title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหรัฐฯ ชื่นชมบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
|
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562
สหรัฐฯ ชื่นชมบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
สหรัฐฯ ชื่นชมบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.00 น. ณ ห้อง Sapphire 108 ชั้น 1 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือกับนายโรเบิร์ต ซี โอไบรอัน (Robert O’Brien) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และหัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐอเมริกาในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีย้ําว่าไทยพร้อมร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน และเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เช่น การลงทุน การต่อต้านการค้ามนุษย์ และการสนับสนุนบทบาทของสหรัฐฯ ในการเพิ่มพูนความร่วมมือกับภูมิภาค พร้อมฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และภริยา โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับที่ประเทศไทย
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ แสดงความขอบคุณในการต้อนรับอย่างอบอุ่นของไทย และกล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ฝากหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อย้ําว่าสหรัฐฯ ให้ความสําคัญกับการกระชับความสัมพันธ์กับไทยในฐานะมิตรประเทศอันใกล้ชิด ชื่นชมการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ และยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการร่วมมือกับไทยและอาเซียนเพื่อประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาคต่อไป
ทั้งสองฝ่ายชื่นชมความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ มีความใกล้ชิดและครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง รวมถึงความท้าทายในรูปแบบใหม่ ไทยมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง สําหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายยินดีที่การประชุม Indo-Pacific Business Forum ในวันนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะสาขาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ดิจิทัล ทั้งนี้ระหว่างการหารือได้มีการหยิบยกประเด็นการประกาศพักสิทธิ GSP บางส่วนของไทย ซึ่งสหรัฐฯ รับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหรัฐฯ ชื่นชมบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562
สหรัฐฯ ชื่นชมบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
สหรัฐฯ ชื่นชมบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.00 น. ณ ห้อง Sapphire 108 ชั้น 1 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือกับนายโรเบิร์ต ซี โอไบรอัน (Robert O’Brien) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และหัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐอเมริกาในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีย้ําว่าไทยพร้อมร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน และเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เช่น การลงทุน การต่อต้านการค้ามนุษย์ และการสนับสนุนบทบาทของสหรัฐฯ ในการเพิ่มพูนความร่วมมือกับภูมิภาค พร้อมฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และภริยา โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับที่ประเทศไทย
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ แสดงความขอบคุณในการต้อนรับอย่างอบอุ่นของไทย และกล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ฝากหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อย้ําว่าสหรัฐฯ ให้ความสําคัญกับการกระชับความสัมพันธ์กับไทยในฐานะมิตรประเทศอันใกล้ชิด ชื่นชมการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ และยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการร่วมมือกับไทยและอาเซียนเพื่อประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาคต่อไป
ทั้งสองฝ่ายชื่นชมความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ มีความใกล้ชิดและครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง รวมถึงความท้าทายในรูปแบบใหม่ ไทยมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง สําหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายยินดีที่การประชุม Indo-Pacific Business Forum ในวันนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะสาขาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ดิจิทัล ทั้งนี้ระหว่างการหารือได้มีการหยิบยกประเด็นการประกาศพักสิทธิ GSP บางส่วนของไทย ซึ่งสหรัฐฯ รับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24298
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิมช้อปใช้” เฟส 1 - 3 ผลตอบรับดีต่อเนื่อง ความนิยม g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มขึ้น ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10 เท่า ใน 1 เดือน
|
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562
“ชิมช้อปใช้” เฟส 1 - 3 ผลตอบรับดีต่อเนื่อง ความนิยม g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มขึ้น ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10 เท่า ใน 1 เดือน
ความคืบหน้ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งเห็นผลความสําเร็จในการใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า g-Wallet ช่อง 2
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งเห็นผลความสําเร็จในการใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า g-Wallet ช่อง 2
ภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 มีผู้ใช้สิทธิ์รวม 3 เฟส จํานวน 11,761,099 ราย มีการใช้จ่ายรวม 16,535 ล้านบาท จากการวิเคราะห์พบว่า การใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเฟส 1 และเฟส 2 มีการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 1 คือ สิทธิ์จํานวน 1,000 บาท ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา การใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 ขยายตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มสูงขึ้นถึง 353 ล้านบาทต่อวัน โดยมีกลุ่มผู้ใช้สิทธิ์มากกว่า 21,000 คนต่อวัน และมีแนวโน้มการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการใช้จ่ายรวม g-Wallet ช่อง 2 ประมาณ 4,928 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 ที่ประมาณ 400 ล้านบาท และมีค่าเฉลี่ยยอดการใช้จ่ายต่อรายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ประมาณ 23,109 บาท อีกทั้ง สัดส่วนการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เมื่อเทียบกับช่อง 1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายรวม สะท้อนความนิยมของประชาชนต่อมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่มีพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง
สําหรับการเข้าร่วมมาตรการนี้ ยังคงเปิดรับการลงทะเบียนของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่ออํานวยความสะดวกและให้มั่นใจได้ว่าผู้สูงอายุทุกคนที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถทยอยเข้าร่วมได้ตามความประสงค์ ในส่วนของการใช้จ่ายภายใต้มาตรการ ยังสามารถดําเนินการอย่างต่อเนื่องโดยจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2563 จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เพื่อมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและมีสิทธิได้รับเงินคืนสูงสุดถึงร้อยละ 20 อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลมาตรการ : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 02 2739020 ต่อ 3523 3508
การรับสมัครร้านค้า : กรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 ต่อ 7
App “เป๋าตัง” : ธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144
ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิมช้อปใช้” เฟส 1 - 3 ผลตอบรับดีต่อเนื่อง ความนิยม g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มขึ้น ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10 เท่า ใน 1 เดือน
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562
“ชิมช้อปใช้” เฟส 1 - 3 ผลตอบรับดีต่อเนื่อง ความนิยม g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มขึ้น ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10 เท่า ใน 1 เดือน
ความคืบหน้ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งเห็นผลความสําเร็จในการใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า g-Wallet ช่อง 2
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” ซึ่งเห็นผลความสําเร็จในการใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า g-Wallet ช่อง 2
ภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 มีผู้ใช้สิทธิ์รวม 3 เฟส จํานวน 11,761,099 ราย มีการใช้จ่ายรวม 16,535 ล้านบาท จากการวิเคราะห์พบว่า การใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเฟส 1 และเฟส 2 มีการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 1 คือ สิทธิ์จํานวน 1,000 บาท ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา การใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 ขยายตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เพิ่มสูงขึ้นถึง 353 ล้านบาทต่อวัน โดยมีกลุ่มผู้ใช้สิทธิ์มากกว่า 21,000 คนต่อวัน และมีแนวโน้มการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการใช้จ่ายรวม g-Wallet ช่อง 2 ประมาณ 4,928 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 ที่ประมาณ 400 ล้านบาท และมีค่าเฉลี่ยยอดการใช้จ่ายต่อรายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ประมาณ 23,109 บาท อีกทั้ง สัดส่วนการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เมื่อเทียบกับช่อง 1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายรวม สะท้อนความนิยมของประชาชนต่อมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่มีพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง
สําหรับการเข้าร่วมมาตรการนี้ ยังคงเปิดรับการลงทะเบียนของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่ออํานวยความสะดวกและให้มั่นใจได้ว่าผู้สูงอายุทุกคนที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถทยอยเข้าร่วมได้ตามความประสงค์ ในส่วนของการใช้จ่ายภายใต้มาตรการ ยังสามารถดําเนินการอย่างต่อเนื่องโดยจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2563 จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เพื่อมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและมีสิทธิได้รับเงินคืนสูงสุดถึงร้อยละ 20 อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลมาตรการ : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 02 2739020 ต่อ 3523 3508
การรับสมัครร้านค้า : กรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 ต่อ 7
App “เป๋าตัง” : ธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144
ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24942
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน
|
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
พม. จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน
พม. จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน
วันนี้ (24 เม.ย. 60) เวลา 15.00 น. ที่ห้องราชา 2 โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีภาวะผู้นําและมีทักษะชีวิตของการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งการเรียนรู้วัฒนธรรมในท้องถิ่นอื่นที่มีความหลากหลาย อันนํามาซึ่งความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย เด็กและเยาวชนชาย-หญิง อายุระหว่าง 15-18 ปี จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี สตูล ยะลา และสงขลา จังหวัดละ 15 คน รวมจํานวน 75 คน เด็กและครอบครัวรับรองจากเทศบาลตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน จังวัดอุดรธานี จํานวน 75 ครอบครัว ผู้ดูแลเด็กจากบ้านพักและครอบครัว 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกเทศมนตรี เจ้าหน้าที่เทศบาล ผู้นําชุมชน คณะกรรมการระดับจังหวัด และผู้สังเกตการณ์ รวมจํานวนทั้งสิ้น 300 คน
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เด็กและเยาวชน คือทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า ที่จะเติบโตเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อน และพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมให้การสนับสนุนเด็กและเยาวชนให้มีโอกาสแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลต่อ ความเป็นอยู่ในชีวิตประจําวัน รวมทั้ง ขาดโอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ และพื้นที่สร้างสรรค์ อาจมีความเสี่ยงต่อการถูกชักชวนไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้ ทั้งนี้ ถือเป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ดูแล และส่งเสริมการพัฒนาเด็กให้รู้เท่าทัน รวมทั้ง การสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กมีพลังที่พร้อมจะเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้วยการพัฒนาสังคมให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป ซึ่งคํากล่าวที่ว่า "การเดินทาง คือ การเรียนรู้” โดยเด็กและเยาวชนต้องเดินทางเป็นระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร เพื่อมาเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะชีวิตที่หลากหลาย มีการเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานที่ ตลอดระยะเวลา 13 วัน ขอให้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ตั้งใจเรียนรู้ เติมเต็มประสบการณ์ รวมทั้ง การเปิดใจยอมรับในสิ่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ภาษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วิทยาการความรู้ และสิ่งแวดล้อม ด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มากที่สุด โดยยึดผลลัพธ์สําคัญ คือ ความตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมไทย เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขท่ามกลาง ความหลากหลาย ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นสร้างสังคมให้เข้มแข็ง และคนในชาติมีความรัก ความสามัคคี ความเอื้ออาทร สามารถ อยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์บนแผ่นดินเดียวกัน
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนในพื้นที่ และรัฐบาลได้ให้ความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม จึงได้จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้น โดยได้ดําเนินการมาแล้ว 8 ปี ซึ่งมีการร่วมจัดกิจกรรมกับจังหวัดอุบลราชธานี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา เพชรบูรณ์ กรุงเทพมหานคร ชัยนาท บุรีรัมย์ และเพชรบุรี โดยในปี 2560 นี้ ได้ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี พื้นที่เทศบาลตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน ดําเนินการระหว่างวันที่ 24 เมษายน ถึง 6 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย ดังนี้ 1) การอบรมเชิงปฏิบัติการ "การพัฒนาทักษะชีวิตเด็ก” ณ โรงแรมนาข่าบุรี รีสอร์ท จังหวัดอุดรธานี เป็นการเตรียมความพร้อมเด็กในด้านการสร้างสัมพันธภาพ การยอมรับความแตกต่าง การคิดวิเคราะห์เหตุผล การทํางานเป็นทีม และพัฒนาภาวะผู้นํา 2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างภาค และการพักกับครอบครัวรับรองในเทศบาลตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก ระยะเวลา 6 วัน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว อาชีพ วัฒนธรรมของชุมชน และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และ 3) การประชุมสรุปบทเรียน และประเมินผลความพึงพอใจจากการเข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งการวางแผนการจัดกิจกรรมขยายผลให้กับกลุ่มเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
"ทั้งนี้ ขอให้เด็กและเยาวชนทุกคนมีกําลังใจในการดํารงชีวิต และยืนหยัดอยู่ในสังคมด้วยความภาคภูมิใจ ตั้งใจเรียน มีระเบียบวินัย รู้จักตั้งเป้าหมายของตนเอง เพื่อไปสู่อนาคตที่ก้าวหน้า ทั้งการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อ อีกทั้งขอให้เป็นคนดีของครอบครัว มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตอาสาทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและสังคมต่อไป หวังว่าทุกคนจะได้นําความรู้และประสบการณ์ชีวิตที่ดี จากการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ไปพัฒนาตนเอง ครอบครัว และชุมชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
พม. จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน
พม. จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน
วันนี้ (24 เม.ย. 60) เวลา 15.00 น. ที่ห้องราชา 2 โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีภาวะผู้นําและมีทักษะชีวิตของการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งการเรียนรู้วัฒนธรรมในท้องถิ่นอื่นที่มีความหลากหลาย อันนํามาซึ่งความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย เด็กและเยาวชนชาย-หญิง อายุระหว่าง 15-18 ปี จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี สตูล ยะลา และสงขลา จังหวัดละ 15 คน รวมจํานวน 75 คน เด็กและครอบครัวรับรองจากเทศบาลตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน จังวัดอุดรธานี จํานวน 75 ครอบครัว ผู้ดูแลเด็กจากบ้านพักและครอบครัว 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกเทศมนตรี เจ้าหน้าที่เทศบาล ผู้นําชุมชน คณะกรรมการระดับจังหวัด และผู้สังเกตการณ์ รวมจํานวนทั้งสิ้น 300 คน
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เด็กและเยาวชน คือทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า ที่จะเติบโตเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อน และพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมให้การสนับสนุนเด็กและเยาวชนให้มีโอกาสแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลต่อ ความเป็นอยู่ในชีวิตประจําวัน รวมทั้ง ขาดโอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ และพื้นที่สร้างสรรค์ อาจมีความเสี่ยงต่อการถูกชักชวนไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้ ทั้งนี้ ถือเป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ดูแล และส่งเสริมการพัฒนาเด็กให้รู้เท่าทัน รวมทั้ง การสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กมีพลังที่พร้อมจะเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้วยการพัฒนาสังคมให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป ซึ่งคํากล่าวที่ว่า "การเดินทาง คือ การเรียนรู้” โดยเด็กและเยาวชนต้องเดินทางเป็นระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร เพื่อมาเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะชีวิตที่หลากหลาย มีการเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานที่ ตลอดระยะเวลา 13 วัน ขอให้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ตั้งใจเรียนรู้ เติมเต็มประสบการณ์ รวมทั้ง การเปิดใจยอมรับในสิ่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ภาษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วิทยาการความรู้ และสิ่งแวดล้อม ด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มากที่สุด โดยยึดผลลัพธ์สําคัญ คือ ความตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมไทย เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขท่ามกลาง ความหลากหลาย ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นสร้างสังคมให้เข้มแข็ง และคนในชาติมีความรัก ความสามัคคี ความเอื้ออาทร สามารถ อยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์บนแผ่นดินเดียวกัน
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนในพื้นที่ และรัฐบาลได้ให้ความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม จึงได้จัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม : แผ่นดินเดียวกัน ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้น โดยได้ดําเนินการมาแล้ว 8 ปี ซึ่งมีการร่วมจัดกิจกรรมกับจังหวัดอุบลราชธานี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา เพชรบูรณ์ กรุงเทพมหานคร ชัยนาท บุรีรัมย์ และเพชรบุรี โดยในปี 2560 นี้ ได้ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี พื้นที่เทศบาลตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน ดําเนินการระหว่างวันที่ 24 เมษายน ถึง 6 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย ดังนี้ 1) การอบรมเชิงปฏิบัติการ "การพัฒนาทักษะชีวิตเด็ก” ณ โรงแรมนาข่าบุรี รีสอร์ท จังหวัดอุดรธานี เป็นการเตรียมความพร้อมเด็กในด้านการสร้างสัมพันธภาพ การยอมรับความแตกต่าง การคิดวิเคราะห์เหตุผล การทํางานเป็นทีม และพัฒนาภาวะผู้นํา 2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างภาค และการพักกับครอบครัวรับรองในเทศบาลตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก ระยะเวลา 6 วัน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว อาชีพ วัฒนธรรมของชุมชน และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และ 3) การประชุมสรุปบทเรียน และประเมินผลความพึงพอใจจากการเข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งการวางแผนการจัดกิจกรรมขยายผลให้กับกลุ่มเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
"ทั้งนี้ ขอให้เด็กและเยาวชนทุกคนมีกําลังใจในการดํารงชีวิต และยืนหยัดอยู่ในสังคมด้วยความภาคภูมิใจ ตั้งใจเรียน มีระเบียบวินัย รู้จักตั้งเป้าหมายของตนเอง เพื่อไปสู่อนาคตที่ก้าวหน้า ทั้งการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อ อีกทั้งขอให้เป็นคนดีของครอบครัว มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตอาสาทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและสังคมต่อไป หวังว่าทุกคนจะได้นําความรู้และประสบการณ์ชีวิตที่ดี จากการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ไปพัฒนาตนเอง ครอบครัว และชุมชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3264
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งหาข้อเท็จจริงกรณีสาวโรงงาน ร้องเรียน หมอลวนลามขณะตรวจร่างกาย
|
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560
สธ.เร่งหาข้อเท็จจริงกรณีสาวโรงงาน ร้องเรียน หมอลวนลามขณะตรวจร่างกาย
กระทรวงสาธารณสุขสั่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เร่งหาข้อเท็จจริง กรณี แพทย์ลวนลามสาวโรงงานขณะตรวจร่างกาย
กระทรวงสาธารณสุขสั่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เร่งหาข้อเท็จจริง กรณี แพทย์ลวนลามสาวโรงงานขณะตรวจร่างกาย
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขในฐานะโฆษกกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาเร่ง ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเป็นนายแพทย์ที่ปฏิบัติเวชกรรมในสถานพยาบาลเอกชน ซึ่งจะมีกฎหมายอีกฉบับหนึ่งคือ พรบ.วิชาชีพเวชกรรม โดยแพทยสภาจะเป็นผู้ดูแลผู้ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐหรือ ภาคเอกชน ให้ประกอบวิชาชีพเป็นไปตามมาตรฐาน และอยู่ในจริยธรรมที่เหมาะสม สําหรับกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหน่วยงานกลาง หน่วยงานหลักดูแลสาธารณสุขของประเทศไทย ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา
ในการตรวจร่างกายผู้ป่วยนั้นมีหลายครั้งที่แพทย์ต้องตรวจผู้ป่วยและสัมผัสร่างกายเพื่อวินิจฉัยโรคให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในกรณีที่มีการตรวจเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันก็ตามควรจะมีบุคคลที่สามโดยเฉพาะเป็นเพศตรงข้ามกันอยู่ด้วย เพื่อเป็นการรับรู้ว่ามีการสัมผัสกับร่างกาย และไม่ให้เกิดการกระทบกับการวินิจฉัยโรคให้เป็นไปตามมาตรฐานโดยทั่วไป ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กําชับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพึงระวังให้เรื่องนี้และให้เป็นอุทาหรณ์ในการปฏิบัติงานต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขขอแนะนําให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเข้าแจ้งความที่สถานีตํารวจและแจ้งมาที่แพทยสภา เพื่อแพทยสภาจะได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนเรื่องราวและข้อเท็จจริง หรือาจร้องเรียนในเรื่องความประพฤติไม่เหมาะสม ประพฤติผิดจริยธรรม หรือประพฤติไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพ
********************** 26 พฤศจิกายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งหาข้อเท็จจริงกรณีสาวโรงงาน ร้องเรียน หมอลวนลามขณะตรวจร่างกาย
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560
สธ.เร่งหาข้อเท็จจริงกรณีสาวโรงงาน ร้องเรียน หมอลวนลามขณะตรวจร่างกาย
กระทรวงสาธารณสุขสั่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เร่งหาข้อเท็จจริง กรณี แพทย์ลวนลามสาวโรงงานขณะตรวจร่างกาย
กระทรวงสาธารณสุขสั่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เร่งหาข้อเท็จจริง กรณี แพทย์ลวนลามสาวโรงงานขณะตรวจร่างกาย
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขในฐานะโฆษกกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาเร่ง ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเป็นนายแพทย์ที่ปฏิบัติเวชกรรมในสถานพยาบาลเอกชน ซึ่งจะมีกฎหมายอีกฉบับหนึ่งคือ พรบ.วิชาชีพเวชกรรม โดยแพทยสภาจะเป็นผู้ดูแลผู้ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐหรือ ภาคเอกชน ให้ประกอบวิชาชีพเป็นไปตามมาตรฐาน และอยู่ในจริยธรรมที่เหมาะสม สําหรับกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหน่วยงานกลาง หน่วยงานหลักดูแลสาธารณสุขของประเทศไทย ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา
ในการตรวจร่างกายผู้ป่วยนั้นมีหลายครั้งที่แพทย์ต้องตรวจผู้ป่วยและสัมผัสร่างกายเพื่อวินิจฉัยโรคให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในกรณีที่มีการตรวจเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันก็ตามควรจะมีบุคคลที่สามโดยเฉพาะเป็นเพศตรงข้ามกันอยู่ด้วย เพื่อเป็นการรับรู้ว่ามีการสัมผัสกับร่างกาย และไม่ให้เกิดการกระทบกับการวินิจฉัยโรคให้เป็นไปตามมาตรฐานโดยทั่วไป ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กําชับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพึงระวังให้เรื่องนี้และให้เป็นอุทาหรณ์ในการปฏิบัติงานต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขขอแนะนําให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเข้าแจ้งความที่สถานีตํารวจและแจ้งมาที่แพทยสภา เพื่อแพทยสภาจะได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนเรื่องราวและข้อเท็จจริง หรือาจร้องเรียนในเรื่องความประพฤติไม่เหมาะสม ประพฤติผิดจริยธรรม หรือประพฤติไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพ
********************** 26 พฤศจิกายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8357
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'ปลัดสมชาย'แจงกองทุนเอสเอ็มอีประชารัฐ สร้างความเท่าเทียมทุกภูมิภาค ผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ ถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ
|
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560
'ปลัดสมชาย'แจงกองทุนเอสเอ็มอีประชารัฐ สร้างความเท่าเทียมทุกภูมิภาค ผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ ถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา
กรณีที่มีข่าวว่าผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ ตจว. ยากที่จะเข้าถึงสินเชื่อในโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ต้องการสนับสนุนเงินทุนสําหรับยกระดับ เพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงใช้เป็นทุนหมุนเวียน
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และในนามประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่าผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ต่างจังหวัด ยากที่จะเข้าถึงสินเชื่อในโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ต้องการสนับสนุนเงินทุนสําหรับยกระดับ เพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงใช้เป็นทุนหมุนเวียน เพื่อให้เอสเอ็มอีธุรกิจและอุตสาหกรรม มีมูลค่าสูงขึ้นตามนโยบาย Thailand 4.0 รวมถึง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับให้เป็นประเทศรายได้สูง ที่สําคัญสามารถสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งนับเป็นกองทุนแรกที่มีความโดดเด่นในการช่วยสร้างความเสมอภาคทุกพื้นที่ กระจายวงเงินไปทุกจังหวัดในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ําของระบบเศรษฐกิจ รวมถึง สร้างผู้ประกอบการใหม่ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ โดยมีคําขอสินเชื่อผ่านอุตสาหกรรมจังหวัด ยื่นมายังกองทุนฯ แล้วถึง 3,030 ราย วงเงินถึง 15,522 ล้านบาท
โดย มารตรการพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ประกอบด้วย 1) โครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) วงเงิน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชําระคืน 7 ปี ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้ใน 3 ปีแรก ไม่ต้องมีหลักประกัน ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย และ 75% ขึ้นไปจะเป็นวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล ธุรกิจต้องอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัด 2)โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan โดย ธพว. วงเงิน 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% คงที่ 3 ปีแรก ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี กู้ได้รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน นอกจากนี้ กรณีกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้ บสย. ค้ําประกันได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล ที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ทําให้กิจการมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อความเข้มแข็ง, เป็นผู้ประกอบการใหม่ (NEW/START UP) หรือที่มีนวัตกรรม, มีศักยภาพ หรือมีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ SMEs 4.0 และ 3)โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) วงเงิน 2,000 ล้านบาท รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้คืนสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน ไม่มีอัตราดอกเบี้ย เพื่อเปิดโอกาสเป็นครั้งแรกให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในรูปแบบการให้เงินทุนหมุนเวียนหรือปรับปรุงกิจการ และ โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชําระหนี้คืน 5-7 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคล ที่ประสบปัญหาการชําระหนี้ หรือขาดเงินทุนหมุนเวียน สามารถยื่นขอฟื้นฟูกิจการได้
ทั้งนี้ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้กําหนดคุณสมบัติผู้ขอรับทุนไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น ต้องเป็นเอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย ธุรกิจอยู่ในกลุ่ม 10 S-Curve หรือธุรกิจที่มีความสําคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ต้องเป็นเอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการภาครัฐในการบ่มเพาะธุรกิจใหม่ มีประวัติการชําระหนี้เป็นปกติอย่างน้อย 12 เดือน ไม่อยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากโครงการเงินทุนของภาครัฐ และมาตรการฟื้นฟูกิจการของภาครัฐ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินทุนดอกเบี้ยต่ําแล้ว ยังได้รับการพัฒนาศักยภาพธุรกิจต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการอบรมความรู้ ช่วยสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพื่อยกระดับให้ก้าวเป็นเอสเอ็มอีที่มีขีดความสามารถธุรกิจสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อระบบเศรษฐกิจไทย แทนที่จะให้แต่เงินทุนดอกเบี้ยต่ําเพียงอย่างเดียว
“กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไทยดําเนินธุรกิจให้มีความสามารถการแข่งขัน และสอดคล้องกับเจตนาต้องการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีจดทะเบียนเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง จึงได้กําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เอสเอ็มอีมีความเข้มแข็ง และเป็นต้นแบบแสดงให้เห็นว่า ถ้าเอสเอ็มอีดําเนินธุรกิจอย่างถูกต้องอยู่ในระบบจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รายที่ยังไม่เข้าข่ายการให้บริการ รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง สามารถใช้บริการของกองทุนอื่นที่มีไว้รองรับอยู่แล้วได้ ซึ่งนอกจากได้รับสินเชื่อแล้ว ยังมีมาตรการเสริมศักยภาพควบคู่ไปด้วย เพื่อที่อนาคตจะพัฒนาให้สามารถเข้าสู่ระบบได้เช่นกัน” นายสมชาย กล่าว
*ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ท่านสามารถแสดงความประสงค์ยื่นคําขอได้ที่ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs (SME Support & Rescue Center) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ธพว. *สินเชื่อ SMEs Transformation Loan หรือสินเชื่ออื่นๆ ของธนาคาร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357 หรือ ธพว.ทุกสาขาทั่วประเทศ และติดตามกิจกรรมดีๆ ผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank *โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2278-8800
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'ปลัดสมชาย'แจงกองทุนเอสเอ็มอีประชารัฐ สร้างความเท่าเทียมทุกภูมิภาค ผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ ถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560
'ปลัดสมชาย'แจงกองทุนเอสเอ็มอีประชารัฐ สร้างความเท่าเทียมทุกภูมิภาค ผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ ถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา
กรณีที่มีข่าวว่าผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ ตจว. ยากที่จะเข้าถึงสินเชื่อในโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ต้องการสนับสนุนเงินทุนสําหรับยกระดับ เพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงใช้เป็นทุนหมุนเวียน
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และในนามประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่าผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ต่างจังหวัด ยากที่จะเข้าถึงสินเชื่อในโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ต้องการสนับสนุนเงินทุนสําหรับยกระดับ เพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงใช้เป็นทุนหมุนเวียน เพื่อให้เอสเอ็มอีธุรกิจและอุตสาหกรรม มีมูลค่าสูงขึ้นตามนโยบาย Thailand 4.0 รวมถึง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับให้เป็นประเทศรายได้สูง ที่สําคัญสามารถสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งนับเป็นกองทุนแรกที่มีความโดดเด่นในการช่วยสร้างความเสมอภาคทุกพื้นที่ กระจายวงเงินไปทุกจังหวัดในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ําของระบบเศรษฐกิจ รวมถึง สร้างผู้ประกอบการใหม่ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ โดยมีคําขอสินเชื่อผ่านอุตสาหกรรมจังหวัด ยื่นมายังกองทุนฯ แล้วถึง 3,030 ราย วงเงินถึง 15,522 ล้านบาท
โดย มารตรการพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ประกอบด้วย 1) โครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) วงเงิน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชําระคืน 7 ปี ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้ใน 3 ปีแรก ไม่ต้องมีหลักประกัน ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย และ 75% ขึ้นไปจะเป็นวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล ธุรกิจต้องอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัด 2)โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan โดย ธพว. วงเงิน 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% คงที่ 3 ปีแรก ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี กู้ได้รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน นอกจากนี้ กรณีกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้ บสย. ค้ําประกันได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล ที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ทําให้กิจการมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อความเข้มแข็ง, เป็นผู้ประกอบการใหม่ (NEW/START UP) หรือที่มีนวัตกรรม, มีศักยภาพ หรือมีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ SMEs 4.0 และ 3)โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) วงเงิน 2,000 ล้านบาท รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้คืนสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน ไม่มีอัตราดอกเบี้ย เพื่อเปิดโอกาสเป็นครั้งแรกให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในรูปแบบการให้เงินทุนหมุนเวียนหรือปรับปรุงกิจการ และ โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชําระหนี้คืน 5-7 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคล ที่ประสบปัญหาการชําระหนี้ หรือขาดเงินทุนหมุนเวียน สามารถยื่นขอฟื้นฟูกิจการได้
ทั้งนี้ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้กําหนดคุณสมบัติผู้ขอรับทุนไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น ต้องเป็นเอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย ธุรกิจอยู่ในกลุ่ม 10 S-Curve หรือธุรกิจที่มีความสําคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ต้องเป็นเอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการภาครัฐในการบ่มเพาะธุรกิจใหม่ มีประวัติการชําระหนี้เป็นปกติอย่างน้อย 12 เดือน ไม่อยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากโครงการเงินทุนของภาครัฐ และมาตรการฟื้นฟูกิจการของภาครัฐ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินทุนดอกเบี้ยต่ําแล้ว ยังได้รับการพัฒนาศักยภาพธุรกิจต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการอบรมความรู้ ช่วยสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพื่อยกระดับให้ก้าวเป็นเอสเอ็มอีที่มีขีดความสามารถธุรกิจสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อระบบเศรษฐกิจไทย แทนที่จะให้แต่เงินทุนดอกเบี้ยต่ําเพียงอย่างเดียว
“กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไทยดําเนินธุรกิจให้มีความสามารถการแข่งขัน และสอดคล้องกับเจตนาต้องการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีจดทะเบียนเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง จึงได้กําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เอสเอ็มอีมีความเข้มแข็ง และเป็นต้นแบบแสดงให้เห็นว่า ถ้าเอสเอ็มอีดําเนินธุรกิจอย่างถูกต้องอยู่ในระบบจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รายที่ยังไม่เข้าข่ายการให้บริการ รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง สามารถใช้บริการของกองทุนอื่นที่มีไว้รองรับอยู่แล้วได้ ซึ่งนอกจากได้รับสินเชื่อแล้ว ยังมีมาตรการเสริมศักยภาพควบคู่ไปด้วย เพื่อที่อนาคตจะพัฒนาให้สามารถเข้าสู่ระบบได้เช่นกัน” นายสมชาย กล่าว
*ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ท่านสามารถแสดงความประสงค์ยื่นคําขอได้ที่ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs (SME Support & Rescue Center) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ธพว. *สินเชื่อ SMEs Transformation Loan หรือสินเชื่ออื่นๆ ของธนาคาร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357 หรือ ธพว.ทุกสาขาทั่วประเทศ และติดตามกิจกรรมดีๆ ผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank *โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2278-8800
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6439
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบำเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา
|
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31
ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี รมว.พม.และข้าราชการเจ้าหน้าที่ พม. เฝ้ารับเสด็จ
วันนี้ (8 พ.ค. 60) เวลา 09.30 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด.พม.) นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและคณะผู้บริหาร ข้าราชการเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เฝ้ารับเสด็จฯ ณ อาคารเอนกประสงค์ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากครั้งที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ได้ทรงหายประชวรในปีพุทธศักราช 2528 คณะศิษยานุศิษย์ถือเป็นสิริมงคลและพระบารมีธรรม จึงได้ดําเนินการจัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ขึ้น เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์คนชราที่ได้รับความยากลําบาก และประสบปัญหาทางสังคมให้ได้มีที่อยู่อาศัย ที่ตําบลบ่อโพง อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นตําบลและอําเภอที่ประสูติของพระองค์เป็นการสร้างความเจริญและตอบแทนชาติภูมิของพระองค์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2529 และได้ทําพิธีเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2530 โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชดําเนินเป็นองค์ประธาน และสมเด็จพระสังฆราชทรงโปรดประทานชื่อสถานสงเคราะห์แห่งนี้ว่า “วาสนะเวศม์” ซึ่งมีความหมายว่า ที่อยู่ของผู้มีบุญ ซึ่งมีพื้นที่รวมประมาณ 26 ไร่ มีค่าดําเนินการก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 30 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 18 ได้ก่อตั้งสถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ และมอบให้กับกรมประชาสงเคราะห์บริหารจัดการ ในปี พ.ศ.2530 โดยมีกิจกรรมหลักคือ การไถ่ชีวิตโค–กระบือ เพื่อนําโค–กระบือทั้งหมดเข้าธนาคารโค–กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริซึ่งดําเนินการเป็นประจําทุกปี
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนชื่อ“สถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ฯ” เป็น “ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ฯ” ซึ่งในปีนี้ครบรอบปีที่ 31 ของการก่อตั้งศูนย์ฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จึงได้กําหนดจัดงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ของการก่อตั้งศูนย์ฯ ในวันนี้ (8 พ.ค. 60) ซึ่งภายในงานมีการถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ จํานวน 30 รูป การไถ่ชีวิตโค-กระบือ และปลูกต้นไม้ (ต้นลําดวน)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบำเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31
ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี รมว.พม.และข้าราชการเจ้าหน้าที่ พม. เฝ้ารับเสด็จ
วันนี้ (8 พ.ค. 60) เวลา 09.30 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด.พม.) นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและคณะผู้บริหาร ข้าราชการเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เฝ้ารับเสด็จฯ ณ อาคารเอนกประสงค์ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากครั้งที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ได้ทรงหายประชวรในปีพุทธศักราช 2528 คณะศิษยานุศิษย์ถือเป็นสิริมงคลและพระบารมีธรรม จึงได้ดําเนินการจัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ขึ้น เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์คนชราที่ได้รับความยากลําบาก และประสบปัญหาทางสังคมให้ได้มีที่อยู่อาศัย ที่ตําบลบ่อโพง อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นตําบลและอําเภอที่ประสูติของพระองค์เป็นการสร้างความเจริญและตอบแทนชาติภูมิของพระองค์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2529 และได้ทําพิธีเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2530 โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชดําเนินเป็นองค์ประธาน และสมเด็จพระสังฆราชทรงโปรดประทานชื่อสถานสงเคราะห์แห่งนี้ว่า “วาสนะเวศม์” ซึ่งมีความหมายว่า ที่อยู่ของผู้มีบุญ ซึ่งมีพื้นที่รวมประมาณ 26 ไร่ มีค่าดําเนินการก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 30 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 18 ได้ก่อตั้งสถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ และมอบให้กับกรมประชาสงเคราะห์บริหารจัดการ ในปี พ.ศ.2530 โดยมีกิจกรรมหลักคือ การไถ่ชีวิตโค–กระบือ เพื่อนําโค–กระบือทั้งหมดเข้าธนาคารโค–กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริซึ่งดําเนินการเป็นประจําทุกปี
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนชื่อ“สถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ฯ” เป็น “ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ฯ” ซึ่งในปีนี้ครบรอบปีที่ 31 ของการก่อตั้งศูนย์ฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จึงได้กําหนดจัดงานบําเพ็ญกุศลครบรอบปีที่ 31 ของการก่อตั้งศูนย์ฯ ในวันนี้ (8 พ.ค. 60) ซึ่งภายในงานมีการถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ จํานวน 30 รูป การไถ่ชีวิตโค-กระบือ และปลูกต้นไม้ (ต้นลําดวน)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3607
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชวนคนไทยร่วมทำความดีแบบไทยนิยม เรียนรู้จากอดีต นำพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พร้อมย้ำรัฐเคารพสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมาย วอนสังคมประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น
|
วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561
นายกฯ ชวนคนไทยร่วมทําความดีแบบไทยนิยม เรียนรู้จากอดีต นําพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พร้อมย้ํารัฐเคารพสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมาย วอนสังคมประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น
นายกฯ ชวนคนไทยร่วมทําความดีแบบไทยนิยม เรียนรู้จากอดีต นําพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พร้อมย้ํารัฐเคารพสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมาย วอนสังคมประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยรวมพลังขับเคลื่อนการกระทําความดีแบบไทยนิยม โดยย้ําว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงสําคัญของบ้านเมืองที่จะก้าวพ้นจากความขัดแย้งในอดีต ด้วยการเรียนรู้ความผิดพลาดจากบทเรียนที่ผ่านมา และช่วยกันนําพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าเพื่อลูกหลานของเรา
“แนวทางสําคัญในการพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืน ทุกคนจะต้องมีความรักสามัคคี ไม่ทอดทิ้งกัน สร้างชุมชนให้เข้มแข็งอยู่ดีมีสุข อย่างพอเพียง รู้สิทธิหน้าที่ของตนเอง รู้กลไกของราชการ รู้รักประชาธิปไตย รู้เท่าทันเทคโนโลยี ร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาเสพติด โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันตามหลักประชารัฐ”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีว่า พี่น้องประชาชนคาดหวังต่อรัฐบาลอย่างไร โดยเฉพาะการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน การแก้ไขปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจฐานราก การจัดระเบียบบ้านเมืองใหม่ การปฏิรูปหน่วยราชการที่เอาเปรียบประชาชน การปราบปรามยาเสพติด และเตรียมการเลือกตั้งเพื่อนําไปสู่การเมืองที่ดีขึ้น จึงขอให้เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานทุกอย่างนั้น เป็นไปเพื่อตอบสนองความคาดหวังของประชาชน ลบรอยแผลที่บอบช้ําของประเทศ และฟื้นฟูเยียวยาให้สังคมเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในระยะยาว”
สําหรับการแสดงออกซึ่งสิทธิและเสรีภาพนั้น รัฐบาลไม่เคยปิดกั้นความคิดและการกระทํา โดยขอให้คํานึงถึงขอบเขตของกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อน หรือก่อให้เกิดความขัดแย้ง ดังนั้น การทํากิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชนทุกกลุ่มจึงควรพิจารณาด้วยหลักเหตุและผล ใคร่ครวญถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้บุคคลบางกลุ่มฉวยโอกาสนําไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง มุ่งสร้างความวุ่นวายขึ้นในประเทศ
“นายกฯ ยังขอให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง พร้อมทั้งขอให้สังคมช่วยกันประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศไปให้ได้อย่างราบรื่น”
............................
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชวนคนไทยร่วมทำความดีแบบไทยนิยม เรียนรู้จากอดีต นำพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พร้อมย้ำรัฐเคารพสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมาย วอนสังคมประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น
วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561
นายกฯ ชวนคนไทยร่วมทําความดีแบบไทยนิยม เรียนรู้จากอดีต นําพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พร้อมย้ํารัฐเคารพสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมาย วอนสังคมประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น
นายกฯ ชวนคนไทยร่วมทําความดีแบบไทยนิยม เรียนรู้จากอดีต นําพาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พร้อมย้ํารัฐเคารพสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมาย วอนสังคมประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยรวมพลังขับเคลื่อนการกระทําความดีแบบไทยนิยม โดยย้ําว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงสําคัญของบ้านเมืองที่จะก้าวพ้นจากความขัดแย้งในอดีต ด้วยการเรียนรู้ความผิดพลาดจากบทเรียนที่ผ่านมา และช่วยกันนําพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าเพื่อลูกหลานของเรา
“แนวทางสําคัญในการพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืน ทุกคนจะต้องมีความรักสามัคคี ไม่ทอดทิ้งกัน สร้างชุมชนให้เข้มแข็งอยู่ดีมีสุข อย่างพอเพียง รู้สิทธิหน้าที่ของตนเอง รู้กลไกของราชการ รู้รักประชาธิปไตย รู้เท่าทันเทคโนโลยี ร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาเสพติด โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันตามหลักประชารัฐ”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีว่า พี่น้องประชาชนคาดหวังต่อรัฐบาลอย่างไร โดยเฉพาะการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน การแก้ไขปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจฐานราก การจัดระเบียบบ้านเมืองใหม่ การปฏิรูปหน่วยราชการที่เอาเปรียบประชาชน การปราบปรามยาเสพติด และเตรียมการเลือกตั้งเพื่อนําไปสู่การเมืองที่ดีขึ้น จึงขอให้เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานทุกอย่างนั้น เป็นไปเพื่อตอบสนองความคาดหวังของประชาชน ลบรอยแผลที่บอบช้ําของประเทศ และฟื้นฟูเยียวยาให้สังคมเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในระยะยาว”
สําหรับการแสดงออกซึ่งสิทธิและเสรีภาพนั้น รัฐบาลไม่เคยปิดกั้นความคิดและการกระทํา โดยขอให้คํานึงถึงขอบเขตของกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อน หรือก่อให้เกิดความขัดแย้ง ดังนั้น การทํากิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชนทุกกลุ่มจึงควรพิจารณาด้วยหลักเหตุและผล ใคร่ครวญถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้บุคคลบางกลุ่มฉวยโอกาสนําไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง มุ่งสร้างความวุ่นวายขึ้นในประเทศ
“นายกฯ ยังขอให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง พร้อมทั้งขอให้สังคมช่วยกันประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศไปให้ได้อย่างราบรื่น”
............................
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมเสฉวนเทเลคอมและหารือผู้ว่าการมณฑลเสฉวน
|
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมเสฉวนเทเลคอมและหารือผู้ว่าการมณฑลเสฉวน
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมเสฉวนเทเลคอมและหารือผู้ว่าการมณฑลเสฉวนประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมในอนาคต
วันนี้(10 พฤศจิกายน 2560) เวลา 09.30 น.(ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 08.30 น.ประเทศไทย) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิริยะ เข็มพล เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ศาสตราจารย์นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ นางพันทิพา เอี่ยมสุทธา เอกะโรหิต กงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู พลตํารวจตรี บรรฑป สุคนธมาน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านระดับสูง ประจําสํานักงานรองนายกรัฐมนตรีพร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังสํานักงานใหญ่บริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน โดยเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด ซึ่งเป้นรัฐวิสาหกิจสําคัญของสาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อคณะของ รองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปถึง นาย ซุน คังหมิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด พร้อมด้วยผู้บริหารของบริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด และผู้บริหารของบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี จํากัด ได้ให้การต้อนรับและนําชมกิจการของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นําทางด้านระบบ 4K และ IPTV ซึ่งมีลูกค้าเป็นอันดับที่ ๑ ของโลก โดยบริษัทฯ และบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี จํากัด ได้รับมอบหมายให้เข้าดําเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านอินเตอร์เน็ตหรือเครือข่ายบรอดแบนด์และการพัฒนาธุรกิจ IPTV แพลตฟอร์มให้กับชุมชนของมณฑลเสฉวนทั้งหมดจนประสบความสําเร็จ
หลังจากนั้นได้มีการประชุมร่วมกัน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการบริหารงานของบริษัททั้งสามแห่ง จนเป็นผู้นําเทคโนโลยีทางด้านนี้ในระดับโลก พร้อมทั้งได้เสนอให้มีการทําบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกันต่อไป
จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังโรงแรมจิ่นเจียง เพื่อเข้าพบหารือทวิภาคีกับนายอิ่นจี่ ผู้ว่าการมณฑลเสฉวนและคณะ ในโอกาสที่รองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาเยือนมณฑลเสฉวน เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาล และแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านต่าง ๆ อาทิ นโยบายด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และลู่ทางส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี นอกจากนั้นในการเดินทางมาเยือนมณฑลเสฉวนในครั้งนี้ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอยู่ภายใต้การกํากับของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กําลังพัฒนาประเทศไปสู่ Digital Economy ดังนั้น เมื่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับคําเชิญจากบริษัทเอกชนของจีน คือ บริษัท หัวเว่ยประเทศไทย จํากัด ให้เดินทางมาดูงานโครงการด้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐในภูมิภาคต่าง ๆ ของจีน รวมถึงในมณฑลเสฉวนแห่งนี้ด้วย จึงมีความสนใจเป็นอย่างมาก และได้มอบหมายให้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนเดินทางมาเยือน
ทั้งนี้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อคณะผู้บริหารมณฑลเสฉวนในตอนหนึ่งว่า จากที่ได้ไปพบเห็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารของมณฑลเสฉวนและข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับในการมาเยือนครั้งนี้ จะนําไปสู่แนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมในอนาคตระหว่างประเทศไทยกับมณฑลเสฉวนต่อไป
........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมเสฉวนเทเลคอมและหารือผู้ว่าการมณฑลเสฉวน
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมเสฉวนเทเลคอมและหารือผู้ว่าการมณฑลเสฉวน
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมเสฉวนเทเลคอมและหารือผู้ว่าการมณฑลเสฉวนประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมในอนาคต
วันนี้(10 พฤศจิกายน 2560) เวลา 09.30 น.(ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 08.30 น.ประเทศไทย) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพิริยะ เข็มพล เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ศาสตราจารย์นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ นางพันทิพา เอี่ยมสุทธา เอกะโรหิต กงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู พลตํารวจตรี บรรฑป สุคนธมาน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านระดับสูง ประจําสํานักงานรองนายกรัฐมนตรีพร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังสํานักงานใหญ่บริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน โดยเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด ซึ่งเป้นรัฐวิสาหกิจสําคัญของสาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อคณะของ รองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปถึง นาย ซุน คังหมิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด พร้อมด้วยผู้บริหารของบริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด และผู้บริหารของบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี จํากัด ได้ให้การต้อนรับและนําชมกิจการของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นําทางด้านระบบ 4K และ IPTV ซึ่งมีลูกค้าเป็นอันดับที่ ๑ ของโลก โดยบริษัทฯ และบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี จํากัด ได้รับมอบหมายให้เข้าดําเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านอินเตอร์เน็ตหรือเครือข่ายบรอดแบนด์และการพัฒนาธุรกิจ IPTV แพลตฟอร์มให้กับชุมชนของมณฑลเสฉวนทั้งหมดจนประสบความสําเร็จ
หลังจากนั้นได้มีการประชุมร่วมกัน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการบริหารงานของบริษัททั้งสามแห่ง จนเป็นผู้นําเทคโนโลยีทางด้านนี้ในระดับโลก พร้อมทั้งได้เสนอให้มีการทําบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกันต่อไป
จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังโรงแรมจิ่นเจียง เพื่อเข้าพบหารือทวิภาคีกับนายอิ่นจี่ ผู้ว่าการมณฑลเสฉวนและคณะ ในโอกาสที่รองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาเยือนมณฑลเสฉวน เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาล และแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านต่าง ๆ อาทิ นโยบายด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และลู่ทางส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี นอกจากนั้นในการเดินทางมาเยือนมณฑลเสฉวนในครั้งนี้ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอยู่ภายใต้การกํากับของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กําลังพัฒนาประเทศไปสู่ Digital Economy ดังนั้น เมื่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับคําเชิญจากบริษัทเอกชนของจีน คือ บริษัท หัวเว่ยประเทศไทย จํากัด ให้เดินทางมาดูงานโครงการด้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐในภูมิภาคต่าง ๆ ของจีน รวมถึงในมณฑลเสฉวนแห่งนี้ด้วย จึงมีความสนใจเป็นอย่างมาก และได้มอบหมายให้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนเดินทางมาเยือน
ทั้งนี้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อคณะผู้บริหารมณฑลเสฉวนในตอนหนึ่งว่า จากที่ได้ไปพบเห็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารของมณฑลเสฉวนและข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับในการมาเยือนครั้งนี้ จะนําไปสู่แนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมในอนาคตระหว่างประเทศไทยกับมณฑลเสฉวนต่อไป
........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7995
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “งานวันดินโลก”
|
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “งานวันดินโลก”
24 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “งานวันดินโลก” อย่างเป็นทางการ พร้อมรณรงค์ลดการใช้พลาสติกที่ปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ํา ตอบโจทย์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีประกาศขับเคลื่อนงานวันดินโลก ปี 2561 (World Soil Day) ณ กรมพัฒนาที่ดิน ว่า นับตั้งแต่มีการประกาศรับรองวันดินโลก 5 ธันวาคม เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา โดยกลุ่มสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก หรือ Global Soil Partnership : GSP ได้จัดกิจกรรมวันดินโลกเป็นประจําทุกปี เพื่อให้เป็นวาระสําคัญในการสื่อความสําคัญของทรัพยากรดินให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง โดยประเทศสมาชิกกว่า 200 ประเทศ จะร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันดินโลกพร้อมกัน และจะกําหนดหัวข้อหลักการจัดงานแต่ละปี โดยคัดเลือกประเด็นสําคัญที่ต้องการผลักดันให้เกิดข้อสรุป หรือผลกระทบเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของโลก และประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรดินในวันดินโลก 5 ธันวาคม
สําหรับปีนี้ จะเป็นการจัดงานวันดินโลก ครั้งที่ 7 และ GSP ได้กําหนดหัวข้อ “Be the Solution to Soil Pollution” ซึ่งเน้นความสําคัญของการมีส่วนร่วมขององค์กรและบุคคลในการแก้ปัญหามลพิษทางดิน ซึ่งจะส่งผลถึงความมั่นคงและปลอดภัยทางอาหาร เพื่อให้ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป้าหมายที่ 2 การขจัดความอดอยากและหิวโหย หรือ Zero Hunger ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 กระทรวงเกษตรฯ โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนผ่านคณะกรรมการวันดินโลก ได้จัดทําแผนการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมวันดินโลก เพื่อน้อมรําลึกและเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน และการพัฒนาที่ดินอย่าง ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งจะไม่ทําเฉพาะในช่วงวันที่ 5 ธันวาคมเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยบูรณาการการทํางานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ชุมชน เกษตรกร เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับวันดินโลก และสร้างความตระหนักเรื่องความสําคัญของ ทรัพยากรดิน โดยมีแผนการดําเนินงานทั้งระยะสั้น และระยะยาว วางเป้าหมายไปสู่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน วัด โรงเรียน ชุมชน เกษตรกร ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานต่างประเทศ
“การเริ่มต้นในวันนี้ มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ที่ปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ํา ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นภายใต้แผนงานวันดินโลก โดยกระตุ้นให้ลดใช้ถุงพลาสติกในชีวิตประจําวัน สร้างการรับรู้ และกระตุ้นเตือนถึงภัยร้ายของถุงพลาสติก ที่ทําให้เกิดโทษต่อระบบนิเวศ ทําให้เกิดการปนเปื้อนของสารตกค้างในดินและแหล่งน้ํา ส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสาเหตุที่ทําให้โลกร้อน นอกจากนั้นยังมีการเสวนาที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทาง ดินอีกด้วย” นายวิวัฒน์ กล่าว.
