่อเป็นสิทธิในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการโดยไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และ 2) หากผู้ลงทะเบียนเติมเงินเพิ่มเติมเพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก หรือค่าสินค้าท้องถิ่น จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ รัฐบาลจะสนับสนุนวงเงินชดเชยเป็นจํานวนเท่ากับร้อยละ 15 ของยอดชําระเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน (วงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน) เพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน ทั้งนี้ ในการซื้อสินค้าและบริการดังกล่าวจะต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่รับชําระเงินด้วยแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”
3.2 โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดําเนินการร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไข เพื่อสนับสนุน SMEs ทั่วไปให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องหรือลงทุนขยายกิจการ และสนับสนุน SMEs ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม ขยายกิจการ และยกระดับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการให้บริการ
3.3 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8 (PGS8) วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 150,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่มีหลักประกันไม่เพียงพอ ระยะเวลาค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี ค่าธรรมเนียมค้ําประกันเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี โดย บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 30 และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี หรือร้อยละ 3.5 ของวงเงินค้ําประกัน
3.4 มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรได้ 1.5 เท่าของที่จ่ายจริง (หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา 1 เท่าตามปกติ และทยอยหักรายจ่ายส่วนเพิ่มอีก 0.5 เท่า โดยเฉลี่ยเท่ากันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี) สําหรับการลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
นอกเหนือจากโครงการ/มาตรการสนับสนุนการลงทุนของ SMEs และการลงทุนของภาคเอกชนผ่านมาตรการด้านสินเชื่อ การค้ําประกันสินเชื่อ และมาตรการภาษีดังกล่าวข้างต้นแล้ว สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยังมีมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนเพื่อสนับสนุน SMEs และที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุน SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือลงทุนขยายกิจการ และสนับสนุนให้ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อ SMEs และวงเงิน 52,000 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย
4. แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเร่งรัดติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ มีกรรมการประกอบด้วย ส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรงบลงทุนอยู่ในระดับสูง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ โดยมีที่ปรึกษาหรือรองอธิบดีที่อธิบดีกรมบัญชีกลางมอบหมาย และที่ปรึกษาหรือรองผู้อํานวยการที่ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม และให้มีการติดตามและประชุมหารือเป็นประจําทุกไตรมาส หรือแล้วแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นสมควร
กระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อย ช่วยรักษากําลังซื้อของเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยที่จะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว และผู้ประกอบการทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และสร้างแรงส่ง (Momentum) ให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 และปี 2563 ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3229 3235 3513 3563
โทรสาร 02 618 3374
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22383
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่
|
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
ทส. ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่ การพัฒนาหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี และการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณห้วยทับเสลา-ห้วยระบํา พื้นที่เตรียมการเขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทัยธานี
ทส. ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่ การพัฒนาหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี และการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณห้วยทับเสลา-ห้วยระบํา พื้นที่เตรียมการเขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทัยธานี
วันนี้ (17 มกราคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 202 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สํานักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยที่ประชุมร่วมกันพิจารณา 2 เรื่อง คือ การพัฒนาหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี และการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณห้วยทับเสลา-ห้วยระบํา พื้นที่เตรียมการเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จังหวัดอุทัยธานี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
ทส. ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่ การพัฒนาหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี และการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณห้วยทับเสลา-ห้วยระบํา พื้นที่เตรียมการเขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทัยธานี
ทส. ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมการบริหารจัดการพื้นที่ การพัฒนาหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี และการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณห้วยทับเสลา-ห้วยระบํา พื้นที่เตรียมการเขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทัยธานี
วันนี้ (17 มกราคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 202 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สํานักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยที่ประชุมร่วมกันพิจารณา 2 เรื่อง คือ การพัฒนาหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี และการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณห้วยทับเสลา-ห้วยระบํา พื้นที่เตรียมการเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จังหวัดอุทัยธานี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลฯ
|
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561
ก.อุตฯ ร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลฯ
ก.อุตฯ ร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลฯ
วันนี้ (12 สิงหาคม 2561) ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ โดยมีนางสาวสมจิณณ์ พิลึก รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําข้าราชการร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลฯ
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561
ก.อุตฯ ร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลฯ
ก.อุตฯ ร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลฯ
วันนี้ (12 สิงหาคม 2561) ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ โดยมีนางสาวสมจิณณ์ พิลึก รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําข้าราชการร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14557
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2563
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2563
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.คาดราคาสินค้าเกษตร พ.ค.2563 ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง ปาล์มน้ํามัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น มีเพียงยางพาราแนวโน้มราคาปรับลง
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนพฤษภาคม 2563 ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง ปาล์มน้ํามัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น มีเพียงยางพาราแผ่นดิบที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยส่วนมากมีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,525-10,412 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.10-10.52 เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก อาทิ ประเทศอินเดียและเวียดนามมีมาตรการ ล็อคดาวน์และชะลอการส่งออกข้าว ประกอบกับประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้นําเข้าข้าวอันดับ 1 ของโลกอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อนําเข้าข้าว จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งออกข้าว ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 14,496-14,579 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.88-1.46 เนื่องจากมีคําสั่งซื้อข้าวจากประเทศฮ่องกง เป็นผลจากความกังวลจากนโยบายปิดประเทศของเวียดนาม ส่งผลให้ประชาชนชาวฮ่องกงมีการกักตุนข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 15,774 -15,912 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.85-2.73 เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง ทําให้ผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังออกสู่ตลาดลดลง และประเทศเวียดนามจํากัดโควตาในการส่งออกข้าวเหนียวเพื่อสํารองไว้ใช้ในประเทศ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.54-7.60 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.30 -1.00 เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ขณะที่ความต้องการใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น จากปัญหาด้านการขนส่งจากมาตรการล็อคดาวน์ ทําให้ผู้ประกอบการมีอุปสรรคในการนําเข้าวัตถุดิบอื่นมาผลิตอาหารสัตว์
น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 10.24-10.73 เซนต์/ปอนด์ (7.35-7.70 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 5.00 - 10.00 เนื่องจากความกังวลต่อปริมาณผลผลิตอ้อยทั่วโลกที่ลดลง จากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในประเทศผู้ผลิตสําคัญ จึงมีการคาดการณ์ว่าผลผลิตน้ําตาลจะลดลง ทําให้นักลงทุนเข้าซื้อเพิ่มขึ้น มันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.75 – 1.80 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.57 – 3.45 เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มมีการเปิดเมืองและผ่อนปรนด้านการขนส่งระหว่างประเทศ จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย ส่งผลให้การส่งออกมันสําปะหลังมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 3.09 – 3.14 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.32 – 2.27 เนื่องจากคาดว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ทําให้กิจการบางส่วนสามารถกลับมาดําเนินธุรกิจได้ จึงเป็นโอกาสให้ความต้องการใช้น้ํามันไบโอดีเซลและน้ํามันปาล์มเพิ่มขึ้น สุกร ราคาอยู่ที่ 68.89 - 69.09 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.79 - 3.09 เนื่องจากสภาพอากาศของไทยอยู่ในช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้สุกรเติบโตช้า ทําให้ผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากแผนการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งคาดว่าธุรกิจบางประเภทจะกลับมาเปิดให้บริการหลังสิ้นสุดมาตรการดังกล่าว และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 127.00 – 129.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.60 – 3.20 เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งและการเฝ้าระวังโรคระบาด ทําให้เกษตรกรปรับลดพื้นที่และชะลอการลงลูกกุ้ง รวมถึงชะลอการจับกุ้งออกจําหน่าย ทําให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงมีเพียงยางพาราแผ่นดิบ ซึ่งคาดว่าราคาจะอยู่ที่ 31.50 – 32.95 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.60 - 4.98 เนื่องจากในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมจะมีการเปิดหน้ากรีดยางพาราทั่วประเทศ ทําให้มีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราธรรมชาติลดลงจากราคาน้ํามันดิบที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ํา อีกทั้งประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นําเข้ายางพารารายใหญ่ยังใช้มาตรการล็อคดาวน์ จึงทําให้ผู้ประกอบการชะลอรับซื้อน้ํายางสดในประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2563
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2563
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.คาดราคาสินค้าเกษตร พ.ค.2563 ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง ปาล์มน้ํามัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น มีเพียงยางพาราแนวโน้มราคาปรับลง
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนพฤษภาคม 2563 ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง ปาล์มน้ํามัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น มีเพียงยางพาราแผ่นดิบที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยส่วนมากมีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 9,525-10,412 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.10-10.52 เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก อาทิ ประเทศอินเดียและเวียดนามมีมาตรการ ล็อคดาวน์และชะลอการส่งออกข้าว ประกอบกับประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้นําเข้าข้าวอันดับ 1 ของโลกอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อนําเข้าข้าว จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งออกข้าว ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 14,496-14,579 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.88-1.46 เนื่องจากมีคําสั่งซื้อข้าวจากประเทศฮ่องกง เป็นผลจากความกังวลจากนโยบายปิดประเทศของเวียดนาม ส่งผลให้ประชาชนชาวฮ่องกงมีการกักตุนข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 15,774 -15,912 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.85-2.73 เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง ทําให้ผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังออกสู่ตลาดลดลง และประเทศเวียดนามจํากัดโควตาในการส่งออกข้าวเหนียวเพื่อสํารองไว้ใช้ในประเทศ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.54-7.60 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.30 -1.00 เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ขณะที่ความต้องการใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น จากปัญหาด้านการขนส่งจากมาตรการล็อคดาวน์ ทําให้ผู้ประกอบการมีอุปสรรคในการนําเข้าวัตถุดิบอื่นมาผลิตอาหารสัตว์
น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 10.24-10.73 เซนต์/ปอนด์ (7.35-7.70 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 5.00 - 10.00 เนื่องจากความกังวลต่อปริมาณผลผลิตอ้อยทั่วโลกที่ลดลง จากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในประเทศผู้ผลิตสําคัญ จึงมีการคาดการณ์ว่าผลผลิตน้ําตาลจะลดลง ทําให้นักลงทุนเข้าซื้อเพิ่มขึ้น มันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.75 – 1.80 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.57 – 3.45 เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มมีการเปิดเมืองและผ่อนปรนด้านการขนส่งระหว่างประเทศ จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย ส่งผลให้การส่งออกมันสําปะหลังมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 3.09 – 3.14 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.32 – 2.27 เนื่องจากคาดว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ทําให้กิจการบางส่วนสามารถกลับมาดําเนินธุรกิจได้ จึงเป็นโอกาสให้ความต้องการใช้น้ํามันไบโอดีเซลและน้ํามันปาล์มเพิ่มขึ้น สุกร ราคาอยู่ที่ 68.89 - 69.09 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.79 - 3.09 เนื่องจากสภาพอากาศของไทยอยู่ในช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้สุกรเติบโตช้า ทําให้ผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นจากแผนการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งคาดว่าธุรกิจบางประเภทจะกลับมาเปิดให้บริการหลังสิ้นสุดมาตรการดังกล่าว และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 127.00 – 129.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.60 – 3.20 เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งและการเฝ้าระวังโรคระบาด ทําให้เกษตรกรปรับลดพื้นที่และชะลอการลงลูกกุ้ง รวมถึงชะลอการจับกุ้งออกจําหน่าย ทําให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงมีเพียงยางพาราแผ่นดิบ ซึ่งคาดว่าราคาจะอยู่ที่ 31.50 – 32.95 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.60 - 4.98 เนื่องจากในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมจะมีการเปิดหน้ากรีดยางพาราทั่วประเทศ ทําให้มีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราธรรมชาติลดลงจากราคาน้ํามันดิบที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ํา อีกทั้งประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นําเข้ายางพารารายใหญ่ยังใช้มาตรการล็อคดาวน์ จึงทําให้ผู้ประกอบการชะลอรับซื้อน้ํายางสดในประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29950
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชำระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชําระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด
ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เมื่อครบกําหนดระยะเวลาพักชําระเงินต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี และมาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) เริ่มลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาลูกค้าประชาชน พร้อมบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และนําเงินส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายในด้านอื่นที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต พร้อมกับยังคงมีบ้านให้ตนเองและครอบครัวอยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) มีสถานะบัญชีปกติ ไม่อยู่ในสถานะกฎหมาย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563
มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) เมื่อครบกําหนดระยะเวลาที่พักชําระเงินต้นแล้ว สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี ซึ่งการขยายระยะเวลาจะทําให้เงินงวดรายเดือนของลูกค้าลดลงอีกด้วย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
มาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) ซึ่งลูกค้าที่มีความประสงค์จะใช้มาตรการนี้ต้องนําส่งหลักฐานให้ธนาคารผ่าน Mobile Application : GHB ALL ที่สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบให้รายได้ลดลง สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
ทั้งนี้ มาตรการที่ 2 และมาตรการที่ 3 สามารถใช้ได้ทั้งลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และลูกค้า NPL ของธนาคาร ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Mobile Application : GHB ALL ด้วยการกรอกข้อมูลและส่งหลักฐานตามที่ธนาคารกําหนด อาทิ เลขประจําตัวประชาชน และเลขที่บัญชีเงินกู้ พร้อมเลือก 1 ใน 3 มาตรการของ ธอส. ที่ประสงค์เข้าร่วม ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 โดยลูกค้าสามารถชําระเงินงวดตามยอดที่ได้รับแจ้งผ่าน Application : GHB ALL ในวันถัดไป หรือสร้าง QR CODE จาก Application : GHB ALL เพื่อนําไปสแกนชําระเงินงวดผ่าน Application ของธนาคารอื่นได้
โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ จะสามารถบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทั้ง 1.57 ล้านราย คิดเป็นกรอบวงเงินสินเชื่อรวม 1.22 ล้านล้านบาท ที่ปัจจุบันพบว่าหลายสาขาอาชีพต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งหลังจากลูกค้าเลือกมาตรการพักชําระเงินต้นตามระยะเวลาที่ต้องการแล้ว จะทําให้เงินงวดรายเดือนลดลง โดยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดตามโปรโมชั่นเดิมของลูกค้าแต่ละรายด้วย อาทิ กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท(อัตราดอกเบี้ยเดิม MRR - 0.50 = 5.775% ต่อปี) จากเดิมต้องชําระเงินงวดประมาณ 6,600 บาท/เดือน เมื่อเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่ 3 เงินงวดที่ชําระจะลดลงเหลือ 3,400 บาท/เดือน
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถดาวน์โหลด Application : GHB ALL ได้ที่ App Store หรือ Play Store และสามารถลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และwww.ghbank.co.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชำระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชําระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด
ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เมื่อครบกําหนดระยะเวลาพักชําระเงินต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี และมาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) เริ่มลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาลูกค้าประชาชน พร้อมบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และนําเงินส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายในด้านอื่นที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต พร้อมกับยังคงมีบ้านให้ตนเองและครอบครัวอยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) มีสถานะบัญชีปกติ ไม่อยู่ในสถานะกฎหมาย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563
มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) เมื่อครบกําหนดระยะเวลาที่พักชําระเงินต้นแล้ว สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี ซึ่งการขยายระยะเวลาจะทําให้เงินงวดรายเดือนของลูกค้าลดลงอีกด้วย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
มาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) ซึ่งลูกค้าที่มีความประสงค์จะใช้มาตรการนี้ต้องนําส่งหลักฐานให้ธนาคารผ่าน Mobile Application : GHB ALL ที่สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบให้รายได้ลดลง สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
ทั้งนี้ มาตรการที่ 2 และมาตรการที่ 3 สามารถใช้ได้ทั้งลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และลูกค้า NPL ของธนาคาร ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Mobile Application : GHB ALL ด้วยการกรอกข้อมูลและส่งหลักฐานตามที่ธนาคารกําหนด อาทิ เลขประจําตัวประชาชน และเลขที่บัญชีเงินกู้ พร้อมเลือก 1 ใน 3 มาตรการของ ธอส. ที่ประสงค์เข้าร่วม ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 โดยลูกค้าสามารถชําระเงินงวดตามยอดที่ได้รับแจ้งผ่าน Application : GHB ALL ในวันถัดไป หรือสร้าง QR CODE จาก Application : GHB ALL เพื่อนําไปสแกนชําระเงินงวดผ่าน Application ของธนาคารอื่นได้
โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ จะสามารถบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทั้ง 1.57 ล้านราย คิดเป็นกรอบวงเงินสินเชื่อรวม 1.22 ล้านล้านบาท ที่ปัจจุบันพบว่าหลายสาขาอาชีพต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งหลังจากลูกค้าเลือกมาตรการพักชําระเงินต้นตามระยะเวลาที่ต้องการแล้ว จะทําให้เงินงวดรายเดือนลดลง โดยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดตามโปรโมชั่นเดิมของลูกค้าแต่ละรายด้วย อาทิ กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท(อัตราดอกเบี้ยเดิม MRR - 0.50 = 5.775% ต่อปี) จากเดิมต้องชําระเงินงวดประมาณ 6,600 บาท/เดือน เมื่อเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่ 3 เงินงวดที่ชําระจะลดลงเหลือ 3,400 บาท/เดือน
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถดาวน์โหลด Application : GHB ALL ได้ที่ App Store หรือ Play Store และสามารถลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และwww.ghbank.co.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27971
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงประเด็นสื่อมวลชนนำเสนอ กรณีเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่ากล่าวอ้างมีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
|
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงประเด็นสื่อมวลชนนําเสนอ กรณีเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่ากล่าวอ้างมีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงประเด็นสื่อมวลชนนําเสนอกรณีเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า กล่าวอ้างมีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
วันที่ 6 มีนาคม 2561 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็น “สื่อมวลชน ไทยพีบีเอส (TPBS) ได้นําเสนอในกรณีนายเอ็ดวิน วีค เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า กล่าวอ้างว่ามีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ที่เมืองท่าแขก บริเวณชายแดนของประเทศลาว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจังหวัดนครพนม ของประเทศไทย ผ่านสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจฟาร์มเสือชื่อดัง คือ เฮียชัย ในภาคตะวันออก และเจ๊ดาว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และส่งต่อไปยังร้านอาหารเปิบพิสดารในจีนและลาว” โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งแจ้งมาตรการป้องกันและปราบปราม ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ โดยมีสาระสําคัญดังนี้
จากการตรวจสอบข้อมูลกับเจ้าหน้าที่องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลที่ปฏิบัติงานในเขตอนุภาคลุ่มน้ําโขง ได้รับการยืนยันว่าไม่มีตลาดค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในเขตแดนไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลขององค์การตํารวจสากลที่ระบุว่า ตลาดการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายตามแนวชายแดนที่สําคัญคือตลาดท่าขี้เหล็กในเมียนมาและชายแดนฝั่งลาว ไม่ปรากฏในราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจากการควบคุมป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อตัดวงจรอุปสงค์-อุปทาน ของไทยอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ป่าประเภท แรด และเลียงผา เสือโคร่ง ช้าง หมี ลิ่น นกเงือก กระทิง เสือดาว และเต่า (ส่วนใหญ่) เป็นสัตว์ป่าสงวนและคุ้มครองตามกฎหมายไทย ซึ่งห้ามล่า ค้า และมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด ทําให้สัตว์ป่าดังกล่าวได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเรียนว่า เสือโคร่ง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งห้ามล่า ครอบครอง โดยมิได้รับอนุญาต ยกเว้นการครอบครองเพื่อกิจการสวนสัตว์สาธารณะ ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ปัจจุบันเสือโคร่งส่วนใหญ่อยู่ในกิจการสวนสัตว์สาธารณะ และบางส่วนเป็นผู้ที่ได้แจ้งการครอบครองไว้ตามมาตรา ๖๑ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2546 โดยเสือโคร่งในสวนสัตว์สาธารณะมีหลายสายพันธุ์ ทั้งจากการนําเข้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างสวนสัตว์ โดยเสือโคร่งที่อยู่ในสวนสัตว์ต้องได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นสวนสัตว์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่สามารถโอนให้กับบุคคลคนใดได้ นอกจากระหว่างสวนสัตว์สาธารณะ และผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งและดําเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ ต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อกฎหมายที่กําหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทําบัญชีสัตว์ป่าที่อยู่ในสวนสัตว์ พร้อมจัดทําเครื่องหมายประจําตัว เช่น การฝังไมโครชิพ และต้องจัดทําบัญชีเมื่อสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นลดลงภายในระยะเวลาที่กําหนด ผู้ไม่ปฏิบัติตามมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ทั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีหน่วยงานในสังกัดหลายหน่วยงานที่มีบทบาทและภารกิจที่รับผิดชอบการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน เช่น ด่านตรวจสัตว์ป่านครพนม ด่านตรวจสัตว์ป่าเชียงแสน ด่านตรวจสัตว์ป่าเชียงราย ชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทําความผิดด้านสัตว์ป่า (ชุดเหยี่ยวดง) และคณะทํางานปราบปรามการกระทําความผิดด้านสัตว์ป่าทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ในการตรวจปราบปราม จับกุม ตรวจยึด การกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. 2558 โดยมีหน่วยงานร่วมบูรณาการ ได้แก่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําน้ําโขง ทหารพราน 3103 ตํารวจ ศุลกากร ด่านกักสัตว์ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ายปกครองในพื้นที่ และขอเรียนเพิ่มเติมว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ตระหนักถึงปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าตลอดมา ด้วยการประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนทั่วไปทราบมาโดยตลอด ถึงความผิดในการมี/ลักลอบค้าและครอบครองซึ่งสัตว์ป่าสงวนและคุ้มครอง หากผู้ใดพบเห็นการกระทําผิด ขอให้แจ้งได้ที่เว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ www.dnp.go.th และที่หมายเลขโทรศัพท์ 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนและเครือข่ายต่าง ๆ ด้วยดีเสมอมา
----------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงประเด็นสื่อมวลชนนำเสนอ กรณีเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่ากล่าวอ้างมีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงประเด็นสื่อมวลชนนําเสนอ กรณีเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่ากล่าวอ้างมีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงประเด็นสื่อมวลชนนําเสนอกรณีเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า กล่าวอ้างมีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
วันที่ 6 มีนาคม 2561 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็น “สื่อมวลชน ไทยพีบีเอส (TPBS) ได้นําเสนอในกรณีนายเอ็ดวิน วีค เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า กล่าวอ้างว่ามีขบวนการค้าเสือโคร่งข้ามชาติ โดยมีเครือข่ายคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ที่เมืองท่าแขก บริเวณชายแดนของประเทศลาว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจังหวัดนครพนม ของประเทศไทย ผ่านสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจฟาร์มเสือชื่อดัง คือ เฮียชัย ในภาคตะวันออก และเจ๊ดาว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และส่งต่อไปยังร้านอาหารเปิบพิสดารในจีนและลาว” โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งแจ้งมาตรการป้องกันและปราบปราม ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ โดยมีสาระสําคัญดังนี้
จากการตรวจสอบข้อมูลกับเจ้าหน้าที่องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลที่ปฏิบัติงานในเขตอนุภาคลุ่มน้ําโขง ได้รับการยืนยันว่าไม่มีตลาดค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในเขตแดนไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลขององค์การตํารวจสากลที่ระบุว่า ตลาดการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายตามแนวชายแดนที่สําคัญคือตลาดท่าขี้เหล็กในเมียนมาและชายแดนฝั่งลาว ไม่ปรากฏในราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจากการควบคุมป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อตัดวงจรอุปสงค์-อุปทาน ของไทยอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ป่าประเภท แรด และเลียงผา เสือโคร่ง ช้าง หมี ลิ่น นกเงือก กระทิง เสือดาว และเต่า (ส่วนใหญ่) เป็นสัตว์ป่าสงวนและคุ้มครองตามกฎหมายไทย ซึ่งห้ามล่า ค้า และมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด ทําให้สัตว์ป่าดังกล่าวได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเรียนว่า เสือโคร่ง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งห้ามล่า ครอบครอง โดยมิได้รับอนุญาต ยกเว้นการครอบครองเพื่อกิจการสวนสัตว์สาธารณะ ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ปัจจุบันเสือโคร่งส่วนใหญ่อยู่ในกิจการสวนสัตว์สาธารณะ และบางส่วนเป็นผู้ที่ได้แจ้งการครอบครองไว้ตามมาตรา ๖๑ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2546 โดยเสือโคร่งในสวนสัตว์สาธารณะมีหลายสายพันธุ์ ทั้งจากการนําเข้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างสวนสัตว์ โดยเสือโคร่งที่อยู่ในสวนสัตว์ต้องได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นสวนสัตว์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่สามารถโอนให้กับบุคคลคนใดได้ นอกจากระหว่างสวนสัตว์สาธารณะ และผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งและดําเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ ต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อกฎหมายที่กําหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทําบัญชีสัตว์ป่าที่อยู่ในสวนสัตว์ พร้อมจัดทําเครื่องหมายประจําตัว เช่น การฝังไมโครชิพ และต้องจัดทําบัญชีเมื่อสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นลดลงภายในระยะเวลาที่กําหนด ผู้ไม่ปฏิบัติตามมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ทั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีหน่วยงานในสังกัดหลายหน่วยงานที่มีบทบาทและภารกิจที่รับผิดชอบการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน เช่น ด่านตรวจสัตว์ป่านครพนม ด่านตรวจสัตว์ป่าเชียงแสน ด่านตรวจสัตว์ป่าเชียงราย ชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทําความผิดด้านสัตว์ป่า (ชุดเหยี่ยวดง) และคณะทํางานปราบปรามการกระทําความผิดด้านสัตว์ป่าทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ในการตรวจปราบปราม จับกุม ตรวจยึด การกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. 2558 โดยมีหน่วยงานร่วมบูรณาการ ได้แก่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําน้ําโขง ทหารพราน 3103 ตํารวจ ศุลกากร ด่านกักสัตว์ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ายปกครองในพื้นที่ และขอเรียนเพิ่มเติมว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ตระหนักถึงปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าตลอดมา ด้วยการประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนทั่วไปทราบมาโดยตลอด ถึงความผิดในการมี/ลักลอบค้าและครอบครองซึ่งสัตว์ป่าสงวนและคุ้มครอง หากผู้ใดพบเห็นการกระทําผิด ขอให้แจ้งได้ที่เว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ www.dnp.go.th และที่หมายเลขโทรศัพท์ 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนและเครือข่ายต่าง ๆ ด้วยดีเสมอมา
----------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10655
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา”
|
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา”
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” มุ่งสร้างความเข้าใจและประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมาย
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 33 จังหวัด ที่เข้าร่วมโครงการฯ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง โดยปลูกพืชทดแทนที่มีศักยภาพ และสามารถบริหารจัดการด้านการตลาดได้ ภายใต้แนวคิด “การตลาดนําการผลิต” โดยสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เชื่อมโยงการผลิตการตลาดภาครัฐและเอกชน สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยดําเนินการวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีการบริหารสินค้าเกษตรให้เกิดความสมดุล เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร มีตลาดรองรับแน่นอนผลผลิตไม่ล้นตลาด เกษตรกรมีรายได้และความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา
“ผลการรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 รวมเกษตรกร 85,042 ราย พื้นที่ 735,525 ไร่ คิดเป็น 72.41 % จากการสํารวจความต้องการของเกษตรกร (ผลการสํารวจ : เกษตรกร 116,598 พื้นที่ 1,015,845.25 ไร่) โดยจะรับสมัครไปจนถึง วันที่ 15 มกราคม 2562 เป็นวันสิ้นสุดการปลูก ซึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเกษตรกร และในปีนี้ราคารับซื้อข้าวโพดสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8 บาท เป็น 10 บาท แต่ไม่ว่าเกษตรกรจะปลูกพืชอะไร กระทรวงเกษตรฯ ก็จะดูแลอย่างทั่วถึงเช่นเดียวกัน ส่วนในปีที่ผ่านมาโครงการฯ ไม่ประสบผลสําเร็จเท่าที่ควรนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานความร่วมมือภาคเอกชนเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ อาทิ การจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกร การรวบรวมผลผลิตและกําหนดจุดรับซื้อ การประกันภัยพืชผลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ หวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าว ช่วยให้การดําเนินงานบรรลุตามเป้าหมายได้” นายกฤษฎา กล่าว
สําหรับการจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างความเข้าใจในการประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการฯ และนับเป็นครั้งแรกของการรวมทีม 5 เสือ ในพื้นที่ 33 จังหวัด ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จํานวน 450 คน ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกัน ถึงแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้สําเร็จตามเป้าหมาย.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา”
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา”
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” มุ่งสร้างความเข้าใจและประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมาย
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 33 จังหวัด ที่เข้าร่วมโครงการฯ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง โดยปลูกพืชทดแทนที่มีศักยภาพ และสามารถบริหารจัดการด้านการตลาดได้ ภายใต้แนวคิด “การตลาดนําการผลิต” โดยสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เชื่อมโยงการผลิตการตลาดภาครัฐและเอกชน สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยดําเนินการวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีการบริหารสินค้าเกษตรให้เกิดความสมดุล เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร มีตลาดรองรับแน่นอนผลผลิตไม่ล้นตลาด เกษตรกรมีรายได้และความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา
“ผลการรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 รวมเกษตรกร 85,042 ราย พื้นที่ 735,525 ไร่ คิดเป็น 72.41 % จากการสํารวจความต้องการของเกษตรกร (ผลการสํารวจ : เกษตรกร 116,598 พื้นที่ 1,015,845.25 ไร่) โดยจะรับสมัครไปจนถึง วันที่ 15 มกราคม 2562 เป็นวันสิ้นสุดการปลูก ซึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเกษตรกร และในปีนี้ราคารับซื้อข้าวโพดสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 8 บาท เป็น 10 บาท แต่ไม่ว่าเกษตรกรจะปลูกพืชอะไร กระทรวงเกษตรฯ ก็จะดูแลอย่างทั่วถึงเช่นเดียวกัน ส่วนในปีที่ผ่านมาโครงการฯ ไม่ประสบผลสําเร็จเท่าที่ควรนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานความร่วมมือภาคเอกชนเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ อาทิ การจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกร การรวบรวมผลผลิตและกําหนดจุดรับซื้อ การประกันภัยพืชผลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ หวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าว ช่วยให้การดําเนินงานบรรลุตามเป้าหมายได้” นายกฤษฎา กล่าว
สําหรับการจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างความเข้าใจในการประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการฯ และนับเป็นครั้งแรกของการรวมทีม 5 เสือ ในพื้นที่ 33 จังหวัด ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จํานวน 450 คน ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกัน ถึงแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการฯ ให้สําเร็จตามเป้าหมาย.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17122
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐาน แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน งดออกกำลังกายกลางแจ้ง โหลดแอปพลิเคชัน Air4Thai ติดตามสถานการณ์
|
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562
สธ.เตือนฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐาน แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน งดออกกําลังกายกลางแจ้ง โหลดแอปพลิเคชัน Air4Thai ติดตามสถานการณ์
สธ.เตือนฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐาน แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน งดออกกําลังกายกลางแจ้ง โหลดแอปพลิเคชัน Air4Thai ติดตามสถานการณ์
วันที่ 13 ธ.ค.2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้ให้ความสําคัญกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่กลับมาสูงขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.ขณะนี้โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพ และมอบหมายกรมอนามัยทําหน้าที่ตรวจติดตามปริมาณค่า PM 2.5 ทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันและผลิตสื่อให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านทางสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมถึงให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครประจําหมู่บ้าน(อสม.) แนะนําประชาชนปฏิบัติตนในสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานที่ถูกต้อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เน้นให้ทุกพื้นที่เตรียมการรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์ประเมินความเสี่ยง แจ้งเตือนประชาชนและให้คําแนะนําในการปฏิบัติตนทุกวัน ประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ และเตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มเสี่ยง ให้ อสม.ให้คําแนะนํากับกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยติดเตียง
สําหรับสถานบริการทุกแห่งเตรียมความพร้อม น้ํา ไฟสํารอง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และพร้อมเปิดคลินิกมลพิษ เพื่อรักษา ให้คําปรึกษาแก่ประชาชน และเตรียมห้องปลอดฝุ่นในสถานพยาบาลทุกระดับ เฝ้าระวังผู้ป่วยนอกที่มารับบริการในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ผิวหนัง ระบบตา และอื่นๆ รายงานส่วนกลางทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ หากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เกิน 3 วัน ให้จังหวัดพิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยใช้กลไกคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดในการเตรียมการจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ 8.จัดกิจกรรมองค์กรปลอดฝุ่นเพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรลดฝุ่นละออง
"สําหรับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai หรือเพจ "คนรักอนามัยใส่ใจอากาศ PM2.5" ผู้อาศัยหรือทํางานอยู่ในพื้นที่ที่ยังมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการออกกําลังกายกลางแจ้งด้วย" น.ส.ไตรศุลี ระบุ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐาน แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน งดออกกำลังกายกลางแจ้ง โหลดแอปพลิเคชัน Air4Thai ติดตามสถานการณ์
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562
สธ.เตือนฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐาน แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน งดออกกําลังกายกลางแจ้ง โหลดแอปพลิเคชัน Air4Thai ติดตามสถานการณ์
สธ.เตือนฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่ามาตรฐาน แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน งดออกกําลังกายกลางแจ้ง โหลดแอปพลิเคชัน Air4Thai ติดตามสถานการณ์
วันที่ 13 ธ.ค.2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้ให้ความสําคัญกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่กลับมาสูงขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.ขณะนี้โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพ และมอบหมายกรมอนามัยทําหน้าที่ตรวจติดตามปริมาณค่า PM 2.5 ทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันและผลิตสื่อให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านทางสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมถึงให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครประจําหมู่บ้าน(อสม.) แนะนําประชาชนปฏิบัติตนในสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานที่ถูกต้อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เน้นให้ทุกพื้นที่เตรียมการรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์ประเมินความเสี่ยง แจ้งเตือนประชาชนและให้คําแนะนําในการปฏิบัติตนทุกวัน ประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ และเตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มเสี่ยง ให้ อสม.ให้คําแนะนํากับกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยติดเตียง
สําหรับสถานบริการทุกแห่งเตรียมความพร้อม น้ํา ไฟสํารอง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และพร้อมเปิดคลินิกมลพิษ เพื่อรักษา ให้คําปรึกษาแก่ประชาชน และเตรียมห้องปลอดฝุ่นในสถานพยาบาลทุกระดับ เฝ้าระวังผู้ป่วยนอกที่มารับบริการในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ผิวหนัง ระบบตา และอื่นๆ รายงานส่วนกลางทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ หากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เกิน 3 วัน ให้จังหวัดพิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยใช้กลไกคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดในการเตรียมการจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ 8.จัดกิจกรรมองค์กรปลอดฝุ่นเพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรลดฝุ่นละออง
"สําหรับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai หรือเพจ "คนรักอนามัยใส่ใจอากาศ PM2.5" ผู้อาศัยหรือทํางานอยู่ในพื้นที่ที่ยังมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการออกกําลังกายกลางแจ้งด้วย" น.ส.ไตรศุลี ระบุ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25189
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
|
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562
“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
ในวันจันทร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
เพื่อพิจารณาร่างข้อบังคับสถาบันอนุญาโตตุลาการว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
ตลอดจนพิจารณาตัวชี้วัดสถาบันอนุญาโตตุลาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการอนุญาโตตุลาการ
และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินกิจการเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ
แก่ประชาชนทุกฝ่ายด้วยเป็นธรรม และความเท่าเทียม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562
“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
ในวันจันทร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
เพื่อพิจารณาร่างข้อบังคับสถาบันอนุญาโตตุลาการว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
ตลอดจนพิจารณาตัวชี้วัดสถาบันอนุญาโตตุลาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการอนุญาโตตุลาการ
และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินกิจการเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ
แก่ประชาชนทุกฝ่ายด้วยเป็นธรรม และความเท่าเทียม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 125 ปี 1 เมษายน 2560
|
วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560
กระทรวงมหาดไทยจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 125 ปี 1 เมษายน 2560
วันนี้ (1 เม.ย. 60) เวลา 06.45 น. ที่บริเวณหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมกล่าวคําถวายสดุดีสม
วันนี้ (1 เม.ย. 60) เวลา 06.45 น. ที่บริเวณหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมกล่าวคําถวายสดุดีสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเนื่องในงาน
วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 125 ปี โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยอธิบดีทุกกรม และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการ พนักงานของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธี
ต่อมาเวลา 07.20 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อรวบรวมเงินจากผู้มีจิตศรัทธาจากทั่วประเทศสมทบเข้าเป็นกองทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนและด้อยโอกาสในชนบท ณ ลานเอนกประสงค์ กระทรวงมหาดไทย และในเวลา 08.00 น. ได้เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องไทยธรรม และภัตตาหาร แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และพระภิกษุสงฆ์ ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย จากนั้น เวลา 09.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีมอบพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีและรางวัล “คนดีมหาดไทย” ประจําปี 2560ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นเกียรติและสักขีพยาน
ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าสําหรับการจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ได้จัดให้มีขึ้นในวันที่ 1 เมษายน เป็นประจําทุกปี เพื่อน้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 และได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจด้านต่างๆ อย่างมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่มีความสําคัญยิ่งต่อชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงจัดระเบียบการปกครองในรูปแบบเทศาภิบาล และทรงวางรากฐานให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นในการบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ประชาชน อันนําไปสู่บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขตราบมาจนทุกวันนี้ สําหรับการจัดงานวันที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทยในปีนี้ ซึ่งเป็นปีแห่งการครบรอบ 125 ปี ของการก่อตั้งกระทรวงมหาดไทย ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560 กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดจัดกิจกรรมสําคัญในวันดังกล่าว โดยจัดพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พิธีสงฆ์ และพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดี และรางวัล “คนดีมหาดไทย” ประจําปี 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับรางวัลเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดี กระทรวงมหาดไทยจัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแก่“พลเมืองดี”ซึ่งในปีนี้ มีพลเมืองดีที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติ ตามหลักเกณฑ์และระเบียบของ“กองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี”จํานวน 7 ท่าน เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลตลอดจนครอบครัว รวมทั้งเป็นการเผยแพร่คุณความดีที่ได้กระทําให้เป็นที่ประจักษ์และแบบอย่างที่ดีแก่สังคมต่อไป และการมอบรางวัล“คนดีมหาดไทย”ให้แก่ข้าราชการที่เป็นแบบอย่างที่ดีของกระทรวงมหาดไทย จํานวน 7 ท่าน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 125 ปี 1 เมษายน 2560
วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560
กระทรวงมหาดไทยจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 125 ปี 1 เมษายน 2560
วันนี้ (1 เม.ย. 60) เวลา 06.45 น. ที่บริเวณหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมกล่าวคําถวายสดุดีสม
วันนี้ (1 เม.ย. 60) เวลา 06.45 น. ที่บริเวณหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมกล่าวคําถวายสดุดีสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเนื่องในงาน
วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 125 ปี โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยอธิบดีทุกกรม และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการ พนักงานของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธี
ต่อมาเวลา 07.20 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อรวบรวมเงินจากผู้มีจิตศรัทธาจากทั่วประเทศสมทบเข้าเป็นกองทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนและด้อยโอกาสในชนบท ณ ลานเอนกประสงค์ กระทรวงมหาดไทย และในเวลา 08.00 น. ได้เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องไทยธรรม และภัตตาหาร แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และพระภิกษุสงฆ์ ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย จากนั้น เวลา 09.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีมอบพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีและรางวัล “คนดีมหาดไทย” ประจําปี 2560ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นเกียรติและสักขีพยาน
ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าสําหรับการจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ได้จัดให้มีขึ้นในวันที่ 1 เมษายน เป็นประจําทุกปี เพื่อน้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 และได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจด้านต่างๆ อย่างมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่มีความสําคัญยิ่งต่อชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงจัดระเบียบการปกครองในรูปแบบเทศาภิบาล และทรงวางรากฐานให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นในการบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ประชาชน อันนําไปสู่บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขตราบมาจนทุกวันนี้ สําหรับการจัดงานวันที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทยในปีนี้ ซึ่งเป็นปีแห่งการครบรอบ 125 ปี ของการก่อตั้งกระทรวงมหาดไทย ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560 กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดจัดกิจกรรมสําคัญในวันดังกล่าว โดยจัดพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พิธีสงฆ์ และพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดี และรางวัล “คนดีมหาดไทย” ประจําปี 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับรางวัลเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดี กระทรวงมหาดไทยจัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแก่“พลเมืองดี”ซึ่งในปีนี้ มีพลเมืองดีที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติ ตามหลักเกณฑ์และระเบียบของ“กองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี”จํานวน 7 ท่าน เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลตลอดจนครอบครัว รวมทั้งเป็นการเผยแพร่คุณความดีที่ได้กระทําให้เป็นที่ประจักษ์และแบบอย่างที่ดีแก่สังคมต่อไป และการมอบรางวัล“คนดีมหาดไทย”ให้แก่ข้าราชการที่เป็นแบบอย่างที่ดีของกระทรวงมหาดไทย จํานวน 7 ท่าน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2822
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ลงพื้นที่พบประชาชน พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จ. สระแก้ว กว่า ๕ แสนบาท
|
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
"ยุติธรรม" ลงพื้นที่พบประชาชน พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จ. สระแก้ว กว่า ๕ แสนบาท
กระทรวงยุติธรรมลงพื้นที่พบประชาชน พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จ. สระแก้ว กว่า ๕ แสนบาท
เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ หอประชุมปางสีดา ชั้น ๒ ศูนย์ราชการจังหวัดสระแก้วพ.ต.ท. ดร. พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานเปิดโครงการตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดและศูนย์ยุติธรรมชุมชน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ เพื่อติดตามผลการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เครือข่ายยุติธรรมชุมชนและอาสาสมัครของกระทรวงยุติธรรมส่วนภูมิภาค รวมทั้งรับฟังปัญหาอุปสรรคของการปฏิบัติงานและความต้องการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนํามาปรับปรุงและกําหนดแนวทางการดําเนินงานอํานวยความยุติธรรมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสระแก้ว เครือข่ายยุติธรรมชุมชน คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ อาสาสมัครของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จํานวนกว่า ๕๐๐ คน เข้าร่วมฯ
โอกาสนี้ หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้จัดทําแผนการตรวจเยี่ยมส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในส่วนภูมิภาค จํานวน ๔ ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๓ โดยที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรม และความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยการทํางานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมกับชุมชน เรียกว่า "ยุติธรรมชุมชน" ที่มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรม การช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย การแจ้งเบาะแสการกระทําความผิดในชุมชน การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิด และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือการขจัดความขัดแย้งในชุมชน โดยให้สํานักงานยุติธรรมจังหวัดเป็นหน่วยงานสนับสนุนการดําเนินงานร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้นๆ
ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม ได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและทายาทผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ตาม พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ จํานวน ๗ ราย รวมเป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น ๕๓๕,๘๐๐ บาท
นอกจากนี้ ได้มีการอภิปรายในหัวข้อ "การให้บริการประชาชนของกระทรวงยุติธรรม" จากสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา และสํานักงานกองทุนยุติธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจในช่องทางการรับบริการและการเข้าถึงความยุติธรรม ในเรื่องกองทุนยุติธรรม การช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี และการขอรับเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
ต่อจากนั้น หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของเรือนจําจังหวัดสระแก้ว โดยมีนายนิมิต ทัพวนานต์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายธีระ รักษาประเสริฐกุล ผู้บัญชาการเรือนจํา ให้การต้อนรับ โดยตรวจเยี่ยมภายในเรือนจํา อาทิ เรือนนอนฟื้นฟูหญิง ห้องแม่และเด็ก ที่ทําการแดนหญิง ชมรม To Be Number One ห้องสมุด แดนสูทกรรม ฯลฯ
โอกาสนี้ ได้ทําพิธีเปิดอาคารอเนกประสงค์ ภายใน แดน ๕ ด้วย
ในเวลา ๑๓.๐๐ น.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนเทศบาลตําบลท่าเกษม ซึ่งศูนย์ดังกล่าวมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้กับประชาชนในชุมชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้จากการสอบถามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ พบว่า ต้องการความรู้ด้านกฏหมาย ซึ่งกระทรวงยุติธรรม จะเสริมสร้างความรู้ด้านกฏหมายผ่านสื่ออินโฟกราฟฟิก เพื่อให้เข้าใจง่ายต่อการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการได้เน้นย้ําให้สํานักงานยุติธรรมจังหวัดช่วยดูแลช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ต่อจากนั้น ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลบ้านแก้ง ณ อบต.บ้านแก้ง ซึ่งศูนย์ดังกล่าวมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้กับประชาชนในชุมชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มีการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน
ทั้งนี้ จากการสอบถามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ พบว่า ต้องการความรู้ด้านกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิที่ประชาชนควรรู้ ปัญหาการขายฝาก การทําสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งกระทรวงยุติธรรมจะให้การช่วยเหลือและสนับสนุนสร้างการรับรู้ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ลงพื้นที่พบประชาชน พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จ. สระแก้ว กว่า ๕ แสนบาท
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
"ยุติธรรม" ลงพื้นที่พบประชาชน พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จ. สระแก้ว กว่า ๕ แสนบาท
กระทรวงยุติธรรมลงพื้นที่พบประชาชน พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา จ. สระแก้ว กว่า ๕ แสนบาท
เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ หอประชุมปางสีดา ชั้น ๒ ศูนย์ราชการจังหวัดสระแก้วพ.ต.ท. ดร. พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานเปิดโครงการตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดและศูนย์ยุติธรรมชุมชน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ เพื่อติดตามผลการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เครือข่ายยุติธรรมชุมชนและอาสาสมัครของกระทรวงยุติธรรมส่วนภูมิภาค รวมทั้งรับฟังปัญหาอุปสรรคของการปฏิบัติงานและความต้องการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนํามาปรับปรุงและกําหนดแนวทางการดําเนินงานอํานวยความยุติธรรมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสระแก้ว เครือข่ายยุติธรรมชุมชน คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ อาสาสมัครของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จํานวนกว่า ๕๐๐ คน เข้าร่วมฯ
โอกาสนี้ หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้จัดทําแผนการตรวจเยี่ยมส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในส่วนภูมิภาค จํานวน ๔ ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๓ โดยที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรม และความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยการทํางานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมกับชุมชน เรียกว่า "ยุติธรรมชุมชน" ที่มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรม การช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย การแจ้งเบาะแสการกระทําความผิดในชุมชน การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิด และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือการขจัดความขัดแย้งในชุมชน โดยให้สํานักงานยุติธรรมจังหวัดเป็นหน่วยงานสนับสนุนการดําเนินงานร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้นๆ
ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม ได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและทายาทผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ตาม พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ จํานวน ๗ ราย รวมเป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น ๕๓๕,๘๐๐ บาท
นอกจากนี้ ได้มีการอภิปรายในหัวข้อ "การให้บริการประชาชนของกระทรวงยุติธรรม" จากสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา และสํานักงานกองทุนยุติธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจในช่องทางการรับบริการและการเข้าถึงความยุติธรรม ในเรื่องกองทุนยุติธรรม การช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี และการขอรับเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
ต่อจากนั้น หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของเรือนจําจังหวัดสระแก้ว โดยมีนายนิมิต ทัพวนานต์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายธีระ รักษาประเสริฐกุล ผู้บัญชาการเรือนจํา ให้การต้อนรับ โดยตรวจเยี่ยมภายในเรือนจํา อาทิ เรือนนอนฟื้นฟูหญิง ห้องแม่และเด็ก ที่ทําการแดนหญิง ชมรม To Be Number One ห้องสมุด แดนสูทกรรม ฯลฯ
โอกาสนี้ ได้ทําพิธีเปิดอาคารอเนกประสงค์ ภายใน แดน ๕ ด้วย
ในเวลา ๑๓.๐๐ น.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนเทศบาลตําบลท่าเกษม ซึ่งศูนย์ดังกล่าวมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้กับประชาชนในชุมชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้จากการสอบถามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ พบว่า ต้องการความรู้ด้านกฏหมาย ซึ่งกระทรวงยุติธรรม จะเสริมสร้างความรู้ด้านกฏหมายผ่านสื่ออินโฟกราฟฟิก เพื่อให้เข้าใจง่ายต่อการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการได้เน้นย้ําให้สํานักงานยุติธรรมจังหวัดช่วยดูแลช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ต่อจากนั้น ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลบ้านแก้ง ณ อบต.บ้านแก้ง ซึ่งศูนย์ดังกล่าวมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้กับประชาชนในชุมชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มีการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน
ทั้งนี้ จากการสอบถามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ พบว่า ต้องการความรู้ด้านกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิที่ประชาชนควรรู้ ปัญหาการขายฝาก การทําสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งกระทรวงยุติธรรมจะให้การช่วยเหลือและสนับสนุนสร้างการรับรู้ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6627
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวนาโคราชเฮง! คว้ารางวัลใหญ่สุด “ชิมช้อปใช้”
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
ชาวนาโคราชเฮง! คว้ารางวัลใหญ่สุด “ชิมช้อปใช้”
ชาวนาโคราชวัย 54 ปีดวงเฮง คว้ารางวัลใหญ่รถยนต์มูลค่ากว่า 8 แสนบาทจากโครงการ“ชิมช้อปใช้” บอกชอบโครงการเพราะช่วยให้ช้อปสะดวก อยากให้รัฐบาลทําต่อเนื่อง
นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวว่า โครงการชิมช้อปใช้เฟส 1-3 ของรัฐบาล ที่สิ้นสุดไปในวันที่ 31 ม.ค.63 นับว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างดียิ่งตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยพี่น้องประชาชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการได้จับจ่ายใช้สอยผ่านแอพเป๋าตังอย่างต่อเนื่องมากถึง 12.6 ล้านราย อีกทั้งมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 1.7 แสนร้าน ทําให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากร่วม 29,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการทั้งพี่น้องประชาชนและร้านค้า ยังมีโอกาสร่วมลุ้นโชคใหญ่มูลค่า 12 ล้านบาท ของรางวัลประกอบด้วย Toyota Altis (limo) มูลค่า 829,000 บาท 1 คัน Toyota Hilux Revo 3 คัน Honda PCX150 (2019) 16 คัน TV Samsung 55 นิ้ว 32 เครื่อง ทองคําแท่งราว 500 แท่ง โดยเริ่มจับรางวัลครั้งแรกในวันที่ 20 ธ.ค.62 และจับรางวัลครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในวันนี้ (3 ก.พ.63)
รางวัลที่ 1 รถยนต์ Toyota Altis เป็นของคุณเสถียร วิไพบูลย์ อายุ 54 ปี เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา อาชีพทํานา ซึ่งปกติแล้วใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนไม่ค่อยเป็น แต่ลูกชายเป็นคนสมัครให้ โดยเข้าโครงการตั้งแต่เฟสแรกที่รัฐบาลแจกเงิน 1 พันบาท หลังจากได้ใช้แล้วรู้สึกสะดวกคล่องตัวไม่ต้องพกเงินสด เลยมีการนําไปใช้กันทั้งครอบครัว พร้อมกับเติมเงินเข้าแอพเป๋าตังและใช้จ่ายเกิน 5 หมื่นบาท โดยที่มีการนําไปใช้จ่ายในหลายจังหวัดทั้งที่ขอนแก่นและโคราช เช่นซื้อสินค้าชุมชนคือผ้าไหมฝากญาติพี่น้องหลายหมื่นบาท ตอนนี้ภรรยาใช้งานคล่องแล้ว และหากรัฐบาลทําโครงการนี้ต่อไปก็จะเข้าร่วมอีก ทั้งนี้ตอนสมัครก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้รับรางวัลอะไร แต่พอทราบว่าได้รับรางวัลที่ 1 รถยนต์ราคาเกือบหนึ่งล้านบาท ก็ดีใจมาก
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ตนขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับของรางวัลทุกคน พร้อมกันนี้ขอฝากให้พี่น้องประชาชนที่จับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการชิมช้อปใช้ รวมถึงร้านค้าผู้ประกอบการ อย่าลืมไปตรวจสอบรายชื่ออย่างละเอียด เพราะอาจเป็นผู้ได้รับโชคจากการจับรางวัลของสมนาคุณทั้ง 6 ครั้ง โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อได้ทางเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ผู้ที่ได้รับรางวัลให้นําหลักฐานมาแสดงเพื่อรับรองภายใน 30 วันนับจากวันที่ประกาศรายชื่อ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวนาโคราชเฮง! คว้ารางวัลใหญ่สุด “ชิมช้อปใช้”
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
ชาวนาโคราชเฮง! คว้ารางวัลใหญ่สุด “ชิมช้อปใช้”
ชาวนาโคราชวัย 54 ปีดวงเฮง คว้ารางวัลใหญ่รถยนต์มูลค่ากว่า 8 แสนบาทจากโครงการ“ชิมช้อปใช้” บอกชอบโครงการเพราะช่วยให้ช้อปสะดวก อยากให้รัฐบาลทําต่อเนื่อง
นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวว่า โครงการชิมช้อปใช้เฟส 1-3 ของรัฐบาล ที่สิ้นสุดไปในวันที่ 31 ม.ค.63 นับว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างดียิ่งตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยพี่น้องประชาชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการได้จับจ่ายใช้สอยผ่านแอพเป๋าตังอย่างต่อเนื่องมากถึง 12.6 ล้านราย อีกทั้งมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 1.7 แสนร้าน ทําให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากร่วม 29,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการทั้งพี่น้องประชาชนและร้านค้า ยังมีโอกาสร่วมลุ้นโชคใหญ่มูลค่า 12 ล้านบาท ของรางวัลประกอบด้วย Toyota Altis (limo) มูลค่า 829,000 บาท 1 คัน Toyota Hilux Revo 3 คัน Honda PCX150 (2019) 16 คัน TV Samsung 55 นิ้ว 32 เครื่อง ทองคําแท่งราว 500 แท่ง โดยเริ่มจับรางวัลครั้งแรกในวันที่ 20 ธ.ค.62 และจับรางวัลครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในวันนี้ (3 ก.พ.63)
รางวัลที่ 1 รถยนต์ Toyota Altis เป็นของคุณเสถียร วิไพบูลย์ อายุ 54 ปี เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา อาชีพทํานา ซึ่งปกติแล้วใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนไม่ค่อยเป็น แต่ลูกชายเป็นคนสมัครให้ โดยเข้าโครงการตั้งแต่เฟสแรกที่รัฐบาลแจกเงิน 1 พันบาท หลังจากได้ใช้แล้วรู้สึกสะดวกคล่องตัวไม่ต้องพกเงินสด เลยมีการนําไปใช้กันทั้งครอบครัว พร้อมกับเติมเงินเข้าแอพเป๋าตังและใช้จ่ายเกิน 5 หมื่นบาท โดยที่มีการนําไปใช้จ่ายในหลายจังหวัดทั้งที่ขอนแก่นและโคราช เช่นซื้อสินค้าชุมชนคือผ้าไหมฝากญาติพี่น้องหลายหมื่นบาท ตอนนี้ภรรยาใช้งานคล่องแล้ว และหากรัฐบาลทําโครงการนี้ต่อไปก็จะเข้าร่วมอีก ทั้งนี้ตอนสมัครก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้รับรางวัลอะไร แต่พอทราบว่าได้รับรางวัลที่ 1 รถยนต์ราคาเกือบหนึ่งล้านบาท ก็ดีใจมาก
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ตนขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับของรางวัลทุกคน พร้อมกันนี้ขอฝากให้พี่น้องประชาชนที่จับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการชิมช้อปใช้ รวมถึงร้านค้าผู้ประกอบการ อย่าลืมไปตรวจสอบรายชื่ออย่างละเอียด เพราะอาจเป็นผู้ได้รับโชคจากการจับรางวัลของสมนาคุณทั้ง 6 ครั้ง โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อได้ทางเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ผู้ที่ได้รับรางวัลให้นําหลักฐานมาแสดงเพื่อรับรองภายใน 30 วันนับจากวันที่ประกาศรายชื่อ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26255
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ไม่มีนัยสำคัญต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ำเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลยืนยันคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ไม่มีนัยสําคัญต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ําเพื่ออํานวยความสะดวกประชาชน
รัฐบาลยืนยันคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ไม่มีนัยสําคัญต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ําเพื่ออํานวยความสะดวกประชาชน
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 เรื่อง การดําเนินการตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ว่า
"สาระสําคัญของคําสั่งดังกล่าว คือ การสร้างความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เนื่องจากมีข้อเรียกร้องจากสังคมที่ต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เพื่อให้ กกต. มีเวลาพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างเหมาะสมมากขึ้น เกิดความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และพรรคการเมืองทุกพรรคอย่างเท่าเทียมกัน"
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า การดําเนินการทุกอย่างยังเป็นไปตามโรดแมป และคําสั่งนี้ไม่มีนัยใด ๆ ที่จะส่งผลต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง พร้อมทั้งย้ําว่าจุดมุ่งหมายสําคัญคือ การทําให้การเตรียมการเลือกตั้งครั้งสําคัญในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นไปด้วยความรอบคอบ เป็นธรรม และสะดวกเหมาะสม ตามความปรารถนาของทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งจะมีผลต่อการกําหนดอนาคตของประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ไม่มีนัยสำคัญต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ำเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลยืนยันคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ไม่มีนัยสําคัญต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ําเพื่ออํานวยความสะดวกประชาชน
รัฐบาลยืนยันคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ไม่มีนัยสําคัญต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ําเพื่ออํานวยความสะดวกประชาชน
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 เรื่อง การดําเนินการตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ว่า
"สาระสําคัญของคําสั่งดังกล่าว คือ การสร้างความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เนื่องจากมีข้อเรียกร้องจากสังคมที่ต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เพื่อให้ กกต. มีเวลาพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างเหมาะสมมากขึ้น เกิดความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และพรรคการเมืองทุกพรรคอย่างเท่าเทียมกัน"
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า การดําเนินการทุกอย่างยังเป็นไปตามโรดแมป และคําสั่งนี้ไม่มีนัยใด ๆ ที่จะส่งผลต่อการเลื่อนวันเลือกตั้ง พร้อมทั้งย้ําว่าจุดมุ่งหมายสําคัญคือ การทําให้การเตรียมการเลือกตั้งครั้งสําคัญในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นไปด้วยความรอบคอบ เป็นธรรม และสะดวกเหมาะสม ตามความปรารถนาของทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งจะมีผลต่อการกําหนดอนาคตของประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16870
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่น้ำท่วมจังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามการช่วยเหลือ พร้อมพบปะให้กำลังใจผู้ประสบภัย
|
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่น้ําท่วมจังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามการช่วยเหลือ พร้อมพบปะให้กําลังใจผู้ประสบภัย
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่น้ําท่วมจังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามการช่วยเหลือ พร้อมพบปะให้กําลังใจผู้ประสบภัย
วันนี้ (30 ตุลาคม 2560) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมเป็นการเร่งด่วน ณ จังหวัดอ่างทอง โดยจะออกเดินด้วยเฮลิคอปเตอร์ จากกองพลมหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ไปยังโรงเรียนวิเศษไชยชาญตันติวิทยาภูมิ อําเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ก่อนจะนั่งรถต่อไปยังเทศบาลตําบลบางจัก เพื่อรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ําท่วมจากผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง พร้อมพบปะให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยอําเภอวิเศษชัยชาญ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางต่อไปยังหอประชุม องค์การบริหารส่วนตําบลโผงเผง อําเภอป่าโมก เพื่อติดตามสถานการณ์น้ําอําเภอป่าโมก และพบปะให้กําลังใจประชาชนก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครต่อไป
สําหรับจังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจํานวน 5 อําเภอ 30 ตําบล 92 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,595 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรเสียหายจํานวน 6,017 ไร่
---------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่น้ำท่วมจังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามการช่วยเหลือ พร้อมพบปะให้กำลังใจผู้ประสบภัย
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่น้ําท่วมจังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามการช่วยเหลือ พร้อมพบปะให้กําลังใจผู้ประสบภัย
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่น้ําท่วมจังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามการช่วยเหลือ พร้อมพบปะให้กําลังใจผู้ประสบภัย
วันนี้ (30 ตุลาคม 2560) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมเป็นการเร่งด่วน ณ จังหวัดอ่างทอง โดยจะออกเดินด้วยเฮลิคอปเตอร์ จากกองพลมหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ไปยังโรงเรียนวิเศษไชยชาญตันติวิทยาภูมิ อําเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ก่อนจะนั่งรถต่อไปยังเทศบาลตําบลบางจัก เพื่อรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ําท่วมจากผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง พร้อมพบปะให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยอําเภอวิเศษชัยชาญ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางต่อไปยังหอประชุม องค์การบริหารส่วนตําบลโผงเผง อําเภอป่าโมก เพื่อติดตามสถานการณ์น้ําอําเภอป่าโมก และพบปะให้กําลังใจประชาชนก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครต่อไป
สําหรับจังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจํานวน 5 อําเภอ 30 ตําบล 92 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,595 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรเสียหายจํานวน 6,017 ไร่
---------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7664
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ลุยระยอง Kickoff ปล่อยคาราวานรถบรรทุกผลไม้ของสหกรณ์ในภาคตะวันออกกว่า 32.5 ตัน
|
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2563
“รมช.มนัญญา” ลุยระยอง Kickoff ปล่อยคาราวานรถบรรทุกผลไม้ของสหกรณ์ในภาคตะวันออกกว่า 32.5 ตัน
“รมช.มนัญญา” ลุยระยอง Kickoff ปล่อยคาราวานรถบรรทุกผลไม้ของสหกรณ์ในภาคตะวันออกกว่า 32.5 ตัน จับมือคู่ค้าผลไม้ ระหว่างสหกรณ์ต้นทางแหล่งผลิตผลไม้กับสหกรณ์ตลาดปลายทาง เร่งกระจายส่งตรงถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรกรเพื่อรองรับผลกระทบจากโรคไวรัสโควิด – 19 พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายวิวัตห์ชัย พันธุ์วา รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ ณ องค์การบริหารส่วนตําบล ทุ่งควายกิน อําเภอแกลง จังหวัดระยอง ว่า โครงการฯ ดังกล่าว เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องการผลักดันให้เครือข่ายสหกรณ์ ได้ร่วมกันระบายผลผลิตสู่ผู้บริโภคโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้ไม่สามารถส่งออกผลไม้ไปประเทศคู่ค้าได้ เนื่องจากเกิดปัญหาด้านการขนส่ง ทําให้ผลไม้กระจุกตัวและส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ํา ซึ่งปัญหาดังกล่าวนอกจากจะส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนผลไม้แล้ว ยังผลต่อการธุรกิจของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่เป็นองค์กรของเกษตรกรด้วย ดังนั้น จึงต้องหาทางออกด้วยการสร้างเครือข่ายสหกรณ์ชาวสวนผลไม้กับสหกรณ์ในตลาดปลายทางทั่วประเทศ ร่วมมือกันกระจายผลผลิตไปสู่ผู้บริโภคในจังหวัดต่างๆ ซึ่งคาดว่าฤดูกาลผลไม้ภาคตะวันออกในปีนี้จะมีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไปผลผลิต จะออกมาพร้อมกันจํานวนมาก
โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบป้ายการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรกร ให้แก่สหกรณ์จากจังหวัดระยองและตราด สําหรับสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรี จะจัดพิธีมอบในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นได้ปล่อยคาราวานผลไม้จากสหกรณ์ต้นทาง สู่สหกรณ์คู่ค้าปลายทาง ซึ่งสหกรณ์ต้นทาง 6 สหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรทุ่งควายกิน จํากัด สหกรณ์นิคมวังไทร จํากัด สหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จํากัด สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.ระยอง จํากัด จังหวัดระยอง สหกรณ์การเกษตรนายายอาม จํากัด จังหวัดจันทบุรี และสหกรณ์ส่งเสริมธุรกิจภาคเกษตรจังหวัดตราด เป็นมังคุดรวม 32.5 ตัน กระจายโดยรถขนส่งจํานวน 14 คัน ไปส่งให้สหกรณ์ปลายทาง 13 สหกรณ์ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จํากัด จังหวัดร้อยเอ็ด สหกรณ์นิคมนครชุม จํากัด จังหวัดกําแพงเพชร สหกรณ์วัดจันทร์ จํากัด จังหวัดพิษณุโลก สหกรณ์การเกษตรนนทบุรี จํากัด จังหวัดนนทบุรี สหกรณ์การเกษตรดอนสาร จํากัด จังหวัดชัยภูมิ สหกรณ์การเกษตรเมืองลับแล จํากัด จังหวัดอุตรดิตถ์ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.นครพนม จํากัด จังหวัดนครพนม สหกรณ์การเกษตรกระทุ่มแบน จํากัด สหกรณ์การเกษตรบ้านแพ้ว จํากัด จังหวัดสมุทรสาคร สหกรณ์การเกษตรอัมพวา จํากัด สหกรณ์การเกษตรบางคนที จํากัด จังหวัดสมุทรสงคราม สหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทย จํากัด และสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จํากัด จังหวัดเพชรบุรี
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบโดยรวมกับเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ไปตลาดต่างประเทศไม่สามารถทําได้เหมือนปีที่ผ่านๆ มา กระทรวงเกษตรฯ จึงจําเป็นต้องใช้ระบบสหกรณ์ ช่วยสหกรณ์ นําผลไม้คุณภาพดี ที่เราเคยส่งออกไปยังต่างประเทศ มาให้คนไทยได้บริโภคเพิ่มมากขึ้น โดยใช้กลไกสหกรณ์ต้นทางกับปลายทางร่วมมือกันกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิตและส่งถึงมือผู้บริโภคทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และเป็นที่น่ายินดีที่ได้ทราบมาว่า เมื่อเริ่มการขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวของพ่อค้าในท้องถิ่นได้เร่งเข้ามารับซื้อผลผลิตมากยิ่งขึ้น ทําให้ราคาผลผลิตเริ่มขยับตัวในระดับที่เกษตรกรพึงพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องร่วมกันใช้กลไกสหกรณ์เป็นตัวขับเคลื่อนและเร่งระบายผลผลิตให้ทันฤดูกาลที่ผลไม้จะออกมาพร้อมกัน และอย่าลืมให้ความสําคัญเรื่องคุณภาพผลผลิตที่ต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคด้วย” นางสาวมนัญญา กล่าว
นางสาวมนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าวกระทรวงฯ จะเข้ามาช่วยในการขนส่งและเก็บรวบรวมผลไม้ จึงทําให้ราคาสินค้าจากต้นทาง และปลายทางราคาไม่ต่างกันมาก พอมาช่วยก็ทําให้ราคาต้นทุนปลายทางไม่แพง เจ้าของสวนไม่ต้องแบกภาระมาก เมื่อส่งถึงสหกรณ์ ผู้บริโภคก็ได้ราคาเป็นธรรม ได้ทานผลไม้ไทยในราคาไม่แพงและไม่กระทบกับผู้ผลิตชาวสวนอีกด้วย อีกทั้งทราบมาว่าประเทศจีนเริ่มมีการสั่งผลไม้ไทยมาแล้ว นับเป็นข่าวดี ก็ขอเป็นกําลังใจให้กับชาวสวนทุกคน ขณะนี้รัฐบาลเร่งดําเนินการทุกอย่างเพื่อช่วยเกษตรกรอย่างเต็มที่ โดยภาครัฐได้วางนโยบายและกําหนดมาตรการช่วยเหลือ ในปีงบประมาณ 2563 โดยจัดสรรงบประมาณผ่านกรมส่งเสริมสหกรณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต ส่งเสริมการผลิตให้มีคุณภาพในการตรวจและรับรองมาตรฐาน GAP ด้านการรวบรวม จะพัฒนามาตรฐานอาคารรวบรวมของสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน GMP เพื่อเป็นสถานที่ในการรวบรวมและจําหน่ายผลผลิตของสมาชิก นอกจากนั้นยังได้สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ใช้ในการรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกสหกรณ์ด้วย
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 อนุมัติงบกลาง วงเงิน 45 ล้านบาทเศษ สําหรับใช้บริหารจัดการและกระจายผลไม้ผ่านกลไกสหกรณ์ เน้นผลผลิตมังคุดและลําไย โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จะจัดสรรให้สหกรณ์ต้นทางเป็นค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 1 บาท ค่าชดเชยการขนส่งกิโลกรัมละ 2 บาท ค่าบรรจุภัณฑ์ สําหรับจัดซื้อตระกร้าจํานวน 191,700 ใบ เพื่อขนส่งผลไม้ไปสู่ผู้บริโภคปลายทางได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่วนสหกรณ์ปลายทาง จะได้รับค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 50 สตางค์ สําหรับเป็นค่าขนส่งค่าจ้างคนงานและจัดซื้อถุงใส่ผลไม้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กับสหกรณ์ในการกระจายผลผลิตจากสหกรณ์ไปสู่ผู้บริโภคในแต่ละจังหวัดอีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีสหกรณ์ที่รวบรวมผลไม้จากต้นทางสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 84 แห่ง ใน 18 จังหวัด และมีสหกรณ์ปลายทางทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสหกรณ์ที่มีศูนย์กระจายสินค้า สหกรณ์การเกษตรขนาดใหญ่ระดับอําเภอและสหกรณ์นอกภาคการเกษตรที่มีศักยภาพในการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายในการช่วยกันระบายผลผลิตทั้งมังคุดและลําไย รวม 11,700 ตัน แบ่งเป็นมังคุด 8,500 ตันและลําไย 3,200 ตัน คาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้สหกรณ์สามารถกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ได้รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ และส่งผลต่อเสถียรภาพด้านราคาที่เป็นธรรมกับเกษตรกรชาวสวนผลไม้และผู้บริโภคด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ลุยระยอง Kickoff ปล่อยคาราวานรถบรรทุกผลไม้ของสหกรณ์ในภาคตะวันออกกว่า 32.5 ตัน
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2563
“รมช.มนัญญา” ลุยระยอง Kickoff ปล่อยคาราวานรถบรรทุกผลไม้ของสหกรณ์ในภาคตะวันออกกว่า 32.5 ตัน
“รมช.มนัญญา” ลุยระยอง Kickoff ปล่อยคาราวานรถบรรทุกผลไม้ของสหกรณ์ในภาคตะวันออกกว่า 32.5 ตัน จับมือคู่ค้าผลไม้ ระหว่างสหกรณ์ต้นทางแหล่งผลิตผลไม้กับสหกรณ์ตลาดปลายทาง เร่งกระจายส่งตรงถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรกรเพื่อรองรับผลกระทบจากโรคไวรัสโควิด – 19 พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายวิวัตห์ชัย พันธุ์วา รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ ณ องค์การบริหารส่วนตําบล ทุ่งควายกิน อําเภอแกลง จังหวัดระยอง ว่า โครงการฯ ดังกล่าว เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องการผลักดันให้เครือข่ายสหกรณ์ ได้ร่วมกันระบายผลผลิตสู่ผู้บริโภคโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้ไม่สามารถส่งออกผลไม้ไปประเทศคู่ค้าได้ เนื่องจากเกิดปัญหาด้านการขนส่ง ทําให้ผลไม้กระจุกตัวและส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ํา ซึ่งปัญหาดังกล่าวนอกจากจะส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนผลไม้แล้ว ยังผลต่อการธุรกิจของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่เป็นองค์กรของเกษตรกรด้วย ดังนั้น จึงต้องหาทางออกด้วยการสร้างเครือข่ายสหกรณ์ชาวสวนผลไม้กับสหกรณ์ในตลาดปลายทางทั่วประเทศ ร่วมมือกันกระจายผลผลิตไปสู่ผู้บริโภคในจังหวัดต่างๆ ซึ่งคาดว่าฤดูกาลผลไม้ภาคตะวันออกในปีนี้จะมีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไปผลผลิต จะออกมาพร้อมกันจํานวนมาก
โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบป้ายการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรกร ให้แก่สหกรณ์จากจังหวัดระยองและตราด สําหรับสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรี จะจัดพิธีมอบในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นได้ปล่อยคาราวานผลไม้จากสหกรณ์ต้นทาง สู่สหกรณ์คู่ค้าปลายทาง ซึ่งสหกรณ์ต้นทาง 6 สหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรทุ่งควายกิน จํากัด สหกรณ์นิคมวังไทร จํากัด สหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จํากัด สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.ระยอง จํากัด จังหวัดระยอง สหกรณ์การเกษตรนายายอาม จํากัด จังหวัดจันทบุรี และสหกรณ์ส่งเสริมธุรกิจภาคเกษตรจังหวัดตราด เป็นมังคุดรวม 32.5 ตัน กระจายโดยรถขนส่งจํานวน 14 คัน ไปส่งให้สหกรณ์ปลายทาง 13 สหกรณ์ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จํากัด จังหวัดร้อยเอ็ด สหกรณ์นิคมนครชุม จํากัด จังหวัดกําแพงเพชร สหกรณ์วัดจันทร์ จํากัด จังหวัดพิษณุโลก สหกรณ์การเกษตรนนทบุรี จํากัด จังหวัดนนทบุรี สหกรณ์การเกษตรดอนสาร จํากัด จังหวัดชัยภูมิ สหกรณ์การเกษตรเมืองลับแล จํากัด จังหวัดอุตรดิตถ์ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.นครพนม จํากัด จังหวัดนครพนม สหกรณ์การเกษตรกระทุ่มแบน จํากัด สหกรณ์การเกษตรบ้านแพ้ว จํากัด จังหวัดสมุทรสาคร สหกรณ์การเกษตรอัมพวา จํากัด สหกรณ์การเกษตรบางคนที จํากัด จังหวัดสมุทรสงคราม สหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทย จํากัด และสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จํากัด จังหวัดเพชรบุรี
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบโดยรวมกับเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ไปตลาดต่างประเทศไม่สามารถทําได้เหมือนปีที่ผ่านๆ มา กระทรวงเกษตรฯ จึงจําเป็นต้องใช้ระบบสหกรณ์ ช่วยสหกรณ์ นําผลไม้คุณภาพดี ที่เราเคยส่งออกไปยังต่างประเทศ มาให้คนไทยได้บริโภคเพิ่มมากขึ้น โดยใช้กลไกสหกรณ์ต้นทางกับปลายทางร่วมมือกันกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิตและส่งถึงมือผู้บริโภคทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และเป็นที่น่ายินดีที่ได้ทราบมาว่า เมื่อเริ่มการขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวของพ่อค้าในท้องถิ่นได้เร่งเข้ามารับซื้อผลผลิตมากยิ่งขึ้น ทําให้ราคาผลผลิตเริ่มขยับตัวในระดับที่เกษตรกรพึงพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องร่วมกันใช้กลไกสหกรณ์เป็นตัวขับเคลื่อนและเร่งระบายผลผลิตให้ทันฤดูกาลที่ผลไม้จะออกมาพร้อมกัน และอย่าลืมให้ความสําคัญเรื่องคุณภาพผลผลิตที่ต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคด้วย” นางสาวมนัญญา กล่าว
นางสาวมนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าวกระทรวงฯ จะเข้ามาช่วยในการขนส่งและเก็บรวบรวมผลไม้ จึงทําให้ราคาสินค้าจากต้นทาง และปลายทางราคาไม่ต่างกันมาก พอมาช่วยก็ทําให้ราคาต้นทุนปลายทางไม่แพง เจ้าของสวนไม่ต้องแบกภาระมาก เมื่อส่งถึงสหกรณ์ ผู้บริโภคก็ได้ราคาเป็นธรรม ได้ทานผลไม้ไทยในราคาไม่แพงและไม่กระทบกับผู้ผลิตชาวสวนอีกด้วย อีกทั้งทราบมาว่าประเทศจีนเริ่มมีการสั่งผลไม้ไทยมาแล้ว นับเป็นข่าวดี ก็ขอเป็นกําลังใจให้กับชาวสวนทุกคน ขณะนี้รัฐบาลเร่งดําเนินการทุกอย่างเพื่อช่วยเกษตรกรอย่างเต็มที่ โดยภาครัฐได้วางนโยบายและกําหนดมาตรการช่วยเหลือ ในปีงบประมาณ 2563 โดยจัดสรรงบประมาณผ่านกรมส่งเสริมสหกรณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต ส่งเสริมการผลิตให้มีคุณภาพในการตรวจและรับรองมาตรฐาน GAP ด้านการรวบรวม จะพัฒนามาตรฐานอาคารรวบรวมของสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน GMP เพื่อเป็นสถานที่ในการรวบรวมและจําหน่ายผลผลิตของสมาชิก นอกจากนั้นยังได้สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ใช้ในการรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกสหกรณ์ด้วย
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 อนุมัติงบกลาง วงเงิน 45 ล้านบาทเศษ สําหรับใช้บริหารจัดการและกระจายผลไม้ผ่านกลไกสหกรณ์ เน้นผลผลิตมังคุดและลําไย โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จะจัดสรรให้สหกรณ์ต้นทางเป็นค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 1 บาท ค่าชดเชยการขนส่งกิโลกรัมละ 2 บาท ค่าบรรจุภัณฑ์ สําหรับจัดซื้อตระกร้าจํานวน 191,700 ใบ เพื่อขนส่งผลไม้ไปสู่ผู้บริโภคปลายทางได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่วนสหกรณ์ปลายทาง จะได้รับค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 50 สตางค์ สําหรับเป็นค่าขนส่งค่าจ้างคนงานและจัดซื้อถุงใส่ผลไม้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กับสหกรณ์ในการกระจายผลผลิตจากสหกรณ์ไปสู่ผู้บริโภคในแต่ละจังหวัดอีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีสหกรณ์ที่รวบรวมผลไม้จากต้นทางสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 84 แห่ง ใน 18 จังหวัด และมีสหกรณ์ปลายทางทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสหกรณ์ที่มีศูนย์กระจายสินค้า สหกรณ์การเกษตรขนาดใหญ่ระดับอําเภอและสหกรณ์นอกภาคการเกษตรที่มีศักยภาพในการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายในการช่วยกันระบายผลผลิตทั้งมังคุดและลําไย รวม 11,700 ตัน แบ่งเป็นมังคุด 8,500 ตันและลําไย 3,200 ตัน คาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้สหกรณ์สามารถกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ได้รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ และส่งผลต่อเสถียรภาพด้านราคาที่เป็นธรรมกับเกษตรกรชาวสวนผลไม้และผู้บริโภคด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30984
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ ไม่เคยพูดให้ประชาชนเติมน้ำเปล่าแทนน้ำมัน ชี้เป็นข้อมูลบิดเบือน จงใจให้ร้ายทำลายความน่าเชื่อถือ วอนอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอม
|
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561
โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ ไม่เคยพูดให้ประชาชนเติมน้ําเปล่าแทนน้ํามัน ชี้เป็นข้อมูลบิดเบือน จงใจให้ร้ายทําลายความน่าเชื่อถือ วอนอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอม
โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ ไม่เคยพูดให้ประชาชนเติมน้ําเปล่าแทนน้ํามัน ชี้เป็นข้อมูลบิดเบือน จงใจให้ร้ายทําลายความน่าเชื่อถือ วอนอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอม
วันนี้ (23 พฤษภาคม 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในโลกออนไลน์ระบุ “บิ๊กตู่” ฟิวขาด ด่ากราดประชาชน ไล่ให้เติมน้ําเปล่าแทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ และเป็นการสร้างเรื่องขึ้นเพื่อให้ร้ายนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยพูดเช่นนั้นแต่อย่างใด
“ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลข่าวสารให้ถ้วนถี่ อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอมของผู้ไม่หวังดี เนื่องจากมีบุคคลบางกลุ่มต้องการใช้สถานการณ์ในช่วงนี้ลดความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล และย้ําว่าหากพิจารณารายละเอียดของข้อความให้ดีจะพบพิรุธหลายจุด เช่น มีการใช้คําหยาบคาย และไม่มีการอ้างอิงวัน เวลา และสถานที่แถลงข่าว เป็นต้น”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ คสช. แจ้งความดําเนินคดีกับผู้ที่จงใจเผยแพร่ข้อความดังกล่าว โดยมีเจตนาให้ร้ายและสร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม พร้อมทั้งเตือนไปยังผู้ไม่หวังดีให้ยุติการกระทําดังกล่าว โดยหากสืบสวนพบตัวผู้กระทําผิดจะดําเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
.........................................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ ไม่เคยพูดให้ประชาชนเติมน้ำเปล่าแทนน้ำมัน ชี้เป็นข้อมูลบิดเบือน จงใจให้ร้ายทำลายความน่าเชื่อถือ วอนอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอม
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561
โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ ไม่เคยพูดให้ประชาชนเติมน้ําเปล่าแทนน้ํามัน ชี้เป็นข้อมูลบิดเบือน จงใจให้ร้ายทําลายความน่าเชื่อถือ วอนอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอม
โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ ไม่เคยพูดให้ประชาชนเติมน้ําเปล่าแทนน้ํามัน ชี้เป็นข้อมูลบิดเบือน จงใจให้ร้ายทําลายความน่าเชื่อถือ วอนอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอม
วันนี้ (23 พฤษภาคม 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในโลกออนไลน์ระบุ “บิ๊กตู่” ฟิวขาด ด่ากราดประชาชน ไล่ให้เติมน้ําเปล่าแทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ และเป็นการสร้างเรื่องขึ้นเพื่อให้ร้ายนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยพูดเช่นนั้นแต่อย่างใด
“ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลข่าวสารให้ถ้วนถี่ อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข่าวปลอมของผู้ไม่หวังดี เนื่องจากมีบุคคลบางกลุ่มต้องการใช้สถานการณ์ในช่วงนี้ลดความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล และย้ําว่าหากพิจารณารายละเอียดของข้อความให้ดีจะพบพิรุธหลายจุด เช่น มีการใช้คําหยาบคาย และไม่มีการอ้างอิงวัน เวลา และสถานที่แถลงข่าว เป็นต้น”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ คสช. แจ้งความดําเนินคดีกับผู้ที่จงใจเผยแพร่ข้อความดังกล่าว โดยมีเจตนาให้ร้ายและสร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม พร้อมทั้งเตือนไปยังผู้ไม่หวังดีให้ยุติการกระทําดังกล่าว โดยหากสืบสวนพบตัวผู้กระทําผิดจะดําเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
.........................................................