...................................................
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “งานวันดินโลก”
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “งานวันดินโลก”
24 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “งานวันดินโลก” อย่างเป็นทางการ พร้อมรณรงค์ลดการใช้พลาสติกที่ปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ํา ตอบโจทย์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีประกาศขับเคลื่อนงานวันดินโลก ปี 2561 (World Soil Day) ณ กรมพัฒนาที่ดิน ว่า นับตั้งแต่มีการประกาศรับรองวันดินโลก 5 ธันวาคม เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา โดยกลุ่มสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก หรือ Global Soil Partnership : GSP ได้จัดกิจกรรมวันดินโลกเป็นประจําทุกปี เพื่อให้เป็นวาระสําคัญในการสื่อความสําคัญของทรัพยากรดินให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง โดยประเทศสมาชิกกว่า 200 ประเทศ จะร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันดินโลกพร้อมกัน และจะกําหนดหัวข้อหลักการจัดงานแต่ละปี โดยคัดเลือกประเด็นสําคัญที่ต้องการผลักดันให้เกิดข้อสรุป หรือผลกระทบเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของโลก และประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรดินในวันดินโลก 5 ธันวาคม
สําหรับปีนี้ จะเป็นการจัดงานวันดินโลก ครั้งที่ 7 และ GSP ได้กําหนดหัวข้อ “Be the Solution to Soil Pollution” ซึ่งเน้นความสําคัญของการมีส่วนร่วมขององค์กรและบุคคลในการแก้ปัญหามลพิษทางดิน ซึ่งจะส่งผลถึงความมั่นคงและปลอดภัยทางอาหาร เพื่อให้ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป้าหมายที่ 2 การขจัดความอดอยากและหิวโหย หรือ Zero Hunger ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 กระทรวงเกษตรฯ โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนผ่านคณะกรรมการวันดินโลก ได้จัดทําแผนการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมวันดินโลก เพื่อน้อมรําลึกและเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน และการพัฒนาที่ดินอย่าง ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งจะไม่ทําเฉพาะในช่วงวันที่ 5 ธันวาคมเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยบูรณาการการทํางานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ชุมชน เกษตรกร เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับวันดินโลก และสร้างความตระหนักเรื่องความสําคัญของ ทรัพยากรดิน โดยมีแผนการดําเนินงานทั้งระยะสั้น และระยะยาว วางเป้าหมายไปสู่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน วัด โรงเรียน ชุมชน เกษตรกร ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานต่างประเทศ
“การเริ่มต้นในวันนี้ มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ที่ปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ํา ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นภายใต้แผนงานวันดินโลก โดยกระตุ้นให้ลดใช้ถุงพลาสติกในชีวิตประจําวัน สร้างการรับรู้ และกระตุ้นเตือนถึงภัยร้ายของถุงพลาสติก ที่ทําให้เกิดโทษต่อระบบนิเวศ ทําให้เกิดการปนเปื้อนของสารตกค้างในดินและแหล่งน้ํา ส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสาเหตุที่ทําให้โลกร้อน นอกจากนั้นยังมีการเสวนาที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทาง ดินอีกด้วย” นายวิวัฒน์ กล่าว.
...................................................
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12532
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมรองผู้จัดการ ธ.ก.ส. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” 4- 27 ส.ค. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทำเนียบรัฐบาล
|
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมรองผู้จัดการ ธ.ก.ส. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” 4- 27 ส.ค. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทําเนียบรัฐบาล
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมรองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” 4- 27 ส.ค. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทําเนียบรัฐบาล
วันนี้ (2 สิงหาคม 2560) เวลา 9.30 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม พร้อมด้วยนายสุรพงศ์ นิลพันธุ์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง แถลงว่าตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้สนองนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีดําริให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดําเนินการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมให้มีตลาดนัดชุมชน ซึ่งถือเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้กับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วิถีความเป็นไทย และยังช่วยส่งเสริมการต่อยอดด้านธุรกิจในการนําเสนอสินค้าและบริการผ่านองค์กรในหน่วยงานของรัฐ รวมถึงยังเป็นเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน สร้างรายได้ และความมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาช่องทางการตลาดสินค้าต่าง ๆ ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี โดยที่ผ่านมามีหน่วยงานต่างๆ ร่วมจัดงานบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ด้วยดีเสมอมา ดังนั้นทาง ธ.ก.ส. ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพหลักในเดือนสิงหาคม 2560 ภายใต้กรอบแนวคิด “ยกระดับ SMEs ไทยก้าวไกล สู่สากล” จัดขึ้นวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 เปิดให้ชม ชิม ช้อปได้ตั้งแต่เวลา 09.00 - 19.00 น. และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 สิงหาคม 2560 เวลา 13.30 น. ขอเชิญชวนประชาชนมาร่วม ชม ชิม ช้อป และสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรงอันจะก่อให้เกิดรายได้จํานวนมากกระจายไปยังผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานรากอีกด้วย
โอกาสนี้ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า “ธ.ก.ส. พร้อมดําเนินนโยบายเกษตรยุคใหม่ตามแนวทางประชารัฐ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการผลักดัน SMEs ไทยสู่ยุคเกษตร 4.0 ขับเคลื่อนนวัตกรรมการผลิตอย่างพิถีพิถันด้วยภูมิปัญญาของคนไทย โดย ธ.ก.ส. นําสินค้าคุณภาพจากผู้ผลิตส่งตรงถึงผู้บริโภค ในงานตลาดของดี SMEs เกษตรไทย ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 ณ ตลาด คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยจัดร้านค้าภายในงานสัปดาห์ละ 135 บูธ สลับหมุนเวียนจําหน่ายสินค้ากว่า 500 ร้านค้า ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ ประกอบด้วย ลูกค้า SMEs เกษตร ลูกค้าประชารัฐ และเครือข่ายส่วนงานภายนอก ได้แก่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) พร้อมเสริมความรู้ด้านการตลาดให้แก่ลูกค้า SMEs โดยผู้ทรงคุณวุฒิ
สําหรับรูปแบบการจัดงานจะแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์แรก ระหว่างวันที่ 4 - 9 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม SMEs สู่เศรษฐกิจไทย โดยนําเสนอ โซนจัดแสดงร้านค้า ลูกค้าSMEs เกษตรของ ธ.ก.ส. ที่มีระบบแฟรนไชส์ สัปดาห์ที่สอง ระหว่างวันที่ 10 - 15 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม Gift for Mom ของขวัญวันแม่ นําเสนอโซนสินค้าที่สามารถนําไปเป็นของขวัญวันแม่ได้ อาทิ ผ้าไหม เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรมและสมุนไพร เป็นต้น สัปดาห์ที่สาม ระหว่างวันที่ 16 - 21 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม Thai Idea Gift Fest แกะกล่องไอเดียไทย ก้าวไกลสู่อนาคต นําเสนอโซนจําหน่ายสินค้า SMEs เกษตร ที่มีนวัตกรรมและสามารถนําไปเป็นของฝากได้ อาทิ สินค้าที่มี Package สวยงาม ขนมอบแห้ง และสินค้า Premium ต่าง ๆ เป็นต้น และในสัปดาห์สุดท้าย และสัปดาห์ที่สี่ ระหว่างวันที่ 22 - 27 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม Fruit Fun Fresh ช้อปเพลินผลไม้ดี วิถีไทย นําเสนอโซนการจําหน่ายสินค้าเด่นจากแต่ละท้องถิ่น ผลไม้สดจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผลไม้แปรรูปที่มี Package สวยงามสามารถนําไปเป็นของฝากได้
กิจกรรมภายในงาน นอกจากจําหน่ายสินค้า SMEs เกษตรและอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมให้ความรู้
แก่ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ร่วมงาน และประชาชนทั่วไป เช่น ความรู้ทางการเงินและความรู้ด้านการประกอบอาชีพ กิจกรรมส่งเสริมการขาย โปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ บูธให้คําปรึกษาสินเชื่อจากธนาคารพิเศษ ตลอดงาน และยังรวมไปถึงการให้บริการรับ - ส่งของขวัญวันแม่ภายในงาน แจกการ์ด และถ่ายภาพเพื่อจัดทําตราไปรษณียากรพิเศษให้แก่คู่แม่ลูกที่เข้าร่วมกิจกรรม จาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด นอกจากนั้น บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) อีกทั้งมีการตรวจสุขภาพให้แก่คุณแม่ในช่วงวันแม่ฟรี ระหว่างวันที่ 12 - 13 สิงหาคม 2560 อีกด้วย
ตอนท้ายของการแถลงข่าว รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้กล่าวเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาเที่ยว ชม ชิม ช้อป “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” เพื่อร่วมสร้างกําลังใจให้กับพี่น้องผู้ผลิต และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร เพื่อเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับฐานราก ในระหว่างวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
***************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมรองผู้จัดการ ธ.ก.ส. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” 4- 27 ส.ค. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทำเนียบรัฐบาล
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมรองผู้จัดการ ธ.ก.ส. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” 4- 27 ส.ค. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทําเนียบรัฐบาล
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมรองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” 4- 27 ส.ค. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทําเนียบรัฐบาล
วันนี้ (2 สิงหาคม 2560) เวลา 9.30 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม พร้อมด้วยนายสุรพงศ์ นิลพันธุ์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง แถลงว่าตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้สนองนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีดําริให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดําเนินการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมให้มีตลาดนัดชุมชน ซึ่งถือเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้กับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วิถีความเป็นไทย และยังช่วยส่งเสริมการต่อยอดด้านธุรกิจในการนําเสนอสินค้าและบริการผ่านองค์กรในหน่วยงานของรัฐ รวมถึงยังเป็นเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน สร้างรายได้ และความมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาช่องทางการตลาดสินค้าต่าง ๆ ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี โดยที่ผ่านมามีหน่วยงานต่างๆ ร่วมจัดงานบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ด้วยดีเสมอมา ดังนั้นทาง ธ.ก.ส. ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพหลักในเดือนสิงหาคม 2560 ภายใต้กรอบแนวคิด “ยกระดับ SMEs ไทยก้าวไกล สู่สากล” จัดขึ้นวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 เปิดให้ชม ชิม ช้อปได้ตั้งแต่เวลา 09.00 - 19.00 น. และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 สิงหาคม 2560 เวลา 13.30 น. ขอเชิญชวนประชาชนมาร่วม ชม ชิม ช้อป และสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรงอันจะก่อให้เกิดรายได้จํานวนมากกระจายไปยังผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานรากอีกด้วย
โอกาสนี้ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า “ธ.ก.ส. พร้อมดําเนินนโยบายเกษตรยุคใหม่ตามแนวทางประชารัฐ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการผลักดัน SMEs ไทยสู่ยุคเกษตร 4.0 ขับเคลื่อนนวัตกรรมการผลิตอย่างพิถีพิถันด้วยภูมิปัญญาของคนไทย โดย ธ.ก.ส. นําสินค้าคุณภาพจากผู้ผลิตส่งตรงถึงผู้บริโภค ในงานตลาดของดี SMEs เกษตรไทย ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 ณ ตลาด คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยจัดร้านค้าภายในงานสัปดาห์ละ 135 บูธ สลับหมุนเวียนจําหน่ายสินค้ากว่า 500 ร้านค้า ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ ประกอบด้วย ลูกค้า SMEs เกษตร ลูกค้าประชารัฐ และเครือข่ายส่วนงานภายนอก ได้แก่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) พร้อมเสริมความรู้ด้านการตลาดให้แก่ลูกค้า SMEs โดยผู้ทรงคุณวุฒิ
สําหรับรูปแบบการจัดงานจะแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์แรก ระหว่างวันที่ 4 - 9 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม SMEs สู่เศรษฐกิจไทย โดยนําเสนอ โซนจัดแสดงร้านค้า ลูกค้าSMEs เกษตรของ ธ.ก.ส. ที่มีระบบแฟรนไชส์ สัปดาห์ที่สอง ระหว่างวันที่ 10 - 15 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม Gift for Mom ของขวัญวันแม่ นําเสนอโซนสินค้าที่สามารถนําไปเป็นของขวัญวันแม่ได้ อาทิ ผ้าไหม เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรมและสมุนไพร เป็นต้น สัปดาห์ที่สาม ระหว่างวันที่ 16 - 21 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม Thai Idea Gift Fest แกะกล่องไอเดียไทย ก้าวไกลสู่อนาคต นําเสนอโซนจําหน่ายสินค้า SMEs เกษตร ที่มีนวัตกรรมและสามารถนําไปเป็นของฝากได้ อาทิ สินค้าที่มี Package สวยงาม ขนมอบแห้ง และสินค้า Premium ต่าง ๆ เป็นต้น และในสัปดาห์สุดท้าย และสัปดาห์ที่สี่ ระหว่างวันที่ 22 - 27 สิงหาคม 2560 จัดงานในธีม Fruit Fun Fresh ช้อปเพลินผลไม้ดี วิถีไทย นําเสนอโซนการจําหน่ายสินค้าเด่นจากแต่ละท้องถิ่น ผลไม้สดจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผลไม้แปรรูปที่มี Package สวยงามสามารถนําไปเป็นของฝากได้
กิจกรรมภายในงาน นอกจากจําหน่ายสินค้า SMEs เกษตรและอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมให้ความรู้
แก่ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ร่วมงาน และประชาชนทั่วไป เช่น ความรู้ทางการเงินและความรู้ด้านการประกอบอาชีพ กิจกรรมส่งเสริมการขาย โปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ บูธให้คําปรึกษาสินเชื่อจากธนาคารพิเศษ ตลอดงาน และยังรวมไปถึงการให้บริการรับ - ส่งของขวัญวันแม่ภายในงาน แจกการ์ด และถ่ายภาพเพื่อจัดทําตราไปรษณียากรพิเศษให้แก่คู่แม่ลูกที่เข้าร่วมกิจกรรม จาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด นอกจากนั้น บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) อีกทั้งมีการตรวจสุขภาพให้แก่คุณแม่ในช่วงวันแม่ฟรี ระหว่างวันที่ 12 - 13 สิงหาคม 2560 อีกด้วย
ตอนท้ายของการแถลงข่าว รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้กล่าวเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาเที่ยว ชม ชิม ช้อป “ตลาดของดี SMEs เกษตรไทย” เพื่อร่วมสร้างกําลังใจให้กับพี่น้องผู้ผลิต และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร เพื่อเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับฐานราก ในระหว่างวันที่ 4 - 27 สิงหาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
***************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5635
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ให้การต้อนรับผู้จัดและนักแสดงจากละคร “บุพเพสันนิวาส” พร้อมแสดงความชื่นชมที่เป็นละครสนับสนุนประวัติศาสตร์ไทยและสืบสานความเป็นไทย
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
นรม. ให้การต้อนรับผู้จัดและนักแสดงจากละคร “บุพเพสันนิวาส” พร้อมแสดงความชื่นชมที่เป็นละครสนับสนุนประวัติศาสตร์ไทยและสืบสานความเป็นไทย
รมว.วธ. และทีมผู้จัดและนักแสดงจากละคร “บุพเพสันนิวาส” เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานรณรงค์เพื่อส่งเสริมภาพยนตร์และละครไทย
วันนี้ (3 เมษายน 2561) เวลา 08.45 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะศิลปินดาราและนักแสดง พร้อมผู้จัดจากละคร “บุพเพสันนิวาส” เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เนื่องในกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมภาพยนตร์และละครไทยเพื่อร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์และสืบสานความเป็นไทย เกี่ยวกับการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวรายงานว่า กระทรวงวัฒนธรรมให้ความสําคัญกับการอนุรักษ์ พัฒนาและสืบสานทางมรดกทางศิลปะวัฒนธรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ของชาติ อีกทั้งมุ่งขับเคลื่อนการส่งเสริมเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ที่สําคัญนายกรัฐมนตรีได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และละคร เพื่อส่งเสริมผู้จัดสตาร์ทอัพคนรุ่นใหม่ ในการใช้วัฒนธรรมสร้างภาพลักษณ์และรายได้แก่ประเทศ พร้อมมุ่งเน้นใช้มิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่มุมต่าง ๆ ได้แก่ อาหารไทย ผ้าไทย รวมถึงการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะช่างไทยโบราณแขนงต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลกเห็นถึงความงดงามของศิลปวัฒนธรรมของไทยผ่านรายการโทรทัศน์ ละครและภาพยนตร์ด้วย
ทั้งนี้ ละคร “บุพเพสันนิวาส” นับเป็นตัวอย่างที่ดีของละครไทยที่สามารถสอดแทรกและเผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต อาหาร ภาษา และการแต่งกายของไทยไว้ได้ครบถ้วน จากการที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงผู้ประกอบการไทยในนาม “ทีมไทยแลนด์” ร่วมงานตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์ฮ่องกง ประจําปี 2561 (Hong Kong Film mart 2018) เมื่อวันที่ 19-21 มีนาคมที่ผ่านมา ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และละครเรื่องดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการภาพยนตร์ต่างประเทศติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายในต่างประเทศจํานวนมาก โดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมศิลปินดาราและนักแสดง ผู้สร้างและผู้จัดจากละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่มีคุณภาพและมีเนื้อหาแสดงถึงความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทยในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันสร้างตลาดและเผยแพร่สื่อคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตรืและละครไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ตอนท้ายของการเข้าพบครั้งนี้ ศิลปินดาราและนักแสดง ผู้สร้างและผู้จัดจากละคร “บุพเพสันนิวาส” ได้มอบของที่ระลึกให้แก่นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย มะม่วงน้ําปลาหวานและอาหารไทยสมัยโบราณ (หมูสร่ง) พร้อมกับถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกด้วยอัธยาศัยอันดี
.................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ให้การต้อนรับผู้จัดและนักแสดงจากละคร “บุพเพสันนิวาส” พร้อมแสดงความชื่นชมที่เป็นละครสนับสนุนประวัติศาสตร์ไทยและสืบสานความเป็นไทย
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
นรม. ให้การต้อนรับผู้จัดและนักแสดงจากละคร “บุพเพสันนิวาส” พร้อมแสดงความชื่นชมที่เป็นละครสนับสนุนประวัติศาสตร์ไทยและสืบสานความเป็นไทย
รมว.วธ. และทีมผู้จัดและนักแสดงจากละคร “บุพเพสันนิวาส” เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานรณรงค์เพื่อส่งเสริมภาพยนตร์และละครไทย
วันนี้ (3 เมษายน 2561) เวลา 08.45 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะศิลปินดาราและนักแสดง พร้อมผู้จัดจากละคร “บุพเพสันนิวาส” เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เนื่องในกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมภาพยนตร์และละครไทยเพื่อร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์และสืบสานความเป็นไทย เกี่ยวกับการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวรายงานว่า กระทรวงวัฒนธรรมให้ความสําคัญกับการอนุรักษ์ พัฒนาและสืบสานทางมรดกทางศิลปะวัฒนธรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ของชาติ อีกทั้งมุ่งขับเคลื่อนการส่งเสริมเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ที่สําคัญนายกรัฐมนตรีได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และละคร เพื่อส่งเสริมผู้จัดสตาร์ทอัพคนรุ่นใหม่ ในการใช้วัฒนธรรมสร้างภาพลักษณ์และรายได้แก่ประเทศ พร้อมมุ่งเน้นใช้มิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่มุมต่าง ๆ ได้แก่ อาหารไทย ผ้าไทย รวมถึงการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะช่างไทยโบราณแขนงต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลกเห็นถึงความงดงามของศิลปวัฒนธรรมของไทยผ่านรายการโทรทัศน์ ละครและภาพยนตร์ด้วย
ทั้งนี้ ละคร “บุพเพสันนิวาส” นับเป็นตัวอย่างที่ดีของละครไทยที่สามารถสอดแทรกและเผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต อาหาร ภาษา และการแต่งกายของไทยไว้ได้ครบถ้วน จากการที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงผู้ประกอบการไทยในนาม “ทีมไทยแลนด์” ร่วมงานตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์ฮ่องกง ประจําปี 2561 (Hong Kong Film mart 2018) เมื่อวันที่ 19-21 มีนาคมที่ผ่านมา ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และละครเรื่องดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการภาพยนตร์ต่างประเทศติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายในต่างประเทศจํานวนมาก โดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมศิลปินดาราและนักแสดง ผู้สร้างและผู้จัดจากละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่มีคุณภาพและมีเนื้อหาแสดงถึงความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทยในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันสร้างตลาดและเผยแพร่สื่อคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตรืและละครไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ตอนท้ายของการเข้าพบครั้งนี้ ศิลปินดาราและนักแสดง ผู้สร้างและผู้จัดจากละคร “บุพเพสันนิวาส” ได้มอบของที่ระลึกให้แก่นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย มะม่วงน้ําปลาหวานและอาหารไทยสมัยโบราณ (หมูสร่ง) พร้อมกับถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกด้วยอัธยาศัยอันดี
.................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11305
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม จับมือ ๗ หน่วยงาน “บูรณาการความร่วมมือ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ”
|
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
ก.ยุติธรรม จับมือ ๗ หน่วยงาน “บูรณาการความร่วมมือ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ”
ก.ยุติธรรม จับมือ ๗ หน่วยงาน “บูรณาการความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ”
ในวันพุธที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเพื่อจัดทําข้อมูลกระทรวงยุติธรรมประกอบบันทึกความเข้าใจ
หรือบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประขาชน
ให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ (คปช.) โดยการพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการประชาชน
เพื่ออํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก สร้างประชาสามัคคี
ส่งเสริมคนดีสู่สังคม และเสริมสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขร่างบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ ระหว่าง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ และสามารถนําไปใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐในด้านต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม จับมือ ๗ หน่วยงาน “บูรณาการความร่วมมือ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ”
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
ก.ยุติธรรม จับมือ ๗ หน่วยงาน “บูรณาการความร่วมมือ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ”
ก.ยุติธรรม จับมือ ๗ หน่วยงาน “บูรณาการความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ”
ในวันพุธที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเพื่อจัดทําข้อมูลกระทรวงยุติธรรมประกอบบันทึกความเข้าใจ
หรือบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประขาชน
ให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ (คปช.) โดยการพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการประชาชน
เพื่ออํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก สร้างประชาสามัคคี
ส่งเสริมคนดีสู่สังคม และเสริมสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขร่างบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ ระหว่าง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ และสามารถนําไปใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐในด้านต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11192
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน” เสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด จ.มหาสารคาม
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563
“ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน” เสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด จ.มหาสารคาม
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติดจังหวัดมหาสารคาม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10.30 น. รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติดจังหวัดมหาสารคาม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นางสาววีไลวรรณ เที่ยงดาห์ แรงงานจังหวัดมหาสารคาม กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ ห้องประชุม 401 สํานักงานแรงงานจังหวัดมหาสารคาม ชั้น 4 ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดมหาสารคาม ตําบลแก่งเลิงจาน อําเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวว่า อาสาสมัครเป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญต่อการปฏิบัติงานระดับพื้นที่ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการสาธารณสุข การพัฒนาชุมชน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง ความยุติธรรม หรือด้านแรงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีการแต่งตั้งอาสาสมัครช่วยปฏิบัติงานทั้งสิ้น ถือได้ว่า อาสาสมัครเป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่เพราะการทํางานอาสาสมัครผู้ที่ทําหน้าที่ ต้องสละเวลาที่ควรจะใช้ประกอบอาชีพหรือประกอบภารกิจต่างๆ ในด้นส่วนตัว และครอบครัว ทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาประเทศและเป็นกําลังสําคัญที่จะร่วมปฏิบัติงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน จึงขอชื่นชมอาสาสมัครแรงงานจังหวัดมหาสารคามทุกท่าน เพราะการเป็นอาสาสมัครแรงงานจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตอาสา จิตสาธารณะ และเสียสละ ที่มาร่วมทํางานให้กับกระทรวงแรงงานโดยทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานความร่วมมือ ให้ความช่วยเหลือ ติดต่อประสานงานกับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานกับประชาชนที่ประสบปัญหาด้านแรงานในชุมชนและสังคมที่ท่านเกี่ยวข้อง สอดส่อง และเฝ้าระวังการใช้แรงงานที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาการใช้แรงานต่างด้าวในพื้นที่ การประสานงานด้านการส่งเสริมอาชีพและการมีนทํา การพัฒนาทักษะฝีมือ การรณรงค์สร้างจิตสํานึกและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในการป้องกันยาเสพติดให้แก่ลูกจ้างนายจ้างในสถานประกอบการ ที่มีลูกจ้างต่ํากว่า 10 คนลงมา ให้ตระหนักถึงปัญหายาเสพติด อีกทั้งยังแจ้งเบาะแสสถานการณ์/เหตุการณ์ให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานทราบอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว
รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมในวันนี้ทุกท่านจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในการเป็นพลังขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณในการปฏิบัติงาด้านอาสาสมัครแรงงาน และงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาแนวทางการปฏิบัติงานที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างสูงสุด และเมื่อเสร็จสิ้น การอบรมฯ ขอให้ทุกท่านนําความรู้ที่ได้รับไปสู่การปฏิบัติงานในหน้าที่ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน หมู่บ้าน ชุมชน และครอบครัวของท่านในฐานะผู้แทนกระทวงแรงงานระดับตําบลต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันจังหวัดมหาสารคามมีอาสาสมัครแรงงานระดับตําบล จํานวนทั้งสิ้น 133 คน ครอบคลุม 133 ตําบล
+++++++++++++++++++++++
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน” เสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด จ.มหาสารคาม
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563
“ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน” เสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด จ.มหาสารคาม
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติดจังหวัดมหาสารคาม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10.30 น. รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติดจังหวัดมหาสารคาม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นางสาววีไลวรรณ เที่ยงดาห์ แรงงานจังหวัดมหาสารคาม กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ ห้องประชุม 401 สํานักงานแรงงานจังหวัดมหาสารคาม ชั้น 4 ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดมหาสารคาม ตําบลแก่งเลิงจาน อําเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวว่า อาสาสมัครเป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญต่อการปฏิบัติงานระดับพื้นที่ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการสาธารณสุข การพัฒนาชุมชน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง ความยุติธรรม หรือด้านแรงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีการแต่งตั้งอาสาสมัครช่วยปฏิบัติงานทั้งสิ้น ถือได้ว่า อาสาสมัครเป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่เพราะการทํางานอาสาสมัครผู้ที่ทําหน้าที่ ต้องสละเวลาที่ควรจะใช้ประกอบอาชีพหรือประกอบภารกิจต่างๆ ในด้นส่วนตัว และครอบครัว ทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาประเทศและเป็นกําลังสําคัญที่จะร่วมปฏิบัติงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน จึงขอชื่นชมอาสาสมัครแรงงานจังหวัดมหาสารคามทุกท่าน เพราะการเป็นอาสาสมัครแรงงานจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตอาสา จิตสาธารณะ และเสียสละ ที่มาร่วมทํางานให้กับกระทรวงแรงงานโดยทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานความร่วมมือ ให้ความช่วยเหลือ ติดต่อประสานงานกับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานกับประชาชนที่ประสบปัญหาด้านแรงานในชุมชนและสังคมที่ท่านเกี่ยวข้อง สอดส่อง และเฝ้าระวังการใช้แรงงานที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาการใช้แรงานต่างด้าวในพื้นที่ การประสานงานด้านการส่งเสริมอาชีพและการมีนทํา การพัฒนาทักษะฝีมือ การรณรงค์สร้างจิตสํานึกและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในการป้องกันยาเสพติดให้แก่ลูกจ้างนายจ้างในสถานประกอบการ ที่มีลูกจ้างต่ํากว่า 10 คนลงมา ให้ตระหนักถึงปัญหายาเสพติด อีกทั้งยังแจ้งเบาะแสสถานการณ์/เหตุการณ์ให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานทราบอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว
รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมในวันนี้ทุกท่านจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในการเป็นพลังขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณในการปฏิบัติงาด้านอาสาสมัครแรงงาน และงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาแนวทางการปฏิบัติงานที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างสูงสุด และเมื่อเสร็จสิ้น การอบรมฯ ขอให้ทุกท่านนําความรู้ที่ได้รับไปสู่การปฏิบัติงานในหน้าที่ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน หมู่บ้าน ชุมชน และครอบครัวของท่านในฐานะผู้แทนกระทวงแรงงานระดับตําบลต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันจังหวัดมหาสารคามมีอาสาสมัครแรงงานระดับตําบล จํานวนทั้งสิ้น 133 คน ครอบคลุม 133 ตําบล
+++++++++++++++++++++++
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26785
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
|
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
วันนี้ (14 พ.ย.60) เวลา 19.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กลับมาเข้าร่วมการประชุมกับอาเซียนอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่พิเศษอย่างมาก เพราะเป็นปีที่ 25 ของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย และ 70 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอินเดีย โดยไทยได้ร่วมเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษดังกล่าวด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum ที่กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 2-5 สิงหาคม 2560 ซึ่งมีผลสําเร็จเป็นที่น่าพอใจนอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ ในวันที่ 25 มกราคม 2561 ที่กรุงนิวเดลี และงานวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ปีที่ 69 ในฐานะแขกเกียรติยศ
อาเซียนชื่นชมนโยบาย “มุ่งตะวันออก” (Act East Policy) ของนายกรัฐมนตรีโมดี ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทุกมิติ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่อินเดียและอาเซียนมองภาพเดียวกันในเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างกัน ในขณะที่อินเดียประสงค์จะเชื่อมโยงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียกับอาเซียนผ่านเมียนมาและไทย และในอนาคตจะไปถึง สปป. ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผ่านโครงการ Trilateral Highway อาเซียนก็ประสงค์จะสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคอย่างเป็นระบบ โดยแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. 2025 จะเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรอบอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงอาเซียน-อินเดีย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อจากเอเชียใต้สู่เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และจากมหาสมุทรอินเดียไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
ในด้านเศรษฐกิจ อาเซียนและอินเดียยังขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตัวเลขการค้า2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2565 จึงเห็นว่า อาเซียนและอินเดียควรส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเร่งจัดทําความตกลง Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ควรขยายความร่วมมือด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศให้มากขึ้น เพราะเป็นสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมอินเดียอย่างมากที่แม้จะมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งในเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผมเองเห็นว่า มีความสําคัญอย่างมาก การเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างอาเซียนกับอินเดียจึงควรเพิ่มความสําคัญมากขึ้น โดยสนับสนุนบทบาทของศูนย์อาเซียนศึกษาเพื่อการนี้ จึงเสนอว่า อาเซียนและอินเดียอาจพิจารณาจัดตั้งเครือข่ายของ SMART Cities-Cultural Centres ประกอบด้วยเมืองขนาดเล็กและกลาง โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความเข้าใจด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในกลางปีหน้า ไทยจะรับตําแหน่งประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย เป็นระยะเวลา 3 ปี ไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนพร้อมส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนในเชิงสร้างสรรค์กับอินเดีย และสนับสนุนการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดีย วาระปี ค.ศ. 2016-2020 ซึ่งมีความคืบหน้าแล้วในหลายด้าน เพื่อให้เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันอย่างแท้จริง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
วันนี้ (14 พ.ย.60) เวลา 19.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กลับมาเข้าร่วมการประชุมกับอาเซียนอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่พิเศษอย่างมาก เพราะเป็นปีที่ 25 ของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย และ 70 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอินเดีย โดยไทยได้ร่วมเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษดังกล่าวด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum ที่กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 2-5 สิงหาคม 2560 ซึ่งมีผลสําเร็จเป็นที่น่าพอใจนอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ ในวันที่ 25 มกราคม 2561 ที่กรุงนิวเดลี และงานวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ปีที่ 69 ในฐานะแขกเกียรติยศ
อาเซียนชื่นชมนโยบาย “มุ่งตะวันออก” (Act East Policy) ของนายกรัฐมนตรีโมดี ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทุกมิติ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่อินเดียและอาเซียนมองภาพเดียวกันในเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างกัน ในขณะที่อินเดียประสงค์จะเชื่อมโยงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียกับอาเซียนผ่านเมียนมาและไทย และในอนาคตจะไปถึง สปป. ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผ่านโครงการ Trilateral Highway อาเซียนก็ประสงค์จะสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคอย่างเป็นระบบ โดยแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. 2025 จะเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรอบอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงอาเซียน-อินเดีย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อจากเอเชียใต้สู่เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และจากมหาสมุทรอินเดียไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
ในด้านเศรษฐกิจ อาเซียนและอินเดียยังขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตัวเลขการค้า2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2565 จึงเห็นว่า อาเซียนและอินเดียควรส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเร่งจัดทําความตกลง Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ควรขยายความร่วมมือด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศให้มากขึ้น เพราะเป็นสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมอินเดียอย่างมากที่แม้จะมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งในเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผมเองเห็นว่า มีความสําคัญอย่างมาก การเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างอาเซียนกับอินเดียจึงควรเพิ่มความสําคัญมากขึ้น โดยสนับสนุนบทบาทของศูนย์อาเซียนศึกษาเพื่อการนี้ จึงเสนอว่า อาเซียนและอินเดียอาจพิจารณาจัดตั้งเครือข่ายของ SMART Cities-Cultural Centres ประกอบด้วยเมืองขนาดเล็กและกลาง โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความเข้าใจด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในกลางปีหน้า ไทยจะรับตําแหน่งประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย เป็นระยะเวลา 3 ปี ไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนพร้อมส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนในเชิงสร้างสรรค์กับอินเดีย และสนับสนุนการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดีย วาระปี ค.ศ. 2016-2020 ซึ่งมีความคืบหน้าแล้วในหลายด้าน เพื่อให้เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันอย่างแท้จริง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8081
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2561
|
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุม คจร. เห็นชอบโครงการศึกษาแผนแม่บทจราจร
วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมตามที่สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ดําเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ “เพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อการเดินทางทุกรูปแบบให้กับประชาชน ด้วยบัตรเพียงใบเดียว” ปัจจุบันได้ดําเนินการออกแบบและพัฒนาระบบตั๋วร่วมแล้วเสร็จ พร้อมบูรณาการการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ รวมทั้ง อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารายละเอียดแนวทางและรูปแบบโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมที่เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเริ่มต้นการใช้งานระบบตั๋วร่วม ค่าโดยสารจะเป็นไปตามโครงสร้างค่าโดยสารของแต่ระบบ และในอนาคตจะได้กําหนดแผนงานที่จะดําเนินการลดค่าแรกเข้าให้กับผู้โดยสารที่เดินทางเชื่อมต่อระหว่างขนส่งสาธารณะ เพื่อจูงใจให้ผู้โดยสารหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากยิ่งขึ้น ซึ่ง สนข. จะได้ดําเนินการนําเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งมีปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน และกระทรวงคมนาคม (คค.) ตามขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการศึกษาแผนแม่บทจราจรและแผนแม่บทพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองนครราชสีมา โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษา มีดังนี้ 1) เพื่อจัดทําแผนแม่บทพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองนครราชสีมาและพื้นที่ต่อเนื่องที่มีความต้องการเดินทาง 2) เพื่อจัดทําแผนแม่บทการจัดระบบการจราจรในเมืองนครราชสีมาและพื้นที่ต่อเนื่องที่มีความต้องการเดินทาง และ 3) เพื่อศึกษาจัดทํารูปแบบเบื้องต้น (Conceptual Design) เป็นโครงการนําร่องระบบขนส่งสาธารณะ 1 เส้นทาง รวมทั้งเสนอแนวคิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีหรืจุดจอดของระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างที่ปรึกษาจัดส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งให้ สนข. พิจารณาได้ภายในเดือนตุลาคม 2560
รวมทั้ง เห็นชอบโครงการศึกษาจัดทําระบบจอดแล้วจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยวัตถุประสงค์การศึกษา 4 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษา และประเมินอุปสงค์การใช้จุดจอดแล้วจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยใช้ข้อมุลคาดการณ์ปริมาณผู้ใช้ระบบขนส่งมวลชนรางจากแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP) ของ สนข. เป็นพื้นฐานในการศึกษาและประเมิน 2) กําหนดที่ตั้งขนาดความจุที่เหมาะสมในการพัฒนาจุดจอดแล้วจรให้สอดคล้องกับ อุปสงค์การใช้จุดจอดแล้วจรสําหรับระบบขนส่งรางตามแผน M-MAP รวมถึงพัฒนาแนวทาง (Guideline) ในการกําหนดองค์ประกอบของจุดจอดแล้วจรสําหรับแต่ละพื้นที่ 3) เสนอทางเลือกรูปแบบการบริหารจัดการ การลงทุนที่เหมาะสม หน่วยงานรับผิดชอบมาตรการที่จะนําไปสู่การปฏิบัติ และรูปแบบการส่งเสริม สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาใช้จุดจอดแล้วจรให้มากขึ้น และ 4) จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาจุดจอดแล้วจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N๒ เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก โดยมอบหมายให้ สนข. พิจารณาระยะเวลาการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําตาลที่เหมาะสม และพิจารณาให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสายหลักตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะเปิดให้บริการ และบรรจุแผนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําตาลในแผนแม่บทฯ ที่ สนข. อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวน รวมทั้ง มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดําเนินการพัฒนาโครงข่ายระบบทางด่วนทดแทนตอน N๑ ไปพร้อมกันกับการพัฒนาโครงการระบบทางด่วน ขั้นที่ 3 ตอน N๒ และ E-W Corridor เพื่อลดผลกระทบการจราจรบริเวณแยกเกษตร โดยการออกแบบโครงสร้างของระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N๒ ให้รองรับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ําตาลที่กําลังจะดําเนินการในอนาคต และรับความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
...............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2561
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุม คจร. เห็นชอบโครงการศึกษาแผนแม่บทจราจร
วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมตามที่สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ดําเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ “เพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อการเดินทางทุกรูปแบบให้กับประชาชน ด้วยบัตรเพียงใบเดียว” ปัจจุบันได้ดําเนินการออกแบบและพัฒนาระบบตั๋วร่วมแล้วเสร็จ พร้อมบูรณาการการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ รวมทั้ง อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารายละเอียดแนวทางและรูปแบบโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมที่เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเริ่มต้นการใช้งานระบบตั๋วร่วม ค่าโดยสารจะเป็นไปตามโครงสร้างค่าโดยสารของแต่ระบบ และในอนาคตจะได้กําหนดแผนงานที่จะดําเนินการลดค่าแรกเข้าให้กับผู้โดยสารที่เดินทางเชื่อมต่อระหว่างขนส่งสาธารณะ เพื่อจูงใจให้ผู้โดยสารหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากยิ่งขึ้น ซึ่ง สนข. จะได้ดําเนินการนําเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งมีปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน และกระทรวงคมนาคม (คค.) ตามขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการศึกษาแผนแม่บทจราจรและแผนแม่บทพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองนครราชสีมา โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษา มีดังนี้ 1) เพื่อจัดทําแผนแม่บทพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองนครราชสีมาและพื้นที่ต่อเนื่องที่มีความต้องการเดินทาง 2) เพื่อจัดทําแผนแม่บทการจัดระบบการจราจรในเมืองนครราชสีมาและพื้นที่ต่อเนื่องที่มีความต้องการเดินทาง และ 3) เพื่อศึกษาจัดทํารูปแบบเบื้องต้น (Conceptual Design) เป็นโครงการนําร่องระบบขนส่งสาธารณะ 1 เส้นทาง รวมทั้งเสนอแนวคิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีหรืจุดจอดของระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างที่ปรึกษาจัดส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งให้ สนข. พิจารณาได้ภายในเดือนตุลาคม 2560
รวมทั้ง เห็นชอบโครงการศึกษาจัดทําระบบจอดแล้วจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยวัตถุประสงค์การศึกษา 4 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษา และประเมินอุปสงค์การใช้จุดจอดแล้วจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยใช้ข้อมุลคาดการณ์ปริมาณผู้ใช้ระบบขนส่งมวลชนรางจากแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP) ของ สนข. เป็นพื้นฐานในการศึกษาและประเมิน 2) กําหนดที่ตั้งขนาดความจุที่เหมาะสมในการพัฒนาจุดจอดแล้วจรให้สอดคล้องกับ อุปสงค์การใช้จุดจอดแล้วจรสําหรับระบบขนส่งรางตามแผน M-MAP รวมถึงพัฒนาแนวทาง (Guideline) ในการกําหนดองค์ประกอบของจุดจอดแล้วจรสําหรับแต่ละพื้นที่ 3) เสนอทางเลือกรูปแบบการบริหารจัดการ การลงทุนที่เหมาะสม หน่วยงานรับผิดชอบมาตรการที่จะนําไปสู่การปฏิบัติ และรูปแบบการส่งเสริม สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาใช้จุดจอดแล้วจรให้มากขึ้น และ 4) จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาจุดจอดแล้วจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N๒ เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก โดยมอบหมายให้ สนข. พิจารณาระยะเวลาการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําตาลที่เหมาะสม และพิจารณาให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสายหลักตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะเปิดให้บริการ และบรรจุแผนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําตาลในแผนแม่บทฯ ที่ สนข. อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวน รวมทั้ง มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดําเนินการพัฒนาโครงข่ายระบบทางด่วนทดแทนตอน N๑ ไปพร้อมกันกับการพัฒนาโครงการระบบทางด่วน ขั้นที่ 3 ตอน N๒ และ E-W Corridor เพื่อลดผลกระทบการจราจรบริเวณแยกเกษตร โดยการออกแบบโครงสร้างของระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N๒ ให้รองรับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ําตาลที่กําลังจะดําเนินการในอนาคต และรับความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
...............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10244
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี
|
วันอังคารที่ 24 มกราคม 2560
การประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี
กระทรวงศึกษาธิการ มอบ กศจ.ชลบุรี จัดเตรียมแผนพัฒนาการศึกษาของจังหวัด เพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
โดยมีรมช.ศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" และ ผวจ.ชลบุรี"นายภัครธรณ์ เทียนไชย" ร่วมประชุมกับทุกภาคส่วนในจังหวัดชลบุรี
เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2560 ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดชลบุรี,พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรีโดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี,นางนิตย์ โรจน์รัตนวาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 9,นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี ผู้แทนภาคส่วนราชการ, ภาคเอกชน, สถานศึกษา, สถานประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมประชุม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการอํานวยความสะดวกในการประกอบกิจการ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อกระจายการพัฒนาไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่นั้น ๆ เช่น การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 เขตพื้นที่ของประเทศไทย หรือโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ในพื้นที่ 3 อําเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี, อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และอําเภอเบตง จังหวัดยะลา
นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าเพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในพื้นที่ "ภาคตะวันออก" ได้รับพัฒนาอย่างสมบูรณ์และยั่งยืนในทุกมิติทั้งระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและจําเป็นต่อการอยู่อาศัย การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การสาธารณสุข การศึกษา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอย่างเพียงพอได้มาตรฐานสากล และมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน
จึงได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2560 ลงวันที่ 17 มกราคม 2560 เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)ที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง และเขตจังหวัดอื่นที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้อง
ในส่วนของการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ถือมีหน้าที่โดยตรงในการผลิตและพัฒนากําลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จึงมอบให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าว ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญในการวางแผนการศึกษาทุกระดับชั้นและทุกประเภท ทั้งการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพราะถือว่าการศึกษาเป็นต้นน้ําในการเตรียมคน
ในส่วนของการวางแผนการศึกษาจังหวัดชลบุรีได้มอบ กศจ.ชลบุรี เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมในครั้งนี้ เพื่อนําไปจัดทําแผนการศึกษารองรับการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นรูปธรรม ชัดเจน สามารถพัฒนาและดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้คํานึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนการศึกษาของจังหวัดฉะเชิงเทราและระยองด้วย ตลอดจนขอความร่วมมือในการติดตามสถานการณ์หรือข้อมูลข่าวสารที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อนําไปจัดการศึกษาให้ครอบคลุม รอบด้าน นําไปสู่การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพต่อไป
นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า จังหวัดชลบุรีมีศักยภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เป็นฐานที่ตั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ํา โดยมีท่าเรือที่สําคัญ เช่น แหลมฉบัง โดยได้กําหนดวิสัยทัศน์ของจังหวัดชลบุรี คือ“ฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสะอาด แหล่งท่องเที่ยวนานาชาติ แหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย ประตูสู่เศรษฐกิจโลก สังคมแห่งการเรียนรู้และมีภูมิคุ้มกัน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นฐานการพัฒนาที่มีคุณภาพและยั่งยืน”กําหนดจุดยืน (Positioning) ทางยุทธศาสตร์ คือ“การท่องเที่ยวระดับนานาชาติ เมืองอุตสาหกรรมสะอาด”พร้อมทั้งได้กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไปสู่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก 6 ประเด็น ได้แก่
1. ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้มีการใช้เทคโนโลยีสะอาดในการผลิต และคํานึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
2. ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยว สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ให้มีความหลากหลายได้มาตรฐานสากล และเป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยว
3. พัฒนากระบวนการผลิตสินค้าการเกษตรสู่ระบบการผลิตคุณภาพสูง เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ
4. พัฒนาระบบผังเมือง ระบบโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐาน และแหล่งน้ํา เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด
5. บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศน์และการใช้ประโยชน์
6. พัฒนาคนและชุมชนให้มีคุณภาพ โดยการบริหารจัดการสังคมให้มีคุณภาพและมาตรฐาน รองรับการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
นอกจากนี้ จังหวัดชลบุรีมีแนวคิดในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อยกระดับพื้นที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําของเอเชีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการพัฒนาเมืองและสภาพแวดล้อมเมือง อํานวยความสะดวกและสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน และสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและท่องเที่ยวซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และดิจิทัล
ดร.นิตย์ โรจน์รัตนวาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 9กล่าวว่า จังหวัดชลบุรี มีสถานศึกษาทุกสังกัดจํานวนทั้งสิ้น 534 แห่ง ครูผู้สอน 16,299 คน นักเรียนและนักศึกษา 399,212 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับดี และมีแผนพัฒนาการศึกษาที่เชื่อมโยงกับจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนเป็นคนดี คนเก่ง และดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้ ซึ่งจุดเน้นตามสภาพเศรษฐกิจของจังหวัดชลบุรี และส่งเสริมให้คนในพื้นที่ได้ระดมความคิดเห็น สะท้อนปัญหา และสภาพปัจจุบันของจังหวัดชลบุรี
ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนที่ทันสมัย โดยนําแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับล่าสุด และแผนการศึกษาจังหวัด มาเป็นตัวตั้ง จากนั้นได้เชิญผู้เกี่ยวข้องหรือ Stakeholder เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทําแผนการศึกษา อีกหนึ่งประเด็นสําคัญคือ มหาวิทยาลัยบูรพามีโรงเรียนสาธิตอาชีวศึกษาที่เปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาการตลาด คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว และการโรงแรม ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่มีความพร้อมสูงมากและจัดทําหลักสูตรการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้าแล้ว
ผู้แทนสํานักงานอาชีวศึกษาจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า ปัจจุบันมีเด็กเข้าเรียนที่สถาบันอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชนในจังหวัดชลบุรีกว่า 50,000 คน เปิดสอนหลักสูตร ปวช. และ ปวส. มีทั้งระบบปกติ ทวิภาคี ทวิศึกษา และเทียบโอนประสบการณ์ เปิดสอนสาขาที่จําเป็นในสถานประกอบการ เช่น ช่างกลโรงงาน ช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ การขนส่งระบบราง โลจิสติกส์ ช่างซ่อมอากาศยาน บัญชี การเกษตร เป็นต้น สถาบันอาชีวศึกษาวางแผนยกระดับคุณภาพผู้เรียนสู่มาตรฐานสากลและมาตรฐานวิชาชีพ ส่งเสริมให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ทักษะวิชาชีพ ภาษาต่างประเทศ และคุณธรรมจริยธรรม เพื่อให้สามารถนําไปประกอบอาชีพได้
ผู้แทนสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.)กล่าวว่า สํานักงาน กศน.จังหวัดชลบุรี ได้ยกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้นักเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษามีความพร้อม เช่น การสอน English Program และสอนภาษาจีน รวมทั้งภาษาอาเซียน เพื่อใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติ อีกทั้งยังให้ความสําคัญกับการศึกษาต่อเนื่องด้วยการพัฒนาอาชีพในการรองรับตลาดแรงงาน มุ่งเน้นการสร้างงานสร้างรายได้ อาทิ ธุรกิจนวดแผนไทย การนวดสปา เป็นต้น
ประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า ปัจจุบันจังหวัดชลบุรีมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรม นําไปสู่การทําอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งขณะนี้มีสินค้าส่งออกจํานวนมาก และส่วนมากเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมในการผลิต นอกจากนี้ ขอให้ผู้ประกอบการละทิ้งความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าของเราดีอยู่แล้วไม่ต้องพัฒนาก็มีคนมาซื้อ เพราะในความเป็นจริงเราต้องพัฒนาและปรับปรุงสินค้าและผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นจะก้าวไม่ทันโลกอย่างแน่นอน
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า การมุ่งเน้นอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ ในจังหวัดชลบุรี ทําให้มีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผลิตบุคลากรเฉพาะทางให้กับอุตสาหกรรมเหล่านี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีจึงร่วมวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบจัดการศึกษาตามรูปแบบ "สัตหีบโมเดล" เพื่อผลิตกําลังคนให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมโดยตรง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ภาคเอกชนได้ร่วมมือกับสถานศึกษาของรัฐโดยตรง เพื่อร่วมกันจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
นายกสมาคมบริหารงานบุคคลภาคตะวันออกกล่าวว่า จังหวัดชลบุรีมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อีกทั้งแรงงานที่จบการศึกษาจะมีทักษะด้านเดียว แต่ตลาดแรงงานต้องการคนมีความสามารถในหลายด้านในคน ๆ เดียว ซึ่งสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการผสมผสานหลักสูตรสาขาช่างต่าง ๆ ให้นักเรียนหนึ่งคนมีความสามารถในหลายด้าน นอกจากนี้ จึงเสนอให้มีการจัดตั้ง "ศูนย์อบรมเทคโนโลยีชั้นสูงในจังหวัดชลบุรี เพื่อฝึกทักษะแรงงานโดยเฉพาะ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวด้วยว่า นอกจากการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรีในครั้งนี้แล้ว ได้ไปเป็นประธานเปิดงาน "200 นักวิจัย 200 โจทย์พัฒนาเศรษฐกิจ" พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง "การจัดการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระเบียงเขตเศรษฐกิจ และการศึกษาในเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2560 ณ โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ จัดโดยวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์, ผู้บริหารมหาวิทยาลัยบูรพา, คณาจารย์, ผู้ประกอบการ, นักวิจัย และนิสิต เข้าร่วมงาน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า งาน 200 นักวิจัย 200 โจทย์พัฒนาเศรษฐกิจ คือ การระดมนักวิจัย อาจารย์ และนิสิตในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกของวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อทําวิจัยร่วมกับสถานประกอบการภาคเอกชนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง อาทิ การวิจัยด้านธุรกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เป็นต้น
การจับคู่นักวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการจะดําเนินการผ่านโปรแกรม Matching Researchers and Businessman for Researchโดยสถานประกอบการจะส่งข้อมูล ปัญหาที่พบ และหัวข้อการวิจัยที่ต้องการให้กับวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ เพื่อนํามากรอกในโปรแกรมดังกล่าว จากนั้นระบบจะทําการจับคู่หัวข้อการวิจัยของสถานประกอบการกับนักวิจัยที่มีความสามารถในด้านนั้น ๆ
ย้ําว่างานวิจัย มีประโยชน์อย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมถึงปัญหาในการประกอบธุรกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมางานวิจัยส่วนมากจะถูกเก็บไว้ในห้องสมุดไม่ได้นํามาใช้ประโยชน์อะไร แต่การจับคู่การวิจัยระหว่างนักวิจัยและสถานประกอบการในครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการนําผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาธุรกิจของตนเองได้ ในขณะที่นักวิจัยก็ได้ประโยชน์จากการทําวิจัยที่มีความถนัด และตรงประเด็น อีกทั้งสามารถนําผลการวิจัยมาพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้ เพื่อทําให้ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นพื้นที่เชื่อมโยงการค้า การลงทุน การคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ และเป็นพื้นที่จุดเด่นของทวีปเอเชียได้ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี
วันอังคารที่ 24 มกราคม 2560
การประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี
กระทรวงศึกษาธิการ มอบ กศจ.ชลบุรี จัดเตรียมแผนพัฒนาการศึกษาของจังหวัด เพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
โดยมีรมช.ศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" และ ผวจ.ชลบุรี"นายภัครธรณ์ เทียนไชย" ร่วมประชุมกับทุกภาคส่วนในจังหวัดชลบุรี
เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2560 ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดชลบุรี,พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรีโดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี,นางนิตย์ โรจน์รัตนวาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 9,นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี ผู้แทนภาคส่วนราชการ, ภาคเอกชน, สถานศึกษา, สถานประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมประชุม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการอํานวยความสะดวกในการประกอบกิจการ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อกระจายการพัฒนาไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่นั้น ๆ เช่น การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 เขตพื้นที่ของประเทศไทย หรือโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ในพื้นที่ 3 อําเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี, อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และอําเภอเบตง จังหวัดยะลา
นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าเพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในพื้นที่ "ภาคตะวันออก" ได้รับพัฒนาอย่างสมบูรณ์และยั่งยืนในทุกมิติทั้งระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและจําเป็นต่อการอยู่อาศัย การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การสาธารณสุข การศึกษา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอย่างเพียงพอได้มาตรฐานสากล และมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน
จึงได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2560 ลงวันที่ 17 มกราคม 2560 เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)ที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง และเขตจังหวัดอื่นที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้อง
ในส่วนของการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ถือมีหน้าที่โดยตรงในการผลิตและพัฒนากําลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จึงมอบให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าว ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญในการวางแผนการศึกษาทุกระดับชั้นและทุกประเภท ทั้งการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพราะถือว่าการศึกษาเป็นต้นน้ําในการเตรียมคน
ในส่วนของการวางแผนการศึกษาจังหวัดชลบุรีได้มอบ กศจ.ชลบุรี เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมในครั้งนี้ เพื่อนําไปจัดทําแผนการศึกษารองรับการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นรูปธรรม ชัดเจน สามารถพัฒนาและดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้คํานึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนการศึกษาของจังหวัดฉะเชิงเทราและระยองด้วย ตลอดจนขอความร่วมมือในการติดตามสถานการณ์หรือข้อมูลข่าวสารที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อนําไปจัดการศึกษาให้ครอบคลุม รอบด้าน นําไปสู่การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพต่อไป
นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า จังหวัดชลบุรีมีศักยภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เป็นฐานที่ตั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ํา โดยมีท่าเรือที่สําคัญ เช่น แหลมฉบัง โดยได้กําหนดวิสัยทัศน์ของจังหวัดชลบุรี คือ“ฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสะอาด แหล่งท่องเที่ยวนานาชาติ แหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย ประตูสู่เศรษฐกิจโลก สังคมแห่งการเรียนรู้และมีภูมิคุ้มกัน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นฐานการพัฒนาที่มีคุณภาพและยั่งยืน”กําหนดจุดยืน (Positioning) ทางยุทธศาสตร์ คือ“การท่องเที่ยวระดับนานาชาติ เมืองอุตสาหกรรมสะอาด”พร้อมทั้งได้กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไปสู่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก 6 ประเด็น ได้แก่
1. ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้มีการใช้เทคโนโลยีสะอาดในการผลิต และคํานึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
2. ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยว สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ให้มีความหลากหลายได้มาตรฐานสากล และเป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยว
3. พัฒนากระบวนการผลิตสินค้าการเกษตรสู่ระบบการผลิตคุณภาพสูง เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ
4. พัฒนาระบบผังเมือง ระบบโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐาน และแหล่งน้ํา เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด
5. บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศน์และการใช้ประโยชน์
6. พัฒนาคนและชุมชนให้มีคุณภาพ โดยการบริหารจัดการสังคมให้มีคุณภาพและมาตรฐาน รองรับการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
นอกจากนี้ จังหวัดชลบุรีมีแนวคิดในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อยกระดับพื้นที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําของเอเชีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการพัฒนาเมืองและสภาพแวดล้อมเมือง อํานวยความสะดวกและสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน และสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและท่องเที่ยวซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และดิจิทัล
ดร.นิตย์ โรจน์รัตนวาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 9กล่าวว่า จังหวัดชลบุรี มีสถานศึกษาทุกสังกัดจํานวนทั้งสิ้น 534 แห่ง ครูผู้สอน 16,299 คน นักเรียนและนักศึกษา 399,212 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับดี และมีแผนพัฒนาการศึกษาที่เชื่อมโยงกับจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนเป็นคนดี คนเก่ง และดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้ ซึ่งจุดเน้นตามสภาพเศรษฐกิจของจังหวัดชลบุรี และส่งเสริมให้คนในพื้นที่ได้ระดมความคิดเห็น สะท้อนปัญหา และสภาพปัจจุบันของจังหวัดชลบุรี
ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนที่ทันสมัย โดยนําแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับล่าสุด และแผนการศึกษาจังหวัด มาเป็นตัวตั้ง จากนั้นได้เชิญผู้เกี่ยวข้องหรือ Stakeholder เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทําแผนการศึกษา อีกหนึ่งประเด็นสําคัญคือ มหาวิทยาลัยบูรพามีโรงเรียนสาธิตอาชีวศึกษาที่เปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาการตลาด คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว และการโรงแรม ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่มีความพร้อมสูงมากและจัดทําหลักสูตรการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้าแล้ว
ผู้แทนสํานักงานอาชีวศึกษาจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า ปัจจุบันมีเด็กเข้าเรียนที่สถาบันอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชนในจังหวัดชลบุรีกว่า 50,000 คน เปิดสอนหลักสูตร ปวช. และ ปวส. มีทั้งระบบปกติ ทวิภาคี ทวิศึกษา และเทียบโอนประสบการณ์ เปิดสอนสาขาที่จําเป็นในสถานประกอบการ เช่น ช่างกลโรงงาน ช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ การขนส่งระบบราง โลจิสติกส์ ช่างซ่อมอากาศยาน บัญชี การเกษตร เป็นต้น สถาบันอาชีวศึกษาวางแผนยกระดับคุณภาพผู้เรียนสู่มาตรฐานสากลและมาตรฐานวิชาชีพ ส่งเสริมให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ทักษะวิชาชีพ ภาษาต่างประเทศ และคุณธรรมจริยธรรม เพื่อให้สามารถนําไปประกอบอาชีพได้
ผู้แทนสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.)กล่าวว่า สํานักงาน กศน.จังหวัดชลบุรี ได้ยกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้นักเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษามีความพร้อม เช่น การสอน English Program และสอนภาษาจีน รวมทั้งภาษาอาเซียน เพื่อใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติ อีกทั้งยังให้ความสําคัญกับการศึกษาต่อเนื่องด้วยการพัฒนาอาชีพในการรองรับตลาดแรงงาน มุ่งเน้นการสร้างงานสร้างรายได้ อาทิ ธุรกิจนวดแผนไทย การนวดสปา เป็นต้น
ประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า ปัจจุบันจังหวัดชลบุรีมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เน้นนวัตกรรม นําไปสู่การทําอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งขณะนี้มีสินค้าส่งออกจํานวนมาก และส่วนมากเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมในการผลิต นอกจากนี้ ขอให้ผู้ประกอบการละทิ้งความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าของเราดีอยู่แล้วไม่ต้องพัฒนาก็มีคนมาซื้อ เพราะในความเป็นจริงเราต้องพัฒนาและปรับปรุงสินค้าและผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นจะก้าวไม่ทันโลกอย่างแน่นอน
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีกล่าวว่า การมุ่งเน้นอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ ในจังหวัดชลบุรี ทําให้มีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผลิตบุคลากรเฉพาะทางให้กับอุตสาหกรรมเหล่านี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีจึงร่วมวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบจัดการศึกษาตามรูปแบบ "สัตหีบโมเดล" เพื่อผลิตกําลังคนให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมโดยตรง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ภาคเอกชนได้ร่วมมือกับสถานศึกษาของรัฐโดยตรง เพื่อร่วมกันจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
นายกสมาคมบริหารงานบุคคลภาคตะวันออกกล่าวว่า จังหวัดชลบุรีมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อีกทั้งแรงงานที่จบการศึกษาจะมีทักษะด้านเดียว แต่ตลาดแรงงานต้องการคนมีความสามารถในหลายด้านในคน ๆ เดียว ซึ่งสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการผสมผสานหลักสูตรสาขาช่างต่าง ๆ ให้นักเรียนหนึ่งคนมีความสามารถในหลายด้าน นอกจากนี้ จึงเสนอให้มีการจัดตั้ง "ศูนย์อบรมเทคโนโลยีชั้นสูงในจังหวัดชลบุรี เพื่อฝึกทักษะแรงงานโดยเฉพาะ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวด้วยว่า นอกจากการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรีในครั้งนี้แล้ว ได้ไปเป็นประธานเปิดงาน "200 นักวิจัย 200 โจทย์พัฒนาเศรษฐกิจ" พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง "การจัดการศึกษาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระเบียงเขตเศรษฐกิจ และการศึกษาในเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2560 ณ โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ จัดโดยวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์, ผู้บริหารมหาวิทยาลัยบูรพา, คณาจารย์, ผู้ประกอบการ, นักวิจัย และนิสิต เข้าร่วมงาน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า งาน 200 นักวิจัย 200 โจทย์พัฒนาเศรษฐกิจ คือ การระดมนักวิจัย อาจารย์ และนิสิตในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกของวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อทําวิจัยร่วมกับสถานประกอบการภาคเอกชนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง อาทิ การวิจัยด้านธุรกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เป็นต้น
การจับคู่นักวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการจะดําเนินการผ่านโปรแกรม Matching Researchers and Businessman for Researchโดยสถานประกอบการจะส่งข้อมูล ปัญหาที่พบ และหัวข้อการวิจัยที่ต้องการให้กับวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ เพื่อนํามากรอกในโปรแกรมดังกล่าว จากนั้นระบบจะทําการจับคู่หัวข้อการวิจัยของสถานประกอบการกับนักวิจัยที่มีความสามารถในด้านนั้น ๆ
ย้ําว่างานวิจัย มีประโยชน์อย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมถึงปัญหาในการประกอบธุรกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมางานวิจัยส่วนมากจะถูกเก็บไว้ในห้องสมุดไม่ได้นํามาใช้ประโยชน์อะไร แต่การจับคู่การวิจัยระหว่างนักวิจัยและสถานประกอบการในครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการนําผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาธุรกิจของตนเองได้ ในขณะที่นักวิจัยก็ได้ประโยชน์จากการทําวิจัยที่มีความถนัด และตรงประเด็น อีกทั้งสามารถนําผลการวิจัยมาพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้ เพื่อทําให้ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นพื้นที่เชื่อมโยงการค้า การลงทุน การคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ และเป็นพื้นที่จุดเด่นของทวีปเอเชียได้ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1459
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ห่วงใยความปลอดภัยผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ สั่งการเข้มควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาล
|
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
สธ. ห่วงใยความปลอดภัยผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ สั่งการเข้มควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ในการส่งต่อผู้ป่วยด้วยรถพยาบาล สั่งการเข้มให้ควบคุมระบบความปลอดภัยของรถพยาบาลให้ได้มาตรฐานตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ลดความสูญเสียหากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม VDO Conference เพื่อเตรียมความพร้อมของสถานบริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 พร้อมมีข้อสั่งการมาตรการความปลอดภัยรถพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้รถพยาบาลในการส่งต่อเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีข้อสั่งการ ให้หน่วยบริการทุกแห่งดําเนินการดังนี้ 1.ให้มีการตรวจสอบสภาพรถพยาบาลทุกประเภทพร้อมใช้งาน มีความปลอดภัยและมีการบํารุงรักษาสม่ําเสมอ มีการติดตั้งอุปกรณ์ GPS ที่ได้มาตรฐานของกรมการขนส่ง และติดตั้งกล้องวงจรปิดบันทึกภาพด้านหน้าและบริเวณคนขับ รวมถึงรถพยาบาลทุกคันต้องมีเข็มขัดนิรภัยที่ได้มาตรฐาน ทุกที่นั่ง 2.การปฏิบัติของพนักงานขับรถพยาบาล ต้องจํากัดความเร็วของรถไม่เกิน 80 กม./ชั่วโมง พนักงานขับรถต้องผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุข และตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 3. มาตรการด้านการพยาบาลในขณะนําส่งผู้ป่วย ในรถต้องมีผู้โดยสารรวมพนักงานขับทั้งหมดไม่เกิน 7 คน และทุกคนในรถพยาบาลต้องคาดเข็มขัดนิรภัย และห้ามทําหัตถการขณะรถเคลื่อนที่ 4.มาตรการด้านความคุ้มครอง รถพยาบาลทุกคันต้องทําการประกันชั้น 1 ภาคสมัครใจ ครอบคลุมผู้โดยสารทุกคน โดยมีวงเงินเอาประกันภัยหากเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวรคนละ 1 ล้านบาท 5.ให้มีระบบการรายงานกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินให้สาธารณสุขจังหวัดดําเนินการสอบสวนสาเหตุปัญหาพร้อมเสนอแนวทางป้องกัน และส่งผลไปยังต้นสังกัดรถพยาบาลและกองสาธารณสุขฉุกเฉิน หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลเข้ามารายงานในที่ประชุมผู้บริหารกระทรวง ณ กระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําให้หน่วยบริการทุกแห่งดําเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด มีการปรับปรุงแก้ไขการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยภายในรถพยาบาลให้แล้วเสร็จภายใน 31 มกราคม 2562 และถ้าหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จนทําให้มีความบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและดําเนินการทางวินัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดความสูญเสียของผู้โดยสารหากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน
***************************** 23 ธันวาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ห่วงใยความปลอดภัยผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ สั่งการเข้มควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาล
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
สธ. ห่วงใยความปลอดภัยผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ สั่งการเข้มควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ในการส่งต่อผู้ป่วยด้วยรถพยาบาล สั่งการเข้มให้ควบคุมระบบความปลอดภัยของรถพยาบาลให้ได้มาตรฐานตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ลดความสูญเสียหากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม VDO Conference เพื่อเตรียมความพร้อมของสถานบริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 พร้อมมีข้อสั่งการมาตรการความปลอดภัยรถพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้รถพยาบาลในการส่งต่อเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีข้อสั่งการ ให้หน่วยบริการทุกแห่งดําเนินการดังนี้ 1.ให้มีการตรวจสอบสภาพรถพยาบาลทุกประเภทพร้อมใช้งาน มีความปลอดภัยและมีการบํารุงรักษาสม่ําเสมอ มีการติดตั้งอุปกรณ์ GPS ที่ได้มาตรฐานของกรมการขนส่ง และติดตั้งกล้องวงจรปิดบันทึกภาพด้านหน้าและบริเวณคนขับ รวมถึงรถพยาบาลทุกคันต้องมีเข็มขัดนิรภัยที่ได้มาตรฐาน ทุกที่นั่ง 2.การปฏิบัติของพนักงานขับรถพยาบาล ต้องจํากัดความเร็วของรถไม่เกิน 80 กม./ชั่วโมง พนักงานขับรถต้องผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุข และตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 3. มาตรการด้านการพยาบาลในขณะนําส่งผู้ป่วย ในรถต้องมีผู้โดยสารรวมพนักงานขับทั้งหมดไม่เกิน 7 คน และทุกคนในรถพยาบาลต้องคาดเข็มขัดนิรภัย และห้ามทําหัตถการขณะรถเคลื่อนที่ 4.มาตรการด้านความคุ้มครอง รถพยาบาลทุกคันต้องทําการประกันชั้น 1 ภาคสมัครใจ ครอบคลุมผู้โดยสารทุกคน โดยมีวงเงินเอาประกันภัยหากเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวรคนละ 1 ล้านบาท 5.ให้มีระบบการรายงานกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินให้สาธารณสุขจังหวัดดําเนินการสอบสวนสาเหตุปัญหาพร้อมเสนอแนวทางป้องกัน และส่งผลไปยังต้นสังกัดรถพยาบาลและกองสาธารณสุขฉุกเฉิน หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลเข้ามารายงานในที่ประชุมผู้บริหารกระทรวง ณ กระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําให้หน่วยบริการทุกแห่งดําเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด มีการปรับปรุงแก้ไขการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยภายในรถพยาบาลให้แล้วเสร็จภายใน 31 มกราคม 2562 และถ้าหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จนทําให้มีความบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและดําเนินการทางวินัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดความสูญเสียของผู้โดยสารหากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน
***************************** 23 ธันวาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17703
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มว. จับมือประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก วิจัยจีโนมิกส์ พัฒนาวิธีการตรวจ COVID -19 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำสูง
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
มว. จับมือประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก วิจัยจีโนมิกส์ พัฒนาวิธีการตรวจ COVID -19 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยําสูง
มว. จับมือประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก วิจัยจีโนมิกส์ พัฒนาวิธีการตรวจ COVID -19 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยําสูง
เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นภาวะโรคระบาดรุนแรง (Pandemic) ทั่วโลก ดังนั้นนักวิจัยในกลุ่ม Bio Analysis จากประเทศชั้นนําจึงได้ร่วมมือศึกษาวิจัยในระดับจีโนมิกส์ (Genomics) เพื่อวางแผนพัฒนาวิธีการตรวจ SARS-CoV-2 RNA หรือ การตรวจ Covid-19 โดยวิธีเปรียบเทียบผลการวัด เพื่อให้ได้วิธีการตรวจวัดที่รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยําสูง และนําไปสู่การผลิตวัสดุอ้างอิงรับรองมาตรฐาน (Certified Reference Material) ซึ่งมีความจําเป็นอย่างมากสําหรับห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ทั่วโลกที่ใช้ในการตรวจวัด COVID-19 ด้วยเทคนิค PCR โดยมีนักวิจัยจากสถาบันมาตรวิทยาทั้งหมด 15 ประเทศจากทั่วโลก รวมถึงสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) ประเทศไทย เข้าร่วมเปรียบเทียบผลการวัดระหว่างประเทศดังกล่าว ด้วยเทคนิค digital PCR (Polymerase Chain Reaction) หรือ qPCR ในครั้งนี้ด้วย
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มว. จับมือประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก วิจัยจีโนมิกส์ พัฒนาวิธีการตรวจ COVID -19 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำสูง