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12475
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุทธิพล” เดินเกมรุกยกระดับตรวจสอบช่องทางขายประกันผ่านแบงค์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผู้บริโภค
|
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
“สุทธิพล” เดินเกมรุกยกระดับตรวจสอบช่องทางขายประกันผ่านแบงค์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผู้บริโภค
• เผยปีนี้จะเริ่มใช้มาตรการ Market Conduct Annual Statement - เล็งตั้งคณะทํางานร่วมกับสมาคมธนาคารไทยวางแนวปฏิบัติให้ชัดเจน – จ่อทํา MOU เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์ให้แบงค์ลดความเสี่ยงจากภัยจู่โจมในยุค Fin Tech
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่สํานักงาน คปภ.ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคได้ลงพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อตรวจการขายประกันผ่านธนาคารพาณิชย์ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อผู้ปฏิบัติ ส่งผลให้เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบังคับซื้อประกันภัยร่วมกับธุรกรรมทางการเงิน เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า มีอัตราลดลงร้อยละ 77 จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นในปี 2560 สํานักงานคปภ.ก็ยังคงเดินหน้าและให้ความสําคัญตรวจการขายประกันผ่านธนาคารพาณิชย์อย่างต่อเนื่องเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภค
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ตนได้เป็นประธานการประชุมกับนายปรีดี ดาวฉายประธานสมาคมธนาคารไทย คณะผู้บริหารสมาคมฯ และผู้แทนจากธนาคารพาณิชย์จํานวน 19 แห่ง โดยมีคณะผู้บริหารของสํานักงาน คปภ. ร่วมด้วย เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการกํากับและควบคุมคุณภาพการเสนอขายประกันผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์ หรือ แบงค์อินชัวรันส์ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวได้จัดเป็นครั้งที่สอง โดยมีวัตถุประสงค์ติดตามปัญหาอุปสรรคในการขายประกันภัยผ่านธนาคารและเพื่อให้สมาคมธนาคารไทยกระตุ้นเตือนสมาชิกให้ตระหนักถึงความสําคัญของการควบคุมคุณภาพการเสนอขายประกัน ซึ่งในปี 2559 สํานักงาน คปภ. ได้ขอความร่วมมือไปยังธนาคาร ที่ประกอบกิจการนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย ให้จัดกระบวนการกํากับและควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านธนาคาร ซึ่งประกอบด้วย การจัดให้มีหน่วยงานและบุคคลที่ทําหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการ การจัดให้มีกฎ ระเบียบ คู่มือ หรือแนวปฏิบัติในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย พร้อมบทลงโทษกรณีพบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ รวมทั้งธนาคารต้องจัดให้มีระบบการกํากับตรวจสอบ ติดตามให้ผู้ทําหน้าที่เสนอขายปฏิบัติตามกฎ ระเบียบหรือแนวปฏิบัติที่กําหนดไว้ พร้อมทั้งออกข้อแนะนําประชาชน 12 ข้อ ในการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางธนาคาร ซึ่งได้มีการเผยแพร่และขอความร่วมมือให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ติดประกาศเผยแพร่ในสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ไปแล้ว
ในการประชุมครั้งนี้ได้แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมความพร้อมและทราบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่สํานักงาน คปภ. ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิตฯและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งมีบทกําหนดโทษทางอาญาทั้งจําคุกและปรับด้วย ทั้งนี้ในอนาคตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยกระทําผิด นอกจากจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ถ้ากระทําเข้าองค์ประกอบความผิดเรื่องการฉ้อฉลการประกันภัยก็จะถูกดําเนินคดีจนถึงขั้นจําคุกและปรับ นอกจากนี้นายหน้านิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันวินาศภัย ต้องร่วมรับผิดต่อความเสียหายที่บุคคลธรรมดาที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันวินาศภัยได้ก่อขึ้นจากการกระทําเป็นนายหน้าประกันชีวิต หรือนายหน้าประกันวินาศภัยของนิติบุคคลนั้นด้วย
ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า ดังนั้นในปี 2560 เพื่อให้การติดตามการเสนอขายประกันภัยผ่านธนาคารเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สํานักงาน คปภ. ได้พัฒนาระบบรายงานการประเมินระบบควบคุมคุณภาพ โดยขอความร่วมมือธนาคารจัดทํารายงานการประเมินระบบควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยของธนาคาร (Market Conduct Annual Statement: MCAS) เพื่อให้ธนาคารประเมินตนเองเกี่ยวกับการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย และกระบวนการควบคุมความเสี่ยงจากการขาย โดยตระหนักถึงความสําคัญในการกํากับตรวจสอบ ติดตามควบคุมดูแลพนักงานธนาคารให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับธนาคารเอง อีกทั้งประชาชนยังได้รับความชัดเจนในการบริการ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเสนอขายอันนํามาซึ่งข้อร้องเรียน รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ ทัศนคติทีดีให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยเกิดการยอมรับ และเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย
นอกจากนี้สํานักงาน คปภ.จะได้แต่งตั้งคณะทํางานร่วมกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดเนื้อหาของรายงานการประเมินระบบควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยของธนาคาร (Market Conduct Annual Statement: MCAS) โดยคาดว่าจะเริ่มให้ธนาคารจัดส่งรายงานมายังสํานักงาน คปภ. ประมาณปลายปี 2561 รวมทั้งจะมีการตั้งคณะทํางานย่อยเพื่อวางแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติในการขายประกันในประเด็นที่อาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ นอกจากนี้จะมีการจัดทําบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สํานักงาน คปภ. กับสมาคมธนาคารไทย เพื่อร่วมมือกันเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคและทําให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นต่อการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางธนาคาร ตลอดจนเพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยบริหารความเสี่ยงในกรณีมีการจู่โจมทางไซเบอร์ (ประกันภัยไซเบอร์) โดยเฉพาะสําหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม ทําให้โลกเป็นสังคมที่ไร้พรมแดน และต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (Cyber Security) และการประกันภัยไซเบอร์จึงมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่ได้ทวีความรุนแรงและมีความสลับซับซ้อนและธนาคารพาณิชย์เองตกเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการเตรียมการเพื่อป้องกันปัญหาและบริหารความเสี่ยงในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุทธิพล” เดินเกมรุกยกระดับตรวจสอบช่องทางขายประกันผ่านแบงค์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผู้บริโภค
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
“สุทธิพล” เดินเกมรุกยกระดับตรวจสอบช่องทางขายประกันผ่านแบงค์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผู้บริโภค
• เผยปีนี้จะเริ่มใช้มาตรการ Market Conduct Annual Statement - เล็งตั้งคณะทํางานร่วมกับสมาคมธนาคารไทยวางแนวปฏิบัติให้ชัดเจน – จ่อทํา MOU เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์ให้แบงค์ลดความเสี่ยงจากภัยจู่โจมในยุค Fin Tech
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่สํานักงาน คปภ.ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคได้ลงพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อตรวจการขายประกันผ่านธนาคารพาณิชย์ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อผู้ปฏิบัติ ส่งผลให้เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบังคับซื้อประกันภัยร่วมกับธุรกรรมทางการเงิน เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า มีอัตราลดลงร้อยละ 77 จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นในปี 2560 สํานักงานคปภ.ก็ยังคงเดินหน้าและให้ความสําคัญตรวจการขายประกันผ่านธนาคารพาณิชย์อย่างต่อเนื่องเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภค
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ตนได้เป็นประธานการประชุมกับนายปรีดี ดาวฉายประธานสมาคมธนาคารไทย คณะผู้บริหารสมาคมฯ และผู้แทนจากธนาคารพาณิชย์จํานวน 19 แห่ง โดยมีคณะผู้บริหารของสํานักงาน คปภ. ร่วมด้วย เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการกํากับและควบคุมคุณภาพการเสนอขายประกันผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์ หรือ แบงค์อินชัวรันส์ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวได้จัดเป็นครั้งที่สอง โดยมีวัตถุประสงค์ติดตามปัญหาอุปสรรคในการขายประกันภัยผ่านธนาคารและเพื่อให้สมาคมธนาคารไทยกระตุ้นเตือนสมาชิกให้ตระหนักถึงความสําคัญของการควบคุมคุณภาพการเสนอขายประกัน ซึ่งในปี 2559 สํานักงาน คปภ. ได้ขอความร่วมมือไปยังธนาคาร ที่ประกอบกิจการนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย ให้จัดกระบวนการกํากับและควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านธนาคาร ซึ่งประกอบด้วย การจัดให้มีหน่วยงานและบุคคลที่ทําหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการ การจัดให้มีกฎ ระเบียบ คู่มือ หรือแนวปฏิบัติในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย พร้อมบทลงโทษกรณีพบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ รวมทั้งธนาคารต้องจัดให้มีระบบการกํากับตรวจสอบ ติดตามให้ผู้ทําหน้าที่เสนอขายปฏิบัติตามกฎ ระเบียบหรือแนวปฏิบัติที่กําหนดไว้ พร้อมทั้งออกข้อแนะนําประชาชน 12 ข้อ ในการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางธนาคาร ซึ่งได้มีการเผยแพร่และขอความร่วมมือให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ติดประกาศเผยแพร่ในสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ไปแล้ว
ในการประชุมครั้งนี้ได้แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมความพร้อมและทราบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่สํานักงาน คปภ. ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิตฯและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งมีบทกําหนดโทษทางอาญาทั้งจําคุกและปรับด้วย ทั้งนี้ในอนาคตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยกระทําผิด นอกจากจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ถ้ากระทําเข้าองค์ประกอบความผิดเรื่องการฉ้อฉลการประกันภัยก็จะถูกดําเนินคดีจนถึงขั้นจําคุกและปรับ นอกจากนี้นายหน้านิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันวินาศภัย ต้องร่วมรับผิดต่อความเสียหายที่บุคคลธรรมดาที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันวินาศภัยได้ก่อขึ้นจากการกระทําเป็นนายหน้าประกันชีวิต หรือนายหน้าประกันวินาศภัยของนิติบุคคลนั้นด้วย
ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า ดังนั้นในปี 2560 เพื่อให้การติดตามการเสนอขายประกันภัยผ่านธนาคารเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สํานักงาน คปภ. ได้พัฒนาระบบรายงานการประเมินระบบควบคุมคุณภาพ โดยขอความร่วมมือธนาคารจัดทํารายงานการประเมินระบบควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยของธนาคาร (Market Conduct Annual Statement: MCAS) เพื่อให้ธนาคารประเมินตนเองเกี่ยวกับการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย และกระบวนการควบคุมความเสี่ยงจากการขาย โดยตระหนักถึงความสําคัญในการกํากับตรวจสอบ ติดตามควบคุมดูแลพนักงานธนาคารให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับธนาคารเอง อีกทั้งประชาชนยังได้รับความชัดเจนในการบริการ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเสนอขายอันนํามาซึ่งข้อร้องเรียน รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ ทัศนคติทีดีให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยเกิดการยอมรับ และเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย
นอกจากนี้สํานักงาน คปภ.จะได้แต่งตั้งคณะทํางานร่วมกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดเนื้อหาของรายงานการประเมินระบบควบคุมคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยของธนาคาร (Market Conduct Annual Statement: MCAS) โดยคาดว่าจะเริ่มให้ธนาคารจัดส่งรายงานมายังสํานักงาน คปภ. ประมาณปลายปี 2561 รวมทั้งจะมีการตั้งคณะทํางานย่อยเพื่อวางแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติในการขายประกันในประเด็นที่อาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ นอกจากนี้จะมีการจัดทําบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สํานักงาน คปภ. กับสมาคมธนาคารไทย เพื่อร่วมมือกันเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคและทําให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นต่อการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางธนาคาร ตลอดจนเพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยบริหารความเสี่ยงในกรณีมีการจู่โจมทางไซเบอร์ (ประกันภัยไซเบอร์) โดยเฉพาะสําหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม ทําให้โลกเป็นสังคมที่ไร้พรมแดน และต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (Cyber Security) และการประกันภัยไซเบอร์จึงมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่ได้ทวีความรุนแรงและมีความสลับซับซ้อนและธนาคารพาณิชย์เองตกเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการเตรียมการเพื่อป้องกันปัญหาและบริหารความเสี่ยงในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2334
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริการฆ่าเชื้อ ด้วยเครื่องพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สนับสนุนโดยกลุ่ม MAKE EVERY LIFE BETTER (MELB)
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
บริการฆ่าเชื้อ ด้วยเครื่องพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สนับสนุนโดยกลุ่ม MAKE EVERY LIFE BETTER (MELB)
บริการฆ่าเชื้อ ด้วยเครื่องพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สนับสนุนโดยกลุ่ม MAKE EVERY LIFE BETTER (MELB)
จากความเชื่อ “ ทุกชีวิตดีขึ้นได้ ”ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงมีความมุ่งหวังที่จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือโครงการเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมต่างๆ ที่ยังขาดแคลนทุนสนับสนุน จึงจับมือกับเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน คือ บริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด และบริษัท สินวัฒนา จํากัด เป็นกลุ่ม Make Every Life Betterหรือกลุ่ม MELBร่วมสร้างพื้นที่กลางเพื่อสานฝันโครงการต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้จริง และเป็นต้นแบบในการระดมทุนแก่สาธารณประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป
กําจัดเชื้อโรคในอากาศและบนพื้นผิว สามารถกําจัดได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัสไม่ทิ้งสารตกค้าง เนื่องจากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวเป็นน้ําและออกซิเจน.
ด้วยเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ในเวลานี้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากผู้คนที่ติดเชื้อแล้วเดินทางไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ส่งผลให้เกิดการระบาดในวงกว้าง เพราะสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างง่ายดายด้วยการหายใจ และการสัมผัส
ศ.ดร.สนอง เอกสิทธิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีมจาก บจก.เลนส์ แอนด์ สมาร์ทคลาสรูม จึงได้พัฒนาเครื่องให้กําเนิดละอองฝอย VQ20 (Aerosol Generator) เพื่อใช้ทดแทนเครื่องที่นําเข้าจากต่างประเทศอยู่ก่อนแล้วและมีความคิดที่จะนํามาให้บริการสนับสนุนการฆ่าเชื้อพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รถพยาบาล โรงพยาบาล และสถานพักแพทย์และผู้ป่วยโรค COVID-19 ซึ่งขณะนี้ผลิตเครื่องพร้อมใช้งานแล้วจํานวนหนึ่ง และจะขยายผลเพื่อเพิ่มจํานวนในระยะ 1 เดือนจากนี้ เพื่อรองรับสถานพยาบาลในเขตอื่นๆ
โดย ได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่ม Make Every Life Better (MELB) ภายใต้การควบคุมของ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทั้งนี้ ยังได้รับความสนับสนุน จากบริษัท ไทยเปอร์อ๊อกไซด์ จํากัด ผู้มีประสบการณ์การผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มายาวนานกว่า 25 ให้การสนับสนุนสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (เกรดอุตสาหกรรมอาหารและยา) เช่น Durox Mist-7 และ Durox LR-3 เพื่อใช้คู่กับเครื่อง VQ20 ในการฆ่าเชื้อในแคมเปญนี้ด้วย ซึ่งทีมผู้ดําเนินงานมีความมุ่งหวังที่จะนําองค์ความรู้และความชํานาญการมาช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ไปได้อย่างปลอดภัย
รายละเอียดการให้บริการ
1. ให้บริการฆ่าเชื้อด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Aerosol Fumigation) สําหรับกําจัดเชื้อโรคในอากาศและบนพื้นผิว สามารถกําจัดได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ไม่ทิ้งสารตกค้าง เนื่องจากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวเป็นน้ําและออกซิเจน
2. สถานพยาบาลในเขตกรุงเทพ แจ้งชื่อและรายละเอียดสถานที่ที่ต้องการฆ่าเชื้อ (ขนาดพื้นที่)
3. ผู้ให้บริการจะเดินทางไปพร้อมกับเครื่องพ่นละอองฝอย VQ20 และสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นที่เหมาะสม
4. ดําเนินการพ่นละอองและปิดสถานที่ทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 0.5 ชั่วโมง
5. เมื่อเปิดระบายอากาศแล้วสามารถใช้งานสถานที่ได้ตามปกติ โดยไม่เป็นอันตราย
กลุ่มเป้าหมาย
- รถพยาบาล
- โรงพยาบา
- สถานพักบุคลากรการแพทย์
หมายเหตุ :เฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ระยะเวลาแคมเปญ 1 เดือน
- บริการเฉลี่ย 1,000 ลบ.ม.ต่อวัน / ให้บริการวันจันทร์ - ศุกร์
- รวมเฉลี่ย 20,000 ลบ.ม.ต่อวัน ตามลําดับการขอรับบริการ
.
เจ้าของแคมเปญ :ศ.ดร.สนอง เอกสิทธิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประสานงาน :นายปรินทร แจ้งทวี
E-Mail :parinton_sp3@yahoo.com
คลิกอ่านรายละเอียด :https://www.melbthailand.com/items/บริการฆ่าเชื้อด้วย-เครื/
*Make Every Life Better ร่วมแบ่งปันความรักความห่วงใยให้สังคมไทย*
#TCELSMakeEveryLifeBetter
#TCELSTHAILAND
#กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
ข้อมูลข่าวโดย : ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริการฆ่าเชื้อ ด้วยเครื่องพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สนับสนุนโดยกลุ่ม MAKE EVERY LIFE BETTER (MELB)
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
บริการฆ่าเชื้อ ด้วยเครื่องพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สนับสนุนโดยกลุ่ม MAKE EVERY LIFE BETTER (MELB)
บริการฆ่าเชื้อ ด้วยเครื่องพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สนับสนุนโดยกลุ่ม MAKE EVERY LIFE BETTER (MELB)
จากความเชื่อ “ ทุกชีวิตดีขึ้นได้ ”ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงมีความมุ่งหวังที่จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือโครงการเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมต่างๆ ที่ยังขาดแคลนทุนสนับสนุน จึงจับมือกับเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน คือ บริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด และบริษัท สินวัฒนา จํากัด เป็นกลุ่ม Make Every Life Betterหรือกลุ่ม MELBร่วมสร้างพื้นที่กลางเพื่อสานฝันโครงการต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้จริง และเป็นต้นแบบในการระดมทุนแก่สาธารณประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป
กําจัดเชื้อโรคในอากาศและบนพื้นผิว สามารถกําจัดได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัสไม่ทิ้งสารตกค้าง เนื่องจากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวเป็นน้ําและออกซิเจน.
ด้วยเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ในเวลานี้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากผู้คนที่ติดเชื้อแล้วเดินทางไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ส่งผลให้เกิดการระบาดในวงกว้าง เพราะสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างง่ายดายด้วยการหายใจ และการสัมผัส
ศ.ดร.สนอง เอกสิทธิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีมจาก บจก.เลนส์ แอนด์ สมาร์ทคลาสรูม จึงได้พัฒนาเครื่องให้กําเนิดละอองฝอย VQ20 (Aerosol Generator) เพื่อใช้ทดแทนเครื่องที่นําเข้าจากต่างประเทศอยู่ก่อนแล้วและมีความคิดที่จะนํามาให้บริการสนับสนุนการฆ่าเชื้อพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รถพยาบาล โรงพยาบาล และสถานพักแพทย์และผู้ป่วยโรค COVID-19 ซึ่งขณะนี้ผลิตเครื่องพร้อมใช้งานแล้วจํานวนหนึ่ง และจะขยายผลเพื่อเพิ่มจํานวนในระยะ 1 เดือนจากนี้ เพื่อรองรับสถานพยาบาลในเขตอื่นๆ
โดย ได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่ม Make Every Life Better (MELB) ภายใต้การควบคุมของ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทั้งนี้ ยังได้รับความสนับสนุน จากบริษัท ไทยเปอร์อ๊อกไซด์ จํากัด ผู้มีประสบการณ์การผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มายาวนานกว่า 25 ให้การสนับสนุนสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (เกรดอุตสาหกรรมอาหารและยา) เช่น Durox Mist-7 และ Durox LR-3 เพื่อใช้คู่กับเครื่อง VQ20 ในการฆ่าเชื้อในแคมเปญนี้ด้วย ซึ่งทีมผู้ดําเนินงานมีความมุ่งหวังที่จะนําองค์ความรู้และความชํานาญการมาช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ไปได้อย่างปลอดภัย
รายละเอียดการให้บริการ
1. ให้บริการฆ่าเชื้อด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Aerosol Fumigation) สําหรับกําจัดเชื้อโรคในอากาศและบนพื้นผิว สามารถกําจัดได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ไม่ทิ้งสารตกค้าง เนื่องจากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวเป็นน้ําและออกซิเจน
2. สถานพยาบาลในเขตกรุงเทพ แจ้งชื่อและรายละเอียดสถานที่ที่ต้องการฆ่าเชื้อ (ขนาดพื้นที่)
3. ผู้ให้บริการจะเดินทางไปพร้อมกับเครื่องพ่นละอองฝอย VQ20 และสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นที่เหมาะสม
4. ดําเนินการพ่นละอองและปิดสถานที่ทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 0.5 ชั่วโมง
5. เมื่อเปิดระบายอากาศแล้วสามารถใช้งานสถานที่ได้ตามปกติ โดยไม่เป็นอันตราย
กลุ่มเป้าหมาย
- รถพยาบาล
- โรงพยาบา
- สถานพักบุคลากรการแพทย์
หมายเหตุ :เฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ระยะเวลาแคมเปญ 1 เดือน
- บริการเฉลี่ย 1,000 ลบ.ม.ต่อวัน / ให้บริการวันจันทร์ - ศุกร์
- รวมเฉลี่ย 20,000 ลบ.ม.ต่อวัน ตามลําดับการขอรับบริการ
.
เจ้าของแคมเปญ :ศ.ดร.สนอง เอกสิทธิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประสานงาน :นายปรินทร แจ้งทวี
E-Mail :parinton_sp3@yahoo.com
คลิกอ่านรายละเอียด :https://www.melbthailand.com/items/บริการฆ่าเชื้อด้วย-เครื/
*Make Every Life Better ร่วมแบ่งปันความรักความห่วงใยให้สังคมไทย*
#TCELSMakeEveryLifeBetter
#TCELSTHAILAND
#กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
ข้อมูลข่าวโดย : ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30595
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
|
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
วันนี้ (20 ธันวาคม 2560) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในหัวข้อ “Global Aviation Security Plan (GASeP) : The Roadmap to Foster Aviation Security in Asia and Pacific” โดยมีผู้บริหารระดับสูงร่วมการประชุม ได้แก่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นางฟาง หลิว (Dr. Fang Liu) เลขาธิการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ และเป็นสมาชิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือ ICAO รัฐบาลไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และยกระดับการบินพลเรือนของประเทศให้มีมาตรฐานทัดเทียมกับระดับสากลมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยยะสําคัญด้านความปลอดภัย (Significant Safety Concern – SSC) ได้สําเร็จเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศได้ปลดธงแดงจากชื่อประเทศไทยภายหลังจากได้รับการตรวจสอบ ICAO Validation Mission ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการทํางานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เพื่อให้การบินพลเรือนของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทยให้ได้รับความเชื่อมั่น และยอมรับในสายตานานาอารยประเทศ
นอกจากบริบทด้านความปลอดภัยการบินพลเรือนแล้ว ประเทศไทยยังให้ความสําคัญกับการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยได้ผ่านการตรวจสอบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ตามโครงการตรวจสอบด้านการรักษาความ ปลอดภัย ด้วยวิธีการตรวจแบบตรวจตราอย่างต่อเนื่อง(Universal Security Audit Programme, Continuous Monitoring Approach: USAP-CMA) อย่างไรก็ตาม ในสภาวะภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันทําให้ประชาคมการบินพลเรือนระหว่างประเทศตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาดังกล่าว และเห็นความจําเป็นที่จะต้องจัดทําแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับโลก ซึ่งในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก จะต้องมีการนําแผนงานดังกล่าวมาดําเนินการและปฏิบัติให้สอดคล้องตามแผนงาน (roadmap) อันเป็นที่มาของการจัดการประชุมสัมมนาในครั้งนี้
รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน เห็นได้จากยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี โดยจัดให้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) เพื่อเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค รวมถึงแผนในการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการบินแห่งภาคตะวันออก และมีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นเพิ่มเติม ได้แก่ การสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารอาคาร 2 การสร้างทางวิ่งหรือรันเวย์แห่งที่ 2 ห่างออกไปจากรันเวย์เดิม 1.5 กิโลเมตร และการสร้างศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน นอกจากนี้ รัฐบาลยังเห็นชอบงบประมาณเพิ่มเติมในการก่อสร้างอาคารเรียนของศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบินอีกด้วย
ในส่วนของศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยานนั้น ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (TG MRO Complex Development) ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อเป็นศูนย์กลางการซ่อมบํารุงอากาศยานแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ระหว่างบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัท แอร์บัส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการซ่อมบํารุงอากาศยานที่ทันสมัยมีมาตรฐานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ทั้งนี้ จะทําให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภากลายเป็นท่าอากาศยานที่เชื่อมต่อการเดินทางสําคัญอีกแห่งของภูมิภาค ช่วยอํานวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาฝั่งตะวันออกโดยตรง อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว ในพื้นที่และสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นได้อีกด้วย
การพัฒนาอุตสาหกรรมการบินยังสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ เพื่อเข้าสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” บนวิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” ซึ่งเป็นภารกิจที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง และต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของไทย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการพัฒนาคนไทย เยาวชนไทย ให้มีทักษะความรู้ความสามารถ เพื่อให้บุคลากรไทยมีความพร้อมในการรองรับความต้องการของตลาดและผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนในประเทศ และพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยยึดหลักการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ มีเป้าหมายและนําไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลในการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศด้านต่างๆเพื่อให้มีความพร้อมและสามารถรับมือกับโอกาสและภัยคุกคามแบบใหม่ได้
สําหรับแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับโลก ยังเป็น
กลยุทธ์ในการช่วยให้ประเทศสมาชิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ สร้างความร่วมมือและเครือข่ายเพื่อการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนระหว่างรัฐสมาชิกด้วยกัน และระหว่างประเทศสมาชิกกับหน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยการบินด้วย ทั้งยังจะเป็นการช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมทางด้านการรักษาความปลอดภัยและศักยภาพในการดําเนินการดังกล่าว ด้วยการมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ตลอดจนปรับปรุงพัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการกํากับดูแลและการประกันคุณภาพในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า การที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสัมมนาระดับภูมิภาคเพื่อนําเสนอแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับโลกในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้มีบทบาทสําคัญในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ในการจัดให้มีเวทีในระดับภูมิภาคเพื่อการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายในด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนระดับโลก และยกระดับด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการบินทั่วโลก ทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่ผู้แทนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้มีโอกาสพบปะและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนร่วมกันด้วย
*************************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
วันนี้ (20 ธันวาคม 2560) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมระดับภูมิภาคขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในหัวข้อ “Global Aviation Security Plan (GASeP) : The Roadmap to Foster Aviation Security in Asia and Pacific” โดยมีผู้บริหารระดับสูงร่วมการประชุม ได้แก่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นางฟาง หลิว (Dr. Fang Liu) เลขาธิการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ และเป็นสมาชิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือ ICAO รัฐบาลไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และยกระดับการบินพลเรือนของประเทศให้มีมาตรฐานทัดเทียมกับระดับสากลมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยยะสําคัญด้านความปลอดภัย (Significant Safety Concern – SSC) ได้สําเร็จเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศได้ปลดธงแดงจากชื่อประเทศไทยภายหลังจากได้รับการตรวจสอบ ICAO Validation Mission ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการทํางานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เพื่อให้การบินพลเรือนของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทยให้ได้รับความเชื่อมั่น และยอมรับในสายตานานาอารยประเทศ
นอกจากบริบทด้านความปลอดภัยการบินพลเรือนแล้ว ประเทศไทยยังให้ความสําคัญกับการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยได้ผ่านการตรวจสอบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ตามโครงการตรวจสอบด้านการรักษาความ ปลอดภัย ด้วยวิธีการตรวจแบบตรวจตราอย่างต่อเนื่อง(Universal Security Audit Programme, Continuous Monitoring Approach: USAP-CMA) อย่างไรก็ตาม ในสภาวะภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันทําให้ประชาคมการบินพลเรือนระหว่างประเทศตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาดังกล่าว และเห็นความจําเป็นที่จะต้องจัดทําแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับโลก ซึ่งในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก จะต้องมีการนําแผนงานดังกล่าวมาดําเนินการและปฏิบัติให้สอดคล้องตามแผนงาน (roadmap) อันเป็นที่มาของการจัดการประชุมสัมมนาในครั้งนี้
รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน เห็นได้จากยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี โดยจัดให้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) เพื่อเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค รวมถึงแผนในการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการบินแห่งภาคตะวันออก และมีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นเพิ่มเติม ได้แก่ การสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารอาคาร 2 การสร้างทางวิ่งหรือรันเวย์แห่งที่ 2 ห่างออกไปจากรันเวย์เดิม 1.5 กิโลเมตร และการสร้างศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน นอกจากนี้ รัฐบาลยังเห็นชอบงบประมาณเพิ่มเติมในการก่อสร้างอาคารเรียนของศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบินอีกด้วย
ในส่วนของศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยานนั้น ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (TG MRO Complex Development) ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อเป็นศูนย์กลางการซ่อมบํารุงอากาศยานแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ระหว่างบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัท แอร์บัส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการซ่อมบํารุงอากาศยานที่ทันสมัยมีมาตรฐานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ทั้งนี้ จะทําให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภากลายเป็นท่าอากาศยานที่เชื่อมต่อการเดินทางสําคัญอีกแห่งของภูมิภาค ช่วยอํานวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาฝั่งตะวันออกโดยตรง อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว ในพื้นที่และสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นได้อีกด้วย
การพัฒนาอุตสาหกรรมการบินยังสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ เพื่อเข้าสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” บนวิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” ซึ่งเป็นภารกิจที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง และต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของไทย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการพัฒนาคนไทย เยาวชนไทย ให้มีทักษะความรู้ความสามารถ เพื่อให้บุคลากรไทยมีความพร้อมในการรองรับความต้องการของตลาดและผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนในประเทศ และพร้อมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยยึดหลักการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ มีเป้าหมายและนําไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลในการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศด้านต่างๆเพื่อให้มีความพร้อมและสามารถรับมือกับโอกาสและภัยคุกคามแบบใหม่ได้
สําหรับแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับโลก ยังเป็น
กลยุทธ์ในการช่วยให้ประเทศสมาชิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ สร้างความร่วมมือและเครือข่ายเพื่อการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนระหว่างรัฐสมาชิกด้วยกัน และระหว่างประเทศสมาชิกกับหน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยการบินด้วย ทั้งยังจะเป็นการช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมทางด้านการรักษาความปลอดภัยและศักยภาพในการดําเนินการดังกล่าว ด้วยการมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ตลอดจนปรับปรุงพัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการกํากับดูแลและการประกันคุณภาพในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า การที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสัมมนาระดับภูมิภาคเพื่อนําเสนอแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการบินระดับโลกในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้มีบทบาทสําคัญในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ในการจัดให้มีเวทีในระดับภูมิภาคเพื่อการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายในด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนระดับโลก และยกระดับด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการบินทั่วโลก ทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่ผู้แทนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้มีโอกาสพบปะและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนร่วมกันด้วย
*************************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8889
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
ปลัดเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด
ปลัดเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทํางานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากการประชุมที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งตั้งสมมติฐานว่าหากมีการแบน 3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย จะมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไร โดยที่ประชุมได้นําเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาและได้ข้อสรุปว่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปคิดโครงการในการช่วยเหลือเกษตรกร อาทิ มาตรการในการเยี่ยวยา โดยให้จัดทําหลักเกณฑ์ การกําหนด กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการเยียวยา จํานวนพื้นที่ ที่จะได้รับผลกระทบ อัตราที่จะใช้การเยียวยา เป็นต้น มาตรการจัดการเชิงปฏิวัติในการกําจัดวัชพืชหากมีการยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าว อาทิ การใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร หรือการทําเกษตรสมัยใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้จัดตั้งทีม Task Force เพื่อศึกษาวิจัย หาสารชีวภัณฑ์ หรือ จุลินทรีย์ มาทดแทนการใช้สารเคมี ซึ่งในประเด็นดังกล่าวจะมีการนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาต่อไป
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
ปลัดเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด
ปลัดเกษตรฯ เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทํางานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากการประชุมที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งตั้งสมมติฐานว่าหากมีการแบน 3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย จะมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไร โดยที่ประชุมได้นําเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาและได้ข้อสรุปว่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปคิดโครงการในการช่วยเหลือเกษตรกร อาทิ มาตรการในการเยี่ยวยา โดยให้จัดทําหลักเกณฑ์ การกําหนด กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการเยียวยา จํานวนพื้นที่ ที่จะได้รับผลกระทบ อัตราที่จะใช้การเยียวยา เป็นต้น มาตรการจัดการเชิงปฏิวัติในการกําจัดวัชพืชหากมีการยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าว อาทิ การใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร หรือการทําเกษตรสมัยใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้จัดตั้งทีม Task Force เพื่อศึกษาวิจัย หาสารชีวภัณฑ์ หรือ จุลินทรีย์ มาทดแทนการใช้สารเคมี ซึ่งในประเด็นดังกล่าวจะมีการนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาต่อไป
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24792
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ผนึกพลังสมาคมด้านการท่องเที่ยวอุ้มเอสเอ็มอีฟื้นธุรกิจจัด “SME D Services” พาถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่ต้องใช้หลักประกัน
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
ธพว. ผนึกพลังสมาคมด้านการท่องเที่ยวอุ้มเอสเอ็มอีฟื้นธุรกิจจัด “SME D Services” พาถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําไม่ต้องใช้หลักประกัน
ธพว. ประสานความร่วมมือสมาคมภาคการท่องเที่ยวต่างๆ ดําเนินโครงการ “SME D Services” บริการสนับสนุนเอสเอ็มอีท่องเที่ยวเข้าถึง “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ดอกเบี้ยต่ําไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน เพื่อใช้เสริมสภาพคล่อง ฟื้นฟูธุรกิจ ประเดิม 25 พ.ค.นี้
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว. ร่วมกับผู้ประกอบการจากสมาคมเกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวต่างๆ เช่น สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย สมาคมรถโดยสารไม่ประจําทาง สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น สนับสนุนสมาชิกของแต่ละสมาคม ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ในโครงการ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ซึ่ง ธพว. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ปล่อยกู้แก่เอสเอ็มอีท่องเที่ยว เพื่อนําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ รวมถึง เป็นทุนฟื้นฟูธุรกิจหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น
ความร่วมมือในครั้งนี้ ธพว. และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ จะดําเนินการภายใต้โครงการ “SME D Services” โดยสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะช่วยนําเสนอสมาชิกที่มีคุณสมบัติพร้อมและมีความต้องการเงินทุนส่งมาให้ธนาคาร เป็นการช่วยลดการใช้เอกสาร และสามารถอํานวยความสะดวกด้านสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
เบื้องต้นโครงการ “SME D Services” กําหนดจัดครั้งที่ 1 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล วันที่ 25 พฤษภาคม นี้ ณ สํานักงานใหญ่ SME D Bank โดยมีสมาชิกจากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย และสมาคมรถโดยสารไม่ประจําทาง จํานวนสมาคมละประมาณ 20 กิจการ เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารโดยตรง รายใดที่คุณสมบัติและเอกสารพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ทันที ส่วนรายที่ยังขาดคุณสมบัติใดๆ ก็ตาม ธนาคารจะทําหน้าที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาเพื่อพาเข้าถึงแหล่งทุนต่อไป
ทั้งนี้ โครงการ “SME D Services” จะทยอยจัดร่วมกับสมาคมด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านการท่องเที่ยวจํานวนมาก เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น ขณะเดียวกัน ธนาคารจะทํางานเชิงรุก ส่งเจ้าหน้าที่สาขาทั่วประเทศเข้าพบกับตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของสมาคมต่างๆ อย่างใกล้ชิด ด้วยกระบวนการดังกล่าว จะช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้สะดวก และทั่วถึง
สําหรับสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน “นิติบุคคล” ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ใน 5 ธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ 1.ธุรกิจทัวร์ บริษัทนําเที่ยว 2.ธุรกิจสปา 3.ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนําเที่ยว รถเช่า) 4.โรงแรม ห้องพัก และ 5.ร้านอาหาร ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ ช่วง 2 ปีแรก ร้อยละ 3 ต่อปี และปีที่ 3-5 ร้อยละ MLR+1 ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย และที่สําคัญไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ ข้างต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ได้เช่นกัน ผ่านการยื่นกู้ออนไลน์ที่มีให้เลือกหลากหลายช่องทาง เช่น LINE Official Account: SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว เพียงกรอกรายละเอียดเบื้องต้น จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อดําเนินการในขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ผนึกพลังสมาคมด้านการท่องเที่ยวอุ้มเอสเอ็มอีฟื้นธุรกิจจัด “SME D Services” พาถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่ต้องใช้หลักประกัน
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
ธพว. ผนึกพลังสมาคมด้านการท่องเที่ยวอุ้มเอสเอ็มอีฟื้นธุรกิจจัด “SME D Services” พาถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําไม่ต้องใช้หลักประกัน
ธพว. ประสานความร่วมมือสมาคมภาคการท่องเที่ยวต่างๆ ดําเนินโครงการ “SME D Services” บริการสนับสนุนเอสเอ็มอีท่องเที่ยวเข้าถึง “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ดอกเบี้ยต่ําไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน เพื่อใช้เสริมสภาพคล่อง ฟื้นฟูธุรกิจ ประเดิม 25 พ.ค.นี้
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว. ร่วมกับผู้ประกอบการจากสมาคมเกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวต่างๆ เช่น สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย สมาคมรถโดยสารไม่ประจําทาง สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น สนับสนุนสมาชิกของแต่ละสมาคม ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ในโครงการ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ซึ่ง ธพว. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ปล่อยกู้แก่เอสเอ็มอีท่องเที่ยว เพื่อนําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ รวมถึง เป็นทุนฟื้นฟูธุรกิจหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น
ความร่วมมือในครั้งนี้ ธพว. และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ จะดําเนินการภายใต้โครงการ “SME D Services” โดยสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะช่วยนําเสนอสมาชิกที่มีคุณสมบัติพร้อมและมีความต้องการเงินทุนส่งมาให้ธนาคาร เป็นการช่วยลดการใช้เอกสาร และสามารถอํานวยความสะดวกด้านสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