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
มว. จับมือประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก วิจัยจีโนมิกส์ พัฒนาวิธีการตรวจ COVID -19 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยําสูง
มว. จับมือประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก วิจัยจีโนมิกส์ พัฒนาวิธีการตรวจ COVID -19 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยําสูง
เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นภาวะโรคระบาดรุนแรง (Pandemic) ทั่วโลก ดังนั้นนักวิจัยในกลุ่ม Bio Analysis จากประเทศชั้นนําจึงได้ร่วมมือศึกษาวิจัยในระดับจีโนมิกส์ (Genomics) เพื่อวางแผนพัฒนาวิธีการตรวจ SARS-CoV-2 RNA หรือ การตรวจ Covid-19 โดยวิธีเปรียบเทียบผลการวัด เพื่อให้ได้วิธีการตรวจวัดที่รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยําสูง และนําไปสู่การผลิตวัสดุอ้างอิงรับรองมาตรฐาน (Certified Reference Material) ซึ่งมีความจําเป็นอย่างมากสําหรับห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ทั่วโลกที่ใช้ในการตรวจวัด COVID-19 ด้วยเทคนิค PCR โดยมีนักวิจัยจากสถาบันมาตรวิทยาทั้งหมด 15 ประเทศจากทั่วโลก รวมถึงสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) ประเทศไทย เข้าร่วมเปรียบเทียบผลการวัดระหว่างประเทศดังกล่าว ด้วยเทคนิค digital PCR (Polymerase Chain Reaction) หรือ qPCR ในครั้งนี้ด้วย
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28747
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสังคมที่ดี มีจิตสำนึก มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดเอาทรัพย์สินคนอื่นเป็นของตัวเอง
|
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสังคมที่ดี มีจิตสํานึก มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดเอาทรัพย์สินคนอื่นเป็นของตัวเอง
นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสังคมที่ดี มีจิตสํานึก มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดเอาทรัพย์สินคนอื่นเป็นของตัวเอง
วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีคดีลอตเตอรี่ 30 ล้านว่า ขอให้รอการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตํารวจในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) ซึ่งสังคมไทยต้องทบทวนและเปลี่ยนแปลงให้เป็นสังคมที่ดี ต้องมีหลักคิดที่ถูกต้อง มีความซื่อสัตย์ ทําในสิ่งที่ดีงาม ไม่โกงใคร ไม่ร่วมมือกระทําความผิด อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเองก็อย่าถือเป็นทรัพย์สินของตัวเอง และที่สําคัญคือจิตสํานึกของแต่ละคน ซึ่งคนแต่ละคนถ้ามีคุณธรรมจะรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรควรทําหรือไม่ควรทํา ถ้าทุกคนมองแต่ผลประโยชน์ก็จะมีช่องทางหาผลประโยชน์จะทําให้เกิดความวุ่นวาย ขอให้ช่วยกันแก้ไขสังคมให้เป็นสังคมที่ดี รวมถึงเคารพกระบวนการยุติธรรมและการทํางานของเจ้าหน้าที่ อย่าด่วนตัดสินคนอื่นเพราะจะทําให้เกิดความสับสน
--------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสังคมที่ดี มีจิตสำนึก มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดเอาทรัพย์สินคนอื่นเป็นของตัวเอง
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสังคมที่ดี มีจิตสํานึก มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดเอาทรัพย์สินคนอื่นเป็นของตัวเอง
นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสังคมที่ดี มีจิตสํานึก มีความซื่อสัตย์ ไม่คิดเอาทรัพย์สินคนอื่นเป็นของตัวเอง
วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีคดีลอตเตอรี่ 30 ล้านว่า ขอให้รอการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตํารวจในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) ซึ่งสังคมไทยต้องทบทวนและเปลี่ยนแปลงให้เป็นสังคมที่ดี ต้องมีหลักคิดที่ถูกต้อง มีความซื่อสัตย์ ทําในสิ่งที่ดีงาม ไม่โกงใคร ไม่ร่วมมือกระทําความผิด อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเองก็อย่าถือเป็นทรัพย์สินของตัวเอง และที่สําคัญคือจิตสํานึกของแต่ละคน ซึ่งคนแต่ละคนถ้ามีคุณธรรมจะรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรควรทําหรือไม่ควรทํา ถ้าทุกคนมองแต่ผลประโยชน์ก็จะมีช่องทางหาผลประโยชน์จะทําให้เกิดความวุ่นวาย ขอให้ช่วยกันแก้ไขสังคมให้เป็นสังคมที่ดี รวมถึงเคารพกระบวนการยุติธรรมและการทํางานของเจ้าหน้าที่ อย่าด่วนตัดสินคนอื่นเพราะจะทําให้เกิดความสับสน
--------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10394
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจำนวน 2,000 ต้น สำหรับใช้ในกิจกรรมอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โครงการปฏิบัติการ “QUICK WIN” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
วว. มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้น สําหรับใช้ในกิจกรรมอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โครงการปฏิบัติการ “QUICK WIN” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
วว. มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้น สําหรับใช้ในกิจกรรมอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โครงการปฏิบัติการ “QUICK WIN” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ผ่านการดําเนินงานของ สถานีวิจัยลําตะคอง มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้น ให้กับสํานักงานเกษตรอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ในกิจกรรมอําเภอปากช่อง “Quick Win” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ซึ่งเป็นโครงการที่ทางอําเภอปากช่อง ร่วมกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในแต่ละพื้นที่ 14 ตําบล ร่วมกันจัดทําแปลงสาธิตเพาะปลูกพืชผักอายุสั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อนําผลผลิตที่ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว.มีความภาคภูมิใจและยินดียิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดําเนินโครงการปฏิบัติการ “Quick Win” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ทั้งระดับครัวเรือนและชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายของ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งส่งเสริมให้ทุกครัวเรือน ปลูกพืชผักสวนครัว คนละ 5 ชนิด เพื่อไว้ใช้บริโภคในครัวเรือน ซึ่งเป็นการทําเกษตรพอเพียงให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนในสังคมให้ความร่วมมือเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตามมาตรการของรัฐบาล การมอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้นในครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน ได้มีวัตถุดิบสําหรับการประกอบอาหารที่ปลอดสารเคมี ช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งช่วยลดภาวะการตึงเครียดจากสถานการณ์ด้วยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นอกจากนั้นบางครัวเรือนสามารถนําต้นกล้าไปขยายพันธุ์เพื่อเพาะปลูกสร้างรายได้เสริมต่อไป
นายมนตรี แก้วดวง ผู้อํานวยการสถานีวิจัยลําตะคอง วว. กล่าวว่า สถานีวิจัยลําตะคอง จังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งวิจัย พัฒนา และศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีของ วว. เพื่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตเทคโนโลยี และรองรับความต้องการของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนั้นยังให้บริการสถานที่ สิ่งอํานวยความสะดวก ในการประชุม/ฝึกอบรม และสัมมนาให้แก่หน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิ บริษัท สมาคมและเอกชนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการสนับสนุนต้นกล้าผักและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิต ส่งเสริมให้ชุมชนได้เรียนรู้การทําการเกษตร ปลูกพืชผักสําหรับบริโภคในครัวเรือนหรือจําหน่ายเป็นรายได้เสริม เพื่อความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจำนวน 2,000 ต้น สำหรับใช้ในกิจกรรมอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โครงการปฏิบัติการ “QUICK WIN” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
วว. มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้น สําหรับใช้ในกิจกรรมอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โครงการปฏิบัติการ “QUICK WIN” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
วว. มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้น สําหรับใช้ในกิจกรรมอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โครงการปฏิบัติการ “QUICK WIN” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ผ่านการดําเนินงานของ สถานีวิจัยลําตะคอง มอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้น ให้กับสํานักงานเกษตรอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ในกิจกรรมอําเภอปากช่อง “Quick Win” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ซึ่งเป็นโครงการที่ทางอําเภอปากช่อง ร่วมกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในแต่ละพื้นที่ 14 ตําบล ร่วมกันจัดทําแปลงสาธิตเพาะปลูกพืชผักอายุสั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อนําผลผลิตที่ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว.มีความภาคภูมิใจและยินดียิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดําเนินโครงการปฏิบัติการ “Quick Win” 90 วัน ปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ทั้งระดับครัวเรือนและชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายของ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งส่งเสริมให้ทุกครัวเรือน ปลูกพืชผักสวนครัว คนละ 5 ชนิด เพื่อไว้ใช้บริโภคในครัวเรือน ซึ่งเป็นการทําเกษตรพอเพียงให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนในสังคมให้ความร่วมมือเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตามมาตรการของรัฐบาล การมอบต้นกล้าพริกขี้หนูจํานวน 2,000 ต้นในครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน ได้มีวัตถุดิบสําหรับการประกอบอาหารที่ปลอดสารเคมี ช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งช่วยลดภาวะการตึงเครียดจากสถานการณ์ด้วยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นอกจากนั้นบางครัวเรือนสามารถนําต้นกล้าไปขยายพันธุ์เพื่อเพาะปลูกสร้างรายได้เสริมต่อไป
นายมนตรี แก้วดวง ผู้อํานวยการสถานีวิจัยลําตะคอง วว. กล่าวว่า สถานีวิจัยลําตะคอง จังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งวิจัย พัฒนา และศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีของ วว. เพื่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตเทคโนโลยี และรองรับความต้องการของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนั้นยังให้บริการสถานที่ สิ่งอํานวยความสะดวก ในการประชุม/ฝึกอบรม และสัมมนาให้แก่หน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิ บริษัท สมาคมและเอกชนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการสนับสนุนต้นกล้าผักและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิต ส่งเสริมให้ชุมชนได้เรียนรู้การทําการเกษตร ปลูกพืชผักสําหรับบริโภคในครัวเรือนหรือจําหน่ายเป็นรายได้เสริม เพื่อความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31847
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
|
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี) และจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์) โดยศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาของทั้ง 2 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่สําคัญของประเทศ สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ทั้ง 2 กลุ่มจังหวัดยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทําการเกษตร โดยกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สําคัญ คือ ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง และยางพารา ขณะที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 มีพื้นที่เหมาะสมกับการทํานา ปลูกพืชไร่และไม้ผล พืชเศรษฐกิจที่สําคัญได้แก่ ข้าว อ้อย ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ และพืชผัก
สําหรับการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ให้ความสําคัญกับประเด็นการพัฒนาร่วมของทั้ง 2 กลุ่มจังหวัด ได้แก่ 1. การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นฐานการท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัด 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงพื้นที่ภายในกลุ่มจังหวัด และพื้นที่ภาคเหนือเพื่อรองรับและเชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยว 3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 4. พัฒนาพืชเศรษฐกิจหลักของกลุ่มจังหวัดเป็นสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน ได้แก่ ข้าว ผักผลไม้ พืชไร่ ไม้ ดอกไม้ประดับ และ 5. พัฒนาและแก้ไขปัญหาสําคัญด้านสังคมและความมั่นคงของกลุ่มจังหวัด เช่น ยาเสพติด และแรงงานผิด กฎหมาย เป็นต้น โดยมีรายละเอียดของงาน ดังต่อไปนี้
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 เวลา 07.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะออกเดินทางจากท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเลย จากนั้น เดินทางไปพบประชาชน ณ หอประชุมทองวิไล มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเปิดถนน 4 เลน หมายเลข 201 ตอน เลย - เชียงคาน เพื่อลดความแออัดและรองรับปริมาณการจราจรและการเดินทางของประชาชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการขนส่ง โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานการใช้ท่าอากาศยานเลย เพื่อเตรียมการเป็นศูนย์กลางทางการบิน พร้อมทั้งจะเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 จังหวัด (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี) เพื่อแก้ปัญหาไร้ที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของประชาชน และรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติรวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการจัดการท่องเที่ยวชุมชนตามแนวทางประชารัฐของอําเภอเชียงคาน ณ ถนนคนเดิน วิถีเชียงคาน อําเภอเชียงคาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความเงียบสงบและภูมิทัศน์สวยงาม รวมทั้งมีเอกลักษณะเฉพาะถิ่น ทั้งในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม ย่านอาคารไม้เก่า ประเพณีวัฒนธรรมและภูมิปัญญา รวมถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีน้ําใจ ทั้งนี้ การบริหารจัดการท่องเที่ยวของที่นี่ ดําเนินการโดยองค์กรชุมชนและกลไกประชารัฐที่เข้มแข็ง แสดงให้ถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในท้องถิ่นที่ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งสามารถผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่
ช่วงบ่าย ณ จังหวัดเพชรบูรณ์ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจและการประเมินมูลค่าไม้มีค่า เช่น ต้นสักทอง ต้นมะฮอกกานี ต้นประดู่ ต้นมะขาม ฯลฯ ณ สวนป่าเกษตรห้วยแสนคํา ตําบลบ้านหวาย อําเภอหล่มสัก ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพัฒนาอาชีพและรายได้ของประชาชน โดยภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้มีค่าตามชนิดและรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลผลิตไม้ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และเพิ่มจํานวนพื้นที่ป่าของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างสมดุลธรรมชาติ
จากนั้น ณ โรงแรมอิมพิเรียล ภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ท ต.แคมป์สน อําเภอเขาค้อ นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมสินค้าเกษตรปลอดภัยภายใต้แบรนด์ “กรีนมาร์เก็ตเพชรบูรณ์” ซึ่งเป็นแบรนด์และแหล่งจําหน่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย มีการบริหารงานในรูปแบบคณะกรรมการ ประกอบด้วยภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมให้เกษตรรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นสหกรณ์ และการขับเคลื่อนโดยการตลาด โดยประสานงานกับตลาดและจัดหาตลาดผักปลอดภัยจากสารพิษ (GAP) หรือผักอินทรีย์(ORGANIC) ให้กับสหกรณ์ที่เป็นสมาชิก รวมทั้งการพัฒนาปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิต การตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้า การสนับสนุนด้าน วิชาการ สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน การรับรองมาตรฐานการผลิต การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการขนส่งและบริหารจัดการสินค้า (Logistics) โดยการสนับสนุนของภาคเอกชน หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีพบผู้แทนเครือข่ายชุมชนเขาค้อ เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 08.00 น. ณ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา ตําบลสะเดียง อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดอาคารศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ และเยี่ยมชมการดําเนินงานของคลินิกหมอครอบครัว ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพ – คลินิคหมอครอบครัว ภายใต้การจัดบริการของคลินิกหมอครอบครัว โดยใช้หลักการเวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลบริการสุขภาพทั้งในสถานบริการสุขภาพและรุกเข้าไปในชุมชนหรือ สถานที่ทํางานของประชาชนอย่างเหมาะสมช่วยลดความแออัดในการไปใช้บริการที่โรงพยาบาล ลดระยะเวลาการรอคอยที่โรงพยาบาลใหญ่ และลดค่าใช้จ่ายของประชาชน การดําเนินการคลินิกหมอครอบครัวที่นี่ สามารถดูแลประชาชนในเขตเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ครอบคลุมทุกมิติทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม ป้องกันโรคและการฟื้นฟูสภาพ ทั้งในระดับหน่วยบริการไปจนถึงบ้านของประชาชน
จากนั้น ณ ห้องประชุม LC2 ชั้น 4 อาคารศูนย์ปฏิบัติการภาษาและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ก่อนเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการพบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ ณ หอประชุมประกายเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ พร้อมทั้ง เป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 1 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 จังหวัด (ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์) รวมทั้งมอบหนังสือคู่มือการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลให้ราษฎร 434 ราย เพื่อแก้ปัญหาไร้ที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของประชาชน และรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติรวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
-----------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี) และจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์) โดยศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาของทั้ง 2 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่สําคัญของประเทศ สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ทั้ง 2 กลุ่มจังหวัดยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทําการเกษตร โดยกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สําคัญ คือ ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง และยางพารา ขณะที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 มีพื้นที่เหมาะสมกับการทํานา ปลูกพืชไร่และไม้ผล พืชเศรษฐกิจที่สําคัญได้แก่ ข้าว อ้อย ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ และพืชผัก
สําหรับการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ให้ความสําคัญกับประเด็นการพัฒนาร่วมของทั้ง 2 กลุ่มจังหวัด ได้แก่ 1. การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นฐานการท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัด 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงพื้นที่ภายในกลุ่มจังหวัด และพื้นที่ภาคเหนือเพื่อรองรับและเชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยว 3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 4. พัฒนาพืชเศรษฐกิจหลักของกลุ่มจังหวัดเป็นสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน ได้แก่ ข้าว ผักผลไม้ พืชไร่ ไม้ ดอกไม้ประดับ และ 5. พัฒนาและแก้ไขปัญหาสําคัญด้านสังคมและความมั่นคงของกลุ่มจังหวัด เช่น ยาเสพติด และแรงงานผิด กฎหมาย เป็นต้น โดยมีรายละเอียดของงาน ดังต่อไปนี้
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 เวลา 07.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะออกเดินทางจากท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเลย จากนั้น เดินทางไปพบประชาชน ณ หอประชุมทองวิไล มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเปิดถนน 4 เลน หมายเลข 201 ตอน เลย - เชียงคาน เพื่อลดความแออัดและรองรับปริมาณการจราจรและการเดินทางของประชาชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการขนส่ง โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานการใช้ท่าอากาศยานเลย เพื่อเตรียมการเป็นศูนย์กลางทางการบิน พร้อมทั้งจะเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 จังหวัด (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี) เพื่อแก้ปัญหาไร้ที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของประชาชน และรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติรวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการจัดการท่องเที่ยวชุมชนตามแนวทางประชารัฐของอําเภอเชียงคาน ณ ถนนคนเดิน วิถีเชียงคาน อําเภอเชียงคาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความเงียบสงบและภูมิทัศน์สวยงาม รวมทั้งมีเอกลักษณะเฉพาะถิ่น ทั้งในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม ย่านอาคารไม้เก่า ประเพณีวัฒนธรรมและภูมิปัญญา รวมถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีน้ําใจ ทั้งนี้ การบริหารจัดการท่องเที่ยวของที่นี่ ดําเนินการโดยองค์กรชุมชนและกลไกประชารัฐที่เข้มแข็ง แสดงให้ถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในท้องถิ่นที่ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งสามารถผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่
ช่วงบ่าย ณ จังหวัดเพชรบูรณ์ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจและการประเมินมูลค่าไม้มีค่า เช่น ต้นสักทอง ต้นมะฮอกกานี ต้นประดู่ ต้นมะขาม ฯลฯ ณ สวนป่าเกษตรห้วยแสนคํา ตําบลบ้านหวาย อําเภอหล่มสัก ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพัฒนาอาชีพและรายได้ของประชาชน โดยภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้มีค่าตามชนิดและรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลผลิตไม้ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และเพิ่มจํานวนพื้นที่ป่าของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างสมดุลธรรมชาติ
จากนั้น ณ โรงแรมอิมพิเรียล ภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ท ต.แคมป์สน อําเภอเขาค้อ นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมสินค้าเกษตรปลอดภัยภายใต้แบรนด์ “กรีนมาร์เก็ตเพชรบูรณ์” ซึ่งเป็นแบรนด์และแหล่งจําหน่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย มีการบริหารงานในรูปแบบคณะกรรมการ ประกอบด้วยภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมให้เกษตรรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นสหกรณ์ และการขับเคลื่อนโดยการตลาด โดยประสานงานกับตลาดและจัดหาตลาดผักปลอดภัยจากสารพิษ (GAP) หรือผักอินทรีย์(ORGANIC) ให้กับสหกรณ์ที่เป็นสมาชิก รวมทั้งการพัฒนาปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิต การตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้า การสนับสนุนด้าน วิชาการ สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน การรับรองมาตรฐานการผลิต การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการขนส่งและบริหารจัดการสินค้า (Logistics) โดยการสนับสนุนของภาคเอกชน หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีพบผู้แทนเครือข่ายชุมชนเขาค้อ เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 08.00 น. ณ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา ตําบลสะเดียง อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดอาคารศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ และเยี่ยมชมการดําเนินงานของคลินิกหมอครอบครัว ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพ – คลินิคหมอครอบครัว ภายใต้การจัดบริการของคลินิกหมอครอบครัว โดยใช้หลักการเวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลบริการสุขภาพทั้งในสถานบริการสุขภาพและรุกเข้าไปในชุมชนหรือ สถานที่ทํางานของประชาชนอย่างเหมาะสมช่วยลดความแออัดในการไปใช้บริการที่โรงพยาบาล ลดระยะเวลาการรอคอยที่โรงพยาบาลใหญ่ และลดค่าใช้จ่ายของประชาชน การดําเนินการคลินิกหมอครอบครัวที่นี่ สามารถดูแลประชาชนในเขตเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ครอบคลุมทุกมิติทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม ป้องกันโรคและการฟื้นฟูสภาพ ทั้งในระดับหน่วยบริการไปจนถึงบ้านของประชาชน
จากนั้น ณ ห้องประชุม LC2 ชั้น 4 อาคารศูนย์ปฏิบัติการภาษาและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ก่อนเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการพบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ ณ หอประชุมประกายเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ พร้อมทั้ง เป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 1 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 จังหวัด (ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์) รวมทั้งมอบหนังสือคู่มือการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลให้ราษฎร 434 ราย เพื่อแก้ปัญหาไร้ที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของประชาชน และรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติรวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
-----------------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15371
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
วันนี้ ( 6 มิถุนายน 2560)เวลา14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีตอบคําถามสื่อมวลชนเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนี้
กรณีเรื่องการ เซ็ตซีโร่ กกต. ปปช. ทางฝ่ายการเมืองบางกลุ่มมองว่าเป็นความพยายามสืบทอดอํานาจของ คสช. ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่า ทําไมถึงมอง คสช. ในแง่ที่จะสืบทอดอํานาจ มองได้อย่างไร ส่วน กกต. ก็มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจะไปแก้ไขคะแนนเสียงได้อย่างไร กกต. หรือใครก็ไม่สามารถทําการสืบทอดอํานาจได้
กรณีปัญหาการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นถี่ โดยเฉพาะการก่อการร้ายในรูปแบบโลนวูล์ฟ หรือที่ผู้ก่อการร้ายไม่ได้เชื่อมโยงกับองค์กรขนาดใหญ่ ทําให้เกิดการป้องกันยาก รัฐบาลจะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่าไทยพร้อมรับมือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในเมื่อผู้ถามก็รู้คําตอบอยู่แล้ว ในกรณีที่การก่อร้ายไม่ได้เชื่อมโยงกับองค์กรขนาดใหญ่ ป้องกันได้ยาก ซึ่งคําตอบมีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว โดยทางรัฐบาลเอง ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการป้องกันและปรามปราบในทุกระบบ ต้องสร้างการเรียนรู้ภาคประชาชนและสังคมให้มีส่วนร่วม ช่วยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในสังคม ในส่วนการจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ก็อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคงอยู่แล้ว ส่วนการจัดชื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เป็นการซื้อเพื่อทดแทนสิ่งที่ชํารุด ในการป้องกันภัยคุกคามทั้งรูปแบบเก่า และรูปแบบใหม่ ในส่วนภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ได้แก่ สงครามอิเล็กทรอนิกส์และภัยจากไซเบอร์
กรณีประเด็นเรื่องความไม่โปร่งใสใน ศอ.บต. ซึ่งล่าสุดพบว่า การติดตั้งเสาไฟโซล่าเซลล์ (Solar Cell)นั่นชํารุดใช้งานไม่ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้ให้ทางฝ่ายความมั่นคง ศอ.บต. กอ.รมน. และหน่วยงานทุกหน่วยที่รับผิดชอบในการจัดหา การบํารุงรักษา และการใช้งาน ไปตรวจสอบว่ามีอะไรที่บกพร่องบ้าง แล้วก็ให้รายงานผลให้ทราบภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อจะได้เร่งดําเนินการแก้ไขโดยทันที่ โดยหลายหน่วยงานมีงบประมาณในการจัดหากล้อง CCTV อยู่แล้ว ส่วนบางพื้นที่ที่ซื้อมาก็เป็นกล้องที่เก่าใช้งานมาอย่างยาวนานซึ่งได้หมดอายุลง และก็มีหน่วยงานบางหน่วยที่ไม่มีงบประมาณในการดูแลรักษา ซึ่งเรื่องนี้ทางรัฐบาลกําลังเร่งดําเนินการสํารวจ ซ่อมแซม และการจัดซื้อมาใหม่ทดแทนของเดิม โดยจะต้องระบุการจัดซื้อจัดหาที่ดูแลได้ครบวงจร ส่วนถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่คนใดบกพร่องจะต้องถูกลงโทษทางวินัย
สําหรับการปฏิรูปตํารวจมีหลายประเด็นซึ่งกําลังดําเนินการอยู่ทั้งในเรื่องโครงสร้าง กระบวนการในการบริหารงานเป็นเรื่องที่จะต้องทําไปพร้อม ๆ กัน เพราะเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญกําหนดระยะเวลาไว้ชัดเจน ส่วนเรื่องการทํางานของตํารวจนั้น ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบแล้วทุกเรื่อง
เรื่องทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้าอาวุธสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่า เป็นสิ่งที่กองทัพพยายามดําเนินการมาโดยตลอดที่จะไม่ให้ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ การค้าอาวุธสงคราม หรือกระบวนการต่าง ๆ เป็นเรื่องที่จะต้องกวดขัน และต้องตรวจตราอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ร่วมขบวนการมีทั้งเจ้าหน้าที่ ประชาชน และคนไม่ดีต่าง ๆ ซึ่งใครที่ไปร่วมในขบวนการเหล่านี้จะต้องดําเนินการทางกฎหมายต่อไป
กรณีที่ถามว่ามีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ว่าอาวุธสงครามที่จับได้มีแหล่งที่มาจากที่ไหน และมีการขโมยอาวุธในคลังแสงไปด้วยหรือไม่ นั้น ขณะนี้ตรวจสอบพบว่ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังไม่ว่ามีการรั่วไหลออกจากคลังแสง หากตรวจพบก็จะต้องลงโทษสถานหนักทั้งทางวินัยและทางอาญา
ส่วนรถที่ใช้ขนอาวุธสงครามระบุว่าเป็นรถของทางราชการนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ตรวจสอบพบไม่ใช่รถของทางราชการ แต่มีการสวมทะเบียนและติดป้ายกรงจักรเพื่อให้ผ่านด่านได้ เพราะฉะนั้น จึงได้เน้นย้ําทุกด่านตรวจให้เข้มงวดตรวจสอบรถทุกคันอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะมีตราของหน่วยงานราชการใด
กรณีที่ทหารได้ส่งระเบิดทางไปรษณีย์เอกชน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ให้หน่วยทหารตรวจสอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารบกก็ให้ติดตาม รวมถึงให้ผู้บัญชาการทุกหน่วยหาตัวผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีให้ได้ และร่วมดําเนินการสืบสวนสอบสวนกับทางเจ้าหน้าที่ตํารวจด้วย
เรื่องการติดตามหาตัวคนร้ายกรณีระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ มีความกังวลกับทุกเรื่องทั้งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นและเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากจะกําจัดให้ได้หมด เพราะฉะนั้นทุกคนในฐานะที่เป็นคนไทยจะต้องสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน คนที่คิดว่าเป็นเรื่องของการสร้างสถานการณ์จากฝ่ายเดียวกัน อยากทราบว่าเอาอะไรมาคิด และคนคิดคนจ้างก็ต้องจ้างคนที่สามารถทําการได้ อาจจะเป็นทหาร ตํารวจ หรือคนไม่ดีที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น ทหาร ตํารวจ ที่เขาจ้างมาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในราชการหรือนอกราชการก็ได้ ซึ่งใครที่เป็นคนไม่ดีล้วนมีสิทธิ์ที่จะก่อเหตุการณ์เช่นนี้ได้ทั้งสิ้น
กรณีนายเรืองไกรลีกิจวัฒนะขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบฐานะการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ประสบภาวะขาดทุน นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบว่า นายกรัฐมนตรีจะไม่รับเรื่องร้องเรียนจากบุคคลที่มาพูดแบบนี้ แต่จะรับเรื่องที่ฝ่ายกฎหมาย องค์กรอิสระ หรือกระบวนการยุติธรรม ส่งเรื่องมาให้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้รับเรื่องโดยตรงจากบุคคลพลเรือนโดยขอให้ไปดําเนินการเข้าช่องทางให้ถูกต้อง และขอให้รับฟังธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น
กรณีแนวทางการรวบรวมคําตอบต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี นั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รวบรวมคําตอบ โดยขอให้ประชาชนไปให้ข้อมูลได้ที่ศูนย์ดํารงธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว เพราะเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยตรง และมีวัตถุประสงค์ให้สังคมและประชาชนเรียนรู้เท่าทันทางการเมือง สร้างหลักคิดในเรื่องประชาธิปไตย และการเลือกตั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แก้ไขปัญหาในอดีต วางรากฐานรัฐบาลในอนาคต เมื่อมีการเลือกตั้งจะได้เลิกมองถึงเรื่องการสืบทอดอํานาจ
กรณีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเหตุใดจึงมีทหารเข้าไปเป็นบอร์ดจํานวนมาก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา ก็มีปัญหาภายในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ก็ได้มีการจัดให้ทหารเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ ไม่ใช่ไปนั่งยกมือแสดงความคิดเห็น หลายเรื่องรัฐบาลก็ได้แก้ไขปัญหาไปแล้วโดยได้รับข้อมูลเป็นสัดส่วนของกรรมการในบอร์ดตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการเอาทหารเข้าไปนั่งในบอร์ดจํานวนมาก แล้วตัดส่วนอื่นออกและเป็นบอร์ดกรรมการทั่วไปไม่ได้เป็นบอร์ดกรรมการเฉพาะทาง
***********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
วันนี้ ( 6 มิถุนายน 2560)เวลา14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีตอบคําถามสื่อมวลชนเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนี้
กรณีเรื่องการ เซ็ตซีโร่ กกต. ปปช. ทางฝ่ายการเมืองบางกลุ่มมองว่าเป็นความพยายามสืบทอดอํานาจของ คสช. ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่า ทําไมถึงมอง คสช. ในแง่ที่จะสืบทอดอํานาจ มองได้อย่างไร ส่วน กกต. ก็มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจะไปแก้ไขคะแนนเสียงได้อย่างไร กกต. หรือใครก็ไม่สามารถทําการสืบทอดอํานาจได้
กรณีปัญหาการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นถี่ โดยเฉพาะการก่อการร้ายในรูปแบบโลนวูล์ฟ หรือที่ผู้ก่อการร้ายไม่ได้เชื่อมโยงกับองค์กรขนาดใหญ่ ทําให้เกิดการป้องกันยาก รัฐบาลจะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่าไทยพร้อมรับมือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในเมื่อผู้ถามก็รู้คําตอบอยู่แล้ว ในกรณีที่การก่อร้ายไม่ได้เชื่อมโยงกับองค์กรขนาดใหญ่ ป้องกันได้ยาก ซึ่งคําตอบมีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว โดยทางรัฐบาลเอง ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการป้องกันและปรามปราบในทุกระบบ ต้องสร้างการเรียนรู้ภาคประชาชนและสังคมให้มีส่วนร่วม ช่วยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในสังคม ในส่วนการจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ก็อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคงอยู่แล้ว ส่วนการจัดชื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เป็นการซื้อเพื่อทดแทนสิ่งที่ชํารุด ในการป้องกันภัยคุกคามทั้งรูปแบบเก่า และรูปแบบใหม่ ในส่วนภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ได้แก่ สงครามอิเล็กทรอนิกส์และภัยจากไซเบอร์
กรณีประเด็นเรื่องความไม่โปร่งใสใน ศอ.บต. ซึ่งล่าสุดพบว่า การติดตั้งเสาไฟโซล่าเซลล์ (Solar Cell)นั่นชํารุดใช้งานไม่ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้ให้ทางฝ่ายความมั่นคง ศอ.บต. กอ.รมน. และหน่วยงานทุกหน่วยที่รับผิดชอบในการจัดหา การบํารุงรักษา และการใช้งาน ไปตรวจสอบว่ามีอะไรที่บกพร่องบ้าง แล้วก็ให้รายงานผลให้ทราบภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อจะได้เร่งดําเนินการแก้ไขโดยทันที่ โดยหลายหน่วยงานมีงบประมาณในการจัดหากล้อง CCTV อยู่แล้ว ส่วนบางพื้นที่ที่ซื้อมาก็เป็นกล้องที่เก่าใช้งานมาอย่างยาวนานซึ่งได้หมดอายุลง และก็มีหน่วยงานบางหน่วยที่ไม่มีงบประมาณในการดูแลรักษา ซึ่งเรื่องนี้ทางรัฐบาลกําลังเร่งดําเนินการสํารวจ ซ่อมแซม และการจัดซื้อมาใหม่ทดแทนของเดิม โดยจะต้องระบุการจัดซื้อจัดหาที่ดูแลได้ครบวงจร ส่วนถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่คนใดบกพร่องจะต้องถูกลงโทษทางวินัย
สําหรับการปฏิรูปตํารวจมีหลายประเด็นซึ่งกําลังดําเนินการอยู่ทั้งในเรื่องโครงสร้าง กระบวนการในการบริหารงานเป็นเรื่องที่จะต้องทําไปพร้อม ๆ กัน เพราะเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญกําหนดระยะเวลาไว้ชัดเจน ส่วนเรื่องการทํางานของตํารวจนั้น ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบแล้วทุกเรื่อง
เรื่องทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้าอาวุธสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่า เป็นสิ่งที่กองทัพพยายามดําเนินการมาโดยตลอดที่จะไม่ให้ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ การค้าอาวุธสงคราม หรือกระบวนการต่าง ๆ เป็นเรื่องที่จะต้องกวดขัน และต้องตรวจตราอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ร่วมขบวนการมีทั้งเจ้าหน้าที่ ประชาชน และคนไม่ดีต่าง ๆ ซึ่งใครที่ไปร่วมในขบวนการเหล่านี้จะต้องดําเนินการทางกฎหมายต่อไป
กรณีที่ถามว่ามีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ว่าอาวุธสงครามที่จับได้มีแหล่งที่มาจากที่ไหน และมีการขโมยอาวุธในคลังแสงไปด้วยหรือไม่ นั้น ขณะนี้ตรวจสอบพบว่ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังไม่ว่ามีการรั่วไหลออกจากคลังแสง หากตรวจพบก็จะต้องลงโทษสถานหนักทั้งทางวินัยและทางอาญา
ส่วนรถที่ใช้ขนอาวุธสงครามระบุว่าเป็นรถของทางราชการนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ตรวจสอบพบไม่ใช่รถของทางราชการ แต่มีการสวมทะเบียนและติดป้ายกรงจักรเพื่อให้ผ่านด่านได้ เพราะฉะนั้น จึงได้เน้นย้ําทุกด่านตรวจให้เข้มงวดตรวจสอบรถทุกคันอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะมีตราของหน่วยงานราชการใด
กรณีที่ทหารได้ส่งระเบิดทางไปรษณีย์เอกชน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ให้หน่วยทหารตรวจสอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารบกก็ให้ติดตาม รวมถึงให้ผู้บัญชาการทุกหน่วยหาตัวผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีให้ได้ และร่วมดําเนินการสืบสวนสอบสวนกับทางเจ้าหน้าที่ตํารวจด้วย
เรื่องการติดตามหาตัวคนร้ายกรณีระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ มีความกังวลกับทุกเรื่องทั้งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นและเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากจะกําจัดให้ได้หมด เพราะฉะนั้นทุกคนในฐานะที่เป็นคนไทยจะต้องสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน คนที่คิดว่าเป็นเรื่องของการสร้างสถานการณ์จากฝ่ายเดียวกัน อยากทราบว่าเอาอะไรมาคิด และคนคิดคนจ้างก็ต้องจ้างคนที่สามารถทําการได้ อาจจะเป็นทหาร ตํารวจ หรือคนไม่ดีที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น ทหาร ตํารวจ ที่เขาจ้างมาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในราชการหรือนอกราชการก็ได้ ซึ่งใครที่เป็นคนไม่ดีล้วนมีสิทธิ์ที่จะก่อเหตุการณ์เช่นนี้ได้ทั้งสิ้น
กรณีนายเรืองไกรลีกิจวัฒนะขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบฐานะการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ประสบภาวะขาดทุน นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบว่า นายกรัฐมนตรีจะไม่รับเรื่องร้องเรียนจากบุคคลที่มาพูดแบบนี้ แต่จะรับเรื่องที่ฝ่ายกฎหมาย องค์กรอิสระ หรือกระบวนการยุติธรรม ส่งเรื่องมาให้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้รับเรื่องโดยตรงจากบุคคลพลเรือนโดยขอให้ไปดําเนินการเข้าช่องทางให้ถูกต้อง และขอให้รับฟังธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น
กรณีแนวทางการรวบรวมคําตอบต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี นั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รวบรวมคําตอบ โดยขอให้ประชาชนไปให้ข้อมูลได้ที่ศูนย์ดํารงธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว เพราะเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยตรง และมีวัตถุประสงค์ให้สังคมและประชาชนเรียนรู้เท่าทันทางการเมือง สร้างหลักคิดในเรื่องประชาธิปไตย และการเลือกตั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แก้ไขปัญหาในอดีต วางรากฐานรัฐบาลในอนาคต เมื่อมีการเลือกตั้งจะได้เลิกมองถึงเรื่องการสืบทอดอํานาจ
กรณีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเหตุใดจึงมีทหารเข้าไปเป็นบอร์ดจํานวนมาก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา ก็มีปัญหาภายในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ก็ได้มีการจัดให้ทหารเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ ไม่ใช่ไปนั่งยกมือแสดงความคิดเห็น หลายเรื่องรัฐบาลก็ได้แก้ไขปัญหาไปแล้วโดยได้รับข้อมูลเป็นสัดส่วนของกรรมการในบอร์ดตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการเอาทหารเข้าไปนั่งในบอร์ดจํานวนมาก แล้วตัดส่วนอื่นออกและเป็นบอร์ดกรรมการทั่วไปไม่ได้เป็นบอร์ดกรรมการเฉพาะทาง
***********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4325
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. 2 สรุปผลการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2563 เน้นย้ำให้จังหวัดถอดบทเรียนเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมรณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
|
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
มท. 2 สรุปผลการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2563 เน้นย้ําให้จังหวัดถอดบทเรียนเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมรณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
มท. 2 สรุปผลการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2563 เน้นย้ําให้จังหวัดถอดบทเรียนเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมรณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (3 ม.ค. 2563) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เข้าร่วมพิธี
ในการนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สถิติของการอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ตลอดช่วงเวลา 7 วันของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 2562 – 2 ม.ค. 2563 นั้น เกิดอุบัติเหตุรวม 3,421 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 373 ราย และผู้บาดเจ็บ รวม 3,499 คน โดยจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 6 จังหวัด ได้แก่ ตราด พะเยา แม่ฮ่องสอน ยะลา ลําพูน และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือ สงขลา (116 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร (15 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด คือ สงขลา (121 คน) ทั้งนี้ สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ (ร้อยละ 32.68) และขับรถเร็ว (ร้อยละ 29.00) ส่วนพฤติกรรมเสี่ยงที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย (ร้อยละ 56.12) และดื่มแล้วขับ (ร้อยละ 22.49) โดยยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 79.97) และรถปิคอัพ (ร้อยละ 6.81) ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเส้นทางตรง (ร้อยละ 63.37) และถนนใน อบต./หมู่บ้าน (ร้อยละ 39.02) และช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. (ร้อยละ 26.28)
นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 พบว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดขึ้นจากการดื่มแล้วขับ และขับรถเร็ว รวมถึงผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ซึ่งศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดบูรณาการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยกําชับให้จังหวัดถอดบทเรียนและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในเชิงลึกอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง รวมทั้งค้นหาปัญหาอุปสรรคและปัจจัยความสําเร็จในการลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อนําไปสู่การกําหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละพื้นที่ พร้อมบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัจจัยทําให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็ว และการไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ศปถ. จะได้ดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถ ใช้ถนนอย่างปลอดภัย ตลอดจนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และสร้างจิตสํานึกความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะเป็นรากฐานในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป ท้ายนี้ ศปถ. ขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน เครือข่ายอาสาสมัคร กลุ่มจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอํานวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเดินทาง ด้วยความทุ่มเท และเสียสละตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ด้าน นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้จังหวัดจัดประชุมศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด เพื่อสรุปผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2563 พร้อมทั้งเร่งตรวจสอบข้อมูลผู้บาดเจ็บอุบัติเหตุทางถนนในช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2562 – 2 มกราคม 2563 ซึ่งเสียชีวิตภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ เพื่อให้ได้ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่ถูกต้อง รวมถึงวิเคราะห์สาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ถอดบทเรียนการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่เพื่อค้นหาสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวม ซึ่งจะนําไปสู่การกําหนดมาตรการและกลยุทธ์ในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และรูปแบบการเดินทางของประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้มากที่สุด
ด้าน นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เลขานุการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เปิดเผยว่า แม้จะสิ้นสุดการดําเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 แล้ว ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน โดยความร่วมมือของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงมุ่งสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง โดย ปภ. จะได้บูรณาการทุกหน่วยงานในการวางแนวทางและกําหนดทิศทางการสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในทุกมิติ ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างความตระหนักและจิตสํานึกด้านความปลอดภัยแก่ประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ เพื่อให้ถนนทุกสายเป็นเส้นทางแห่งความปลอดภัยอย่างยั่งยืน.
กองสารนิเทศ สป.มท
ครั้งที่ 2/2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. 2 สรุปผลการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2563 เน้นย้ำให้จังหวัดถอดบทเรียนเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมรณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
มท. 2 สรุปผลการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2563 เน้นย้ําให้จังหวัดถอดบทเรียนเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมรณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
มท. 2 สรุปผลการลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2563 เน้นย้ําให้จังหวัดถอดบทเรียนเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมรณรงค์สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (3 ม.ค. 2563) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เข้าร่วมพิธี
ในการนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สถิติของการอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ตลอดช่วงเวลา 7 วันของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 2562 – 2 ม.ค. 2563 นั้น เกิดอุบัติเหตุรวม 3,421 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 373 ราย และผู้บาดเจ็บ รวม 3,499 คน โดยจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 6 จังหวัด ได้แก่ ตราด พะเยา แม่ฮ่องสอน ยะลา ลําพูน และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือ สงขลา (116 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร (15 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด คือ สงขลา (121 คน) ทั้งนี้ สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ (ร้อยละ 32.68) และขับรถเร็ว (ร้อยละ 29.00) ส่วนพฤติกรรมเสี่ยงที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย (ร้อยละ 56.12) และดื่มแล้วขับ (ร้อยละ 22.49) โดยยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 79.97) และรถปิคอัพ (ร้อยละ 6.81) ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเส้นทางตรง (ร้อยละ 63.37) และถนนใน อบต./หมู่บ้าน (ร้อยละ 39.02) และช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. (ร้อยละ 26.28)
นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 พบว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดขึ้นจากการดื่มแล้วขับ และขับรถเร็ว รวมถึงผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ซึ่งศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดบูรณาการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยกําชับให้จังหวัดถอดบทเรียนและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในเชิงลึกอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง รวมทั้งค้นหาปัญหาอุปสรรคและปัจจัยความสําเร็จในการลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อนําไปสู่การกําหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละพื้นที่ พร้อมบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัจจัยทําให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็ว และการไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ศปถ. จะได้ดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถ ใช้ถนนอย่างปลอดภัย ตลอดจนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และสร้างจิตสํานึกความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะเป็นรากฐานในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป ท้ายนี้ ศปถ. ขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน เครือข่ายอาสาสมัคร กลุ่มจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอํานวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเดินทาง ด้วยความทุ่มเท และเสียสละตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ด้าน นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้จังหวัดจัดประชุมศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด เพื่อสรุปผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2563 พร้อมทั้งเร่งตรวจสอบข้อมูลผู้บาดเจ็บอุบัติเหตุทางถนนในช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2562 – 2 มกราคม 2563 ซึ่งเสียชีวิตภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ เพื่อให้ได้ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่ถูกต้อง รวมถึงวิเคราะห์สาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ถอดบทเรียนการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่เพื่อค้นหาสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวม ซึ่งจะนําไปสู่การกําหนดมาตรการและกลยุทธ์ในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และรูปแบบการเดินทางของประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้มากที่สุด
ด้าน นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เลขานุการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เปิดเผยว่า แม้จะสิ้นสุดการดําเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 แล้ว ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน โดยความร่วมมือของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงมุ่งสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง โดย ปภ. จะได้บูรณาการทุกหน่วยงานในการวางแนวทางและกําหนดทิศทางการสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในทุกมิติ ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างความตระหนักและจิตสํานึกด้านความปลอดภัยแก่ประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ เพื่อให้ถนนทุกสายเป็นเส้นทางแห่งความปลอดภัยอย่างยั่งยืน.
กองสารนิเทศ สป.มท
ครั้งที่ 2/2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25626
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ พิจารณาร่างกฎหมายลำดับรอง
|
วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561
“ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ พิจารณาร่างกฎหมายลําดับรอง
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายลําดับรองซึ่งออกตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้แก่
ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๕๖๐
ร่างระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง พ.ศ. ....
และร่างระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการกําหนดความผิดอาญาที่ผู้บัญชาการเรือนจํา
มีอํานาจวินิจฉัยลงโทษฐานผิดวินัย พ.ศ. ....
โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายและระเบียบดังกล่าวยังต้องมีการเพิ่มเติมและแก้ไขในบางประเด็น
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมเมื่อมีผลบังคับใช้ ที่ประชุมฯ
จึงได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการรวบรวมข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ ไปแก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมาย และระเบียบดังกล่าว
เพื่อนํามาเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณารับรองในการประชุมครั้งต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ พิจารณาร่างกฎหมายลำดับรอง
วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561
“ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ พิจารณาร่างกฎหมายลําดับรอง
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายลําดับรองซึ่งออกตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้แก่
ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๕๖๐
ร่างระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง พ.ศ. ....
และร่างระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการกําหนดความผิดอาญาที่ผู้บัญชาการเรือนจํา
มีอํานาจวินิจฉัยลงโทษฐานผิดวินัย พ.ศ. ....
โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายและระเบียบดังกล่าวยังต้องมีการเพิ่มเติมและแก้ไขในบางประเด็น
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมเมื่อมีผลบังคับใช้ ที่ประชุมฯ
จึงได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการรวบรวมข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ ไปแก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมาย และระเบียบดังกล่าว
เพื่อนํามาเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณารับรองในการประชุมครั้งต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10160
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายแก่ อ.ต.ก.
|
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายแก่ อ.ต.ก.