เบื้องต้นโครงการ “SME D Services” กําหนดจัดครั้งที่ 1 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล วันที่ 25 พฤษภาคม นี้ ณ สํานักงานใหญ่ SME D Bank โดยมีสมาชิกจากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย และสมาคมรถโดยสารไม่ประจําทาง จํานวนสมาคมละประมาณ 20 กิจการ เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารโดยตรง รายใดที่คุณสมบัติและเอกสารพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ทันที ส่วนรายที่ยังขาดคุณสมบัติใดๆ ก็ตาม ธนาคารจะทําหน้าที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาเพื่อพาเข้าถึงแหล่งทุนต่อไป
ทั้งนี้ โครงการ “SME D Services” จะทยอยจัดร่วมกับสมาคมด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านการท่องเที่ยวจํานวนมาก เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น ขณะเดียวกัน ธนาคารจะทํางานเชิงรุก ส่งเจ้าหน้าที่สาขาทั่วประเทศเข้าพบกับตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของสมาคมต่างๆ อย่างใกล้ชิด ด้วยกระบวนการดังกล่าว จะช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้สะดวก และทั่วถึง
สําหรับสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน “นิติบุคคล” ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ใน 5 ธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ 1.ธุรกิจทัวร์ บริษัทนําเที่ยว 2.ธุรกิจสปา 3.ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนําเที่ยว รถเช่า) 4.โรงแรม ห้องพัก และ 5.ร้านอาหาร ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ ช่วง 2 ปีแรก ร้อยละ 3 ต่อปี และปีที่ 3-5 ร้อยละ MLR+1 ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย และที่สําคัญไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ ข้างต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ได้เช่นกัน ผ่านการยื่นกู้ออนไลน์ที่มีให้เลือกหลากหลายช่องทาง เช่น LINE Official Account: SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว เพียงกรอกรายละเอียดเบื้องต้น จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อดําเนินการในขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31077
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจำเดือนกันยายน 2561
|
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจําเดือนกันยายน 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกันยายน 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกันยายน 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้
1. จํานวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย
1.1 จํานวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ http://startupthailand.org ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จํานวน 1,700 ราย
1.2 จํานวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 658) พ.ศ. 2561 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มียอดรวมของ SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจํานวน 163 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจํานวน 108 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจํานวน 88 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจํานวน 6 ราย 5 ราย และ 5 ราย ตามลําดับ
1.3 จํานวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการร่วมลงทุนกับธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ณ สิ้นเดือนกันยายน2561 มียอดรวมของการอนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 49 ราย วงเงินรวม 1,305.4 ล้านบาท โดยมี Startup 16 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 375.6 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มีกิจการ Startup ที่ได้รับอนุมัติการร่วมลงทุนเพิ่มจํานวน 3 ราย วงเงิน 41.7 ล้านบาท และมีการร่วมลงทุนแล้วเพิ่มขึ้น 73.2 ล้านบาท
2. จํานวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย
2.1 จํานวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์ http://startupthailand.org แล้วจํานวน 400 ราย
2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ในเดือนกันยายน 2561 พบว่า ผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีจํานวนทั้งสิ้น 32 ราย
3. กิจกรรมสําคัญในเดือนกันยายน 2561 : งาน “Government Procurement Transformation”
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Government Procurement Transformation ภายใต้แนวคิด “ปลดล็อคข้อจํากัด พัฒนาสตาร์ทอัพสู่ตลาดภาครัฐ” ระหว่างวันที่ 28 - 29 กันยายน 2561 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยงานดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดแสดงนวัตกรรมจากธุรกิจสตาร์ทอัพที่พร้อมให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชน กว่า 80 ราย ใน 7 โซลูชั่น (Solution) อาทิ การพัฒนากําลังคนภาครัฐและการสื่อสารนโยบายสาธารณะ การบริหารสาธารณูปโภค และความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เป็นต้น โดยได้ตั้งเป้าให้มีการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพเป็นครั้งแรกภายในงานนี้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมภาครัฐ (GovTech)
นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการให้บริการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพ การให้ความรู้เรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและการสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น ธนาคารออมสิน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นต้น ตลอดจนเวทีการสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับ GovTech และ เวทีการแข่งขัน GovTech Awards
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักนโยบายการออมและการลงทุน ส่วนนโยบายระบบการลงทุน
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3650, 3649
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจำเดือนกันยายน 2561
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจําเดือนกันยายน 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกันยายน 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกันยายน 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้
1. จํานวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย
1.1 จํานวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ http://startupthailand.org ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จํานวน 1,700 ราย
1.2 จํานวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 658) พ.ศ. 2561 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มียอดรวมของ SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจํานวน 163 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจํานวน 108 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจํานวน 88 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจํานวน 6 ราย 5 ราย และ 5 ราย ตามลําดับ
1.3 จํานวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการร่วมลงทุนกับธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ณ สิ้นเดือนกันยายน2561 มียอดรวมของการอนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 49 ราย วงเงินรวม 1,305.4 ล้านบาท โดยมี Startup 16 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 375.6 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มีกิจการ Startup ที่ได้รับอนุมัติการร่วมลงทุนเพิ่มจํานวน 3 ราย วงเงิน 41.7 ล้านบาท และมีการร่วมลงทุนแล้วเพิ่มขึ้น 73.2 ล้านบาท
2. จํานวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย
2.1 จํานวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์ http://startupthailand.org แล้วจํานวน 400 ราย
2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ในเดือนกันยายน 2561 พบว่า ผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีจํานวนทั้งสิ้น 32 ราย
3. กิจกรรมสําคัญในเดือนกันยายน 2561 : งาน “Government Procurement Transformation”
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Government Procurement Transformation ภายใต้แนวคิด “ปลดล็อคข้อจํากัด พัฒนาสตาร์ทอัพสู่ตลาดภาครัฐ” ระหว่างวันที่ 28 - 29 กันยายน 2561 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยงานดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดแสดงนวัตกรรมจากธุรกิจสตาร์ทอัพที่พร้อมให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชน กว่า 80 ราย ใน 7 โซลูชั่น (Solution) อาทิ การพัฒนากําลังคนภาครัฐและการสื่อสารนโยบายสาธารณะ การบริหารสาธารณูปโภค และความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เป็นต้น โดยได้ตั้งเป้าให้มีการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพเป็นครั้งแรกภายในงานนี้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมภาครัฐ (GovTech)
นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการให้บริการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพ การให้ความรู้เรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและการสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น ธนาคารออมสิน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นต้น ตลอดจนเวทีการสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับ GovTech และ เวทีการแข่งขัน GovTech Awards
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักนโยบายการออมและการลงทุน ส่วนนโยบายระบบการลงทุน
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3650, 3649
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15957
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดทำเนียบรัฐบาล จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563 ชวนเด็กเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและรับของรางวัลที่ระลึกมากมาย
|
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
เปิดทําเนียบรัฐบาล จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ชวนเด็กเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและรับของรางวัลที่ระลึกมากมาย
โฆษกรัฐบาลเผย เปิดทําเนียบรัฐบาล จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ชวนเด็กเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และรับของรางวัลที่ระลึกมากมาย
วันนี้ (7 ม.ค.63) เวลา 14.30 น. ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทําเนียบรัฐบาลเตรียมจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ภายใต้แนวคิด “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 ระหว่างเวลา 08.00 – 15.00 น. ณ บริเวณทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนจัดขึ้น โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานในพิธีเปิดงานและมอบของขวัญให้แก่เด็กและเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรม พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมชมตึกไทยคู่ฟ้า ห้องทํางานนายกรัฐมนตรี และตึกภักดีบดินทร์
นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจให้เด็กและเยาวชนได้ร่วมเรียนรู้ควบคู่การเล่นเกมส์ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรมให้ความรู้เรื่องสัตว์ ไดโนเสาร์ การสร้างจิตสํานึกส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยการนําขยะ ขวด กระป๋อง ที่สามารถขายได้มาแลกสิ่งของ การระบายสีถุงผ้าลดโลกร้อน การทดลองทําเป็นห้องแล็บให้เด็กทําการทดลองและทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ กิจกรรมส่งเสริมให้เด็กรู้จักการออม การประกวดคัดลายมืออาลักษณ์ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เครื่องราอิสริยาภรณ์ กิจกรรมถ่ายภาพร่วมกับรถจักยานยนต์นําขบวน การจัดแสดงรถโบราณของเจษฎาเทคนิคมิวเชียม รวมทั้งยังเปิดตึกนารีสโมสรจําลองห้องรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกฝึกทดลองอ่านข่าว พร้อมรับแจกของขวัญ/ของที่ระลึก อาหารและเครื่องดื่มอีกมากมาย จึงขอเชิญชวนเด็กและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ที่ทําเนียบรัฐบาล ตามวัน และเวลาดังกล่าว
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดทำเนียบรัฐบาล จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563 ชวนเด็กเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและรับของรางวัลที่ระลึกมากมาย
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
เปิดทําเนียบรัฐบาล จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ชวนเด็กเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและรับของรางวัลที่ระลึกมากมาย
โฆษกรัฐบาลเผย เปิดทําเนียบรัฐบาล จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ชวนเด็กเยาวชนร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และรับของรางวัลที่ระลึกมากมาย
วันนี้ (7 ม.ค.63) เวลา 14.30 น. ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทําเนียบรัฐบาลเตรียมจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ภายใต้แนวคิด “เด็กไทย มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 ระหว่างเวลา 08.00 – 15.00 น. ณ บริเวณทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนจัดขึ้น โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานในพิธีเปิดงานและมอบของขวัญให้แก่เด็กและเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรม พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมชมตึกไทยคู่ฟ้า ห้องทํางานนายกรัฐมนตรี และตึกภักดีบดินทร์
นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจให้เด็กและเยาวชนได้ร่วมเรียนรู้ควบคู่การเล่นเกมส์ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรมให้ความรู้เรื่องสัตว์ ไดโนเสาร์ การสร้างจิตสํานึกส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยการนําขยะ ขวด กระป๋อง ที่สามารถขายได้มาแลกสิ่งของ การระบายสีถุงผ้าลดโลกร้อน การทดลองทําเป็นห้องแล็บให้เด็กทําการทดลองและทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ กิจกรรมส่งเสริมให้เด็กรู้จักการออม การประกวดคัดลายมืออาลักษณ์ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เครื่องราอิสริยาภรณ์ กิจกรรมถ่ายภาพร่วมกับรถจักยานยนต์นําขบวน การจัดแสดงรถโบราณของเจษฎาเทคนิคมิวเชียม รวมทั้งยังเปิดตึกนารีสโมสรจําลองห้องรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกฝึกทดลองอ่านข่าว พร้อมรับแจกของขวัญ/ของที่ระลึก อาหารและเครื่องดื่มอีกมากมาย จึงขอเชิญชวนเด็กและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ที่ทําเนียบรัฐบาล ตามวัน และเวลาดังกล่าว
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25651
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พรุ่งนี้ได้ลุ้น! สลากเลี่ยมทอง ธอส. ออกรางวัลครั้งแรก มูลค่าสูงถึงรางวัลละ 3 ล้านบาท
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
พรุ่งนี้ได้ลุ้น! สลากเลี่ยมทอง ธอส. ออกรางวัลครั้งแรก มูลค่าสูงถึงรางวัลละ 3 ล้านบาท
ธอส.เตรียมออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมานครั้งแรก วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 จํานวน 3 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 3,000,000 บาท โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดําเนินการออกรางวัลตามขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)เตรียมออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมานครั้งแรก วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 จํานวน 3 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 3,000,000 บาท โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดําเนินการออกรางวัลตามขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. ถ่ายทอดสดทาง Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 ธอส. กําหนดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมาน ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นสลากเลี่ยมทองซูเปอร์พรีเมี่ยมที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากสลากออมทรัพย์ทั่วไป เพราะสลากมีมูลค่าหน่วยละ 10 ล้านบาท จํานวนหน่วยรวมเพียง 3,000 หน่วย อายุสลาก 2 ปี ออกรางวัลไตรมาสละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 รางวัล มูลค่าสูงถึงรางวัลละ 3 ล้านบาท คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัล 0.1% และในเดือนกันยายน 2563 และกันยายน 2564 ซึ่งถือเป็นเดือนครบรอบสถาปนา ธอส. ผู้ฝากยังได้มีโอกาสถูกรางวัลพิเศษมูลค่า 100,000 บาท จํานวนถึง 30 รางวัล/เดือน คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัลพิเศษสูงถึง 1% หากฝากครบ 2 ปี รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 240,000 บาท หรือคิดเป็น 1.2% ต่อปี ถือเป็นผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของเงินฝากประจํา 24 เดือน ขณะเดียวกันดอกเบี้ยและเงินรางวัลที่ผู้ฝากได้รับจากสลากออมทรัพย์ ธอส. ยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย จึงนับว่าเป็นสลากที่ให้ผลตอบแทนดีและมีโอกาสในการถูกรางวัลสูง กรณีฝากครบ 2 ปี และถูกรางวัล 3 ล้านบาท จํานวน 1 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 16.20% ต่อปี กรณีถูกรางวัล 2 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 31.20% ต่อปี ถูกรางวัล 3 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 46.20% ต่อปี ถูกรางวัล 4 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 61.20% ต่อปี และถูกรางวัล 5 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 76.20% ต่อปี
สําหรับการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รุ่นที่ 2 ชุด พราวพิมาน ครั้งที่ 1 ได้รับเกียรติจากนายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. เป็นประธานกรรมการออกรางวัล พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอกตลอดจนสื่อมวลชนร่วมเป็นกรรมการและเป็นสักขีพยาน ซึ่งดําเนินการโดยสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ด้วยเครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick ตามขั้นตอนและกระบวนการที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 เช่นเดียวกับกระบวนการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล และสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ซึ่งออกรางวัลมาแล้วจํานวน 3 ครั้งก่อนหน้านี้ โดยการออกรางวัลจะจัดขึ้น ณ ห้องออกรางวัล สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และถ่ายทอดสดทาง Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. รวมทั้งยังเปิดให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าชมการออกรางวัลได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถตรวจผลการออกรางวัลได้ทาง Mobile Application : GHB ALL เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th เว็บไซต์สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th รวมถึงที่ Facebook Fanpage และ Line official ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ GH Bank โดยธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคของผู้ที่ถูกรางวัลในวันถัดจากวันที่ทําการออกรางวัลในแต่ละครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พรุ่งนี้ได้ลุ้น! สลากเลี่ยมทอง ธอส. ออกรางวัลครั้งแรก มูลค่าสูงถึงรางวัลละ 3 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
พรุ่งนี้ได้ลุ้น! สลากเลี่ยมทอง ธอส. ออกรางวัลครั้งแรก มูลค่าสูงถึงรางวัลละ 3 ล้านบาท
ธอส.เตรียมออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมานครั้งแรก วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 จํานวน 3 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 3,000,000 บาท โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดําเนินการออกรางวัลตามขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)เตรียมออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมานครั้งแรก วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 จํานวน 3 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 3,000,000 บาท โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดําเนินการออกรางวัลตามขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. ถ่ายทอดสดทาง Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 ธอส. กําหนดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รุ่นที่ 2 ชุดพราวพิมาน ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นสลากเลี่ยมทองซูเปอร์พรีเมี่ยมที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากสลากออมทรัพย์ทั่วไป เพราะสลากมีมูลค่าหน่วยละ 10 ล้านบาท จํานวนหน่วยรวมเพียง 3,000 หน่วย อายุสลาก 2 ปี ออกรางวัลไตรมาสละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 รางวัล มูลค่าสูงถึงรางวัลละ 3 ล้านบาท คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัล 0.1% และในเดือนกันยายน 2563 และกันยายน 2564 ซึ่งถือเป็นเดือนครบรอบสถาปนา ธอส. ผู้ฝากยังได้มีโอกาสถูกรางวัลพิเศษมูลค่า 100,000 บาท จํานวนถึง 30 รางวัล/เดือน คิดเป็นโอกาสในการถูกรางวัลพิเศษสูงถึง 1% หากฝากครบ 2 ปี รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 240,000 บาท หรือคิดเป็น 1.2% ต่อปี ถือเป็นผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของเงินฝากประจํา 24 เดือน ขณะเดียวกันดอกเบี้ยและเงินรางวัลที่ผู้ฝากได้รับจากสลากออมทรัพย์ ธอส. ยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย จึงนับว่าเป็นสลากที่ให้ผลตอบแทนดีและมีโอกาสในการถูกรางวัลสูง กรณีฝากครบ 2 ปี และถูกรางวัล 3 ล้านบาท จํานวน 1 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 16.20% ต่อปี กรณีถูกรางวัล 2 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 31.20% ต่อปี ถูกรางวัล 3 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 46.20% ต่อปี ถูกรางวัล 4 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 61.20% ต่อปี และถูกรางวัล 5 ครั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 76.20% ต่อปี
สําหรับการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รุ่นที่ 2 ชุด พราวพิมาน ครั้งที่ 1 ได้รับเกียรติจากนายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. เป็นประธานกรรมการออกรางวัล พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอกตลอดจนสื่อมวลชนร่วมเป็นกรรมการและเป็นสักขีพยาน ซึ่งดําเนินการโดยสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ด้วยเครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick ตามขั้นตอนและกระบวนการที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 เช่นเดียวกับกระบวนการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล และสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ซึ่งออกรางวัลมาแล้วจํานวน 3 ครั้งก่อนหน้านี้ โดยการออกรางวัลจะจัดขึ้น ณ ห้องออกรางวัล สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และถ่ายทอดสดทาง Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. รวมทั้งยังเปิดให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าชมการออกรางวัลได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถตรวจผลการออกรางวัลได้ทาง Mobile Application : GHB ALL เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th เว็บไซต์สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th รวมถึงที่ Facebook Fanpage และ Line official ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ GH Bank โดยธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคของผู้ที่ถูกรางวัลในวันถัดจากวันที่ทําการออกรางวัลในแต่ละครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25850
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.หารือแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยร่วมกับนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
รมว.หารือแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยร่วมกับนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
รมว.หารือแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยร่วมกับนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
31 ตุลาคม 2562 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยไปสู่อนาคต ในการประชุมหารือเพื่อแลกเปลี่ยนนโยบายระหว่างนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
รมว.อว. กล่าวในตอนหนึ่งว่า กระทรวงนี้เป็นกระทรวงใหม่ การเตรียมพร้อมไปสู่ศตวรรษที่ 21 นั้น เราจะต้องมีการจัดทัพใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์การเตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่ 21 การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจให้เป็นเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่าโดยใช้นวัตกรรมเป็นสําคัญ ภารกิจของกระทรวงที่สําคัญมี 3 ประการ คือ การสร้างและพัฒนาคน การสร้างองค์ความรู้ผ่านการวิจัย ในทิศทางที่ตอบโจทย์ประเทศ ภาคเอกชน ชุมชนและประเด็นที่ท้าทายของโลก และการสร้างนวัตกรรม
การสร้างคนสินทรัพย์ที่สําคัญที่สุดของประเทศคือคน กระทรวงนี้คือเน้นการเปลี่ยนภาระกิจที่แต่เดิมเป็น Higher Education มาเป็น Life Long Education ดูแลคนตั้งแต่อายุ 18 ปีจนถึงตลอดชีวิต โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มสําคัญ คือ กลุ่มบัณฑิต ทําอย่างไรในสถานการณ์ที่จํานวนผู้เรียนน้อยลงแต่ต้องผลิตบัณฑิตออกมาอย่างมีคุณภาพ และมีงานทํา กลุ่มกําลังแรงงาน ซึ่งมีมากว่า 38 ล้านคน คนเหล่านี้จําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนทักษะเพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยี และกลุ่มคนสูงวัย เราจะเตรียมความพร้อมให้เป็นคนสูงวัยที่มีคุณภาพ อุดมศึกษาเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่เป็น brain power เราจะสร้าง รักษา และใช้ประโยชน์จากกลุ่มคนที่เป็นพลังสมองในภาคอุดมศึกษาอย่างไร
การสร้างองค์ความรู้ผ่านงานวิจัย แต่งานวิจัยที่เรามียังไม่สามารถที่จะทําให้เกิด impact อย่างเต็มที่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมหาวิทยาลัยต่างคนต่างทํางานวิจัย ไม่มีพลัง ไม่สามารถนําไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ หรือเกิดเป็นนวัตกรรมได้ กระทรวงนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านการวิจัย ทําให้เกิดการวิจัยอย่างเป็นระบบตอบโจทย์ประเทศ โดยการแบ่งการวิจัยออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.การวิจัยที่จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบ frontier knowledge ที่จะตอบโจทย์ประเทศ 2.การวิจัยที่จะเพิ่มระดับขีดความสามารถของประเทศ แข่งขันในระดับโลก 3.การวิจัยเพื่อลดความเลื่อมล้ําผ่านการพัฒนาพื้นที่และการสร้างเศรษฐกิจฐานราก 4.การวิจัยจากโจทย์ประเด็นท้าทายที่มีในสังคม สิ่งแวดล้อม เช่น สังคมสูงวัย pm 2.5 ขยะ เป็นต้น
การสร้างนวัตกรรมปัจจุบันรัฐบาลกําลังผลักดัน BCG Model โดย B (Bio Economy) หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ C (Circular Economy) หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน และ G (Green Economy) หรือ เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งครอบคลุมด้าน เกษตรอาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและวัสดุชีวภาพ และการท่องเที่ยวโดยอาศัยความหลากหลายเชิงชีวภาพและความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยจะมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อน BCG จากนี้ไปการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าจะใช้องค์ความรู้เพื่อนําไปสู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา
พันธกิจของมหาวิทยาลัยคือการสร้างคน การสร้างคนที่มีคุณภาพเงื่อนไขสําคัญคือธรรมาภิบาล น้ําหนักจะต้องอยู่ที่คุณธรรม จริยธรรม ไม่ใช่ความเก่งแต่เพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราจะเน้นไม่ใช่ขีดความสามารถเพียงเท่านั้นแต่ต้องลดความเลื่อมล้ําในเวลาเดียวกันไปด้วย รมว.อว. กล่าวในตอนท้าย
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.หารือแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยร่วมกับนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
รมว.หารือแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยร่วมกับนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
รมว.หารือแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยร่วมกับนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
31 ตุลาคม 2562 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยไปสู่อนาคต ในการประชุมหารือเพื่อแลกเปลี่ยนนโยบายระหว่างนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาของรัฐกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
รมว.อว. กล่าวในตอนหนึ่งว่า กระทรวงนี้เป็นกระทรวงใหม่ การเตรียมพร้อมไปสู่ศตวรรษที่ 21 นั้น เราจะต้องมีการจัดทัพใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์การเตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่ 21 การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจให้เป็นเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่าโดยใช้นวัตกรรมเป็นสําคัญ ภารกิจของกระทรวงที่สําคัญมี 3 ประการ คือ การสร้างและพัฒนาคน การสร้างองค์ความรู้ผ่านการวิจัย ในทิศทางที่ตอบโจทย์ประเทศ ภาคเอกชน ชุมชนและประเด็นที่ท้าทายของโลก และการสร้างนวัตกรรม
การสร้างคนสินทรัพย์ที่สําคัญที่สุดของประเทศคือคน กระทรวงนี้คือเน้นการเปลี่ยนภาระกิจที่แต่เดิมเป็น Higher Education มาเป็น Life Long Education ดูแลคนตั้งแต่อายุ 18 ปีจนถึงตลอดชีวิต โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มสําคัญ คือ กลุ่มบัณฑิต ทําอย่างไรในสถานการณ์ที่จํานวนผู้เรียนน้อยลงแต่ต้องผลิตบัณฑิตออกมาอย่างมีคุณภาพ และมีงานทํา กลุ่มกําลังแรงงาน ซึ่งมีมากว่า 38 ล้านคน คนเหล่านี้จําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนทักษะเพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยี และกลุ่มคนสูงวัย เราจะเตรียมความพร้อมให้เป็นคนสูงวัยที่มีคุณภาพ อุดมศึกษาเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่เป็น brain power เราจะสร้าง รักษา และใช้ประโยชน์จากกลุ่มคนที่เป็นพลังสมองในภาคอุดมศึกษาอย่างไร
การสร้างองค์ความรู้ผ่านงานวิจัย แต่งานวิจัยที่เรามียังไม่สามารถที่จะทําให้เกิด impact อย่างเต็มที่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมหาวิทยาลัยต่างคนต่างทํางานวิจัย ไม่มีพลัง ไม่สามารถนําไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ หรือเกิดเป็นนวัตกรรมได้ กระทรวงนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านการวิจัย ทําให้เกิดการวิจัยอย่างเป็นระบบตอบโจทย์ประเทศ โดยการแบ่งการวิจัยออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.การวิจัยที่จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบ frontier knowledge ที่จะตอบโจทย์ประเทศ 2.การวิจัยที่จะเพิ่มระดับขีดความสามารถของประเทศ แข่งขันในระดับโลก 3.การวิจัยเพื่อลดความเลื่อมล้ําผ่านการพัฒนาพื้นที่และการสร้างเศรษฐกิจฐานราก 4.การวิจัยจากโจทย์ประเด็นท้าทายที่มีในสังคม สิ่งแวดล้อม เช่น สังคมสูงวัย pm 2.5 ขยะ เป็นต้น
การสร้างนวัตกรรมปัจจุบันรัฐบาลกําลังผลักดัน BCG Model โดย B (Bio Economy) หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ C (Circular Economy) หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน และ G (Green Economy) หรือ เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งครอบคลุมด้าน เกษตรอาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและวัสดุชีวภาพ และการท่องเที่ยวโดยอาศัยความหลากหลายเชิงชีวภาพและความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยจะมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อน BCG จากนี้ไปการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าจะใช้องค์ความรู้เพื่อนําไปสู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา
พันธกิจของมหาวิทยาลัยคือการสร้างคน การสร้างคนที่มีคุณภาพเงื่อนไขสําคัญคือธรรมาภิบาล น้ําหนักจะต้องอยู่ที่คุณธรรม จริยธรรม ไม่ใช่ความเก่งแต่เพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราจะเน้นไม่ใช่ขีดความสามารถเพียงเท่านั้นแต่ต้องลดความเลื่อมล้ําในเวลาเดียวกันไปด้วย รมว.อว. กล่าวในตอนท้าย
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต จาก “สถานีบางบัว” เป็น “สถานีศรีปทุม”
|
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต จาก “สถานีบางบัว” เป็น “สถานีศรีปทุม”
จากกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร่วมกับชาวชุมชนบางบัว เข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ณ ทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561
เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีตั้งกรรมการสอบผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต จาก “สถานีบางบัว” เป็น “สถานีศรีปทุม” เป็นการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่เอกชน นั้น
รฟม. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า รฟม. ได้พิจารณาการตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้าดังกล่าว โดยเห็นว่า นาม “ศรีปทุม” เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งมีความหมายว่า “เป็นบ่อเกิดแห่งวิชาที่เบิกบาน เช่นดอกบัว” และคําว่า “ปทุม” มีความหมายว่า “บัวหลวง” ซึ่งมีความสอดคล้องกับชื่อของชุมชนในบริเวณดังกล่าวคือ ชุมชนบางบัว อีกทั้งคําว่า “ศรีปทุม” ยังเป็นที่รู้จักกันดีของประชาชนโดยรอบและประชาชนทั่วไป ดังนั้น รฟม. จึงเห็นสมควรให้ตั้งชื่อสถานีศรีปทุม เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของชุมชนบริเวณดังกล่าว ตลอดจนเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวชุมชน โดยมิได้จะใช้ชื่อว่า สถานีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รฟม. ได้เคยเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้ามาแล้วหลายแห่ง เช่น สถานีสมุทรปราการ เป็น สถานีปากน้ํา (สายสีเขียว) สถานีวังบูรพา เป็น สถานีสามยอด (สายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย) และสถานีศรีพรสวรรค์ เป็น สถานีบางกระสอ (สายสีม่วง) เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต จาก “สถานีบางบัว” เป็น “สถานีศรีปทุม”
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต จาก “สถานีบางบัว” เป็น “สถานีศรีปทุม”
จากกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร่วมกับชาวชุมชนบางบัว เข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ณ ทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561
เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีตั้งกรรมการสอบผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต จาก “สถานีบางบัว” เป็น “สถานีศรีปทุม” เป็นการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่เอกชน นั้น
รฟม. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า รฟม. ได้พิจารณาการตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้าดังกล่าว โดยเห็นว่า นาม “ศรีปทุม” เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งมีความหมายว่า “เป็นบ่อเกิดแห่งวิชาที่เบิกบาน เช่นดอกบัว” และคําว่า “ปทุม” มีความหมายว่า “บัวหลวง” ซึ่งมีความสอดคล้องกับชื่อของชุมชนในบริเวณดังกล่าวคือ ชุมชนบางบัว อีกทั้งคําว่า “ศรีปทุม” ยังเป็นที่รู้จักกันดีของประชาชนโดยรอบและประชาชนทั่วไป ดังนั้น รฟม. จึงเห็นสมควรให้ตั้งชื่อสถานีศรีปทุม เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของชุมชนบริเวณดังกล่าว ตลอดจนเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวชุมชน โดยมิได้จะใช้ชื่อว่า สถานีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รฟม. ได้เคยเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟฟ้ามาแล้วหลายแห่ง เช่น สถานีสมุทรปราการ เป็น สถานีปากน้ํา (สายสีเขียว) สถานีวังบูรพา เป็น สถานีสามยอด (สายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย) และสถานีศรีพรสวรรค์ เป็น สถานีบางกระสอ (สายสีม่วง) เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11856
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. หารือกับผู้แทนองค์กร NOMI NETWORK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมมือพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ในต่างประเทศ
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัด พม. หารือกับผู้แทนองค์กร NOMI NETWORK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมมือพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ในต่างประเทศ
ปลัด พม. หารือกับผู้แทนองค์กร NOMI NETWORK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมมือพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ในต่างประเทศ
วันที่ 9 ต.ค.60 เวลา 14.00 น. .นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้การต้อนรับนางซูเพย หลิว (Ms. Supei Liu) ผู้ร่วมก่อตั้งและรองประธานองค์กรโนมิ เน็ตเวิร์ค (Co-Founder & VP Global Initiatives Nomi Network) ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการพัฒนาความรู้ให้กับบุคลากรของกระทรวง พม. ในการส่งเสริมทักษะอาชีพแก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์อย่างรอบด้าน รวมทั้งการขยายโอกาสในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ให้กับผลิตภัณฑ์จากฝีมือกลุ่มเป้าหมายในการความดูแลของกระทรวง พม. โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ "ทอฝัน by พม." ณ ห้องรับรอง ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์ กล่าวว่า องค์กร Nomi Network เป็นองค์กรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไม่แสวงกําไร ที่มุ่งส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2552 โดยมีสํานักงานอยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รวมทั้งประเทศอินเดียและกัมพูชา ซึ่งมีหน้าที่ให้การฝึกอบรมเพื่อสร้างโอกาสการจ้างงานให้แก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และสตรีกลุ่มเสี่ยง อาทิ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการเปิดตลาดในต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ องค์กร Nomi Network ได้ดําเนินโครงการสําคัญ ได้แก่ 1) Nomi International Fashion Incubator (NIFI) เป็นโครงการร่วมกับบริษัทเอกชนที่ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เพื่อให้สามารถคืนสู่สังคม ด้วยการสร้างอาชีพและตลาดการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ 2) การจัดหลักสูตรฝึกอบรมกับธุรกิจแฟชั่น เช่น การออกแบบ การตัดเย็บ การเข้าถึงตลาด และโลจิสติกส์ด้านการขนส่ง ซึ่งมีการดําเนินการแล้วที่พนมเปญ เสียมราฐ และพระตะบอง ในประเทศกัมพูชา และ 3) การสร้างเครือข่ายพัฒนาความร่วมมือกับภาครัฐ และเอกชน
นายพุฒิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการหารือในวันนี้ มีประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การพัฒนาความรู้ให้กับบุคลากรของกระทรวง พม. ในการส่งเสริมทักษะอาชีพแก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์อย่างรอบด้านทั้งในด้านการผลิต การออกแบบ โลจิสติกส์ ด้านการขนส่ง และการตลาด รวมทั้งการขยายโอกาสในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ให้กับผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน by พม." โดยองค์กรโนมิจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในเรื่องการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยเฉพาะผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
นายพุฒิพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. มีความยินดีในการบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรโนมิ สําหรับการส่งเสริมทักษะความรู้ให้กับบุคลากรกระทรวง พม. ในเรื่องการฝึกอาชีพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทํางานร่วมกับองค์กรดังกล่าวตามแนวทาง “ประชารัฐ” ของรัฐบาล ระหว่างภาครัฐและประชาสังคม โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ และที่สําคัญ คือกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. สามารถมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และมีการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ให้มีความทันสมัยตามกระแสนิยมของโลกแฟชั่นในปัจจุบัน โดยการอุดหนุนผลิตภัณฑ์ต้องไม่เกิดจากความสงสาร แต่เกิดจากความเป็นมืออาชีพ ที่มีความสวยงาม และมีความเป็นมาและเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 70 ของรายได้ จะกลับไปสู่ผู้ผลิตที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยได้รับการสนับสนุนจากห้างสรรพสินค้าชั้นนําต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ สําหรับพื้นที่การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ และสิ่งที่สําคัญที่สุด คือ กระทรวง พม. ต้องการขยายผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่อ “ทอฝัน by พม.” แบรนด์ ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของกระทรวง พม.
นางซูเพย กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์กรโนมิมีความยินดีที่ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการดําเนินงานร่วมกันในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะอาชีพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” และการขยายโอกาสในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดําเนินโครงการร่วมกับกระทรวง พม. โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. หารือกับผู้แทนองค์กร NOMI NETWORK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมมือพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ในต่างประเทศ
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัด พม. หารือกับผู้แทนองค์กร NOMI NETWORK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมมือพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ในต่างประเทศ
ปลัด พม. หารือกับผู้แทนองค์กร NOMI NETWORK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมร่วมมือพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ในต่างประเทศ
วันที่ 9 ต.ค.60 เวลา 14.00 น. .นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้การต้อนรับนางซูเพย หลิว (Ms. Supei Liu) ผู้ร่วมก่อตั้งและรองประธานองค์กรโนมิ เน็ตเวิร์ค (Co-Founder & VP Global Initiatives Nomi Network) ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการพัฒนาความรู้ให้กับบุคลากรของกระทรวง พม. ในการส่งเสริมทักษะอาชีพแก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์อย่างรอบด้าน รวมทั้งการขยายโอกาสในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ให้กับผลิตภัณฑ์จากฝีมือกลุ่มเป้าหมายในการความดูแลของกระทรวง พม. โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ "ทอฝัน by พม." ณ ห้องรับรอง ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์ กล่าวว่า องค์กร Nomi Network เป็นองค์กรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไม่แสวงกําไร ที่มุ่งส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2552 โดยมีสํานักงานอยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รวมทั้งประเทศอินเดียและกัมพูชา ซึ่งมีหน้าที่ให้การฝึกอบรมเพื่อสร้างโอกาสการจ้างงานให้แก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และสตรีกลุ่มเสี่ยง อาทิ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการเปิดตลาดในต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ องค์กร Nomi Network ได้ดําเนินโครงการสําคัญ ได้แก่ 1) Nomi International Fashion Incubator (NIFI) เป็นโครงการร่วมกับบริษัทเอกชนที่ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เพื่อให้สามารถคืนสู่สังคม ด้วยการสร้างอาชีพและตลาดการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ 2) การจัดหลักสูตรฝึกอบรมกับธุรกิจแฟชั่น เช่น การออกแบบ การตัดเย็บ การเข้าถึงตลาด และโลจิสติกส์ด้านการขนส่ง ซึ่งมีการดําเนินการแล้วที่พนมเปญ เสียมราฐ และพระตะบอง ในประเทศกัมพูชา และ 3) การสร้างเครือข่ายพัฒนาความร่วมมือกับภาครัฐ และเอกชน
นายพุฒิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการหารือในวันนี้ มีประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การพัฒนาความรู้ให้กับบุคลากรของกระทรวง พม. ในการส่งเสริมทักษะอาชีพแก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์อย่างรอบด้านทั้งในด้านการผลิต การออกแบบ โลจิสติกส์ ด้านการขนส่ง และการตลาด รวมทั้งการขยายโอกาสในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ให้กับผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน by พม." โดยองค์กรโนมิจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในเรื่องการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยเฉพาะผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
นายพุฒิพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. มีความยินดีในการบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรโนมิ สําหรับการส่งเสริมทักษะความรู้ให้กับบุคลากรกระทรวง พม. ในเรื่องการฝึกอาชีพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทํางานร่วมกับองค์กรดังกล่าวตามแนวทาง “ประชารัฐ” ของรัฐบาล ระหว่างภาครัฐและประชาสังคม โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ และที่สําคัญ คือกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. สามารถมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และมีการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” ให้มีความทันสมัยตามกระแสนิยมของโลกแฟชั่นในปัจจุบัน โดยการอุดหนุนผลิตภัณฑ์ต้องไม่เกิดจากความสงสาร แต่เกิดจากความเป็นมืออาชีพ ที่มีความสวยงาม และมีความเป็นมาและเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 70 ของรายได้ จะกลับไปสู่ผู้ผลิตที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยได้รับการสนับสนุนจากห้างสรรพสินค้าชั้นนําต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ สําหรับพื้นที่การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ และสิ่งที่สําคัญที่สุด คือ กระทรวง พม. ต้องการขยายผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่อ “ทอฝัน by พม.” แบรนด์ ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของกระทรวง พม.
นางซูเพย กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์กรโนมิมีความยินดีที่ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการดําเนินงานร่วมกันในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะอาชีพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ทอฝัน by พม.” และการขยายโอกาสในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดําเนินโครงการร่วมกับกระทรวง พม. โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7264
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกสภากาชาดไทย เข้มมาตรการป้องกันโควิดในกลุ่มต่างด้าว นำร่องสมุทรสาครและปทุมธานี [กระทรวงแรงงาน]
|
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
ก.แรงงาน ผนึกสภากาชาดไทย เข้มมาตรการป้องกันโควิดในกลุ่มต่างด้าว นําร่องสมุทรสาครและปทุมธานี [กระทรวงแรงงาน]
ก.แรงงาน ผนึกสภากาชาดไทย เข้มมาตรการป้องกันโควิดในกลุ่มต่างด้าว นําร่องสมุทรสาครและปทุมธานี
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 เวลา 14.30 น.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือร่วมกับ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อํานวยการสํานักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย พร้อมด้วยนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายเชิดศักดิ์ วิสุทธิกุล ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับ นายกเหล่ากาชาดจังหวัด แรงงานจังหวัด และจัดหางานจังหวัดปทุมธานีและสมุทรสาคร เพื่อหารือในประเด็นความร่วมมือในการเข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) แก่แรงงานต่างด้าวในพื้นที่
ดร.ดวงฤทธิ์กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานและสภากาชาดไทย จะได้ร่วมมือกันในการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) แก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว โดยจัดทําเอกสารเผยแพร่เป็นภาษาของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้สามารถสื่อสารเข้าใจง่าย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาลดผลกระทบ การมอบสิ่งของเพื่อบรรเทาทุกข์ เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ถุงยังชีพ เป็นต้น รวมทั้งกระบวนการการเข้ารับการตรวจรักษาพยาบาลกรณีมีประวัติการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยง ตลอดจนขั้นตอนการคัดกรอง การกักตัวเอง 14 วัน ตามกระบวนการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เสริมสร้างสร้างการรับรู้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยนําร่องในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและปทุมธานีก่อน หลังจากนั้นจะขยายความร่วมมือไปยังจังหวัดต่างๆ ต่อไป เพื่อให้แรงงานต่างด้าวที่ทํางานอยู่ในประเทศไทยรู้จักวิธีการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด – 19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกสภากาชาดไทย เข้มมาตรการป้องกันโควิดในกลุ่มต่างด้าว นำร่องสมุทรสาครและปทุมธานี [กระทรวงแรงงาน]
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
ก.แรงงาน ผนึกสภากาชาดไทย เข้มมาตรการป้องกันโควิดในกลุ่มต่างด้าว นําร่องสมุทรสาครและปทุมธานี [กระทรวงแรงงาน]
ก.แรงงาน ผนึกสภากาชาดไทย เข้มมาตรการป้องกันโควิดในกลุ่มต่างด้าว นําร่องสมุทรสาครและปทุมธานี
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 เวลา 14.30 น.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือร่วมกับ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อํานวยการสํานักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย พร้อมด้วยนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายเชิดศักดิ์ วิสุทธิกุล ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับ นายกเหล่ากาชาดจังหวัด แรงงานจังหวัด และจัดหางานจังหวัดปทุมธานีและสมุทรสาคร เพื่อหารือในประเด็นความร่วมมือในการเข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) แก่แรงงานต่างด้าวในพื้นที่
ดร.ดวงฤทธิ์กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานและสภากาชาดไทย จะได้ร่วมมือกันในการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) แก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว โดยจัดทําเอกสารเผยแพร่เป็นภาษาของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้สามารถสื่อสารเข้าใจง่าย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาลดผลกระทบ การมอบสิ่งของเพื่อบรรเทาทุกข์ เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ถุงยังชีพ เป็นต้น รวมทั้งกระบวนการการเข้ารับการตรวจรักษาพยาบาลกรณีมีประวัติการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยง ตลอดจนขั้นตอนการคัดกรอง การกักตัวเอง 14 วัน ตามกระบวนการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เสริมสร้างสร้างการรับรู้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยนําร่องในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและปทุมธานีก่อน หลังจากนั้นจะขยายความร่วมมือไปยังจังหวัดต่างๆ ต่อไป เพื่อให้แรงงานต่างด้าวที่ทํางานอยู่ในประเทศไทยรู้จักวิธีการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด – 19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29278
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ มอบนโยบายการทำงานเน้นย้ำ ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรม
|
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2560
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ มอบนโยบายการทํางานเน้นย้ํา ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรม
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมโครงการ "ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน" ครั้งที่ ๕ ประจําปี ๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องรัตนสุวรรณ โรงแรมทองธารินทร์ จังหวัดสุรินทร์
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมโครงการ
"ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน" ครั้งที่ ๕ ประจําปี ๒๕๖๐
เพื่อมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานอํานวยความยุติธรรมให้แก่หน่วยงานในสังกัด
กระทรวงยุติธรรมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๘ จังหวัด ประกอบด้วย
จังหวัดสุรินทร์ อํานาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ นครราชสีมา และชัยภูมิ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึง การลงพื้นที่เพื่อพบปะ
พี่น้องประชาชนในทุกภูมิภาคว่า เพื่อต้องการนําความยุติธรรมลงสู่หมู่บ้าน
และนําบริการภาครัฐสู่ประชาชน ซึ่งจะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ต้องอาศัยความร่วมมือ
และพลังของบุคลากรทุกคน โดยจะต้องเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานให้เข้มแข็ง
เน้นการทํางานแบบเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค
และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในจังหวัดตามนโยบายและกรอบแนวคิดของรัฐบาล
พร้อมเน้นย้ําให้ทํางานเชิงรุกลงพื้นที่ พบปะเยี่ยมเยียนและให้ความรู้แก่ประชาชน
โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ในภารกิจและช่องทางการเข้าถึงงานบริการด้านความยุติธรรม
โดยดําเนินการตามกรอบ ยุติธรรมหนึ่งเดียว ในบทบาทของ"งานยุติธรรมจังหวัด"
และนําเสนอภารกิจงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้รอบด้าน
อีกทั้งได้ขอให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมน้อมนําพระราชดํารัส
ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
เป็นหลักในการปฏิบัติราชการที่เน้นการทํางานโดยคํานึงถึงประชาชน
และประเทศชาติเป็นศูนย์กลาง มีจิตอาสา มีคุณธรรม จริยธรรม ยึดถือการดําเนินงานตามหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง
และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้เป้าหมาย
การกระจายความยุติธรรมลงสู่หมู่บ้านได้อย่างแท้จริง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ มอบนโยบายการทำงานเน้นย้ำ ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรม
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2560
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ มอบนโยบายการทํางานเน้นย้ํา ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรม
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมโครงการ "ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน" ครั้งที่ ๕ ประจําปี ๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องรัตนสุวรรณ โรงแรมทองธารินทร์ จังหวัดสุรินทร์
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมโครงการ
"ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน" ครั้งที่ ๕ ประจําปี ๒๕๖๐
เพื่อมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานอํานวยความยุติธรรมให้แก่หน่วยงานในสังกัด
กระทรวงยุติธรรมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๘ จังหวัด ประกอบด้วย
จังหวัดสุรินทร์ อํานาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ นครราชสีมา และชัยภูมิ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึง การลงพื้นที่เพื่อพบปะ
พี่น้องประชาชนในทุกภูมิภาคว่า เพื่อต้องการนําความยุติธรรมลงสู่หมู่บ้าน
และนําบริการภาครัฐสู่ประชาชน ซึ่งจะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ต้องอาศัยความร่วมมือ
และพลังของบุคลากรทุกคน โดยจะต้องเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานให้เข้มแข็ง
เน้นการทํางานแบบเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค
และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในจังหวัดตามนโยบายและกรอบแนวคิดของรัฐบาล
พร้อมเน้นย้ําให้ทํางานเชิงรุกลงพื้นที่ พบปะเยี่ยมเยียนและให้ความรู้แก่ประชาชน
โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ในภารกิจและช่องทางการเข้าถึงงานบริการด้านความยุติธรรม
โดยดําเนินการตามกรอบ ยุติธรรมหนึ่งเดียว ในบทบาทของ"งานยุติธรรมจังหวัด"
และนําเสนอภารกิจงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้รอบด้าน
อีกทั้งได้ขอให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมน้อมนําพระราชดํารัส
ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
เป็นหลักในการปฏิบัติราชการที่เน้นการทํางานโดยคํานึงถึงประชาชน
และประเทศชาติเป็นศูนย์กลาง มีจิตอาสา มีคุณธรรม จริยธรรม ยึดถือการดําเนินงานตามหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง
และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้เป้าหมาย
การกระจายความยุติธรรมลงสู่หมู่บ้านได้อย่างแท้จริง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5906
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 กรกฎาคม 2560
|
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 กรกฎาคม 2560
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กฤษฎา" หนุน ศพก. เป็นตัวแทนขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมไปยังส่วนภูมิภาค
|
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
"กฤษฎา" หนุน ศพก. เป็นตัวแทนขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมไปยังส่วนภูมิภาค
"กฤษฎา" หนุน ศพก. เป็นตัวแทนขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมไปยังส่วนภูมิภาค ควบคู่การใช้
Big Data เป็นฐานข้อมูล หวังเดินหน้าภาคเกษตรอย่างยั่งยืน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาบทบาทของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ในการสนับสนุนนโยบายสําคัญของรัฐบาล ณ กรมส่งเสริมการเกษตร ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 882 ศูนย์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สําคัญของเกษตรกรในพื้นที่ และยังเป็นหน่วยเชื่อมองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริงสู่ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่ง ศพก. มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนนโยบายสําคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ซึ่งใช้ ศพก. เป็นสถานที่อบรมและเป็นวิทยากรหลักร่วมกับวิทยากรด้านเกษตรอื่น ๆ สําหรับเป้าหมายต่อไปจะต้องให้ ศพก. เป็นหน่วยสนับสนุนการดําเนินงานตามนโยบายภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม โดยเป็นฐานเรียนรู้ แหล่งองค์ความรู้ และแหล่งถ่ายทอดความรู้ทางการเกษตรที่สําคัญ รวมทั้งขอให้ ศพก. ทําหน้าที่เป็นเสมือนตัวแทนของหน่วยราชการในพื้นที่ในการรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร และข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อนําไปสู่การแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ในขณะเดียวกันขอให้ตรวจสอบการบริหารงบประมาณในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ลงไปยังพื้นที่ ว่ามีความถูกต้อง โปร่งใส และถึงมือเกษตรกรหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสร้างความเข้มแข็งให้ ศพก. และเกษตรกรในระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน
ด้านนายสมชายชาญณรงค์กุลอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในวันนี้ มุ่งให้เกิดการขับเคลื่อนงาน ศพก. อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมการ ศพก. ระดับประเทศก็จะมีความสําคัญและมีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนงานของรัฐบาลมากขึ้น รวมทั้งเป็นแกนกลางสําคัญในภาคการเกษตรระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล ดังนั้น ศพก. ทุกแหล่งจะต้องพัฒนาศักยภาพและเชื่อมโยงเครือข่ายองค์ความรู้เพื่อให้ครอบคลุมองค์ความรู้ตามความต้องการของสมาชิกในชุมชน และเน้นย้ําว่าการดําเนินการทุกโครงการฯ ไทยนิยม จะต้องดําเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรในระดับพื้นที่ และเกิดการปฏิรูปภาคการเกษตรอย่างแท้จริง โดยเกิดการจากคิด และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมี ศพก. เป็นผู้คอยสนับสนุนและเชื่อมโยงโครงการสําคัญของรัฐบาล
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ได้เยี่ยมชมการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันพัฒนาเป็นระบบแอพพลิเคชั่น ในชื่อ “DOAE FARM BOOK” เกษตรกรเพียงดาวน์โหลดแอพฯ ก็สามารถแจ้งปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปสํานักงานเกษตรอําเภอ และตั้งเป้าให้ฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรทั้งหมด ใช้สําหรับวางแผนการเพาะปลูก โดยเฉพาะการวาดผังแปลงดิจิตอลในระบบส่งเสริมการเกษตร ซึ่งปัจจุบันดําเนินการสําเร็จใน พื้นที่แปลงใหญ่ข้าวโพดทั้งหมด 138 แปลง ทั่วประเทศ และวางแผนที่จะขยายผลในพืชอื่น ๆ ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กฤษฎา" หนุน ศพก. เป็นตัวแทนขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมไปยังส่วนภูมิภาค
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
"กฤษฎา" หนุน ศพก. เป็นตัวแทนขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมไปยังส่วนภูมิภาค
"กฤษฎา" หนุน ศพก. เป็นตัวแทนขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมไปยังส่วนภูมิภาค ควบคู่การใช้
Big Data เป็นฐานข้อมูล หวังเดินหน้าภาคเกษตรอย่างยั่งยืน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาบทบาทของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ในการสนับสนุนนโยบายสําคัญของรัฐบาล ณ กรมส่งเสริมการเกษตร ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 882 ศูนย์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สําคัญของเกษตรกรในพื้นที่ และยังเป็นหน่วยเชื่อมองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริงสู่ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่ง ศพก. มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนนโยบายสําคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ซึ่งใช้ ศพก. เป็นสถานที่อบรมและเป็นวิทยากรหลักร่วมกับวิทยากรด้านเกษตรอื่น ๆ สําหรับเป้าหมายต่อไปจะต้องให้ ศพก. เป็นหน่วยสนับสนุนการดําเนินงานตามนโยบายภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม โดยเป็นฐานเรียนรู้ แหล่งองค์ความรู้ และแหล่งถ่ายทอดความรู้ทางการเกษตรที่สําคัญ รวมทั้งขอให้ ศพก. ทําหน้าที่เป็นเสมือนตัวแทนของหน่วยราชการในพื้นที่ในการรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร และข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อนําไปสู่การแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ในขณะเดียวกันขอให้ตรวจสอบการบริหารงบประมาณในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ลงไปยังพื้นที่ ว่ามีความถูกต้อง โปร่งใส และถึงมือเกษตรกรหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสร้างความเข้มแข็งให้ ศพก. และเกษตรกรในระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน
ด้านนายสมชายชาญณรงค์กุลอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในวันนี้ มุ่งให้เกิดการขับเคลื่อนงาน ศพก. อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมการ ศพก. ระดับประเทศก็จะมีความสําคัญและมีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนงานของรัฐบาลมากขึ้น รวมทั้งเป็นแกนกลางสําคัญในภาคการเกษตรระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล ดังนั้น ศพก. ทุกแหล่งจะต้องพัฒนาศักยภาพและเชื่อมโยงเครือข่ายองค์ความรู้เพื่อให้ครอบคลุมองค์ความรู้ตามความต้องการของสมาชิกในชุมชน และเน้นย้ําว่าการดําเนินการทุกโครงการฯ ไทยนิยม จะต้องดําเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรในระดับพื้นที่ และเกิดการปฏิรูปภาคการเกษตรอย่างแท้จริง โดยเกิดการจากคิด และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมี ศพก. เป็นผู้คอยสนับสนุนและเชื่อมโยงโครงการสําคัญของรัฐบาล
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ได้เยี่ยมชมการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันพัฒนาเป็นระบบแอพพลิเคชั่น ในชื่อ “DOAE FARM BOOK” เกษตรกรเพียงดาวน์โหลดแอพฯ ก็สามารถแจ้งปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปสํานักงานเกษตรอําเภอ และตั้งเป้าให้ฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรทั้งหมด ใช้สําหรับวางแผนการเพาะปลูก โดยเฉพาะการวาดผังแปลงดิจิตอลในระบบส่งเสริมการเกษตร ซึ่งปัจจุบันดําเนินการสําเร็จใน พื้นที่แปลงใหญ่ข้าวโพดทั้งหมด 138 แปลง ทั่วประเทศ และวางแผนที่จะขยายผลในพืชอื่น ๆ ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13076
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควัน และแอพพลิเคชัน (AirCMI)
|
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
เปิดตัวระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควัน และแอพพลิเคชัน (AirCMI)
วันเสารฺที่ 18 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควัน และแอพพลิเคชัน AirCMI เป็นระบบสารสนเทศที่สามารถวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อกําหนดแนวทางป้องกันและบรรเทาปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแจ้งข้อมูลคําแนะนําให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งแบบรายชั่วโมง และยังคาดการณ์ค่าฝุ่นควันล่วงหน้าได้ถึง 3 วัน ที่ผ่านมาได้นําร่องใช้งานแล้วในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และจะเริ่มขยายโครงการเพื่อใช้งานในพื้นที่ กทม. และจังหวัดต่าง ๆ ในเร็ว ๆ นี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน AirCMI ได้ทั้งระบบ IOS และ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควัน และแอพพลิเคชัน (AirCMI)
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
เปิดตัวระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควัน และแอพพลิเคชัน (AirCMI)
วันเสารฺที่ 18 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควัน และแอพพลิเคชัน AirCMI เป็นระบบสารสนเทศที่สามารถวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อกําหนดแนวทางป้องกันและบรรเทาปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแจ้งข้อมูลคําแนะนําให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งแบบรายชั่วโมง และยังคาดการณ์ค่าฝุ่นควันล่วงหน้าได้ถึง 3 วัน ที่ผ่านมาได้นําร่องใช้งานแล้วในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และจะเริ่มขยายโครงการเพื่อใช้งานในพื้นที่ กทม. และจังหวัดต่าง ๆ ในเร็ว ๆ นี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน AirCMI ได้ทั้งระบบ IOS และ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25905
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ำไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
กรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
กรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร
ประกาศกรมเจ้าท่าที่45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย
กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมได้ออกประกาศตามที่กระทรวงสาธารณสุขโดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และประเทศไทยได้ดําเนินมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมโรคปัจจุบันปรากฏว่าองค์การอนามัยโลก (World Health Organization)ได้ประกาศยกระดับสถานการณ์แพร่ระบาดดังกล่าวเป็นโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic)กรมเจ้าท่าจึงออกประกาศที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร มีผลบังคับใช้วันที่ 22 มีนาคม 2563เวลา 00.00 น. ของประเทศไทย โดยให้ยกเลิกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 41/2563 และ 43/2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.นายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆ ที่ลงเรือเพื่อเดินทางมายังประเทศไทยต้องได้รับการแยกกัก กักกัน ควบคุมไว้สังเกต หรืออยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออย่างอื่นตามที่พนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศกําหนด
2.ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือที่เดินเรือจากท่าเรือประเทศต้นทางในท้องที่ที่เป็นเขตโรคติดต่ออันตรายและพื้นที่มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขหรือWorld Health Organizationว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสCOVID-19ดําเนินการคัดกรองนายเรือคนประจําเรือ ผู้โดยสารและบุคคลใด ๆ ก่อนลงเรือดังนี้
(1) ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ (Health Certificate)ที่ออกให้โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ซึ่งยืนยันว่ามีการตรวจแล้วไม่พบเชื้อไวรัสCOVID-19
(2) ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยที่แสดงการคุ้มครองการรักษาพยาบาลในประเทศไทยซึ่งครอบคลุมถึงโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19เป็นจํานวนไม่น้อยกว่า100,000เหรียญสหรัฐ
3.ในกรณีที่นายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆ ที่จะลงเรือเพื่อเดินทางมายังประเทศไทยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือดําเนินการคัดกรองนายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลดังกล่าวก่อนลงเรือดังนี้
(1) ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางเรือ
(2) ตรวจสอบหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทยที่สถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศออกให้
4.หากพบว่าบุคคลใดไม่สามารถแสดงหลักฐานทั้งหมดตามข้อ 3 และข้อ 4 ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือ ปฏิเสธการลงเรือ
5.เมื่อได้คัดกรองตามข้อ 3 หรือข้อ 4 และให้บุคคลนั้นลงเรือแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือเจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือ จัดให้มีการกรอกข้อมูลแสดงที่พักที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทย ตามแบบ ต.8 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และยื่นต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่ท่าเรือปลายทาง
6.ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือ ใช้มาตรการในการป้องกันโรคติดต่อบนเรือดังนี้
(1) จัดที่นั่ง ที่พัก และที่ปฏิบัติงาน สําหรับผู้อยู่บนเรือ ให้มีระยะห่างจากกันมากที่สุดเท่าที่ทําได้ตั้งแต่เมื่อให้ลงเรือ และจัดพื้นที่ในเรือไว้สําหรับเฝ้าระวังผู้ที่มีอาการไข้ ไอ หรือเจ็บป่วย หากมีความจําเป็น
(2) แจ้งให้ผู้อยู่บนเรือทราบถึงวิธีการป้องกันโรคติดต่อ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง หรือจัดเตรียมอุปกรณ์อื่นที่จําเป็นสําหรับการป้องกันตนเองจากการติดต่อ
(3) พิจารณาจํากัดการปฏิบัติงานในเรือ เพื่อลดความจําเป็นในการเข้าใกล้ชิดระหว่างผู้อยู่บนเรือ
(4) กําหนดให้นายเรือ คนประจําเรือ และผู้ที่ทํางานบนเรือ สวมหน้ากากอนามัย
7.เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือและผู้ควบคุมเรือต้องดําเนินการฆ่าเชื้อ หรือทําความสะอาดเรือตามมาตรฐานที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศกําหนด
8.เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอํานาจออกคําสั่งตามความในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ดังนี้
(1) ห้ามผู้ใดเข้าไปในหรือออกจากเรือที่เดินเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และห้ามนําพาหนะอื่นใดเข้าเทียบเรือนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
(2) ดําเนินการหรือออกคําสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือและผู้ควบคุมเรือ ดําเนินการดังนี้
(2.1)กําจัดความติดโรค เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ของโรค
(2.2)จัดให้เรือจอดอยู่ ณ สถานที่ที่กําหนดไว้จนกว่าเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศจะอนุญาตให้ไปได้
(2.3)ให้ผู้ซึ่งมากับเรือนั้นรับการตรวจในทางแพทย์ และอาจให้แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ณ สถานที่และระยะเวลาที่กําหนด
9.ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรการตามข้อ 3 ข้อ 4 หรือข้อ 5 ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือเจ้าของและผู้ครอบครองเรือ จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการขนส่งนายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆที่มากับเรือนั้นเพื่อแยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตลอดทั้งออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามที่กําหนดในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
10. ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่ออันตราย และมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออันตรายตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนดตามความในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยเคร่งครัด
11. ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือแจ้งแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ให้เจ้าหน้าที่ประจําท่าเรือต้นทาง นายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆที่ลงเรือทราบและถือปฏิบัติ โดยให้นายเรือหรือผู้ควบคุมเรือประกาศเพิ่มเติมบนเรือให้ผู้ที่อยู่บนเรือทราบโดยทั่วกัน
กระทรวงคมนาคม
23 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ำไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
กรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
กรมเจ้าท่าออกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร
ประกาศกรมเจ้าท่าที่45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย
กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมได้ออกประกาศตามที่กระทรวงสาธารณสุขโดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และประเทศไทยได้ดําเนินมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมโรคปัจจุบันปรากฏว่าองค์การอนามัยโลก (World Health Organization)ได้ประกาศยกระดับสถานการณ์แพร่ระบาดดังกล่าวเป็นโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic)กรมเจ้าท่าจึงออกประกาศที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร มีผลบังคับใช้วันที่ 22 มีนาคม 2563เวลา 00.00 น. ของประเทศไทย โดยให้ยกเลิกประกาศกรมเจ้าท่าที่ 41/2563 และ 43/2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.นายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆ ที่ลงเรือเพื่อเดินทางมายังประเทศไทยต้องได้รับการแยกกัก กักกัน ควบคุมไว้สังเกต หรืออยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออย่างอื่นตามที่พนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศกําหนด
2.ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือที่เดินเรือจากท่าเรือประเทศต้นทางในท้องที่ที่เป็นเขตโรคติดต่ออันตรายและพื้นที่มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขหรือWorld Health Organizationว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสCOVID-19ดําเนินการคัดกรองนายเรือคนประจําเรือ ผู้โดยสารและบุคคลใด ๆ ก่อนลงเรือดังนี้
(1) ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ (Health Certificate)ที่ออกให้โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ซึ่งยืนยันว่ามีการตรวจแล้วไม่พบเชื้อไวรัสCOVID-19
(2) ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยที่แสดงการคุ้มครองการรักษาพยาบาลในประเทศไทยซึ่งครอบคลุมถึงโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19เป็นจํานวนไม่น้อยกว่า100,000เหรียญสหรัฐ
3.ในกรณีที่นายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆ ที่จะลงเรือเพื่อเดินทางมายังประเทศไทยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือดําเนินการคัดกรองนายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลดังกล่าวก่อนลงเรือดังนี้
(1) ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางเรือ
(2) ตรวจสอบหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทยที่สถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศออกให้
4.หากพบว่าบุคคลใดไม่สามารถแสดงหลักฐานทั้งหมดตามข้อ 3 และข้อ 4 ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือ ปฏิเสธการลงเรือ
5.เมื่อได้คัดกรองตามข้อ 3 หรือข้อ 4 และให้บุคคลนั้นลงเรือแล้ว ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือเจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือ จัดให้มีการกรอกข้อมูลแสดงที่พักที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทย ตามแบบ ต.8 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และยื่นต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่ท่าเรือปลายทาง
6.ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือ ใช้มาตรการในการป้องกันโรคติดต่อบนเรือดังนี้
(1) จัดที่นั่ง ที่พัก และที่ปฏิบัติงาน สําหรับผู้อยู่บนเรือ ให้มีระยะห่างจากกันมากที่สุดเท่าที่ทําได้ตั้งแต่เมื่อให้ลงเรือ และจัดพื้นที่ในเรือไว้สําหรับเฝ้าระวังผู้ที่มีอาการไข้ ไอ หรือเจ็บป่วย หากมีความจําเป็น
(2) แจ้งให้ผู้อยู่บนเรือทราบถึงวิธีการป้องกันโรคติดต่อ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง หรือจัดเตรียมอุปกรณ์อื่นที่จําเป็นสําหรับการป้องกันตนเองจากการติดต่อ
(3) พิจารณาจํากัดการปฏิบัติงานในเรือ เพื่อลดความจําเป็นในการเข้าใกล้ชิดระหว่างผู้อยู่บนเรือ
(4) กําหนดให้นายเรือ คนประจําเรือ และผู้ที่ทํางานบนเรือ สวมหน้ากากอนามัย
7.เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือและผู้ควบคุมเรือต้องดําเนินการฆ่าเชื้อ หรือทําความสะอาดเรือตามมาตรฐานที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศกําหนด
8.เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอํานาจออกคําสั่งตามความในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ดังนี้
(1) ห้ามผู้ใดเข้าไปในหรือออกจากเรือที่เดินเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และห้ามนําพาหนะอื่นใดเข้าเทียบเรือนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
(2) ดําเนินการหรือออกคําสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือและผู้ควบคุมเรือ ดําเนินการดังนี้
(2.1)กําจัดความติดโรค เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ของโรค
(2.2)จัดให้เรือจอดอยู่ ณ สถานที่ที่กําหนดไว้จนกว่าเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศจะอนุญาตให้ไปได้
(2.3)ให้ผู้ซึ่งมากับเรือนั้นรับการตรวจในทางแพทย์ และอาจให้แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ณ สถานที่และระยะเวลาที่กําหนด
9.ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรการตามข้อ 3 ข้อ 4 หรือข้อ 5 ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือเจ้าของและผู้ครอบครองเรือ จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการขนส่งนายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆที่มากับเรือนั้นเพื่อแยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตลอดทั้งออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามที่กําหนดในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
10. ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่ออันตราย และมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออันตรายตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนดตามความในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยเคร่งครัด
11. ให้ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ เจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ นายเรือ และผู้ควบคุมเรือแจ้งแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ให้เจ้าหน้าที่ประจําท่าเรือต้นทาง นายเรือ คนประจําเรือ ผู้โดยสาร และบุคคลใด ๆที่ลงเรือทราบและถือปฏิบัติ โดยให้นายเรือหรือผู้ควบคุมเรือประกาศเพิ่มเติมบนเรือให้ผู้ที่อยู่บนเรือทราบโดยทั่วกัน
กระทรวงคมนาคม
23 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27787
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะ
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะ
หลังการเข้าพบและเยี่ยมคํานับของ นรม.สาธารณรัฐเช็ก กับ นรม. ณ ทําเนียบรัฐบาลแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับ นายอันเดรย์ บาบิช ( H.E. Mr. Andrej Babis ) นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะ
เมื่อ 16 ม.ค. 62 หลังการเข้าพบและเยี่ยมคํานับของ นรม.สาธารณรัฐเช็ก กับ นรม. ณ ทําเนียบรัฐบาลแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับ นายอันเดรย์ บาบิช ( H.E. Mr. Andrej Babis ) นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศชั้นนํา ณ ศาลาว่าการกลาโหม
นายอันเดรย์ บาบิช ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดี ระหว่าง ไทย - สาธารณรัฐเช็ก ที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยสาธารณรัฐเช็ก มีบริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัฐที่มีศักยภาพ และยินดีให้ความร่วมมือและลงทุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับไทย ทั้งทางด้านการทหารและเชิงพาณิชย์ รวมทั้งมีความสนใจจัดตั้งโรงงานประกอบและศูนย์ซ่อมบํารุงยุทโธปกรณ์ทางทหาร ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะร่วมกับไทยในการจัดตั้งศูนย์ฝึกปฏิบัติการจําลองการบินของภูมิภาคในไทย ในฐานะหุ้นส่วนความร่วมมือของภูมิภาค
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ และชื่นชมศักยภาพด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสาธารณรัฐเช็ก โดยประเทศไทยและกองทัพมีความพร้อมและยินดีสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกัน สู่การวิจัย พัฒนาและการถ่ายโอนเทคโนโลยีร่วมกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านอากาศยาน ทั้งนี้จะจัดตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาและทํางานร่วมกัน สู่การพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในอนาคตอันใกล้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะ
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะ
หลังการเข้าพบและเยี่ยมคํานับของ นรม.สาธารณรัฐเช็ก กับ นรม. ณ ทําเนียบรัฐบาลแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับ นายอันเดรย์ บาบิช ( H.E. Mr. Andrej Babis ) นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะ
เมื่อ 16 ม.ค. 62 หลังการเข้าพบและเยี่ยมคํานับของ นรม.สาธารณรัฐเช็ก กับ นรม. ณ ทําเนียบรัฐบาลแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับ นายอันเดรย์ บาบิช ( H.E. Mr. Andrej Babis ) นรม.สาธารณรัฐเช็กและคณะผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศชั้นนํา ณ ศาลาว่าการกลาโหม
นายอันเดรย์ บาบิช ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดี ระหว่าง ไทย - สาธารณรัฐเช็ก ที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยสาธารณรัฐเช็ก มีบริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัฐที่มีศักยภาพ และยินดีให้ความร่วมมือและลงทุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับไทย ทั้งทางด้านการทหารและเชิงพาณิชย์ รวมทั้งมีความสนใจจัดตั้งโรงงานประกอบและศูนย์ซ่อมบํารุงยุทโธปกรณ์ทางทหาร ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะร่วมกับไทยในการจัดตั้งศูนย์ฝึกปฏิบัติการจําลองการบินของภูมิภาคในไทย ในฐานะหุ้นส่วนความร่วมมือของภูมิภาค
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ และชื่นชมศักยภาพด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสาธารณรัฐเช็ก โดยประเทศไทยและกองทัพมีความพร้อมและยินดีสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกัน สู่การวิจัย พัฒนาและการถ่ายโอนเทคโนโลยีร่วมกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านอากาศยาน ทั้งนี้จะจัดตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาและทํางานร่วมกัน สู่การพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในอนาคตอันใกล้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18186
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อุตตม"ลงพื้นที่ตรวจความก้าวหน้านิคมฯยางพารา จ.สงขลา กดปุ่มเปิดโรงงานมาตรฐานเฟส 2 เอสเอ็มอี ลุยลงทุน
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
"อุตตม"ลงพื้นที่ตรวจความก้าวหน้านิคมฯยางพารา จ.สงขลา กดปุ่มเปิดโรงงานมาตรฐานเฟส 2 เอสเอ็มอี ลุยลงทุน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "กนอ.สานพลังประชารัฐ ยกระดับ SME ยางไทย ก้าวไกลในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราและกดปุ่มเดินเครื่องจักรในโรงงานมาตรฐาน ระยะที่ 2 พร้อมตรวจเยี่ยมพร้อมรับฟังบรรยายความก้าวหน้าโครงการจัดตั้ง Rubber City
จ. สงขลา: วันนี้ (31 พฤษภาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "กนอ.สานพลังประชารัฐ ยกระดับ SME ยางไทย ก้าวไกลในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราและกดปุ่มเดินเครื่องจักรในโรงงานมาตรฐาน ระยะที่ 2 พร้อมตรวจเยี่ยมพร้อมรับฟังบรรยายความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพารา หรือ Rubber City ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ตําบลฉลุง อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระยะที่ 2/2 และ 3 บนพื้นที่รวมประมาณ 1,218 ไร่ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของระบบสาธารณูปโภคเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยนักลงทุนวางแผนเริ่มเข้าใช้พื้นที่ได้ในต้นปี 2561 โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมเยี่ยมชม
นอกจากนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) สนับสนุนสานพลังประชารัฐ เพื่อบูรณาการความร่วมมือด้านการจัดหาแรงงานและพัฒนาฝีมือกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สํานักงานแรงงาน แรงงานจังหวัดสงขลา จัดหางานจังหวัดสงขลา วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ วิทยาลัยเมคนิคจะนะ วิทยาลัยการอาชีพนาทวี และวิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์ร์นิกร เพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน รองรับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราอย่างเพียงพอทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยความร่วมมือทั้ง 7 หน่วยงาน จะร่วมกันสนับสนุนเชื่อมโยงและอํานวยความสะดวกในการจัดหาแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในสถานประกอบการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อุตตม"ลงพื้นที่ตรวจความก้าวหน้านิคมฯยางพารา จ.สงขลา กดปุ่มเปิดโรงงานมาตรฐานเฟส 2 เอสเอ็มอี ลุยลงทุน
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
"อุตตม"ลงพื้นที่ตรวจความก้าวหน้านิคมฯยางพารา จ.สงขลา กดปุ่มเปิดโรงงานมาตรฐานเฟส 2 เอสเอ็มอี ลุยลงทุน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "กนอ.สานพลังประชารัฐ ยกระดับ SME ยางไทย ก้าวไกลในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราและกดปุ่มเดินเครื่องจักรในโรงงานมาตรฐาน ระยะที่ 2 พร้อมตรวจเยี่ยมพร้อมรับฟังบรรยายความก้าวหน้าโครงการจัดตั้ง Rubber City
จ. สงขลา: วันนี้ (31 พฤษภาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "กนอ.สานพลังประชารัฐ ยกระดับ SME ยางไทย ก้าวไกลในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราและกดปุ่มเดินเครื่องจักรในโรงงานมาตรฐาน ระยะที่ 2 พร้อมตรวจเยี่ยมพร้อมรับฟังบรรยายความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพารา หรือ Rubber City ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ตําบลฉลุง อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระยะที่ 2/2 และ 3 บนพื้นที่รวมประมาณ 1,218 ไร่ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของระบบสาธารณูปโภคเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยนักลงทุนวางแผนเริ่มเข้าใช้พื้นที่ได้ในต้นปี 2561 โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมเยี่ยมชม
นอกจากนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) สนับสนุนสานพลังประชารัฐ เพื่อบูรณาการความร่วมมือด้านการจัดหาแรงงานและพัฒนาฝีมือกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สํานักงานแรงงาน แรงงานจังหวัดสงขลา จัดหางานจังหวัดสงขลา วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ วิทยาลัยเมคนิคจะนะ วิทยาลัยการอาชีพนาทวี และวิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์ร์นิกร เพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน รองรับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราอย่างเพียงพอทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยความร่วมมือทั้ง 7 หน่วยงาน จะร่วมกันสนับสนุนเชื่อมโยงและอํานวยความสะดวกในการจัดหาแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในสถานประกอบการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4167
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ หมู่บ้านกุดชุม อุบลราชธานี ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเป็นบ้านและแผ่นดินของคนไทย
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ หมู่บ้านกุดชุม อุบลราชธานี ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเป็นบ้านและแผ่นดินของคนไทย
นายกรัฐมนตรีลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ หมู่บ้านกุดชุม อุบลราชธานี ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเป็นบ้านและแผ่นดินของคนไทย
วันนี้ (19 กันยายน 2562) เวลา 16.00 น. ณ หมู่บ้านกุดชุม อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยทักทายให้กําลังใจพี่น้องประชาชน พร้อมสอบถามความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใย และบอกกับประชาชนว่า หากมีอะไรต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือขอให้บอกผ่านกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการลงเรือ ว่า จากการลงพื้นที่ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ และระดับน้ําท่วมซึ่งส่วนมากมิดหลังคาบ้าน จึงได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ดูแล นําสิ่งของยังชีพมาแจกประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ยังรู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้าน โดยชาวบ้านดีใจที่ตนมาเยี่ยมให้กําลังใจถึงบ้าน พร้อมบอกกับตนว่าจะสู้ต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันจะไม่ทอดทิ้ง เพราะเป็นบ้าน และแผ่นดินของคนไทย อย่างไรก็ตามเห็นน้ําแล้วก็รู้สึกเสียดายว่า หากมีน้ําแล้วไม่กระทบที่ทํากินก็คงจะดี เพราะจะได้นําน้ําไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะนําไปทํานาปี ส่วนใหญ่ในพื้นที่ทําแต่นาปรัง
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ทุ่มเทกําลังใจ กําลังกายช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเต็มที่ รวมถึงขอบคุณรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลที่ลงพื้นที่ให้กําลังใจซึ่งกันและกัน และขอขอบคุณชาวบ้านที่เข้าใจการทํางานของรัฐบาล
-------------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ หมู่บ้านกุดชุม อุบลราชธานี ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเป็นบ้านและแผ่นดินของคนไทย
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ หมู่บ้านกุดชุม อุบลราชธานี ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเป็นบ้านและแผ่นดินของคนไทย
นายกรัฐมนตรีลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ หมู่บ้านกุดชุม อุบลราชธานี ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเป็นบ้านและแผ่นดินของคนไทย
วันนี้ (19 กันยายน 2562) เวลา 16.00 น. ณ หมู่บ้านกุดชุม อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงเรือตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยทักทายให้กําลังใจพี่น้องประชาชน พร้อมสอบถามความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใย และบอกกับประชาชนว่า หากมีอะไรต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือขอให้บอกผ่านกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการลงเรือ ว่า จากการลงพื้นที่ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ และระดับน้ําท่วมซึ่งส่วนมากมิดหลังคาบ้าน จึงได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ดูแล นําสิ่งของยังชีพมาแจกประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ยังรู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้าน โดยชาวบ้านดีใจที่ตนมาเยี่ยมให้กําลังใจถึงบ้าน พร้อมบอกกับตนว่าจะสู้ต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันจะไม่ทอดทิ้ง เพราะเป็นบ้าน และแผ่นดินของคนไทย อย่างไรก็ตามเห็นน้ําแล้วก็รู้สึกเสียดายว่า หากมีน้ําแล้วไม่กระทบที่ทํากินก็คงจะดี เพราะจะได้นําน้ําไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะนําไปทํานาปี ส่วนใหญ่ในพื้นที่ทําแต่นาปรัง
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ทุ่มเทกําลังใจ กําลังกายช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเต็มที่ รวมถึงขอบคุณรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลที่ลงพื้นที่ให้กําลังใจซึ่งกันและกัน และขอขอบคุณชาวบ้านที่เข้าใจการทํางานของรัฐบาล
-------------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23242
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ แก้ไขเรื่องร้องเรียนตามข้อกำหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเบ็ดเสร็จในจังหวัด
|
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ แก้ไขเรื่องร้องเรียนตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเบ็ดเสร็จในจังหวัด
มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ แก้ไขเรื่องร้องเรียนตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเบ็ดเสร็จในจังหวัด พร้อมให้ศูนย์ดํารงธรรมสร้างการรับรู้ข้อกําหนดฯ ให้ประชาชนทราบและปฏิบัติ
วันนี้ (9 พ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้จังหวัดทราบและถือปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) และคําสั่งศบค. ที่ 2/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อย่างเคร่งครัด
เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกําหนดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ทราบและถือปฏิบัติตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจตรงกันและปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งให้รับเรื่องการแก้ไขปัญหาร้องเรียน ข้อเสนอแนะ และเบาะแสผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดและมาตรการข้างต้น เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาแก้ไขปัญหาและดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ให้เบ็ดเสร็จภายในจังหวัด กรณีหากพบปัญหาอุปสรรคหรือข้อจํากัดที่เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้รายงาน ศบค. มท. ทราบต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ แก้ไขเรื่องร้องเรียนตามข้อกำหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเบ็ดเสร็จในจังหวัด
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ แก้ไขเรื่องร้องเรียนตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเบ็ดเสร็จในจังหวัด
มหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ แก้ไขเรื่องร้องเรียนตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเบ็ดเสร็จในจังหวัด พร้อมให้ศูนย์ดํารงธรรมสร้างการรับรู้ข้อกําหนดฯ ให้ประชาชนทราบและปฏิบัติ
วันนี้ (9 พ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้จังหวัดทราบและถือปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) และคําสั่งศบค. ที่ 2/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อย่างเคร่งครัด
เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกําหนดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ทราบและถือปฏิบัติตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจตรงกันและปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งให้รับเรื่องการแก้ไขปัญหาร้องเรียน ข้อเสนอแนะ และเบาะแสผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดและมาตรการข้างต้น เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาแก้ไขปัญหาและดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ให้เบ็ดเสร็จภายในจังหวัด กรณีหากพบปัญหาอุปสรรคหรือข้อจํากัดที่เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้รายงาน ศบค. มท. ทราบต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30578
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจำปี 2561
|
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจําปี 2561
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” พร้อมเปิดสายด่วน 1584 รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง
วันนี้ (13 พ.ย.61) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจําปีพุทธศักราช 2561 ในระหว่างวันที่ 16 – 25 พฤศจิกายน 2561 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ
สําหรับแนวทางและมาตรการรณรงค์ในประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2561 มี ดังนี้ 1) ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกําหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เช่น การกําหนดไม่เล่นพลุและดอกไม้ไฟในที่ชุมชน ไม่แต่งกายด้วยชุดล่อแหลม 2) ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด 3) ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจร ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชน 4) ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามแนวทางของประเพณีที่เหมาะสม เช่น ประดิษฐ์กระทงร่วมกันในครอบครัวและในชุมชน 5) ขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรม เช่น การละเล่นและการแสดงทางวัฒนธรรมตามประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 6) ส่งเสริมให้การใช้วัสดุจากธรรมชาติและย่อยสลายง่ายมาประดิษฐ์กระทง และรณรงค์แนวทาง “1 ครอบครัว 1 กระทง” หรือ “1 หน่วยงาน 1 กระทง”
รวมทั้งมีแนวทางการดําเนินงานของส่วนราชการที่เข้าร่วมประชุมบูรณาการประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย 1) กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ได้กําชับให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามแผนดูแลความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งพิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึง ตลอดจนจัดทําแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงประเพณีลอยกระทง 2) สํานักงานตรวจแห่งชาติ จะจัดให้มีความเข้มงวดในการรักษาความสงบในแต่ละพื้นที่ และพร้อมใช้แผนเผชิญเหตุโดยเฉพาะในจุดที่มีประชาชนเป็นจํานวนมาก และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ภาคเอกชนในการป้องกันอาชญากรรม เช่น สถานบันเทิงต่าง ๆ 3) กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) ได้มีการกําหนดเขตควบคุมการเดินเรือในแม่น้ําเจ้าพระยา ห้ามเรือเดินทะเล เรือลําเลียง เรือบรรทุกสินค้าอันตราย เรือน้ํามัน และเรือลากจูง ผ่านเขตควบคุมการเดินเรือในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 เวลา 16.00 – 24.00 น. รวมทั้งตั้งศูนย์อํานวยความปลอดภัยทางน้ําและศูนย์อํานวยความสะดวกพร้อมดูแลความปลอดภัยทางน้ํา บริเวณท่าเทียบเรือที่มีการใช้บริการหนาแน่น และเปิดสายด่วน 1584 รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง 4) กระทรวงวัฒนธรรม (สํานักงานปลัด วธ.) สนับสนุนการจัดงานระหว่างวันที่ 16 – 25 พ.ย. 2561 โดยจัดกิจกรรม เช่น การเผาเทียนเล่นไฟ การแสดงทางวัฒนธรรม และการแสดงพื้นบ้าน เป็นต้น จัดกิจกรรมประเพณีลอยพระทงอาเซียน เวียดนาม ลาว และไทย โดยเน้นสืบสานและรักษาคุณค่าของประเพณีและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ และ 5) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยว) ประชาสัมพันธ์และบริการให้ข้อมูลประชาชนในการส่งเสริมการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาผลิตกระทง และรณรงค์ให้ใช้กระทงร่วมกันเพื่อลดปริมาณขยะ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ของทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจำปี 2561
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจําปี 2561
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย ครม. รับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” พร้อมเปิดสายด่วน 1584 รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง
วันนี้ (13 พ.ย.61) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจําปีพุทธศักราช 2561 ในระหว่างวันที่ 16 – 25 พฤศจิกายน 2561 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ
สําหรับแนวทางและมาตรการรณรงค์ในประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2561 มี ดังนี้ 1) ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกําหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เช่น การกําหนดไม่เล่นพลุและดอกไม้ไฟในที่ชุมชน ไม่แต่งกายด้วยชุดล่อแหลม 2) ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด 3) ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจร ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชน 4) ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามแนวทางของประเพณีที่เหมาะสม เช่น ประดิษฐ์กระทงร่วมกันในครอบครัวและในชุมชน 5) ขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรม เช่น การละเล่นและการแสดงทางวัฒนธรรมตามประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 6) ส่งเสริมให้การใช้วัสดุจากธรรมชาติและย่อยสลายง่ายมาประดิษฐ์กระทง และรณรงค์แนวทาง “1 ครอบครัว 1 กระทง” หรือ “1 หน่วยงาน 1 กระทง”
รวมทั้งมีแนวทางการดําเนินงานของส่วนราชการที่เข้าร่วมประชุมบูรณาการประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย 1) กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ได้กําชับให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามแผนดูแลความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งพิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึง ตลอดจนจัดทําแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงประเพณีลอยกระทง 2) สํานักงานตรวจแห่งชาติ จะจัดให้มีความเข้มงวดในการรักษาความสงบในแต่ละพื้นที่ และพร้อมใช้แผนเผชิญเหตุโดยเฉพาะในจุดที่มีประชาชนเป็นจํานวนมาก และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ภาคเอกชนในการป้องกันอาชญากรรม เช่น สถานบันเทิงต่าง ๆ 3) กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) ได้มีการกําหนดเขตควบคุมการเดินเรือในแม่น้ําเจ้าพระยา ห้ามเรือเดินทะเล เรือลําเลียง เรือบรรทุกสินค้าอันตราย เรือน้ํามัน และเรือลากจูง ผ่านเขตควบคุมการเดินเรือในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 เวลา 16.00 – 24.00 น. รวมทั้งตั้งศูนย์อํานวยความปลอดภัยทางน้ําและศูนย์อํานวยความสะดวกพร้อมดูแลความปลอดภัยทางน้ํา บริเวณท่าเทียบเรือที่มีการใช้บริการหนาแน่น และเปิดสายด่วน 1584 รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง 4) กระทรวงวัฒนธรรม (สํานักงานปลัด วธ.) สนับสนุนการจัดงานระหว่างวันที่ 16 – 25 พ.ย. 2561 โดยจัดกิจกรรม เช่น การเผาเทียนเล่นไฟ การแสดงทางวัฒนธรรม และการแสดงพื้นบ้าน เป็นต้น จัดกิจกรรมประเพณีลอยพระทงอาเซียน เวียดนาม ลาว และไทย โดยเน้นสืบสานและรักษาคุณค่าของประเพณีและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ และ 5) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยว) ประชาสัมพันธ์และบริการให้ข้อมูลประชาชนในการส่งเสริมการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาผลิตกระทง และรณรงค์ให้ใช้กระทงร่วมกันเพื่อลดปริมาณขยะ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ของทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16758
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส แถลงผลงานร่วมสตช.จับ 7 มือโพสต์ป่วน
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ดีอีเอส แถลงผลงานร่วมสตช.จับ 7 มือโพสต์ป่วน
ดีอีเอส แถลงผลงานร่วมสตช.จับ 7 มือโพสต์ป่วน
ดีอีเอส แถลงผลการทํางานร่วมกับ สตช. ในปฏิบัติการปราบปรามผู้โพสต์ข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน ในสถานการณ์ฉุกเฉินตาม ระหว่างวันที่ 10 - 22 พ.ค.63 แจ้งความดําเนินคดี 7 ราย
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้ดําเนินงานต่อผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาดําเนินคดีตามกฎหมาย ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) โดยเร่งรัดดําเนินคดีการตามมาตรการป้องกันและปราบปราม ในปฏิบัติการปราบปรามผู้โพสต์ข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน โดยได้ดําเนินคดีเกี่ยวกับการเสนอข่าว ที่ไม่เป็นความจริง บิดเบือนข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.ก. การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระหว่างวันที่ 10 -22 พ.ค.63 มีผลการปฏิบัติการทั้งสิ้น 7 ราย
พลตํารวจตรี พันธนะ นุชนารถ ผบก.ข่าวกรองยาเสพติด ในฐานะหัวหน้าชุดประสานความร่วมมือกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แถลงผลการฏิบัติการฯ โดยมีการแจ้งข้อกล่าวหาจํานวน 6 ราย แบ่งเป็นผู้ที่โพสต์ข่าวปลอมเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 มีการนําหมายค้นเข้าตรวจค้น 4 ราย และเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง 2 ราย การปฏิบัติการครั้งนี้มีการอาศัยอํานาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 ราย รวมมีผลการปฏิบัติครั้งนี้ทั้งสิ้น 7 ราย ผลการตรวจค้นในบางจุดได้มีการตรวจพบว่า มีการลักลอบมียาบ้าไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายอีกด้วย จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นําส่งพนักงานสอบสวนดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รมว.ดีอีเอส กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทําให้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้กระทําการโพสต์ เสนอข่าวอันไม่เป็นความจริง ทําให้ประชาชนหวาดกลัวหรือบิดเบือนข่าวสาร ทําให้เกิดความเข้าใจผิด จึงขอเตือนประชาชนที่จะโพสต์ข้อมูลข่าวสาร อาจเข้าข่ายเป็นการกระทําความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีอัตราโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หรือจําคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
**************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส แถลงผลงานร่วมสตช.จับ 7 มือโพสต์ป่วน
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ดีอีเอส แถลงผลงานร่วมสตช.จับ 7 มือโพสต์ป่วน
ดีอีเอส แถลงผลงานร่วมสตช.จับ 7 มือโพสต์ป่วน
ดีอีเอส แถลงผลการทํางานร่วมกับ สตช. ในปฏิบัติการปราบปรามผู้โพสต์ข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน ในสถานการณ์ฉุกเฉินตาม ระหว่างวันที่ 10 - 22 พ.ค.63 แจ้งความดําเนินคดี 7 ราย
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้ดําเนินงานต่อผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาดําเนินคดีตามกฎหมาย ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) โดยเร่งรัดดําเนินคดีการตามมาตรการป้องกันและปราบปราม ในปฏิบัติการปราบปรามผู้โพสต์ข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน โดยได้ดําเนินคดีเกี่ยวกับการเสนอข่าว ที่ไม่เป็นความจริง บิดเบือนข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.ก. การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระหว่างวันที่ 10 -22 พ.ค.63 มีผลการปฏิบัติการทั้งสิ้น 7 ราย
พลตํารวจตรี พันธนะ นุชนารถ ผบก.ข่าวกรองยาเสพติด ในฐานะหัวหน้าชุดประสานความร่วมมือกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แถลงผลการฏิบัติการฯ โดยมีการแจ้งข้อกล่าวหาจํานวน 6 ราย แบ่งเป็นผู้ที่โพสต์ข่าวปลอมเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 มีการนําหมายค้นเข้าตรวจค้น 4 ราย และเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง 2 ราย การปฏิบัติการครั้งนี้มีการอาศัยอํานาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 ราย รวมมีผลการปฏิบัติครั้งนี้ทั้งสิ้น 7 ราย ผลการตรวจค้นในบางจุดได้มีการตรวจพบว่า มีการลักลอบมียาบ้าไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายอีกด้วย จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นําส่งพนักงานสอบสวนดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รมว.ดีอีเอส กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทําให้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี ได้กระทําการโพสต์ เสนอข่าวอันไม่เป็นความจริง ทําให้ประชาชนหวาดกลัวหรือบิดเบือนข่าวสาร ทําให้เกิดความเข้าใจผิด จึงขอเตือนประชาชนที่จะโพสต์ข้อมูลข่าวสาร อาจเข้าข่ายเป็นการกระทําความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีอัตราโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หรือจําคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
**************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31400
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
|
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นาย นาคากาวา มาซาฮารุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น ณ อาคารกระทรวงสิ่งแวดล้อม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ความร่วมมือฉบับนี้จะส่งเสริมให้หน่วยงานของสองประเทศในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ โดยประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร รวมทั้งการทําวิจัยร่วมกัน ในเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการขยะมูลฝอย การจัดการมลพิษทางอากาศ การจัดการเมืองอย่างยั่งยืน กลไกเครดิต (Joint crediting Mechanism: JCM) การบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ และความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นเพิ่ม เป็นต้น ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของสองประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ๑๓๐ ปี
โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนของทั้งสองประเทศ
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ
นาย นาคากาวา มาซาฮารุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศจะนํามาซึ่งประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และประชาชนทุกคน โดยการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาจะนําไปสู่ความสมดุลแก่ชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างมั่นคงยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
การลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นาย นาคากาวา มาซาฮารุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น ณ อาคารกระทรวงสิ่งแวดล้อม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ความร่วมมือฉบับนี้จะส่งเสริมให้หน่วยงานของสองประเทศในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ โดยประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร รวมทั้งการทําวิจัยร่วมกัน ในเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการขยะมูลฝอย การจัดการมลพิษทางอากาศ การจัดการเมืองอย่างยั่งยืน กลไกเครดิต (Joint crediting Mechanism: JCM) การบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ และความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นเพิ่ม เป็นต้น ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของสองประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ๑๓๐ ปี
โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนของทั้งสองประเทศ
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ
นาย นาคากาวา มาซาฮารุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งญี่ปุ่น ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศจะนํามาซึ่งประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และประชาชนทุกคน โดยการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาจะนําไปสู่ความสมดุลแก่ชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างมั่นคงยั่งยืนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12404
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
นายมาร์ค การ์นิเยร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักร นําสมาชิกสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันนี้ (3 ต.ค. 59) เวลา 13.30 น. นายมาร์ค การ์นิเยร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักร นําสมาชิกสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบนายมาร์ค กานิเยร์ อีกครั้ง และขอแสดงความยินดีกับตําแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศ พร้อมขอบคุณที่ยังให้ความสําคัญกับประเทศไทย โดยเป็นผู้นําภาคเอกชนสหราชอาณาจักรมาด้วยตนเองในครั้งนี้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวต้อนรับภาคเอกชนของสหราชอาณาจักร และยินดีที่หลังการเปิดตัวสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ที่กรุงลอนดอน ได้มีการจัดประชุมครั้งแรกขึ้นในวันนี้ที่กรุงเทพฯ พร้อมยืนยันว่าไทยพร้อมจะร่วมมือกับภาคเอกชนของสหราชอาณาจักร เพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านที่มีศักยภาพต่าง ๆ และขอยืนยันว่าจะเป็นหุ้นส่วนที่สําคัญของสหราชอาณาจักรในเอเชียต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน และเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและอุปสรรคในด้านต่าง ๆ การจัดทํากรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจตามนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อให้ประเทศสามารถก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าสมาชิกสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักร จะเป็นกลไกที่ช่วยขับเคลื่อน และทําให้พลวัตของความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันเพิ่มพูนมากขึ้น รวมทั้งเป็นเวทีที่จะหารือกันอย่างเสรี และร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรค โดยรัฐบาลพร้อมรับฟังและให้การสนับสนุน
ทั้งสองฝ่ายหวังให้มีการเร่งรัดการค้า การลงทุนระหว่างกัน โดยนายมาร์ค กานิเยร์ หวังส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในสหราชอาณาจักรมากขึ้น โดยเฉพาะนอกกรุงลอนดอน ตามนโยบายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังให้ภาคเอกชนสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในไทยเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยตามนโยบาย Thailand 4.0
นายมาร์ค กานิเยร์กล่าวว่าสหราชอาณาจักรสนใจที่จะขยายการลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และมีศักยภาพที่จะเป็นทางเข้าสู่ตลาดร่วมของอาเซียนซึ่งมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ทั้งนี้ สหราชอาณาจักร หวังให้รัฐบาลเร่งผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ กฎหมายด้านการทําธุรกิจ มาตรการด้านการตรวจลงตรา ใบอนุญาตทํางาน ระบบภาษี ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลกําลังดําเนินการแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้า การลงทุนที่เป็นอุปสรรคต่อการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชนและขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 60
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการลงทุนของผู้ประกอบการบริษัทค้าปลีกของสหราชอาณาจักร โดยขอให้พิจารณาถึงผู้มีรายได้ต่ําของไทยด้วย ซึ่งอาจร่วมมือกับภาครัฐโดยผ่านช่องทางประชารัฐ
ความร่วมมือด้านอากาศยาน นายมาร์ค กานิเยร์ กล่าวว่าสหราชอาณาจักร หวังจัดตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงและทดสอบอากาศยานของภูมิภาคอาเซียนในไทย โดยเห็นว่าไทยมีศักยภาพทั้งในด้านภูมิศาสตร์ที่อยู่ศูนย์กลางอาเซียน และมีแรงงานที่มีคุณภาพ
ความร่วมมือด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และนวัตกรรม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมุ่งขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเป็น Thailand 4.0 หรือ Value-based Economy โดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งจําต้องเริ่มจากการพัฒนาบุคลากร โดยให้ความสําคัญกับการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพของกําลังคน ให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม และเชิญชวนให้สหราชอาณาจักร เข้ามาเปิดสถาบันทั้งในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาบุคลากรด้านวิชาชีพของไทย
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือในด้าน วิศวกรรมการบิน การเงิน พลังงาน และการท่องเที่ยวซึ่งเป็นสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพอีกด้วย
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
นายมาร์ค การ์นิเยร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักร นําสมาชิกสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันนี้ (3 ต.ค. 59) เวลา 13.30 น. นายมาร์ค การ์นิเยร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศสหราชอาณาจักร นําสมาชิกสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบนายมาร์ค กานิเยร์ อีกครั้ง และขอแสดงความยินดีกับตําแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการค้าระหว่างประเทศ พร้อมขอบคุณที่ยังให้ความสําคัญกับประเทศไทย โดยเป็นผู้นําภาคเอกชนสหราชอาณาจักรมาด้วยตนเองในครั้งนี้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวต้อนรับภาคเอกชนของสหราชอาณาจักร และยินดีที่หลังการเปิดตัวสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ที่กรุงลอนดอน ได้มีการจัดประชุมครั้งแรกขึ้นในวันนี้ที่กรุงเทพฯ พร้อมยืนยันว่าไทยพร้อมจะร่วมมือกับภาคเอกชนของสหราชอาณาจักร เพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านที่มีศักยภาพต่าง ๆ และขอยืนยันว่าจะเป็นหุ้นส่วนที่สําคัญของสหราชอาณาจักรในเอเชียต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน และเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและอุปสรรคในด้านต่าง ๆ การจัดทํากรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจตามนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อให้ประเทศสามารถก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าสมาชิกสภาผู้นําธุรกิจไทย – สหราชอาณาจักร จะเป็นกลไกที่ช่วยขับเคลื่อน และทําให้พลวัตของความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันเพิ่มพูนมากขึ้น รวมทั้งเป็นเวทีที่จะหารือกันอย่างเสรี และร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรค โดยรัฐบาลพร้อมรับฟังและให้การสนับสนุน
ทั้งสองฝ่ายหวังให้มีการเร่งรัดการค้า การลงทุนระหว่างกัน โดยนายมาร์ค กานิเยร์ หวังส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในสหราชอาณาจักรมากขึ้น โดยเฉพาะนอกกรุงลอนดอน ตามนโยบายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังให้ภาคเอกชนสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในไทยเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยตามนโยบาย Thailand 4.0
นายมาร์ค กานิเยร์กล่าวว่าสหราชอาณาจักรสนใจที่จะขยายการลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และมีศักยภาพที่จะเป็นทางเข้าสู่ตลาดร่วมของอาเซียนซึ่งมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ทั้งนี้ สหราชอาณาจักร หวังให้รัฐบาลเร่งผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ กฎหมายด้านการทําธุรกิจ มาตรการด้านการตรวจลงตรา ใบอนุญาตทํางาน ระบบภาษี ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลกําลังดําเนินการแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้า การลงทุนที่เป็นอุปสรรคต่อการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชนและขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 60
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการลงทุนของผู้ประกอบการบริษัทค้าปลีกของสหราชอาณาจักร โดยขอให้พิจารณาถึงผู้มีรายได้ต่ําของไทยด้วย ซึ่งอาจร่วมมือกับภาครัฐโดยผ่านช่องทางประชารัฐ
ความร่วมมือด้านอากาศยาน นายมาร์ค กานิเยร์ กล่าวว่าสหราชอาณาจักร หวังจัดตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงและทดสอบอากาศยานของภูมิภาคอาเซียนในไทย โดยเห็นว่าไทยมีศักยภาพทั้งในด้านภูมิศาสตร์ที่อยู่ศูนย์กลางอาเซียน และมีแรงงานที่มีคุณภาพ
ความร่วมมือด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และนวัตกรรม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมุ่งขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเป็น Thailand 4.0 หรือ Value-based Economy โดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งจําต้องเริ่มจากการพัฒนาบุคลากร โดยให้ความสําคัญกับการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพของกําลังคน ให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม และเชิญชวนให้สหราชอาณาจักร เข้ามาเปิดสถาบันทั้งในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาบุคลากรด้านวิชาชีพของไทย
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือในด้าน วิศวกรรมการบิน การเงิน พลังงาน และการท่องเที่ยวซึ่งเป็นสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพอีกด้วย
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/526
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกศ. “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ”
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
สกศ. “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร) ให้เกียรติเป็นประธานการประชุม “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ”
วันนี้ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร) ให้เกียรติเป็นประธานการประชุม “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ” โดยมี รองเลขาธิการสภาการศึกษา (ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์) กล่าวรายงาน วิทยากรบรรยายได้แก่ ประธานกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร) ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา) รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายดนุชา พิชยนันท์) พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้รับผิดชอบด้านนโยบายและแผนของกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้าร่วมประชุมกว่า ๑,๒๐๐ คน ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ชั้น ๑ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ มอบหมายให้ทุกส่วนราชการจัดทําแผนการดําเนินงานของหน่วยงานให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนปฏิรูปประเทศ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้นเพื่อรวมพลังหน่วยงานทางการศึกษาทั้งจากส่วนกลางและทุกภูมิภาค ให้เกิดการรับรู้และเข้าใจทิศทางการปฏิรูปประเทศโดยเฉพาะด้านการศึกษา โดยมุ่งเน้นให้นําไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทําแผนการดําเนินงานของหน่วยงานซึ่งเชื่อมโยงกับแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามภารกิจหลักของกระทรวงศึกษาธิการในการจัดการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้แก่คนทุกช่วงวัยได้มีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ” ว่า ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน (IMD World Competitiveness) ซึ่งปีนี้ประเทศไทยลดลงจากอันดับที่ ๒๗ ในปี ๒๕๖๐ เป็นอันดับที่ ๓๐ ในปี ๒๕๖๑ ย้ําให้เห็นถึงความจําเป็นเร่งด่วนของการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะด้านการศึกษาเพื่อการสร้างคนคุณภาพมาพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙ ซึ่งจัดทําโดยสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ถือเป็นยุทธศาสตร์สําคัญในการผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ และการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคม ตามแนวคิดประเทศไทย ๔.๐ การสานพลังเพื่อปฏิรูปการศึกษานั้นจึงต้องเกิดจากปัจจัยสําคัญใน ๓ ด้าน ดังนี้ ๑) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ความสําคัญต่อการปฏิรูปการศึกษา โดยมีเป้าหมายให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ เริ่มตั้งแต่การศึกษาปฐมวัยให้เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาเป็นเวลา ๑๒ ปี เพื่อเป็นหลักประกันให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างสมวัย ๒) กระทรวงศึกษาธิการต้องเปลี่ยนบทบาท เป็นผู้ควบคุมมาตรฐานคุณภาพและดูแลงบประมาณ โดยใช้กลไกประชารัฐร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม รวมถึงเอกชน และภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากซึ่งเป็นผู้ใช้ผลผลิตจากกระบวนการศึกษา และ ๓) มหาวิทยาลัยในพื้นที่ควรเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้การปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากเป็นแหล่งรวมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและงานวิจัยที่สามารถสร้างนวัตกรรมพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็นองค์กรหลักในการบูรณาการทุกหน่วยงาน เพื่อพัฒนาการศึกษาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและผลักดันให้การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ประสบความสําเร็จ
ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ นําเสนอเรื่อง “ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์” ว่า การวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสําคัญในการนําพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีเป้าหมายให้คนไทยในอนาคตมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ ๓ และสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งนี้ จึงจําเป็นต้องมีการปฏิรูปการเรียนรู้แบบพลิกโฉม โดยพัฒนาระบบการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการพัฒนาทักษะสําหรับศตวรรษที่ ๒๑ ปรับบทบาทครูผู้สอนให้เป็นผู้อํานวยการเรียนรู้ ทําหน้าที่เป็นนักวิจัยพัฒนากระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของเด็กในทุกช่วงวัยให้มีใจใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา รวมทั้งวางระบบพื้นฐานรองรับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อใช้เทคโนโลยีผสานกับคุณค่าของครู ทําให้เกิดระบบการศึกษาที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิชาการระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความตื่นตัวให้คนไทยตระหนักถึงบทบาท ความรับผิดชอบ และการวางตําแหน่งของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียและประชาคมโลก ปัจจัยสําคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ย่อมเกิดจากการร่วมมือร่วมใจจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและกลไกที่สามารถสร้างคนและสร้างสรรค์งานวิจัยที่ตรงต่อความต้องการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ
นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นําเสนอ เรื่อง “แผนการปฏิรูปประเทศ” โดยนําเสนอใน ๓ ประเด็นหลัก คือ ๑. ร่างยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ๒. หน้าที่ของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ. การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ๒๕๖๐ และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ๒๕๖๐ และ ๓. การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปการศึกษา ดังนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) แบ่งยุทธศาสตร์เป็น ๖ ด้าน คือ ๑. ด้านความมั่งคง ๒. ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ๓. ด้านการพัฒนาและเสริมทรัพยากรมนุษย์ ๔. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ๕. ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ๖. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารภาครัฐ ส่วนแผนการปฏิรูปประเทศ มี ๑๑ ด้าน คือ ๑. การเมือง ๒.การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.กฎหมาย ๔. กระบวนการยุติธรรม ๕. เศรษฐกิจ ๖. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๗. สาธารณสุข ๘. สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ๙. สังคม ๑๐. พลังงาน ๑๑. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยที่ ทั้ง ๒ แผนมีความสอดคล้องกันในการนําสู่การขับเคลื่อนที่สําคัญใน ๖ มิติ คือ ๑. การลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม เกิดบูรณาการการแก้ไขปัญหาความยากจนและกระจายผลกําไรกลับสู่สังคมและชุมชน ๒. การพัฒนาเศรษฐกิจ เน้นการยกระดับมาตรฐานการผลิตและสร้างนวัตกรรม ขจัดอุปสรรคทางกฏหมาย ปรับโครงสร้างการจัดการด้านพลังงานอย่างเหมาะสม ๓. การสร้างสังคมและชุมชนที่เข้มแข็ง คนในชุมชนทุกกลุ่มมีความมั่นคง มีหลักประกันทาง มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผ่านกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม การเรียนรู้ การรับรู้ ๔. การฟื้นฟูและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสร้างฐานทรัพยากรของประเทศในระยะยาวควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น และชุมชน เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ๕. การสร้างประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกระบวนการทํางานประพฤติมิชอบ พัฒนาระบบ Big Data เพื่อการกําหนดนโยบายของภาครัฐ จัดการภาครัฐให้มีความกระทัดรัด สร้างธรรมมาภิบาลเพื่อป้องกันการทุจริตและ ๖.การพัฒนากฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย จัดทําระบบการพิจารณาคดีทางปกครองที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัด สําหรับหน้าที่ของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ. การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ๒๕๖๐ มี ๕ ประการ คือ ๑. หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยมีหน้าที่ดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ๒. ให้ความร่วมมือสศช. ในฐานะเลขานุการฯ ในการประสานงานเกี่ยวกับการดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ๒๕๖๐ ๓. ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดําเนินการดังกล่าวต่อสํานักงานภายในเวลาและตามรายการที่สํานักงานกําหนด ๔.หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ รวมทั้งการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทด้วย และ
๕. ดําเนินการแก้ไขกรณีความปรากฏว่าการดําเนินการใดขอหน่วยงานของรัฐไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติหรือแผนแม่บท ส่วนหน้าที่ของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ๒๕๖๐ มี ๔ ประการ คือ ๑. ดําเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศ ๒. ให้ความร่วมมือในการให้คําปรึกษาแก่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในการวางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศตามข้อเสนอแนะ ๓. รายงานผลการติดตามการดําเนินการภายในระยะเวลาที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสํานักงานเลขานุการฯ กําหนด และ ๔. กรณีการดําเนินการใดของหน่วยงานของรัฐไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ หน่วยงานของรัฐ (หัวหน้าหัวงาน) ให้ความร่วมมือและคําปรึกษาเพื่อแก้ไขปรับปรุงความไม่สอดคล้องนั้น และดําเนินการตามที่ตกลงร่วมกัน แล้วรายงานให้กรรมการยุทธศาสตร์ชาติทราบ ซึ่งจะติดตามประเมินผลหน่วยงานต่างๆ โดยใช้ระบบ eMENSCR (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform) คือ ระบบสารสนเทศที่ใช้ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล การดําเนินงานของหน่วยงานผ่านแผนงาน โครงการ หรือ การดําเนินการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ว่าการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศหรือไม่ ระบบจะส่งรายงานผลที่แต่ละหน่วยงานส่งมาให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าหน่วยงาน และ รัฐสภา หากตรวจสอบจากรายงานประจําปีแล้วพบว่าหน่วยงานไม่ดําเนินการ โดยไม่มีเหตุผลสมควร สามารส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พิจารณาดําเนินการกับหัวหน้าหน่วยงานของรัฐได้
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษานําเสนอ เรื่อง “ทิศทางการปฏิรูปการศึกษา” กล่าวโดยสรุปว่า การศึกษาในประเทศไทยกําลังเกิดวิกฤตอย่างยิ่งยวด เนื่องจากคุณภาพต่ํา มีความเหลื่อมล้ําสูง ระดับความสามารถของนักเรียนไทยเปรียบเทียบกับนานาชาติไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเห็นได้จากผลคะแนน และผลสํารวจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคะแนน O-NET ที่ตกต่ํา ผลการสอบ PISA ของไทย ที่ต่ํากว่าเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อเทียบความสามารถในการแข่งขันในปี ค.ศ. ๒๐๑๗ - ๒๐๑๘ อยู่ในระดับที่ ๓๒ ตกลงจากอันดับเดิม และมีอันดับน้อยกว่ามาเลเซีย ไทยใช้งบประมาณด้านการศึกษาจํานวนมากแต่คุณภาพการศึกษายังต่ํา ขณะที่เวียดนามใช้งบประมาณด้านการศึกษาน้อยกว่าแต่คุณภาพการศึกษาดีกว่า ปัญหาการศึกษาไทยเกิดจากความไม่ตระหนัก ไม่เห็นความสําคัญเท่าที่ควร ขาดการมีส่วนร่วม ขาดความรับผิดชอบ บ้างเห็นว่าธุระไม่ใช่ การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงสําคัญอย่างยิ่ง เพราะหากปฏิรูปการศึกษาไม่สําเร็จ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ล้าหลัง ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงต้องจากเกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคปฏิบัติ และภาควิชาการที่ต้องมาร่วมกันปฏิรูปการศึกษา โดยต้องให้ความสําคัญกับผู้เรียนเป็นสําคัญ คืนศรัทธาให้นักเรียนและครู และต้องใช้นวัตกรรมมาช่วยในการศึกษา ให้ความเป็นอิสระของโรงเรียน ขณะนี้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กําลังผลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดสถาบันหลักสูตรและการเรียนการสอน เพื่อช่วยเหลือ พัฒนาครู ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ หลักสูตรจะเน้นฐานสมรรถนะ มีการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ เพื่อให้ครูนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูล นักเรียนสามารถฝึกฝนเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ลดปัญหาความเหลื่อมล้ํา สําหรับการสอบจะเน้นการประเมินที่ไม่ใช้เพื่อตัดสิน แต่เพื่อให้นักเรียนทราบสิ่งที่ตนเองต้องพัฒนา รวมถึงต้องมีการปฏิรูปอุดมศึกษา ให้ผลิตบัณฑิตตรงความต้องการของประเทศ และอุดมศึกษาควรมีส่วนมาเป็นพี่เลี้ยงหรือให้องค์ความรู้กับโรงเรียนในพื้นที่ เป็นต้น สําหรับสิ่งที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ได้ดําเนินการแล้ว คือ พ.ร.บ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ํา ได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว สําหรับ ร่าง พ.ร.บ. พัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ. การอุดมศึกษาแห่งชาติ และร่าง พ.ร.บ. เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้จัดทําเสร็จเรียบร้อยและเสนอรัฐบาลแล้ว นอกจากนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนการสอนแห่งชาติยกร่างเสร็จแล้ว และพร้อมเสนอคณะรัฐมนตรี รวมถึงกําลังยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... เมื่อเสร็จแล้วจะสามารถเป็นธรรมนูญทางการศึกษา สุดท้ายขอฝากว่า การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้จะสําเร็จได้สังคมไทยต้องตื่น ตระหนัก ต้องเปลี่ยนคือปรับใจ ปรับพฤติกรรม ร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ดูดาย รับผิดชอบ เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพื่อการศึกษาของไทย
ในช่วงบ่ายมีการเสวนาเรื่อง “การปรับทิศทางการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปของประเทศไทย” โดยมีวิทยากรได้แก่ นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.เชิดศักดิ์ ศรีสง่าชัยศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น นายพงษ์พิศาล ชินสําราญ ศึกษาธิการจังหวัดปราจีนบุรี และการเสวนาเรื่อง “สานพลังปฏิรูปประเทศจากมุมมองของผู้ปฏิบัติ” โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายนิพนธ์ ก้องเวหา ผู้อํานวยการ สพม.เขต ๙ นายพงษ์ศักดิ์ นุ้ยเจริญ ผู้อํานวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อํานวยการวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดําเนินรายการโดย คุณณัฐมน ไทยประสิทธิ์เจริญ
ที่มา:ประชาสัมพันธ์ สกศ.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกศ. “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ”
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
สกศ. “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร) ให้เกียรติเป็นประธานการประชุม “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ”
วันนี้ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร) ให้เกียรติเป็นประธานการประชุม “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ” โดยมี รองเลขาธิการสภาการศึกษา (ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์) กล่าวรายงาน วิทยากรบรรยายได้แก่ ประธานกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร) ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา) รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายดนุชา พิชยนันท์) พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้รับผิดชอบด้านนโยบายและแผนของกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้าร่วมประชุมกว่า ๑,๒๐๐ คน ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ชั้น ๑ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ มอบหมายให้ทุกส่วนราชการจัดทําแผนการดําเนินงานของหน่วยงานให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนปฏิรูปประเทศ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้นเพื่อรวมพลังหน่วยงานทางการศึกษาทั้งจากส่วนกลางและทุกภูมิภาค ให้เกิดการรับรู้และเข้าใจทิศทางการปฏิรูปประเทศโดยเฉพาะด้านการศึกษา โดยมุ่งเน้นให้นําไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทําแผนการดําเนินงานของหน่วยงานซึ่งเชื่อมโยงกับแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามภารกิจหลักของกระทรวงศึกษาธิการในการจัดการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้แก่คนทุกช่วงวัยได้มีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สานพลังการศึกษา เพื่อการปฏิรูปประเทศ” ว่า ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน (IMD World Competitiveness) ซึ่งปีนี้ประเทศไทยลดลงจากอันดับที่ ๒๗ ในปี ๒๕๖๐ เป็นอันดับที่ ๓๐ ในปี ๒๕๖๑ ย้ําให้เห็นถึงความจําเป็นเร่งด่วนของการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะด้านการศึกษาเพื่อการสร้างคนคุณภาพมาพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙ ซึ่งจัดทําโดยสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ถือเป็นยุทธศาสตร์สําคัญในการผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ และการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคม ตามแนวคิดประเทศไทย ๔.๐ การสานพลังเพื่อปฏิรูปการศึกษานั้นจึงต้องเกิดจากปัจจัยสําคัญใน ๓ ด้าน ดังนี้ ๑) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ความสําคัญต่อการปฏิรูปการศึกษา โดยมีเป้าหมายให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ เริ่มตั้งแต่การศึกษาปฐมวัยให้เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาเป็นเวลา ๑๒ ปี เพื่อเป็นหลักประกันให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างสมวัย ๒) กระทรวงศึกษาธิการต้องเปลี่ยนบทบาท เป็นผู้ควบคุมมาตรฐานคุณภาพและดูแลงบประมาณ โดยใช้กลไกประชารัฐร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม รวมถึงเอกชน และภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากซึ่งเป็นผู้ใช้ผลผลิตจากกระบวนการศึกษา และ ๓) มหาวิทยาลัยในพื้นที่ควรเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้การปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากเป็นแหล่งรวมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและงานวิจัยที่สามารถสร้างนวัตกรรมพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็นองค์กรหลักในการบูรณาการทุกหน่วยงาน เพื่อพัฒนาการศึกษาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและผลักดันให้การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ประสบความสําเร็จ
ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ นําเสนอเรื่อง “ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์” ว่า การวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสําคัญในการนําพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีเป้าหมายให้คนไทยในอนาคตมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ ๓ และสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งนี้ จึงจําเป็นต้องมีการปฏิรูปการเรียนรู้แบบพลิกโฉม โดยพัฒนาระบบการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการพัฒนาทักษะสําหรับศตวรรษที่ ๒๑ ปรับบทบาทครูผู้สอนให้เป็นผู้อํานวยการเรียนรู้ ทําหน้าที่เป็นนักวิจัยพัฒนากระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของเด็กในทุกช่วงวัยให้มีใจใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา รวมทั้งวางระบบพื้นฐานรองรับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อใช้เทคโนโลยีผสานกับคุณค่าของครู ทําให้เกิดระบบการศึกษาที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิชาการระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความตื่นตัวให้คนไทยตระหนักถึงบทบาท ความรับผิดชอบ และการวางตําแหน่งของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียและประชาคมโลก ปัจจัยสําคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ย่อมเกิดจากการร่วมมือร่วมใจจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและกลไกที่สามารถสร้างคนและสร้างสรรค์งานวิจัยที่ตรงต่อความต้องการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ
นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นําเสนอ เรื่อง “แผนการปฏิรูปประเทศ” โดยนําเสนอใน ๓ ประเด็นหลัก คือ ๑. ร่างยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ๒. หน้าที่ของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ. การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ๒๕๖๐ และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ๒๕๖๐ และ ๓. การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปการศึกษา ดังนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) แบ่งยุทธศาสตร์เป็น ๖ ด้าน คือ ๑. ด้านความมั่งคง ๒. ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ๓. ด้านการพัฒนาและเสริมทรัพยากรมนุษย์ ๔. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ๕. ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ๖. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารภาครัฐ ส่วนแผนการปฏิรูปประเทศ มี ๑๑ ด้าน คือ ๑. การเมือง ๒.การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.กฎหมาย ๔. กระบวนการยุติธรรม ๕. เศรษฐกิจ ๖. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๗. สาธารณสุข ๘. สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ๙. สังคม ๑๐. พลังงาน ๑๑. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยที่ ทั้ง ๒ แผนมีความสอดคล้องกันในการนําสู่การขับเคลื่อนที่สําคัญใน ๖ มิติ คือ ๑. การลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม เกิดบูรณาการการแก้ไขปัญหาความยากจนและกระจายผลกําไรกลับสู่สังคมและชุมชน ๒. การพัฒนาเศรษฐกิจ เน้นการยกระดับมาตรฐานการผลิตและสร้างนวัตกรรม ขจัดอุปสรรคทางกฏหมาย ปรับโครงสร้างการจัดการด้านพลังงานอย่างเหมาะสม ๓. การสร้างสังคมและชุมชนที่เข้มแข็ง คนในชุมชนทุกกลุ่มมีความมั่นคง มีหลักประกันทาง มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผ่านกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม การเรียนรู้ การรับรู้ ๔. การฟื้นฟูและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสร้างฐานทรัพยากรของประเทศในระยะยาวควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น และชุมชน เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ๕. การสร้างประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกระบวนการทํางานประพฤติมิชอบ พัฒนาระบบ Big Data เพื่อการกําหนดนโยบายของภาครัฐ จัดการภาครัฐให้มีความกระทัดรัด สร้างธรรมมาภิบาลเพื่อป้องกันการทุจริตและ ๖.การพัฒนากฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย จัดทําระบบการพิจารณาคดีทางปกครองที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัด สําหรับหน้าที่ของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ. การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ๒๕๖๐ มี ๕ ประการ คือ ๑. หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยมีหน้าที่ดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ๒. ให้ความร่วมมือสศช. ในฐานะเลขานุการฯ ในการประสานงานเกี่ยวกับการดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ๒๕๖๐ ๓. ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดําเนินการดังกล่าวต่อสํานักงานภายในเวลาและตามรายการที่สํานักงานกําหนด ๔.หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ รวมทั้งการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทด้วย และ
๕. ดําเนินการแก้ไขกรณีความปรากฏว่าการดําเนินการใดขอหน่วยงานของรัฐไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติหรือแผนแม่บท ส่วนหน้าที่ของหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ ๒๕๖๐ มี ๔ ประการ คือ ๑. ดําเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศ ๒. ให้ความร่วมมือในการให้คําปรึกษาแก่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในการวางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศตามข้อเสนอแนะ ๓. รายงานผลการติดตามการดําเนินการภายในระยะเวลาที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสํานักงานเลขานุการฯ กําหนด และ ๔. กรณีการดําเนินการใดของหน่วยงานของรัฐไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ หน่วยงานของรัฐ (หัวหน้าหัวงาน) ให้ความร่วมมือและคําปรึกษาเพื่อแก้ไขปรับปรุงความไม่สอดคล้องนั้น และดําเนินการตามที่ตกลงร่วมกัน แล้วรายงานให้กรรมการยุทธศาสตร์ชาติทราบ ซึ่งจะติดตามประเมินผลหน่วยงานต่างๆ โดยใช้ระบบ eMENSCR (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform) คือ ระบบสารสนเทศที่ใช้ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล การดําเนินงานของหน่วยงานผ่านแผนงาน โครงการ หรือ การดําเนินการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ว่าการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศหรือไม่ ระบบจะส่งรายงานผลที่แต่ละหน่วยงานส่งมาให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าหน่วยงาน และ รัฐสภา หากตรวจสอบจากรายงานประจําปีแล้วพบว่าหน่วยงานไม่ดําเนินการ โดยไม่มีเหตุผลสมควร สามารส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พิจารณาดําเนินการกับหัวหน้าหน่วยงานของรัฐได้
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษานําเสนอ เรื่อง “ทิศทางการปฏิรูปการศึกษา” กล่าวโดยสรุปว่า การศึกษาในประเทศไทยกําลังเกิดวิกฤตอย่างยิ่งยวด เนื่องจากคุณภาพต่ํา มีความเหลื่อมล้ําสูง ระดับความสามารถของนักเรียนไทยเปรียบเทียบกับนานาชาติไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเห็นได้จากผลคะแนน และผลสํารวจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคะแนน O-NET ที่ตกต่ํา ผลการสอบ PISA ของไทย ที่ต่ํากว่าเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อเทียบความสามารถในการแข่งขันในปี ค.ศ. ๒๐๑๗ - ๒๐๑๘ อยู่ในระดับที่ ๓๒ ตกลงจากอันดับเดิม และมีอันดับน้อยกว่ามาเลเซีย ไทยใช้งบประมาณด้านการศึกษาจํานวนมากแต่คุณภาพการศึกษายังต่ํา ขณะที่เวียดนามใช้งบประมาณด้านการศึกษาน้อยกว่าแต่คุณภาพการศึกษาดีกว่า ปัญหาการศึกษาไทยเกิดจากความไม่ตระหนัก ไม่เห็นความสําคัญเท่าที่ควร ขาดการมีส่วนร่วม ขาดความรับผิดชอบ บ้างเห็นว่าธุระไม่ใช่ การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงสําคัญอย่างยิ่ง เพราะหากปฏิรูปการศึกษาไม่สําเร็จ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ล้าหลัง ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงต้องจากเกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคปฏิบัติ และภาควิชาการที่ต้องมาร่วมกันปฏิรูปการศึกษา โดยต้องให้ความสําคัญกับผู้เรียนเป็นสําคัญ คืนศรัทธาให้นักเรียนและครู และต้องใช้นวัตกรรมมาช่วยในการศึกษา ให้ความเป็นอิสระของโรงเรียน ขณะนี้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กําลังผลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดสถาบันหลักสูตรและการเรียนการสอน เพื่อช่วยเหลือ พัฒนาครู ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ หลักสูตรจะเน้นฐานสมรรถนะ มีการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ เพื่อให้ครูนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูล นักเรียนสามารถฝึกฝนเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ลดปัญหาความเหลื่อมล้ํา สําหรับการสอบจะเน้นการประเมินที่ไม่ใช้เพื่อตัดสิน แต่เพื่อให้นักเรียนทราบสิ่งที่ตนเองต้องพัฒนา รวมถึงต้องมีการปฏิรูปอุดมศึกษา ให้ผลิตบัณฑิตตรงความต้องการของประเทศ และอุดมศึกษาควรมีส่วนมาเป็นพี่เลี้ยงหรือให้องค์ความรู้กับโรงเรียนในพื้นที่ เป็นต้น สําหรับสิ่งที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ได้ดําเนินการแล้ว คือ พ.ร.บ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ํา ได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว สําหรับ ร่าง พ.ร.บ. พัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ. การอุดมศึกษาแห่งชาติ และร่าง พ.ร.บ. เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้จัดทําเสร็จเรียบร้อยและเสนอรัฐบาลแล้ว นอกจากนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนการสอนแห่งชาติยกร่างเสร็จแล้ว และพร้อมเสนอคณะรัฐมนตรี รวมถึงกําลังยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... เมื่อเสร็จแล้วจะสามารถเป็นธรรมนูญทางการศึกษา สุดท้ายขอฝากว่า การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้จะสําเร็จได้สังคมไทยต้องตื่น ตระหนัก ต้องเปลี่ยนคือปรับใจ ปรับพฤติกรรม ร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ดูดาย รับผิดชอบ เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพื่อการศึกษาของไทย
ในช่วงบ่ายมีการเสวนาเรื่อง “การปรับทิศทางการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปของประเทศไทย” โดยมีวิทยากรได้แก่ นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.เชิดศักดิ์ ศรีสง่าชัยศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น นายพงษ์พิศาล ชินสําราญ ศึกษาธิการจังหวัดปราจีนบุรี และการเสวนาเรื่อง “สานพลังปฏิรูปประเทศจากมุมมองของผู้ปฏิบัติ” โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายนิพนธ์ ก้องเวหา ผู้อํานวยการ สพม.เขต ๙ นายพงษ์ศักดิ์ นุ้ยเจริญ ผู้อํานวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อํานวยการวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดําเนินรายการโดย คุณณัฐมน ไทยประสิทธิ์เจริญ
ที่มา:ประชาสัมพันธ์ สกศ.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12775
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.สมคิดฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กรมทางหลวงในสังกัดกระทรวงคมนาคม
|
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รอง นรม.สมคิดฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานแก่กรมทางหลวงในสังกัดกระทรวงคมนาคม
รอง นรม.สมคิดฯ ย้ําควรเน้นความเชื่อมโยงของการคมนาคมขนส่งที่จะทําให้ระบบขนส่งของประเทศมีความคล่องตัวและเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น
วันนี้ (5 มกราคม 2561) เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมสวัสดิ์วรวิถี ชั้น 2 อาคารพหลโยธิน กรมทางหลวง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานแก่กรมทางหลวง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมรับฟังนโยบาย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวรายงานถึงผลการดําเนินงานแผนงานโครงการสําคัญตามนโยบายรัฐบาลแก่กรมทางหลวงในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมีแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนงานสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาทางหลวง เชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างบูรณาการ โดยจะต้องมีการเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางบนโครงข่ายทางหลวง เชื่อมต่อโครงข่ายระเบียงเศรษฐกิจระหว่างทางหลวงและพื้นที่สําคัญทั่วประเทศเพื่อเร่งรัดการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายทางหลวงในการเข้าถึงพื้นที่อย่างครอบคลุม ตลอดจนสนับสนุนการเชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมระบบรางรวมทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนรูปแบบระบบการขนส่ง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ โดยจะมีโครงการก่อสร้างและปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ซึ่งจะมีการก่อสร้างเพิ่มช่องจราจร ประมาณ 3,680 กิโลเมตร ทั่วประเทศ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร ระยะ 2 ประมาณ 1,160 กิโลเมตร ทั่วประเทศ โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับ สะพาน อุโมงค์ ประมาณ 75 แห่ง ทั่วประเทศ และโครงการบูรณะปรับปรุงทาง ประมาณ 1,490 กิโลเมตร ทั่วประเทศ อีกด้วย
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายว่า เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายหลักคือการลดความเหลื่อมล้ํา และการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท การท่องเที่ยวเป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ผลหลัก ๆ ของความยากจน คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมักมาจบที่เมืองใหญ่หมด ดังนั้นทําให้เมืองที่อยู่ในชนบทมีความขาดแคลนด้านการพัฒนาต่าง ๆ ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงมองเห็นว่าการจะแก้ไขปัญหาให้กับประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ําและความยากจนลงมาให้ได้นั้น ถนนทางหลวง คือตัวหลักซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมไปยังจุดสําคัญ ๆ ในทุกกลุ่มจังหวัด และจะต้องมีเส้นทางระหว่างกลุ่มจังหวัด ต้องให้กลุ่มจังหวัดเป็นศูนย์กลาง มีการวางจุดเชื่อมต่อ มีการวางแผน เน้นจุดเชื่อมต่อในเมืองรองในส่วนของการนํายางพารามาใช้ก็ต้องนํามาใช้อย่างเต็มที่ เพราะจากการสํารวจยังมีถนนในหลายพื้นที่ไม่มีการลาดยางลงไป
ในส่วนของรถไฟ ควรมีการพัฒนาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการใน 2-3 ปีนี้ ต้องทําให้เร็ว ต้องรถไฟนําไม่ใช่ให้รถนํา บางครั้งอาจจําเป็นต้องตั้งบริษัทลูกขึ้นมา และต้องพัฒนาองค์กรเดิมให้แข็งแรงขึ้น และในบางพื้นที่อาจจะเหมาะสมกับรถไฟทางเดียวมากกว่า หรือบางพื้นต้องใช่รถไฟรางคู่ ซึ่งจะช่วยรองรับถนนหนทางในบางพื้นที่ได้
*********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.สมคิดฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่กรมทางหลวงในสังกัดกระทรวงคมนาคม
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รอง นรม.สมคิดฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานแก่กรมทางหลวงในสังกัดกระทรวงคมนาคม
รอง นรม.สมคิดฯ ย้ําควรเน้นความเชื่อมโยงของการคมนาคมขนส่งที่จะทําให้ระบบขนส่งของประเทศมีความคล่องตัวและเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น
วันนี้ (5 มกราคม 2561) เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมสวัสดิ์วรวิถี ชั้น 2 อาคารพหลโยธิน กรมทางหลวง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานแก่กรมทางหลวง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมรับฟังนโยบาย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวรายงานถึงผลการดําเนินงานแผนงานโครงการสําคัญตามนโยบายรัฐบาลแก่กรมทางหลวงในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมีแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนงานสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาทางหลวง เชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างบูรณาการ โดยจะต้องมีการเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางบนโครงข่ายทางหลวง เชื่อมต่อโครงข่ายระเบียงเศรษฐกิจระหว่างทางหลวงและพื้นที่สําคัญทั่วประเทศเพื่อเร่งรัดการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายทางหลวงในการเข้าถึงพื้นที่อย่างครอบคลุม ตลอดจนสนับสนุนการเชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมระบบรางรวมทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนรูปแบบระบบการขนส่ง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ โดยจะมีโครงการก่อสร้างและปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ซึ่งจะมีการก่อสร้างเพิ่มช่องจราจร ประมาณ 3,680 กิโลเมตร ทั่วประเทศ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร ระยะ 2 ประมาณ 1,160 กิโลเมตร ทั่วประเทศ โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับ สะพาน อุโมงค์ ประมาณ 75 แห่ง ทั่วประเทศ และโครงการบูรณะปรับปรุงทาง ประมาณ 1,490 กิโลเมตร ทั่วประเทศ อีกด้วย
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายว่า เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายหลักคือการลดความเหลื่อมล้ํา และการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท การท่องเที่ยวเป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ผลหลัก ๆ ของความยากจน คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมักมาจบที่เมืองใหญ่หมด ดังนั้นทําให้เมืองที่อยู่ในชนบทมีความขาดแคลนด้านการพัฒนาต่าง ๆ ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงมองเห็นว่าการจะแก้ไขปัญหาให้กับประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ําและความยากจนลงมาให้ได้นั้น ถนนทางหลวง คือตัวหลักซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมไปยังจุดสําคัญ ๆ ในทุกกลุ่มจังหวัด และจะต้องมีเส้นทางระหว่างกลุ่มจังหวัด ต้องให้กลุ่มจังหวัดเป็นศูนย์กลาง มีการวางจุดเชื่อมต่อ มีการวางแผน เน้นจุดเชื่อมต่อในเมืองรองในส่วนของการนํายางพารามาใช้ก็ต้องนํามาใช้อย่างเต็มที่ เพราะจากการสํารวจยังมีถนนในหลายพื้นที่ไม่มีการลาดยางลงไป
ในส่วนของรถไฟ ควรมีการพัฒนาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการใน 2-3 ปีนี้ ต้องทําให้เร็ว ต้องรถไฟนําไม่ใช่ให้รถนํา บางครั้งอาจจําเป็นต้องตั้งบริษัทลูกขึ้นมา และต้องพัฒนาองค์กรเดิมให้แข็งแรงขึ้น และในบางพื้นที่อาจจะเหมาะสมกับรถไฟทางเดียวมากกว่า หรือบางพื้นต้องใช่รถไฟรางคู่ ซึ่งจะช่วยรองรับถนนหนทางในบางพื้นที่ได้
*********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) [กระทรวงมหาดไทย]
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
กระทรวงมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) [กระทรวงมหาดไทย]
กระทรวงมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19)
วันนี้ (9 เม.ย.63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ได้มีการแพร่กระจาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนเป็นวงกว้างทั่วทั้งประเทศ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้รับการหารือจากจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถึงแนวทางในการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดําเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 ในกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19)
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนตามอํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เป็นไปตามระเบียบฯ ดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งไปยังจังหวัดทุกจังหวัดซักซ้อมแนวทางปฏิบัติการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านสาธารณภัย การให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต และการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ
2. การใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีดังกล่าว ให้ดําเนินการตามระเบียบฯ ในหมวดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือประชาชน โดยใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบกลาง ประเภทเงินสํารองจ่าย และหมวดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือเงินสะสม ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติให้ยกเว้นการใช้จ่ายเงินสะสมตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุด ที่ มท 0808.2/ว1608 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2563 หรือเงินทุนสํารองเงินสะสมหรือโอนงบประมาณไปตั้งจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการดังกล่าว
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัดเร่งซักซ้อมความเข้าใจในการดําเนินการตามระเบียบฯ ดังกล่าวกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสามารถดําเนินการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ และหากพบปัญหาในการปฏิบัติให้จังหวัดหารือมายังกระทรวงมหาดไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) [กระทรวงมหาดไทย]
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
กระทรวงมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) [กระทรวงมหาดไทย]
กระทรวงมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชนกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19)
วันนี้ (9 เม.ย.63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ได้มีการแพร่กระจาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนเป็นวงกว้างทั่วทั้งประเทศ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้รับการหารือจากจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถึงแนวทางในการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดําเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 ในกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19)
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนตามอํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เป็นไปตามระเบียบฯ ดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งไปยังจังหวัดทุกจังหวัดซักซ้อมแนวทางปฏิบัติการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านสาธารณภัย การให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต และการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ
2. การใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีดังกล่าว ให้ดําเนินการตามระเบียบฯ ในหมวดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือประชาชน โดยใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบกลาง ประเภทเงินสํารองจ่าย และหมวดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือเงินสะสม ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติให้ยกเว้นการใช้จ่ายเงินสะสมตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุด ที่ มท 0808.2/ว1608 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2563 หรือเงินทุนสํารองเงินสะสมหรือโอนงบประมาณไปตั้งจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการดังกล่าว
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัดเร่งซักซ้อมความเข้าใจในการดําเนินการตามระเบียบฯ ดังกล่าวกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสามารถดําเนินการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ และหากพบปัญหาในการปฏิบัติให้จังหวัดหารือมายังกระทรวงมหาดไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28721
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. เสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ สำนึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔ พื้นที่ภาคเหนือ
|
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
ยธ. เสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ สํานึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔ พื้นที่ภาคเหนือ
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ สํานึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔
ในวันพุธที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ
สํานึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔
พื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง
จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑ – ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑
ณ โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อ “นโยบายกระทรวงยุติธรรมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
และส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม” เพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจที่จําเป็น
ต่อการป้องกันและยับยั้งการทุจริต ให้แก่บุคลากรระดับอํานวยการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง ให้สามารถกํากับดูแลและดํารงตนเป็นแบบอย่างที่ดี
แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในการป้องกันและยับยั้งการทุจริตภายในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. เสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ สำนึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔ พื้นที่ภาคเหนือ
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
ยธ. เสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ สํานึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔ พื้นที่ภาคเหนือ
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ สํานึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔
ในวันพุธที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างเกียรติภูมิข้าราชการ
สํานึกข้าราชการไทยยับยั้งการทุจริต รุ่นที่ ๔
พื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง
จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑ – ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑
ณ โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง เชียงใหม่ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อ “นโยบายกระทรวงยุติธรรมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
และส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม” เพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจที่จําเป็น
ต่อการป้องกันและยับยั้งการทุจริต ให้แก่บุคลากรระดับอํานวยการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง ให้สามารถกํากับดูแลและดํารงตนเป็นแบบอย่างที่ดี
แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในการป้องกันและยับยั้งการทุจริตภายในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10941
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม ร่วมมือกับสภาทนายความฯ หาแนวทาง ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
|
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
ก.ยุติธรรม ร่วมมือกับสภาทนายความฯ หาแนวทาง ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย
กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม
เนื่องจากถูกผู้จําหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ฟ้องร้องดําเนินคดี จากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพ
ของคนบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๘
ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวเพื่อกําหนดประเด็นและวางแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและคดีความ
แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
โดยมี พันตํารวจโทวิชัย สุวรรณประเสริฐ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้
และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ศนธ.)
พร้อมด้วยผู้แทนจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม ร่วมมือกับสภาทนายความฯ หาแนวทาง ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
ก.ยุติธรรม ร่วมมือกับสภาทนายความฯ หาแนวทาง ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย
กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม
เนื่องจากถูกผู้จําหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ฟ้องร้องดําเนินคดี จากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพ
ของคนบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๘
ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวเพื่อกําหนดประเด็นและวางแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและคดีความ
แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
โดยมี พันตํารวจโทวิชัย สุวรรณประเสริฐ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้
และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ศนธ.)
พร้อมด้วยผู้แทนจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7529
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยัน คำสั่ง ม.44 แก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองแร่ทองคำ เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่
|
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยัน คําสั่ง ม.44 แก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองแร่ทองคํา เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่
นายกรัฐมนตรียืนยัน คําสั่ง ม.44 แก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองแร่ทองคํา เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่ ระบุรัฐบาลให้ความสําคัญประชาชนมากกว่าผลประโยชน์
วันนี้ (29 สิงหาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชา 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชากล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการออกคําสั่ง ม.44 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ภายหลังจากบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ ของออสเตรเลีย เป็นผู้ร่วมทุนใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาท ว่า ขออย่านําคดีรับจํานําข้าวมาเทียบกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งกรณีของบริษัทอัครา รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติดําเนินการเพราะมีการเรียกร้องจากประชาชน จึงจําเป็นต้องสั่งให้หยุดการทํางานเพื่อให้มีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่ามีผลอะไรหรือไม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการทําเพื่อประชาชนแม้ในทางกฏหมายมีทางสู้มากมาย แต่ก็ควรจะเสี่ยง ขณะเดียวกันควรคํานึงถึงประชาชนเพราะส่วนตัวไม่ได้ประโยชน์จากการ เปิด - ปิดเหมืองแร่ พร้อมกล่าวยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับประชาชนมากกว่า จะได้เงินหรือเสียเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหากไม่ดําเนินการก็จะไม่เกิดความชัดเจน รวมถึงเกิดการเรียกร้องเดินขบวน ขณะที่ส่วนตัวทําตามคําเรียกร้องพอเกิดปัญหากลับให้รัฐบาลรับผิดชอบ จึงมองว่าเป็นคนละเรื่องกับคดีรับจํานําข้าวเพราะจํานําข้าวเป็นเรื่องของการทุจริตจึงขอให้แยกแยะด้วย
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวยังไม่ได้มีการเรียกร้องใด ๆ เพราะอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและยังไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดหรือถูกแต่หากเป็นเรื่องกฏหมายระหว่างประเทศก็ต้องสู้คดีต่อไป ซึ่งหากมีการใช้มาตรา 44 ส่วนตัวไม่ต้องกลัวอะไรเพราะมาตรา 44 คุ้มครองอยู่แล้ว จึงขอให้แยกแยะว่าส่วนตัวทําเพื่อใคร แต่ยืนยันจะพยายามทําเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย
----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยัน คำสั่ง ม.44 แก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองแร่ทองคำ เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยัน คําสั่ง ม.44 แก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองแร่ทองคํา เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่
นายกรัฐมนตรียืนยัน คําสั่ง ม.44 แก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองแร่ทองคํา เพื่อตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่ ระบุรัฐบาลให้ความสําคัญประชาชนมากกว่าผลประโยชน์
วันนี้ (29 สิงหาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชา 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชากล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการออกคําสั่ง ม.44 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ภายหลังจากบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ ของออสเตรเลีย เป็นผู้ร่วมทุนใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาท ว่า ขออย่านําคดีรับจํานําข้าวมาเทียบกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งกรณีของบริษัทอัครา รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติดําเนินการเพราะมีการเรียกร้องจากประชาชน จึงจําเป็นต้องสั่งให้หยุดการทํางานเพื่อให้มีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่ามีผลอะไรหรือไม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการทําเพื่อประชาชนแม้ในทางกฏหมายมีทางสู้มากมาย แต่ก็ควรจะเสี่ยง ขณะเดียวกันควรคํานึงถึงประชาชนเพราะส่วนตัวไม่ได้ประโยชน์จากการ เปิด - ปิดเหมืองแร่ พร้อมกล่าวยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับประชาชนมากกว่า จะได้เงินหรือเสียเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหากไม่ดําเนินการก็จะไม่เกิดความชัดเจน รวมถึงเกิดการเรียกร้องเดินขบวน ขณะที่ส่วนตัวทําตามคําเรียกร้องพอเกิดปัญหากลับให้รัฐบาลรับผิดชอบ จึงมองว่าเป็นคนละเรื่องกับคดีรับจํานําข้าวเพราะจํานําข้าวเป็นเรื่องของการทุจริตจึงขอให้แยกแยะด้วย
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวยังไม่ได้มีการเรียกร้องใด ๆ เพราะอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและยังไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดหรือถูกแต่หากเป็นเรื่องกฏหมายระหว่างประเทศก็ต้องสู้คดีต่อไป ซึ่งหากมีการใช้มาตรา 44 ส่วนตัวไม่ต้องกลัวอะไรเพราะมาตรา 44 คุ้มครองอยู่แล้ว จึงขอให้แยกแยะว่าส่วนตัวทําเพื่อใคร แต่ยืนยันจะพยายามทําเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย
----------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6284
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ
|
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ
“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ ยกระดับให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมพื้นที่ทําเลทอง สั่งทุบหลายอาคารปรับแลนด์มาร์คใหม่หมด เสริมเป็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทันสมัยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ ยกระดับให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมพื้นที่ทําเลทอง สั่งทุบหลายอาคารปรับแลนด์มาร์คใหม่หมด เสริมเป็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทันสมัยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
วันที่ 28 กันยายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานขององค์การสะพานปลา และสะพานปลากรุงเทพ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ โดยมี นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการองค์การสะพานปลา ดร.มณเฑียร อินทร์น้อย ผู้อํานวยการองค์การสะพานปลา คณะผู้บริหาร และพนักงานองค์การสะพานปลา ให้การต้อนรับ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยฯ ได้มอบนโยบายในการเร่งรัดพัฒนาพื้นที่ขององค์การสะพานปลากับสะพานปลากรุงเทพ ให้เป็นแหล่งตลาดสัตว์น้ําที่ทันสมัย ถูกสุขลักษณะ และมีมาตรฐานทัดเทียมกับตลาดสัตว์น้ําต่างประเทศ ที่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมเมืองได้ เช่น ตลาดสัตว์น้ําประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศออสเตรเลีย เพื่อยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยตลาดกลางสัตว์น้ําและสินค้าสัตว์น้ําให้เป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นําเข้าและส่งออกสัตว์น้ํา และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ซึ่งตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางการค้าและแหล่งท่องเที่ยว จึงสามารถพัฒนาทั้งในเชิงธุรกิจและการท่องเที่ยว เน้นความทันสมัย มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นสากล และมีความเหมาะสมด้านสภาพแวดล้อม
“การหารือร่วมกับหัวหน้าส่วน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ ได้รับทราบปัญหาและได้มอบแนวทางการดําเนินงานเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยจําเป็นต้องปรับรูปแบบอาคารเดิม หรือทุบอาคารที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในย่านนี้ พร้อมส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ทันสมัย รองรับนักท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค” นายประภัตร กล่าว
กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ
“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ ยกระดับให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมพื้นที่ทําเลทอง สั่งทุบหลายอาคารปรับแลนด์มาร์คใหม่หมด เสริมเป็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทันสมัยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
“ประภัตร”เร่งรัดพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ ยกระดับให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมพื้นที่ทําเลทอง สั่งทุบหลายอาคารปรับแลนด์มาร์คใหม่หมด เสริมเป็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทันสมัยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
วันที่ 28 กันยายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานขององค์การสะพานปลา และสะพานปลากรุงเทพ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ โดยมี นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการองค์การสะพานปลา ดร.มณเฑียร อินทร์น้อย ผู้อํานวยการองค์การสะพานปลา คณะผู้บริหาร และพนักงานองค์การสะพานปลา ให้การต้อนรับ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยฯ ได้มอบนโยบายในการเร่งรัดพัฒนาพื้นที่ขององค์การสะพานปลากับสะพานปลากรุงเทพ ให้เป็นแหล่งตลาดสัตว์น้ําที่ทันสมัย ถูกสุขลักษณะ และมีมาตรฐานทัดเทียมกับตลาดสัตว์น้ําต่างประเทศ ที่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมเมืองได้ เช่น ตลาดสัตว์น้ําประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศออสเตรเลีย เพื่อยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยตลาดกลางสัตว์น้ําและสินค้าสัตว์น้ําให้เป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นําเข้าและส่งออกสัตว์น้ํา และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ซึ่งตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางการค้าและแหล่งท่องเที่ยว จึงสามารถพัฒนาทั้งในเชิงธุรกิจและการท่องเที่ยว เน้นความทันสมัย มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นสากล และมีความเหมาะสมด้านสภาพแวดล้อม
“การหารือร่วมกับหัวหน้าส่วน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ ได้รับทราบปัญหาและได้มอบแนวทางการดําเนินงานเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยจําเป็นต้องปรับรูปแบบอาคารเดิม หรือทุบอาคารที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในย่านนี้ พร้อมส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ทันสมัย รองรับนักท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค” นายประภัตร กล่าว
กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23479
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ำกว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
|
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
วันนี้ (19 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจําวัน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย มีผู้ที่หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้น 141 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้วจํานวน 1,928 ราย พบผู้ป่วยใหม่ 32 ราย ซึ่งในนี้ 4 รายอยู่ในระบบ State Quarantine รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 ราย และไม่พบมีผู้เสียชีวิต ทําให้จํานวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 47 ราย กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ทําให้อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยลดต่ําลงอยู่ที่ 39 ปี ซึ่งมีจํานวน 658 หรือ 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ ขณะนี้จํานวนผู้ป่วยรักษามีเพียง 790 กว่าราย ซึ่งเป็นตัวเลขต่ํากว่าพัน ทําให้การใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ลดน้อยลง สําหรับผู้ป่วยที่หายกลับบ้านทั้ง 1928 รายนั้น เป็นบุคคลที่ปลอดภัยและมีภูมิคุ้มกัน สามารถบริจาคพลาสมาให้กับสภากาชาดไทย เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยคนอื่นต่อไป
สําหรับผู้ป่วยเพิ่มเติม 32 รายโดยเป็นผู้ป่วยอยู่ในระบบเฝ้า ระวัง 28 ราย และอยู่ในระบบ State Quarantine จํานวน 4 ราย รวมทั้งหมด 32 ราย แบ่งแยกเป็นกลุ่มผู้ใกล้ชิดหรือสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้า จํานวน 18 ราย ไปชุมนุม ตลาดนัด จํานวน 2 ราย อาชีพเสี่ยง 3 ราย อยู่ระหว่างการตรวจสอบโรค 5 ราย และเป็นผู้ป่วยที่กลับมาจากต่างประเทศ จํานวน 4 ราย คือ จากอินโดนิเซียเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย เป็น 62 จาก 70 กว่าราย สหรัฐอเมริการเพิ่มขึ้นอีก 1 เป็น 3 ราย จากอังกฤษ 2 ราย ซึ่งเป็นความสําคัญของการมีระบบ State Quarantine ทําให้ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศจะไม่ไปแพร่เชื้อ
จากพื้นที่แสดงจังหวัดยืนยันรับผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยกรุงเทพ ฯ ยังเป็นอันดับหนึ่งที่มีผู้ป่วยยืนยันอยู่ ที่ 1,425 ราย ตามมาด้วย ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ยะลา ส่วน 10 จังหวัดที่มีอัตราการป่วยสูงสุด 1 แสนประชากร คือ ภูเก็ต กรุงเทพ ยะลา ปัตตานี ขณะที่ 9 จังหวัดที่ยังมีรายงานไม่พบผู้ป่วยยังคงเดิม ได้แก่ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง รวมทั้ง 33 จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง 14 วัน (5-18 เมษายน 63) ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอนกาญจนบุรี กาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก บุรีรัมย์มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลําพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรีสุโขทัย หนองคาย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญอุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี ระยอง ตาก โดยเพิ่มเติมอีก4 จังหวัด คือ ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา สกลนคร สุรินทร์
ขณะที่ ผู้ป่วยรายใหม่ในกรุงเทพ-นนทบุรียังคงมีแนวโน้มพบผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดยังมีแนวโน้มขึ้นลง ผลจากระบบ State Quaratnine ซึ่งมีความสําคัญเนื่องจากเป็นระบบกักกันโรค กักกันคนให้อยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ การกระจายตัวจํานวนผู้ป่วย พบกรุงเทพและนนทบุรีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีประชาชกรจํานวนมาก ขณะที่แนวโ้น้มผู้ป่วยในสามจังหวัดชายแดน รวมทั้งภาคใต้ทั้งหมดลดลง
โฆษก ศบค. เผยบทวิเคราะห์ของกองระบาดวิทยาพบกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อรุ่นอายุ 20 – 39 ปี พบว่า ช่วง มกราคม -18 เมษายน พบ 1,334 ราย ร้อยละ 49 ของผู้ป่วยเป็นกลุ่มวัยนี้ เสียชีวิตไป 3 ราย เป็นชายมากกว่าหญิง สัญชาติไทยร้อยละ 91 กระจายตัวอยู่ในจังหวัด 3 ลําดับแรก กรุงเทพ 732 ราย ภูเก็ต 108 ราย นนทบุรี 68 ราย มีอาชีพเสี่ยง (สถานบันเทิง/โรงแรม/ร้านอาหาร/ร้านนวด/ขับรถโดยสาร) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 19 รับจ้างทั่วไปร้อยละ 18 พนักงานบริษัท/โรงงาน ร้อยละ 14
ปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงแรก มกราคม – 14 มีนาคม เดินทางจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 36 เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงร้อยละ 20 อาชีพเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้าร้อยละ 16 ช่วงที่สอง15 มีนาคม – 18 เมษายน สัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้าร้อยละ 36 กลับมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยร้อยละ 14 เกี่ยวของกับสถานบันเทิงร้อยละ 11 จะเห็นว่าจากสถิติสถานบันเทิงอยู่ทั้ง 2 ช่วงเวลา
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (4 – 18 เมษายน ) พบผู้ป่วยช่วงอายุ 20 – 39 ปี มีจํานวน 351 ราย คิดเป็นร้อยละ 53 ของผู้ป่วยทั้งหมด สัญชาติไทยเป็นส่วนใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้าร้อยละ 42 คนไทยเดินทางจากต่างประเทศร้อยละ 17 อาชีพเสี่ยงร้อยละ 14 เนื่องจากกลุ่มคนอายุนี้เป็นวัยสังคม เป็นวัยที่ชอบพบปะผู้คน เมื่อกลับมาบ้าน ก็นํามาติดคนในบ้านอีก ยังพบว่าอาชีพของผู้ป่วยในกลุ่มอายุนี้ ในกรุงเทพฯ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการ/พนักงานรัฐ/รัฐวิสาหกิจ ภูเก็ต ได้แก่ กลุ่มพนักงานบริการ (นวด/โรงแรม/เสิร์ฟ/สถานบันเทิง) นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ได้แก่ กลุ่มพนักงานบริษัทและโรงงาน กลุ่มคนเหล่านี้เป็นพาหะ อาการอาจจะไม่มาก แต่กระจายเชื้ออย่างกว้างขวาง และอาจทําให้คนอื่น ๆ ป่วยได้
โฆษก ศบค. ย้ําว่า การรายงานข้อมูลทั้งหมดนี้เพื่อให้เรียนรู้ถึงพฤติกรรม นําไปใช้ป้องกันตนเองและเพื่อกําหนดมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,300,000 กว่าคน อาการหนัก 55,000 กว่าคน หายป่วย 590,000 กว่าคน เสียชีวิตไป 160,763 คน วานเสียชีวิตเพิ่มอีก 6,502 คน สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับที่ 1 ของโลก เมื่อวานเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1,857 ราย รองลงมา คือ อังกฤษ เสียชีวิตเพิ่ม 888 ราย ฝรั่งเศส เสียชีวิตเพิ่ม 642 ราย ส่วนประเทศจีนยังสะสมอยู่ที่ 4,632 ราย ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 53 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 คน ผู้ป่วยรายใหม่ 32 คน เสียชีวิตไป 47 คน
ญี่ปุ่นมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 509 รายรวมผู้ป่วยสะสม 10,296 ราย อินโดนีเซีย ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 325 ราย ฟิลิปปินส์ 299 ราย สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 942 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างชาติที่พักอศัยอยู่ในสถานที่แออัด ส่งผลให้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมของสิงคโปร์อยู่ที่ 5,992 ราย และมาเลเซียพบผู้ป่วยรายใหม่ 54 ราย ผู้ป่วยสะสมรวม 5,305 ราย
3.การดําเนินงานตามมาตรการ
การปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว
รายงานผลประจําวันที่ 19 เมษายน 63 มีการชุมนุม มั่วสุม ดําเนินคดี 68 ราย พบประชาชนกระทําความผิด ออกนอกเคหะสถาน 674 ราย นอกจากนี้ ยังมีการกระทําความผิดแยกตามพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ออกนอกเคหสถาน 77 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 6 ราย ชลบุรี รวมกลุ่มมั่วสุม 37 ราย นครราชสีมา ออกนอกเคหสถาน 29 ราย เชียงใหม่ ออกนอกเคหสถาน 13 ราย นครศรีธรรมราช ออกนอกเคหสถาน 17 ราย ซึ่งจังหวัดที่พบการกระทําความผิดสูงสุดก็ยังเป็นกรุงเทพมหานคร ชลบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครราชสีมา ตามลําดับ สําหรับจังหวัดที่ยังไม่พบผู้กระทําความผิด ได้แก่ ยโสธร อํานาจเจริญ ลําปาง น่าน นครพนม แม่ฮ่องสอน สระแก้ว พิจิตร สุโขทัย ต้องชื่นชมกับทางภาคประชาชนและภาคความมั่นคงที่ช่วยกัน
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
โฆษก ศบค. กล่าวการนําคนไทยกลับมายังประเทศไทยว่า ข้อมูล ณ วันที่ 19 เมษายน 2563 มีตัวเลขคนไทยที่จะเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ดังนี้ เนเธอร์แลนด์ จํานวน 27 คน และบาห์เรน จํานวน 74 คน โดยเครื่องบินจะมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งมาจากสหรัฐอเมริกา จํานวน 162 คน เครื่องบินไปลงที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นกลุ่มของ AFS และกลุ่มอื่น ๆ ด้วย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลเรื่องดังกล่าวรองรับคนที่ไทยที่จะเดินทางกลับมาจากต่าง
มาตรการหน้ากากอนามัย
โฆษก ศบค. กล่าวสรุปรายงานการจัดส่งหน้ากากอนามัยว่า ขณะนี้หน้ากากอนามัยมีการจัดส่งไปแล้ว 37 ล้านชิ้น โดยกระทรวงสาธารณสุข จัดส่งไป 1,800,000 กว่าชิ้น สําหรับหน้ากากอนามัย N95 ประชาชน จัดส่งไปแล้ว 119,100 ชิ้น ส่วนชุด PPE ส่งไปแล้ว 8,640 ชุด และชุด PPE อยู่ในระหว่างการจัดส่งอีกประมาณ10,000 กว่าชุด โดยเป็นการจัดส่งกระจายไปทั่วประเทศ ทั้งนี้ขอให้มั่นใจในการดําเนินการภาครัฐอะไรที่มีความสําคัญก็จะเร่งดําเนินการเพื่อที่จะให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในระบบทางด้านสาธารณสุข และทางด้นการแพทย์ของประเทศ ทั้งนี้การทํางานดังกล่าวเป็นความร่วมมือของทุกหน่วยงานและทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการจัดส่งให้ไปถึงตามเป้าหมายที่กําหนด เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดโรค ซึ่งการสวมใส่หน้ากากขณะนี้ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลกก็ยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาจะช่วยในการป้องกันการติดโรคได้
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. เปิดเผยการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ ณ จุดตรวจ โดยเ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ำกว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
วันนี้ (19 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจําวัน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย มีผู้ที่หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้น 141 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้วจํานวน 1,928 ราย พบผู้ป่วยใหม่ 32 ราย ซึ่งในนี้ 4 รายอยู่ในระบบ State Quarantine รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 ราย และไม่พบมีผู้เสียชีวิต ทําให้จํานวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 47 ราย กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ทําให้อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยลดต่ําลงอยู่ที่ 39 ปี ซึ่งมีจํานวน 658 หรือ 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ ขณะนี้จํานวนผู้ป่วยรักษามีเพียง 790 กว่าราย ซึ่งเป็นตัวเลขต่ํากว่าพัน ทําให้การใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ลดน้อยลง สําหรับผู้ป่วยที่หายกลับบ้านทั้ง 1928 รายนั้น เป็นบุคคลที่ปลอดภัยและมีภูมิคุ้มกัน สามารถบริจาคพลาสมาให้กับสภากาชาดไทย เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยคนอื่นต่อไป
สําหรับผู้ป่วยเพิ่มเติม 32 รายโดยเป็นผู้ป่วยอยู่ในระบบเฝ้า ระวัง 28 ราย และอยู่ในระบบ State Quarantine จํานวน 4 ราย รวมทั้งหมด 32 ราย แบ่งแยกเป็นกลุ่มผู้ใกล้ชิดหรือสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้า จํานวน 18 ราย ไปชุมนุม ตลาดนัด จํานวน 2 ราย อาชีพเสี่ยง 3 ราย อยู่ระหว่างการตรวจสอบโรค 5 ราย และเป็นผู้ป่วยที่กลับมาจากต่างประเทศ จํานวน 4 ราย คือ จากอินโดนิเซียเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย เป็น 62 จาก 70 กว่าราย สหรัฐอเมริการเพิ่มขึ้นอีก 1 เป็น 3 ราย จากอังกฤษ 2 ราย ซึ่งเป็นความสําคัญของการมีระบบ State Quarantine ทําให้ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศจะไม่ไปแพร่เชื้อ
จากพื้นที่แสดงจังหวัดยืนยันรับผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยกรุงเทพ ฯ ยังเป็นอันดับหนึ่งที่มีผู้ป่วยยืนยันอยู่ ที่ 1,425 ราย ตามมาด้วย ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ยะลา ส่วน 10 จังหวัดที่มีอัตราการป่วยสูงสุด 1 แสนประชากร คือ ภูเก็ต กรุงเทพ ยะลา ปัตตานี ขณะที่ 9 จังหวัดที่ยังมีรายงานไม่พบผู้ป่วยยังคงเดิม ได้แก่ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง รวมทั้ง 33 จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง 14 วัน (5-18 เมษายน 63) ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอนกาญจนบุรี กาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก บุรีรัมย์มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลําพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรีสุโขทัย หนองคาย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญอุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี ระยอง ตาก โดยเพิ่มเติมอีก4 จังหวัด คือ ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา สกลนคร สุรินทร์
ขณะที่ ผู้ป่วยรายใหม่ในกรุงเทพ-นนทบุรียังคงมีแนวโน้มพบผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดยังมีแนวโน้มขึ้นลง ผลจากระบบ State Quaratnine ซึ่งมีความสําคัญเนื่องจากเป็นระบบกักกันโรค กักกันคนให้อยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ การกระจายตัวจํานวนผู้ป่วย พบกรุงเทพและนนทบุรีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีประชาชกรจํานวนมาก ขณะที่แนวโ้น้มผู้ป่วยในสามจังหวัดชายแดน รวมทั้งภาคใต้ทั้งหมดลดลง
โฆษก ศบค. เผยบทวิเคราะห์ของกองระบาดวิทยาพบกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อรุ่นอายุ 20 – 39 ปี พบว่า ช่วง มกราคม -18 เมษายน พบ 1,334 ราย ร้อยละ 49 ของผู้ป่วยเป็นกลุ่มวัยนี้ เสียชีวิตไป 3 ราย เป็นชายมากกว่าหญิง สัญชาติไทยร้อยละ 91 กระจายตัวอยู่ในจังหวัด 3 ลําดับแรก กรุงเทพ 732 ราย ภูเก็ต 108 ราย นนทบุรี 68 ราย มีอาชีพเสี่ยง (สถานบันเทิง/โรงแรม/ร้านอาหาร/ร้านนวด/ขับรถโดยสาร) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 19 รับจ้างทั่วไปร้อยละ 18 พนักงานบริษัท/โรงงาน ร้อยละ 14
ปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงแรก มกราคม – 14 มีนาคม เดินทางจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 36 เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงร้อยละ 20 อาชีพเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้าร้อยละ 16 ช่วงที่สอง15 มีนาคม – 18 เมษายน สัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้าร้อยละ 36 กลับมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยร้อยละ 14 เกี่ยวของกับสถานบันเทิงร้อยละ 11 จะเห็นว่าจากสถิติสถานบันเทิงอยู่ทั้ง 2 ช่วงเวลา
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (4 – 18 เมษายน ) พบผู้ป่วยช่วงอายุ 20 – 39 ปี มีจํานวน 351 ราย คิดเป็นร้อยละ 53 ของผู้ป่วยทั้งหมด สัญชาติไทยเป็นส่วนใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้าร้อยละ 42 คนไทยเดินทางจากต่างประเทศร้อยละ 17 อาชีพเสี่ยงร้อยละ 14 เนื่องจากกลุ่มคนอายุนี้เป็นวัยสังคม เป็นวัยที่ชอบพบปะผู้คน เมื่อกลับมาบ้าน ก็นํามาติดคนในบ้านอีก ยังพบว่าอาชีพของผู้ป่วยในกลุ่มอายุนี้ ในกรุงเทพฯ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการ/พนักงานรัฐ/รัฐวิสาหกิจ ภูเก็ต ได้แก่ กลุ่มพนักงานบริการ (นวด/โรงแรม/เสิร์ฟ/สถานบันเทิง) นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ได้แก่ กลุ่มพนักงานบริษัทและโรงงาน กลุ่มคนเหล่านี้เป็นพาหะ อาการอาจจะไม่มาก แต่กระจายเชื้ออย่างกว้างขวาง และอาจทําให้คนอื่น ๆ ป่วยได้
โฆษก ศบค. ย้ําว่า การรายงานข้อมูลทั้งหมดนี้เพื่อให้เรียนรู้ถึงพฤติกรรม นําไปใช้ป้องกันตนเองและเพื่อกําหนดมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,300,000 กว่าคน อาการหนัก 55,000 กว่าคน หายป่วย 590,000 กว่าคน เสียชีวิตไป 160,763 คน วานเสียชีวิตเพิ่มอีก 6,502 คน สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับที่ 1 ของโลก เมื่อวานเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1,857 ราย รองลงมา คือ อังกฤษ เสียชีวิตเพิ่ม 888 ราย ฝรั่งเศส เสียชีวิตเพิ่ม 642 ราย ส่วนประเทศจีนยังสะสมอยู่ที่ 4,632 ราย ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 53 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 คน ผู้ป่วยรายใหม่ 32 คน เสียชีวิตไป 47 คน
ญี่ปุ่นมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 509 รายรวมผู้ป่วยสะสม 10,296 ราย อินโดนีเซีย ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 325 ราย ฟิลิปปินส์ 299 ราย สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 942 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างชาติที่พักอศัยอยู่ในสถานที่แออัด ส่งผลให้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมของสิงคโปร์อยู่ที่ 5,992 ราย และมาเลเซียพบผู้ป่วยรายใหม่ 54 ราย ผู้ป่วยสะสมรวม 5,305 ราย
3.การดําเนินงานตามมาตรการ
การปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว
รายงานผลประจําวันที่ 19 เมษายน 63 มีการชุมนุม มั่วสุม ดําเนินคดี 68 ราย พบประชาชนกระทําความผิด ออกนอกเคหะสถาน 674 ราย นอกจากนี้ ยังมีการกระทําความผิดแยกตามพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ออกนอกเคหสถาน 77 ราย รวมกลุ่มมั่วสุม 6 ราย ชลบุรี รวมกลุ่มมั่วสุม 37 ราย นครราชสีมา ออกนอกเคหสถาน 29 ราย เชียงใหม่ ออกนอกเคหสถาน 13 ราย นครศรีธรรมราช ออกนอกเคหสถาน 17 ราย ซึ่งจังหวัดที่พบการกระทําความผิดสูงสุดก็ยังเป็นกรุงเทพมหานคร ชลบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครราชสีมา ตามลําดับ สําหรับจังหวัดที่ยังไม่พบผู้กระทําความผิด ได้แก่ ยโสธร อํานาจเจริญ ลําปาง น่าน นครพนม แม่ฮ่องสอน สระแก้ว พิจิตร สุโขทัย ต้องชื่นชมกับทางภาคประชาชนและภาคความมั่นคงที่ช่วยกัน
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
โฆษก ศบค. กล่าวการนําคนไทยกลับมายังประเทศไทยว่า ข้อมูล ณ วันที่ 19 เมษายน 2563 มีตัวเลขคนไทยที่จะเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ดังนี้ เนเธอร์แลนด์ จํานวน 27 คน และบาห์เรน จํานวน 74 คน โดยเครื่องบินจะมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งมาจากสหรัฐอเมริกา จํานวน 162 คน เครื่องบินไปลงที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นกลุ่มของ AFS และกลุ่มอื่น ๆ ด้วย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลเรื่องดังกล่าวรองรับคนที่ไทยที่จะเดินทางกลับมาจากต่าง
มาตรการหน้ากากอนามัย
โฆษก ศบค. กล่าวสรุปรายงานการจัดส่งหน้ากากอนามัยว่า ขณะนี้หน้ากากอนามัยมีการจัดส่งไปแล้ว 37 ล้านชิ้น โดยกระทรวงสาธารณสุข จัดส่งไป 1,800,000 กว่าชิ้น สําหรับหน้ากากอนามัย N95 ประชาชน จัดส่งไปแล้ว 119,100 ชิ้น ส่วนชุด PPE ส่งไปแล้ว 8,640 ชุด และชุด PPE อยู่ในระหว่างการจัดส่งอีกประมาณ10,000 กว่าชุด โดยเป็นการจัดส่งกระจายไปทั่วประเทศ ทั้งนี้ขอให้มั่นใจในการดําเนินการภาครัฐอะไรที่มีความสําคัญก็จะเร่งดําเนินการเพื่อที่จะให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในระบบทางด้านสาธารณสุข และทางด้นการแพทย์ของประเทศ ทั้งนี้การทํางานดังกล่าวเป็นความร่วมมือของทุกหน่วยงานและทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการจัดส่งให้ไปถึงตามเป้าหมายที่กําหนด เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดโรค ซึ่งการสวมใส่หน้ากากขณะนี้ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลกก็ยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาจะช่วยในการป้องกันการติดโรคได้
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. เปิดเผยการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ ณ จุดตรวจ โดยเ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29336
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “บิ๊กน้อย” นำกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ออกหน่วยบริการแก่ประชาชนในพื้นที่ อำเภอยะหริ่ง “เด่น ดี มีประโยชน์”
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561
“บิ๊กน้อย” นํากระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ออกหน่วยบริการแก่ประชาชนในพื้นที่ อําเภอยะหริ่ง “เด่น ดี มีประโยชน์”
4 ก.ค. 61 ณ โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ 4
4 ก.ค. 61 ณ โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ 4 ศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกระทรวงศึกษาธิการ(ส่วนหน้า) ได้มอบหมายให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี ดําเนินการจัดกิจกรรม “กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่” จังหวัดปัตตานี โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทั้ง 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ และบูรณาการร่วมกันกับส่วนราชการอื่นในพื้นที่ โดยการนําสิ่งที่ “เด่น ดี มีประโยชน์” มาออกหน่วยให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีหน่วยงานที่ตอบรับและเข้าร่วมจํานวนหลายหน่วยงาน เช่น สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2 สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 สํานักงานการศึกษาเอกชนอําเภอยะหริ่ง สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอยะหริ่ง ศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัดปัตตานี มอ.ปัตตานี วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี สํานักงานเกษตรอําเภอยะหริ่ง โรงพยาบาลยะหริ่ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 42 และหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข
พลเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ การจัดการศึกษาต้องคํานึงถึงความสอดคล้องกับอัตลักษณ์ เพื่อตอบสนองความต้องการตามวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และเป็นการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านการศึกษา และการสร้างความสัมพันธ์อันดี เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางการจัดการศึกษา และรับทราบความต้องการของประชาชนในพื้นที่เพื่อนํามาบูรณาการและยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในวันนี้ นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชนโดยทั่วไป จะได้เห็นผลงานการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา สถานศึกษาต่างๆ ที่นํากิจกรรมเด่นของดีมาบริการให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ขอให้การจัดกิจกรรมในวันนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดของนักเรียน นักศึกษา เพื่อพัฒนาตนเอง ไปสู่ความสําเร็จ การมีงานทําและเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป”
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีความมุ่งหมายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งการพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเกิดประโยชน์กับผู้เรียนเป็นสําคัญ เพื่อประเทศชาติจะได้มีบุคลากรที่มีคุณภาพ สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อันจะนําไปสู่วิสัยทัศน์ระยะยาวของประเทศ คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รวมถึงการน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” พร้อมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางหลักในการดําเนินชีวิตได้อย่างดีและศาสตร์พระราชา หลักการทรงงานข้อ 23 “รู้ รัก สามัคคี” ตลอดจนพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานพระราโชบายด้านการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี อันนําไปสู่สันติสุข ความเจริญของสังคมและประเทศชาติต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “บิ๊กน้อย” นำกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ออกหน่วยบริการแก่ประชาชนในพื้นที่ อำเภอยะหริ่ง “เด่น ดี มีประโยชน์”
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561
“บิ๊กน้อย” นํากระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ออกหน่วยบริการแก่ประชาชนในพื้นที่ อําเภอยะหริ่ง “เด่น ดี มีประโยชน์”
4 ก.ค. 61 ณ โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ 4
4 ก.ค. 61 ณ โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่ จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ 4 ศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกระทรวงศึกษาธิการ(ส่วนหน้า) ได้มอบหมายให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี ดําเนินการจัดกิจกรรม “กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) เคลื่อนที่” จังหวัดปัตตานี โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทั้ง 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ และบูรณาการร่วมกันกับส่วนราชการอื่นในพื้นที่ โดยการนําสิ่งที่ “เด่น ดี มีประโยชน์” มาออกหน่วยให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีหน่วยงานที่ตอบรับและเข้าร่วมจํานวนหลายหน่วยงาน เช่น สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2 สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 สํานักงานการศึกษาเอกชนอําเภอยะหริ่ง สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอยะหริ่ง ศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัดปัตตานี มอ.ปัตตานี วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี สํานักงานเกษตรอําเภอยะหริ่ง โรงพยาบาลยะหริ่ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 42 และหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข
พลเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ การจัดการศึกษาต้องคํานึงถึงความสอดคล้องกับอัตลักษณ์ เพื่อตอบสนองความต้องการตามวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และเป็นการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านการศึกษา และการสร้างความสัมพันธ์อันดี เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางการจัดการศึกษา และรับทราบความต้องการของประชาชนในพื้นที่เพื่อนํามาบูรณาการและยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในวันนี้ นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชนโดยทั่วไป จะได้เห็นผลงานการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา สถานศึกษาต่างๆ ที่นํากิจกรรมเด่นของดีมาบริการให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ขอให้การจัดกิจกรรมในวันนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดของนักเรียน นักศึกษา เพื่อพัฒนาตนเอง ไปสู่ความสําเร็จ การมีงานทําและเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป”
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีความมุ่งหมายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งการพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเกิดประโยชน์กับผู้เรียนเป็นสําคัญ เพื่อประเทศชาติจะได้มีบุคลากรที่มีคุณภาพ สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อันจะนําไปสู่วิสัยทัศน์ระยะยาวของประเทศ คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รวมถึงการน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” พร้อมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางหลักในการดําเนินชีวิตได้อย่างดีและศาสตร์พระราชา หลักการทรงงานข้อ 23 “รู้ รัก สามัคคี” ตลอดจนพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานพระราโชบายด้านการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี อันนําไปสู่สันติสุข ความเจริญของสังคมและประเทศชาติต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13579
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัล ปักหมุดสถานที่ราชการ กว่า 60,000 จุด ทั่วประเทศ
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
รัฐบาลเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัล ปักหมุดสถานที่ราชการ กว่า 60,000 จุด ทั่วประเทศ
นายกฯ ปักหมุด “ทําเนียบรัฐบาล” เป็นสถานที่ราชการที่ประชาชนสามารถหาพิกัดดิจิทัล และรับทราบข้อมูลการให้บริการผ่าน แอพพลิเคชัน CITIZENinfo พร้อมเร่งส่วนราชการร่วมปักหมุดครบ 60,000 จุดให้เสร็จสิ้น มิ.ย.นี้ โดยจะสามารถเข้าถึงข้อมูลบริการภาครัฐแบบครบวงจร
วันนี้ (5 มิถุนายน 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ และการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ
เลขาธิการ ก.พ.ร. รายงานว่า การปักหมุดระบุพิกัดตําแหน่งทางดิจิทัล ของทําเนียบรัฐบาลผ่านแอปพลิเคชัน CITIZENinfo ในวันนี้ เป็นความร่วมมือของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และกรมการปกครอง ตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการภาครัฐ ภายใต้โครงการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ (No Copy) และการพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะแสดงบนแอพพลิเคชันที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบริการภาครัฐ รวมทั้งทราบสถานะว่าหน่วยงานใดบ้างที่ยกเลิกการขอสําเนาเอกสารทางราชการจากประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ เช่น สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน สําเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและภาครัฐเอาจริงกับการให้บริการแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้สําเนาเอกสาร มีการทํางานแบบบูรณาการเชื่อมโยงกัน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจากทุกภาคส่วนเพื่อนําไปพัฒนาบริการของภาครัฐต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากมีการประชุมชี้แจงการดําเนินงานฯ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่ามีหน่วยงานภาครัฐและจุดบริการที่ต้องปักหมุดรวมทั้งสิ้นกว่า 60,000 จุด ซึ่งทุกหน่วยงานได้ให้ความสําคัญเร่งดําเนินการ “ปักหมุด” ผ่านระบบกันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่ปัดหมุดจุดให้บริการเรียบร้อยแล้วเกือบ 40,000 จุดทั่วประเทศ และตั้งเป้าว่าการปักหมุดของหน่วยงานภาครัฐจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 61 นี้
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA กล่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การพัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo นี้ จะช่วยให้ประชาชนทราบตําแหน่งและเส้นทางการเดินทางไปยังจุดให้บริการของภาครัฐ พร้อมแสดงรายละเอียดงานบริการ ขั้นตอน และเอกสารที่ประชาชนต้องจัดเตรียมเพื่อเข้ารับบริการ ณ จุดบริการนั้น ๆ ซึ่งได้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบศูนย์กลางข้อมูลคู่มือสําหรับประชาชน พร้อมทั้งแสดงสถานะสําเนาเอกสารที่ยังคงต้องเรียกจากประชาชนในแต่ละจุดบริการ ที่สําคัญสามารถแสดงความเห็นและให้คะแนนความพึงพอใจต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐภายหลังเข้าใช้บริการได้ทันที โดยทุกความคิดเห็นจะนํามาพัฒนางานบริการของภาครัฐให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ตรงใจมากที่สุด
ตอนท้ายนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมหน่วยงานของภาครัฐที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การพัฒนาแอปพลิเคชันดังกล่าวนี้ จะเป็นมิติใหม่ของการปฏิรูประบบราชการ E-Government หรือ รัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการทํางานของระบบราชการได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น ลดการใช้สําเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน โดยมีแค่บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถดําเนินการด้านเอกสารราชการได้ทันที นอกจากจะมีการนําพิกัดตําแหน่งของหน่วยงานราชการมาใช้เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo แล้ว จะมีการเปิดเผยชุดข้อมูลพิกัดตําแหน่งจุดให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ โดยเป็นข้อมูลเปิด เพื่อให้ประชาชนนําไปใช้ประโยชน์ได้ทางเว็บไซต์ data.go.th ซึ่งเป็นแหล่งค้นหาชุดข้อมูลเปิดภาครัฐต่อไปด้วย
.............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัล ปักหมุดสถานที่ราชการ กว่า 60,000 จุด ทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
รัฐบาลเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัล ปักหมุดสถานที่ราชการ กว่า 60,000 จุด ทั่วประเทศ
นายกฯ ปักหมุด “ทําเนียบรัฐบาล” เป็นสถานที่ราชการที่ประชาชนสามารถหาพิกัดดิจิทัล และรับทราบข้อมูลการให้บริการผ่าน แอพพลิเคชัน CITIZENinfo พร้อมเร่งส่วนราชการร่วมปักหมุดครบ 60,000 จุดให้เสร็จสิ้น มิ.ย.นี้ โดยจะสามารถเข้าถึงข้อมูลบริการภาครัฐแบบครบวงจร
วันนี้ (5 มิถุนายน 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ และการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ
เลขาธิการ ก.พ.ร. รายงานว่า การปักหมุดระบุพิกัดตําแหน่งทางดิจิทัล ของทําเนียบรัฐบาลผ่านแอปพลิเคชัน CITIZENinfo ในวันนี้ เป็นความร่วมมือของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และกรมการปกครอง ตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการภาครัฐ ภายใต้โครงการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ (No Copy) และการพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะแสดงบนแอพพลิเคชันที่ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานบริการภาครัฐ รวมทั้งทราบสถานะว่าหน่วยงานใดบ้างที่ยกเลิกการขอสําเนาเอกสารทางราชการจากประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ เช่น สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน สําเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและภาครัฐเอาจริงกับการให้บริการแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้สําเนาเอกสาร มีการทํางานแบบบูรณาการเชื่อมโยงกัน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจากทุกภาคส่วนเพื่อนําไปพัฒนาบริการของภาครัฐต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากมีการประชุมชี้แจงการดําเนินงานฯ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่ามีหน่วยงานภาครัฐและจุดบริการที่ต้องปักหมุดรวมทั้งสิ้นกว่า 60,000 จุด ซึ่งทุกหน่วยงานได้ให้ความสําคัญเร่งดําเนินการ “ปักหมุด” ผ่านระบบกันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่ปัดหมุดจุดให้บริการเรียบร้อยแล้วเกือบ 40,000 จุดทั่วประเทศ และตั้งเป้าว่าการปักหมุดของหน่วยงานภาครัฐจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 61 นี้
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA กล่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การพัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo นี้ จะช่วยให้ประชาชนทราบตําแหน่งและเส้นทางการเดินทางไปยังจุดให้บริการของภาครัฐ พร้อมแสดงรายละเอียดงานบริการ ขั้นตอน และเอกสารที่ประชาชนต้องจัดเตรียมเพื่อเข้ารับบริการ ณ จุดบริการนั้น ๆ ซึ่งได้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบศูนย์กลางข้อมูลคู่มือสําหรับประชาชน พร้อมทั้งแสดงสถานะสําเนาเอกสารที่ยังคงต้องเรียกจากประชาชนในแต่ละจุดบริการ ที่สําคัญสามารถแสดงความเห็นและให้คะแนนความพึงพอใจต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐภายหลังเข้าใช้บริการได้ทันที โดยทุกความคิดเห็นจะนํามาพัฒนางานบริการของภาครัฐให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ตรงใจมากที่สุด
ตอนท้ายนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมหน่วยงานของภาครัฐที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การพัฒนาแอปพลิเคชันดังกล่าวนี้ จะเป็นมิติใหม่ของการปฏิรูประบบราชการ E-Government หรือ รัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการทํางานของระบบราชการได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น ลดการใช้สําเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน โดยมีแค่บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถดําเนินการด้านเอกสารราชการได้ทันที นอกจากจะมีการนําพิกัดตําแหน่งของหน่วยงานราชการมาใช้เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo แล้ว จะมีการเปิดเผยชุดข้อมูลพิกัดตําแหน่งจุดให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ โดยเป็นข้อมูลเปิด เพื่อให้ประชาชนนําไปใช้ประโยชน์ได้ทางเว็บไซต์ data.go.th ซึ่งเป็นแหล่งค้นหาชุดข้อมูลเปิดภาครัฐต่อไปด้วย
.............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12762
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพสามิตชี้แจงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
|
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
กรมสรรพสามิตชี้แจงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
ตามที่ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กกรณีบริษัทเชฟรอนหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีน้ํามันสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีการกล่าวอ้างว่า ผู้บริหารกรมศุลกากรให้คําปรึกษาว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะที่ไหล่ทวีปเป็นการส่งออก จึงไม่ต้องเสียภาษี
ประเด็นการชี้แจงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
ประเด็น :
ตามที่ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กกรณีบริษัทเชฟรอนหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีน้ํามันสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีการกล่าวอ้างว่า ผู้บริหารกรมศุลกากรให้คําปรึกษาว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะที่ไหล่ทวีปเป็นการส่งออก จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ในการปฏิบัติบริษัทเชฟรอน กลับใช้การสําแดงส่งออกเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ เมื่อมีข้อสรุปว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะ เป็นการใช้ในประเทศที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ปรากฏว่ากรมสรรพสามิตไม่ดําเนินการปรับบริษัทเชฟรอน แต่เก็บเฉพาะภาษีสรรพสามิต ประมาณ 2,000 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งความผิดของบริษัทเชฟรอนที่หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีและสําแดงการส่งออกเป็นเท็จ เป็นการกระทําความผิดต่อกฎหมาย พร้อมตั้งคําถามถึงกรมศุลกากรว่า มีการพิจารณาความผิดฐานสําแดงเท็จ หลีกเลี่ยงภาษีอากรหรือไม่ อย่างไร เพราะมีหลักฐานว่า บริษัทเชฟรอน ถูกจับน้ํามันเถื่อนที่ด่านสงขลา 1.6 ล้านลิตร นอกจากนี้ ในภายหลังกรมศุลกากรยังมีการยกเลิกใบขนสินค้าที่เป็นการสําแดงการส่งออกเป็นเท็จ เพื่อไม่ต้องปรับบริษัทเชฟรอน โดยให้จ่ายเฉพาะภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ใช่หรือไม่
ข้อชี้แจง:
1. กรณีที่บริษัทเชฟรอนมีการขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ํามันจากในราชอาณาจักรไปยังแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมที่ตั้งอยู่บนไหล่ทวีปเพื่อใช้ในการสํารวจและผลิตปิโตรเลียมตามที่เป็นข่าวนั้น มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการหลายหน่วยงาน และมีความซับซ้อนของข้อกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับภาคเอกชนและรักษาประโยชน์ของทางราชการ จึงได้มีการหารือไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอคําวินิจฉัย
2. ภายหลังจากที่มีคําวินิจฉัยของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาออกมาแล้วว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะไม่ถือเป็นการส่งออก กรมสรรพสามิตได้ดําเนินการตามกฎหมายและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทเชฟรอนได้มาชําระภาษีสรรพสามิตเต็มจํานวนเมื่อเดือนมีนาคม 2560 ที่สํานักงานสรรพสามิต จังหวัดระยอง 1
3. ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการยื่นคําของดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายและกรมสรรพสามิตได้นําเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคําคัดค้านการประเมินภาษีและพิจารณาการงดหรือลดเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ซึ่งได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวไปแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง (ก.ค. 2560 – ก.ค. 2561) และขณะนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาข้อยุติ
ที่มาข่าว : นสพ.ผู้จัดการรายวัน ประจําวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=226183934743748&id=173713845165
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพสามิตชี้แจงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
กรมสรรพสามิตชี้แจงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
ตามที่ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กกรณีบริษัทเชฟรอนหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีน้ํามันสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีการกล่าวอ้างว่า ผู้บริหารกรมศุลกากรให้คําปรึกษาว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะที่ไหล่ทวีปเป็นการส่งออก จึงไม่ต้องเสียภาษี
ประเด็นการชี้แจงข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
ประเด็น :
ตามที่ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กกรณีบริษัทเชฟรอนหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีน้ํามันสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีการกล่าวอ้างว่า ผู้บริหารกรมศุลกากรให้คําปรึกษาว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะที่ไหล่ทวีปเป็นการส่งออก จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ในการปฏิบัติบริษัทเชฟรอน กลับใช้การสําแดงส่งออกเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ เมื่อมีข้อสรุปว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะ เป็นการใช้ในประเทศที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ปรากฏว่ากรมสรรพสามิตไม่ดําเนินการปรับบริษัทเชฟรอน แต่เก็บเฉพาะภาษีสรรพสามิต ประมาณ 2,000 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งความผิดของบริษัทเชฟรอนที่หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีและสําแดงการส่งออกเป็นเท็จ เป็นการกระทําความผิดต่อกฎหมาย พร้อมตั้งคําถามถึงกรมศุลกากรว่า มีการพิจารณาความผิดฐานสําแดงเท็จ หลีกเลี่ยงภาษีอากรหรือไม่ อย่างไร เพราะมีหลักฐานว่า บริษัทเชฟรอน ถูกจับน้ํามันเถื่อนที่ด่านสงขลา 1.6 ล้านลิตร นอกจากนี้ ในภายหลังกรมศุลกากรยังมีการยกเลิกใบขนสินค้าที่เป็นการสําแดงการส่งออกเป็นเท็จ เพื่อไม่ต้องปรับบริษัทเชฟรอน โดยให้จ่ายเฉพาะภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ใช่หรือไม่
ข้อชี้แจง:
1. กรณีที่บริษัทเชฟรอนมีการขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ํามันจากในราชอาณาจักรไปยังแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมที่ตั้งอยู่บนไหล่ทวีปเพื่อใช้ในการสํารวจและผลิตปิโตรเลียมตามที่เป็นข่าวนั้น มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการหลายหน่วยงาน และมีความซับซ้อนของข้อกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับภาคเอกชนและรักษาประโยชน์ของทางราชการ จึงได้มีการหารือไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอคําวินิจฉัย
2. ภายหลังจากที่มีคําวินิจฉัยของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาออกมาแล้วว่า การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะไม่ถือเป็นการส่งออก กรมสรรพสามิตได้ดําเนินการตามกฎหมายและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทเชฟรอนได้มาชําระภาษีสรรพสามิตเต็มจํานวนเมื่อเดือนมีนาคม 2560 ที่สํานักงานสรรพสามิต จังหวัดระยอง 1
3. ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการยื่นคําของดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายและกรมสรรพสามิตได้นําเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคําคัดค้านการประเมินภาษีและพิจารณาการงดหรือลดเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ซึ่งได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวไปแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง (ก.ค. 2560 – ก.ค. 2561) และขณะนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาข้อยุติ
ที่มาข่าว : นสพ.ผู้จัดการรายวัน ประจําวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=226183934743748&id=173713845165
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตรวจสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ปี 2560 (ฮ.ศ.1438) ทั้งก่อนร่วมพิธี-หลังเดินทางกลับ กว่าหมื่นคน
|
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560
สธ.ตรวจสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ปี 2560 (ฮ.ศ.1438) ทั้งก่อนร่วมพิธี-หลังเดินทางกลับ กว่าหมื่นคน
กระทรวงสาธารณสุข จัดบริการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรค ให้ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ ประจําปี 2560(ฮ.ศ.1438) จํานวน 13,000 คน ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นและวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
วันนี้(27 มีนาคม 2560) ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพมหานคร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นายอรุณ บุญชม ประธานคณะกรรมการอิสลามประจํากรุงเทพมหานคร และนายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ รองอธิบดีกรมการปกครองร่วมพิธีเปิดโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่ไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ประจําปี 2560 (ฮ.ศ.1438) ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ในทุกๆ ปีจะมีผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจากทั่วโลกประมาณ 2-3 ล้านคน เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในจํานวนนี้เป็นชาวไทยมุสลิม จํานวน 13,000 คน กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสําคัญเรื่องการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ควรเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพทั้งก่อนการเดินทาง ระหว่างการเดินทาง และหลังการเดินทาง ซึ่งมีแนวทางการดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ดังนี้ 1.ก่อนเดินทาง ให้บริการตรวจสุขภาพ ประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพโดยหน่วยบริการสาธารณสุขและทีมหมอครอบครัว การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศฟรี และออกเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคหรือเล่มเหลือง 2.จัดส่งหน่วยแพทย์ฮัจย์ไทย ( Thai hajj medical office) ประกอบด้วยทีมสหวิชาชีพในการดูแลสุขภาพ จํานวน 3 ทีม รวมทั้งสิ้น 42 คน ในการให้ความช่วยเหลือดูแลรักษาระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ และ3.หลังกลับจากประกอบพิธีฮัจย์ มีระบบการเฝ้าระวังติดตามโรคติดต่อสําคัญ เช่น โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง เป็นระยะเวลา 1 เดือนทุกคน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงทีถ้ามีปัญหาสุขภาพ โดยผู้ประสานงานฮัจย์ (Mr.Hajj) 54 จังหวัด อสม.ฮัจย์ และทีมหมอครอบครัว จะเป็นผู้ประสานงานระดับพื้นที่ สร้างเครือข่ายผู้ประสานงานฮัจย์หรือมิสเตอร์ฮัจย์ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับเขต และระดับประเทศ
ทางด้านนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ได้จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญ การเตรียมตัว การปฏิบัติตัวก่อนขึ้นเครื่องบิน การดูแลสุขภาพระหว่างประกอบศาสนกิจ และหลังเดินทางกลับ การให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรค การให้บริการตรวจสุขภาพก่อนเดินทางไปแสวงบุญ สําหรับชาวไทยมุสลิมสามารถรับบริการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางได้ที่ 1.สถาบันบําราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี 2.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศท่าเรือกรุงเทพ 3.สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ 4.โรงพยาบาลนวมินทร์9 กรุงเทพฯ 5.โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ 6. สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง 7.สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ 8.สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 และ12 หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422
************************ 27 มีนาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตรวจสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ปี 2560 (ฮ.ศ.1438) ทั้งก่อนร่วมพิธี-หลังเดินทางกลับ กว่าหมื่นคน
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560
สธ.ตรวจสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ปี 2560 (ฮ.ศ.1438) ทั้งก่อนร่วมพิธี-หลังเดินทางกลับ กว่าหมื่นคน
กระทรวงสาธารณสุข จัดบริการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรค ให้ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ ประจําปี 2560(ฮ.ศ.1438) จํานวน 13,000 คน ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นและวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
วันนี้(27 มีนาคม 2560) ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพมหานคร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นายอรุณ บุญชม ประธานคณะกรรมการอิสลามประจํากรุงเทพมหานคร และนายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ รองอธิบดีกรมการปกครองร่วมพิธีเปิดโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่ไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ประจําปี 2560 (ฮ.ศ.1438) ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ในทุกๆ ปีจะมีผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจากทั่วโลกประมาณ 2-3 ล้านคน เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในจํานวนนี้เป็นชาวไทยมุสลิม จํานวน 13,000 คน กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสําคัญเรื่องการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ควรเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพทั้งก่อนการเดินทาง ระหว่างการเดินทาง และหลังการเดินทาง ซึ่งมีแนวทางการดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ดังนี้ 1.ก่อนเดินทาง ให้บริการตรวจสุขภาพ ประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพโดยหน่วยบริการสาธารณสุขและทีมหมอครอบครัว การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศฟรี และออกเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคหรือเล่มเหลือง 2.จัดส่งหน่วยแพทย์ฮัจย์ไทย ( Thai hajj medical office) ประกอบด้วยทีมสหวิชาชีพในการดูแลสุขภาพ จํานวน 3 ทีม รวมทั้งสิ้น 42 คน ในการให้ความช่วยเหลือดูแลรักษาระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ และ3.หลังกลับจากประกอบพิธีฮัจย์ มีระบบการเฝ้าระวังติดตามโรคติดต่อสําคัญ เช่น โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง เป็นระยะเวลา 1 เดือนทุกคน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงทีถ้ามีปัญหาสุขภาพ โดยผู้ประสานงานฮัจย์ (Mr.Hajj) 54 จังหวัด อสม.ฮัจย์ และทีมหมอครอบครัว จะเป็นผู้ประสานงานระดับพื้นที่ สร้างเครือข่ายผู้ประสานงานฮัจย์หรือมิสเตอร์ฮัจย์ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับเขต และระดับประเทศ
ทางด้านนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ได้จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญ การเตรียมตัว การปฏิบัติตัวก่อนขึ้นเครื่องบิน การดูแลสุขภาพระหว่างประกอบศาสนกิจ และหลังเดินทางกลับ การให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรค การให้บริการตรวจสุขภาพก่อนเดินทางไปแสวงบุญ สําหรับชาวไทยมุสลิมสามารถรับบริการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางได้ที่ 1.สถาบันบําราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี 2.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศท่าเรือกรุงเทพ 3.สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ 4.โรงพยาบาลนวมินทร์9 กรุงเทพฯ 5.โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ 6. สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง 7.สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ 8.สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 และ12 หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422
************************ 27 มีนาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2676
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.