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายแก่ อ.ต.ก. หนุนการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานและตรวจเยี่ยมองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และเยี่ยมชมการดําเนินงานภายใน อ.ต.ก. ณ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ว่า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีแผนการดําเนินงานสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานผลผลิตทางการเกษตร ต่อยอดไปสู่เกษตรอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบตลาด เชื่อมโยงตลาดเพื่อให้ผลผลิตของเกษตรกรถึงมือผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร
สําหรับแผนการดําเนินงานในปี 2562 อ.ต.ก. มีนโยบายในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และส่งเสริมการตลาดนําการผลิตภาคการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจขององค์กร 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) สร้างตลาดปัจจัยการผลิตและตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ โดยส่งเสริมการซื้อขายสินค้าบนระบบออนไลน์ จัดตั้งตลาด อ.ต.ก. ในภูมิภาคและจัดตั้งตลาดน้ํา 2) สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรในรูปแบบ 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรมการเกษตร คัดสรรสินค้าเกษตร Best of อ.ต.ก. สร้าง Brand อ.ต.ก. และจัดงาน อ.ต.ก. Fair 3) ส่งเสริมเกษตรพันธสัญญาและจัดทําตลาดสินค้าเกษตรในต่างประเทศให้เกษตรกร
"ได้ให้นโยบาย อ.ต.ก. ในการเป็นแหล่งรองรับผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะใช้แนวทางขยายตลาด อ.ต.ก. ไปทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด และขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนําการผลิต โดยสํารวจความต้องการของตลาด กําหนดปริมาณการรับซื้อ และเป็นแหล่งจําหน่ายสินค้า สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในท้องถิ่นนั้นๆ โดยไม่ต้องนําสินค้ามาขายที่ตลาด อ.ต.ก. ในกรุงเทพ"
ทั้งนี้ การดําเนินงานที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อภาคเกษตรกรรมในหลายด้าน อาทิ 1) เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการผลิต เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร มีช่องทางการตลาดในการจําหน่ายผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้บริโภค มีโอกาสในการเข้าสู่ช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพมากขึ้น และได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐานปลอดภัย 2) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร มีการใช้ประโยชน์สินทรัพย์อย่างเต็มศักยภาพ มีศูนย์กลางกระจายปัจจัยการผลิตและระบบตลาดที่ทันสมัย ครบวงจรเป็นต้นแบบ สามารถเป็นที่พึ่งของเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน เป็นกลไกด้านการตลาดสินค้าเกษตรของรัฐที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเกษตรกร มีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณชน และ 3) ภาครัฐบาล ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ภาพลักษณ์ด้านคุณภาพ มาตรฐาน ปลอดภัย และสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร และขยายตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ/การบริโภคสินค้าเกษตรคุณภาพเพิ่มขึ้น
ในโอกาสนี้ รมช.ธรรมนัส ได้เยี่ยมชมการดําเนินงานภายใน อ.ต.ก. อาทิ ตลาดอินทรีย์ ร้านค้ามินิ อ.ต.ก. ร้าน Best Of Ortorkor ตลาดสดต้นแบบ และตลาดเกษตรกร พื้นที่ 350 และ 1,000 ตร.ม. ด้วย.
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายแก่ อ.ต.ก.
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายแก่ อ.ต.ก.
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายแก่ อ.ต.ก. หนุนการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานและตรวจเยี่ยมองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และเยี่ยมชมการดําเนินงานภายใน อ.ต.ก. ณ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ว่า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีแผนการดําเนินงานสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานผลผลิตทางการเกษตร ต่อยอดไปสู่เกษตรอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบตลาด เชื่อมโยงตลาดเพื่อให้ผลผลิตของเกษตรกรถึงมือผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร
สําหรับแผนการดําเนินงานในปี 2562 อ.ต.ก. มีนโยบายในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และส่งเสริมการตลาดนําการผลิตภาคการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจขององค์กร 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) สร้างตลาดปัจจัยการผลิตและตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ โดยส่งเสริมการซื้อขายสินค้าบนระบบออนไลน์ จัดตั้งตลาด อ.ต.ก. ในภูมิภาคและจัดตั้งตลาดน้ํา 2) สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรในรูปแบบ 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรมการเกษตร คัดสรรสินค้าเกษตร Best of อ.ต.ก. สร้าง Brand อ.ต.ก. และจัดงาน อ.ต.ก. Fair 3) ส่งเสริมเกษตรพันธสัญญาและจัดทําตลาดสินค้าเกษตรในต่างประเทศให้เกษตรกร
"ได้ให้นโยบาย อ.ต.ก. ในการเป็นแหล่งรองรับผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะใช้แนวทางขยายตลาด อ.ต.ก. ไปทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด และขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนําการผลิต โดยสํารวจความต้องการของตลาด กําหนดปริมาณการรับซื้อ และเป็นแหล่งจําหน่ายสินค้า สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในท้องถิ่นนั้นๆ โดยไม่ต้องนําสินค้ามาขายที่ตลาด อ.ต.ก. ในกรุงเทพ"
ทั้งนี้ การดําเนินงานที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อภาคเกษตรกรรมในหลายด้าน อาทิ 1) เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการผลิต เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร มีช่องทางการตลาดในการจําหน่ายผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้บริโภค มีโอกาสในการเข้าสู่ช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพมากขึ้น และได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐานปลอดภัย 2) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร มีการใช้ประโยชน์สินทรัพย์อย่างเต็มศักยภาพ มีศูนย์กลางกระจายปัจจัยการผลิตและระบบตลาดที่ทันสมัย ครบวงจรเป็นต้นแบบ สามารถเป็นที่พึ่งของเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน เป็นกลไกด้านการตลาดสินค้าเกษตรของรัฐที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเกษตรกร มีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณชน และ 3) ภาครัฐบาล ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ภาพลักษณ์ด้านคุณภาพ มาตรฐาน ปลอดภัย และสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร และขยายตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ/การบริโภคสินค้าเกษตรคุณภาพเพิ่มขึ้น
ในโอกาสนี้ รมช.ธรรมนัส ได้เยี่ยมชมการดําเนินงานภายใน อ.ต.ก. อาทิ ตลาดอินทรีย์ ร้านค้ามินิ อ.ต.ก. ร้าน Best Of Ortorkor ตลาดสดต้นแบบ และตลาดเกษตรกร พื้นที่ 350 และ 1,000 ตร.ม. ด้วย.
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22659
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ลุงณัฐ” ใจดี แจกทุนเด็กๆ สานต่อความฝันเรียนดี แต่ยากจน!!
|
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562
“ลุงณัฐ” ใจดี แจกทุนเด็กๆ สานต่อความฝันเรียนดี แต่ยากจน!!
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยเป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา ประจําปีการศึกษา 2561 ให้กับนักเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยเป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา ประจําปีการศึกษา 2561 ให้กับนักเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ ที่เรียนดี ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ บุตรข้าราชการทหาร และมอบเกียรติบัตรให้แก่นักเรียนที่ทําคุณความดี อันเป็นประโยชน์แก่โรงเรียน พร้อมมอบโล่เกียรติยศให้กับคณะครู และบุคคลที่อุทิศตนสร้างคุณประโยชน์ด้านการศึกษาให้กับโรงเรียนกลาโหมอุทิศอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ลุงณัฐ” ใจดี แจกทุนเด็กๆ สานต่อความฝันเรียนดี แต่ยากจน!!
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562
“ลุงณัฐ” ใจดี แจกทุนเด็กๆ สานต่อความฝันเรียนดี แต่ยากจน!!
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยเป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา ประจําปีการศึกษา 2561 ให้กับนักเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยเป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา ประจําปีการศึกษา 2561 ให้กับนักเรียนโรงเรียนกลาโหมอุทิศ ที่เรียนดี ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ บุตรข้าราชการทหาร และมอบเกียรติบัตรให้แก่นักเรียนที่ทําคุณความดี อันเป็นประโยชน์แก่โรงเรียน พร้อมมอบโล่เกียรติยศให้กับคณะครู และบุคคลที่อุทิศตนสร้างคุณประโยชน์ด้านการศึกษาให้กับโรงเรียนกลาโหมอุทิศอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22745
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด สสว. อนุมัติกองทุน 1 หมื่นล้านช่วย SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเติบโตอย่างเข้มแข็ง
|
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
บอร์ด สสว. อนุมัติกองทุน 1 หมื่นล้านช่วย SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเติบโตอย่างเข้มแข็ง
นายกรัฐมนตรี ย้ํา SME เป็นกลไกหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยไปข้างหน้า กําชับเตรียมแรงงานในประเทศให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี
วันนี้ (21 ต.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่า SME เป็นอีกหนึ่งกลไกหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยไปข้างหน้าท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ซึ่งการประชุมหารือร่วมกันวันนี้เพื่อนําไปสู่การพัฒนาปรับปรุง SMEที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งให้ สสว. เร่งรัดดําเนินการให้ SME ที่ยังไม่มาขึ้นทะเบียนกับ สสว. ขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อย (ปัจจุบันประเทศไทยมี SME ประมาณ 3 ล้านกว่าราย) เพื่อจะได้รับประโยชน์และความช่วยเหลือจากภาครัฐตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันให้เชื่อมโยงการทํางานร่วมกันระหว่าง SME สสว. กับสตาร์อัพ ที่สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า(depa) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดําเนินการอยู่ และให้เตรียมความพร้อมแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดจนการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยเฉพาะแรงงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้คนไทยหรือแรงงานในประเทศมีตําแหน่งงานที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของตลาดและไม่ตกงาน ขณะเดียวกันให้มีการสนับสนุนส่งเสริมในเรื่องภาษาต่างประเทศในภาคบริการและท่องเที่ยว เช่น ภาษาอังกฤษ ฯลฯ รวมทั้งขับเคลื่อนสนับสนุน SME ที่ประเทศไทยมีศักยภาพ เช่น เรื่องของการผลิตเสื้อผ้า เป็นต้น และให้ดูแลครอบคลุมในภาคเกษตร และเศรษฐกิจฐานราก ให้ SME ได้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
ภายหลังการประชุมฯ นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม สสว. ได้อนุมัติและเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563 และให้จัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กรอบวงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
สําหรับความเป็นมากองทุนดังกล่าวนั้น กระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2562 เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมทั้ง เพื่อสนับสนุน SMEs ทั่วไปให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องหรือลงทุนขยายกิจการ และสนับสนุน SMEs ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม ขยายกิจการ และยกระดับการพัฒนามาตรฐานการให้บริการ โดยจัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 1.0 % ต่อปี โดยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นหน่วยร่วมดําเนินการ และกําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เหมาะสมเพิ่มเติม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งการช่วยเหลือ SMEs และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 อนุมัติโครงการดังกล่าว โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ให้ สสว. กําหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความชัดเจน โดยให้คํานึงถึงโอกาสในการยกระดับกิจการ SME เป็นสําคัญ
ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สสว. และ ธพว. ได้กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดําเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กําหนดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ปี 2562-2563 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะมีผู้ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อจํานวนไม่น้อยกว่า 12,250 ราย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กรณีบุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท กรณีนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 1.0 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.0 % ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชําระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้จะต้องมีบุคคลค้ําประกัน และเป็นผู้ที่ไม่เคยเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือเงินทุนในโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดย ธพว. เป็นผู้ดําเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดําเนินการได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 – เดือนตุลาคม 2563
ทั้งนี้ สสว. คาดว่า ภายใต้โครงการกองทุนหมื่นล้าน จะมี SMEs รายย่อยได้รับการอนุมัติเงินกู้ไม่น้อยกว่า 12,250 ราย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนรวม 9,794 ล้านบาท เพื่อนําไปปรับปรุง ซ่อมแซม ขยายกิจการ ยกระดับการพัฒนาการให้บริการและขยายกําลังการผลิต ซึ่งจะทําให้กิจการสามารถดําเนินงานต่อไปได้ ส่งผลให้มีรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้จะทําให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทําให้ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ภายใต้โครงการมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาการจ้างงาน หรือเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นด้วย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูล: สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด สสว. อนุมัติกองทุน 1 หมื่นล้านช่วย SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเติบโตอย่างเข้มแข็ง
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
บอร์ด สสว. อนุมัติกองทุน 1 หมื่นล้านช่วย SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเติบโตอย่างเข้มแข็ง
นายกรัฐมนตรี ย้ํา SME เป็นกลไกหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยไปข้างหน้า กําชับเตรียมแรงงานในประเทศให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี
วันนี้ (21 ต.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่า SME เป็นอีกหนึ่งกลไกหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยไปข้างหน้าท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ซึ่งการประชุมหารือร่วมกันวันนี้เพื่อนําไปสู่การพัฒนาปรับปรุง SMEที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งให้ สสว. เร่งรัดดําเนินการให้ SME ที่ยังไม่มาขึ้นทะเบียนกับ สสว. ขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อย (ปัจจุบันประเทศไทยมี SME ประมาณ 3 ล้านกว่าราย) เพื่อจะได้รับประโยชน์และความช่วยเหลือจากภาครัฐตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันให้เชื่อมโยงการทํางานร่วมกันระหว่าง SME สสว. กับสตาร์อัพ ที่สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า(depa) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดําเนินการอยู่ และให้เตรียมความพร้อมแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดจนการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยเฉพาะแรงงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้คนไทยหรือแรงงานในประเทศมีตําแหน่งงานที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของตลาดและไม่ตกงาน ขณะเดียวกันให้มีการสนับสนุนส่งเสริมในเรื่องภาษาต่างประเทศในภาคบริการและท่องเที่ยว เช่น ภาษาอังกฤษ ฯลฯ รวมทั้งขับเคลื่อนสนับสนุน SME ที่ประเทศไทยมีศักยภาพ เช่น เรื่องของการผลิตเสื้อผ้า เป็นต้น และให้ดูแลครอบคลุมในภาคเกษตร และเศรษฐกิจฐานราก ให้ SME ได้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
ภายหลังการประชุมฯ นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม สสว. ได้อนุมัติและเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563 และให้จัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กรอบวงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
สําหรับความเป็นมากองทุนดังกล่าวนั้น กระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2562 เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมทั้ง เพื่อสนับสนุน SMEs ทั่วไปให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องหรือลงทุนขยายกิจการ และสนับสนุน SMEs ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม ขยายกิจการ และยกระดับการพัฒนามาตรฐานการให้บริการ โดยจัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 1.0 % ต่อปี โดยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นหน่วยร่วมดําเนินการ และกําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เหมาะสมเพิ่มเติม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งการช่วยเหลือ SMEs และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 อนุมัติโครงการดังกล่าว โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ให้ สสว. กําหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความชัดเจน โดยให้คํานึงถึงโอกาสในการยกระดับกิจการ SME เป็นสําคัญ
ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สสว. และ ธพว. ได้กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดําเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กําหนดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ปี 2562-2563 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะมีผู้ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อจํานวนไม่น้อยกว่า 12,250 ราย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กรณีบุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท กรณีนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 1.0 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.0 % ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชําระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้จะต้องมีบุคคลค้ําประกัน และเป็นผู้ที่ไม่เคยเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือเงินทุนในโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดย ธพว. เป็นผู้ดําเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดําเนินการได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 – เดือนตุลาคม 2563
ทั้งนี้ สสว. คาดว่า ภายใต้โครงการกองทุนหมื่นล้าน จะมี SMEs รายย่อยได้รับการอนุมัติเงินกู้ไม่น้อยกว่า 12,250 ราย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนรวม 9,794 ล้านบาท เพื่อนําไปปรับปรุง ซ่อมแซม ขยายกิจการ ยกระดับการพัฒนาการให้บริการและขยายกําลังการผลิต ซึ่งจะทําให้กิจการสามารถดําเนินงานต่อไปได้ ส่งผลให้มีรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้จะทําให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทําให้ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ภายใต้โครงการมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาการจ้างงาน หรือเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นด้วย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูล: สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23942
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ จัดประชุมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง พร้อมติดตามการดำเนินงาน พท.17 จังหวัดภาคเหนือ
|
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
ก.เกษตรฯ จัดประชุมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง พร้อมติดตามการดําเนินงาน พท.17 จังหวัดภาคเหนือ
ก.เกษตรฯ จัดประชุมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง พร้อมติดตามการดําเนินงานในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ด้าน สศก.เผยผลการประเมินโครงการฯใน 3 เดือนแรก ทั้ง 77 จว. พบเกษตรสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนได้เพิ่มขึน ร้อยละ 25
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดการประชุมขับเคลื่อนโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง และการติดตามการดําเนินงานในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยมี พลเอก ประสาท สุขเกษตร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุม และมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัด ปราชญ์เกษตร ภาคประชารัฐ ภาคสถาบันการศึกษา ประธานกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ และเกษตรและสหกรณ์จังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ ณ ห้องประชุมจามเทวี ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดลําพูน อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน
พลเอกประสาท สุขเกษตร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ) มีนโยบายให้จัดทําโครงการ "5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่แนวพระราชดําริเกษตรทฤษฎีใหม่ไปสู่สาธารณชน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีความสมัครใจจาก 882 อําเภอ รวม 70,000 ราย ได้น้อมนําหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองอย่างเหมาะสม ให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกร โดยมุ่งหวังจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ อันเกิดจากการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยการสร้างอาชีพอย่างเหมาะสมกับทรัพยากรและปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า โดยได้คัดเลือกเกษตรกรที่มีความพร้อมเพื่อดําเนินการในปี 2560 จํานวน 70,000 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ เกษตรกรกลุ่มพร้อมมาก (Cell ต้นกําเนิด) จํานวน 21,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ก.พ. - เม.ย. 60 เกษตรกรกลุ่มพร้อมปานกลาง (Cell แตกตัว ครั้งที่ 1) จํานวน 42,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน พ.ค. - ก.ย. 60 และเกษตรกรกลุ่มพร้อม (Cell แตกตัว ครั้งที่ 2) จํานวน 7,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 60 โดยเกษตรกรกลุ่ม Cell ต้นกําเนิดที่ประสบผลสําเร็จจะทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการให้คําแนะนําการดําเนินกิจกรรมตามแผนการผลิตให้แก่เกษตรกรกลุ่ม Cell แตกตัว
ทั้งนี้ จากการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้รายงานผลการประเมินผลโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 ก.พ.– 30 เม.ย.60 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการกับเกษตรกรเป้าหมาย กลุ่มพร้อมมาก จํานวน 21,000 ราย โดยการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากรเป้าหมาย ทั้ง 77 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,810 ราย โดยสรุปผลเป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้ 1.มูลค่าผลตอบแทนสุทธิทางการเกษตรในพื้นที่โครงการ พบว่า การทําเกษตรทฤษฎีใหม่ที่มีการทํากิจกรรมในแปลงแบบเกษตรผสมผสาน มีการเกื้อกูลกัน โดยหลังจากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการและมีการลงมือทํากิจกรรมการผลิต โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 93.33 มีผลผลิตจากแปลงที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนเกษตรกรที่เหลือร้อยละ 6.67 อยู่ระหว่างการดําเนินการ สําหรับเกษตรกรที่ได้รับผลผลิตแล้วได้รับผลตอบแทนสุทธิจากกิจกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้นจากเดิม 16,547 บาท/เดือน เป็น 21,160/บาท หรือเพิ่มขึ้น 4,613 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 27.88
2.การลดรายจ่ายในครัวเรือนโดยการพึ่งพาตนเอง โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า (1) การลดรายจ่ายในครัวเรือนสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนจากเดิม 426 บาท/เดือน เป็น 533 บาท/เดือน หรือสามารถลดได้เพิ่มขึ้น 107 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 25
(2) การลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตรโดยใช้ปัจจัยการผลิตของตนเอง เช่น การเก็บพันธุ์ไว้ใช้เอง การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช และการผลิตอาหารสัตว์ไว้ใช้เองแทนการซื้อจากภายนอก พบว่า เกษตรกรสามาถลดต้นทุนการผลิตโดยการพึ่งพาตนเอง จากเดิม 140 บาท/เดือน เป็น 170 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 21 (3) การลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน โดยการใช้แรงงานในครัวเรือน แทนการจ้างแรงงานภายนอก พบว่า เกษตรกรสามารถลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนโดยการพึ่งพาแรงงานของตนเองจากเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการ 332 บาท/เดือน เป็น 386 บาท/เดือนิหรือสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น 54 บาท/ เดือน คิดเป็นร้อยละ 16
3.คุณภาพชีวิตของเกษตรกร แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ (1) สภาพหนี้สินของครัวเรือนเกษตรกร พบว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการเกษตรกรมีหนี้สิน (ณ 31 ม.ค.60) จํานวน 296,085 บาท และหลังเข้าร่วมโครงการ เกษตรกรมีหนี้คงเหลือ (ณ 3 เม.ย60) จํานวน 294,688 บาท หรือหนี้สินลดลง 1,397 บาทโดยมีจํานวนครัวเรือนเกษตรกรที่มีหนี้สินลดลง ร้อยละ 15.65 ของจํานวนเกษตรกรที่มีหนี้สินทั้งหมด ทั้งนี้ จํานวนหนี้สินที่ลดลงส่วนหนึ่งเกิดจากการชําระหนี้ที่เป็นปกติของเกษตรอยู่แล้ว และบางส่วนเกิดจากการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการทําเกษตรทฤษฎีใหม่มาชําระหนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของหนี้สินที่ยังไม่ลดลง เนื่องจากยังไม่ถึงกําหนดชําระหนี้ ผลผลิตยังมีไม่มาก และมีการลงทุนปรับพื้นที่เพิ่มทําเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น(2) การเคลื่อนย้ายแรงงาน เนื่องจากการทําเกษตรทฤษฎีใหม่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีการทําการเกษตรแบบผสมผสาน ทําให้มีกิจกรรมและรายได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วเกษตรกรมีการเคลื่อนย้ายแรงงานลดลงจากเดิม ร้อยละ 9.56 เป็นร้อยละ 0.72 หรือลดลงร้อยละ 8.84 เนื่องจากสมาชิกในครัวเรือนบางส่วนได้ย้ายกลับมาทํางานในพื้นที่มากขึ้น และบางส่วนได้กลับมาทําการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งมีกิจกรรมและรายได้ตลอดทั้งปี (3) การบริโภคสินค้าปลอดจากสารพิษ การทําเกษตรทฤษฎีใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพาภายนอก ดังนั้น การที่เกษตรกรบริโภคผลผลิตของตนเองที่อยู่ในแปลงจึงมีความปลอดภัยจากสารพิษ โดยเกษตรกรมีการบริโภคผลผลิตของตนเองจากเดิม มูลค่า 426 บาท/เดือน เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 533 บาท/เดือน หรือเพิ่มขึ้น 107 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 25
(4) การลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นของครัวเรือนการทําเกษตรทฤษฎีใหม่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิตประจําวัน จะส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเปลี่ยนแปลงไป โดยหลังจากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ เกษตรกร ร้อยละ 77.66 มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเท่าเดิม เกษตรกรร้อยละ 3.98 มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น และเกษตรกรร้อยละ 18.36 มีค่าใช้จ่ายลดลง เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ลดการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การเล่นพนัน รวมถึงการได้เห็นจํานวนค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจากการจัดทําบัญชีครัวเรือน ทําให้เกษตรกรตระหนักถึงการออมเพิ่มขึ้น
สําหรับการจัดประชุมขับเคลื่อนโครงการ ฯ ในครั้งนี้ เพื่อรับทราบผลการดําเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของ 77 จังหวัด และติดตามความก้าวหน้าของหน่วยงานส่วนภูมิภาคในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งจังหวัดลําพูน มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ 353 ราย จําแนกเป็น กลุ่มพร้อมมาก 124 ราย กลุ่มพร้อมปานกลาง 202 ราย และกลุ่มพร้อม 27 ราย นอกจากนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรCell ต้นกําเนิด (เกษตรกรกลุ่มพร้อมมาก) และเกษตรกร Cell แตกตัว ครั้งที่ 1 (เกษตรกรกลุ่มพร้อมปานกลาง) ในพื้นที่อําเภอเมือง จังหวัดลําพูนด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ จัดประชุมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง พร้อมติดตามการดำเนินงาน พท.17 จังหวัดภาคเหนือ
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
ก.เกษตรฯ จัดประชุมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง พร้อมติดตามการดําเนินงาน พท.17 จังหวัดภาคเหนือ
ก.เกษตรฯ จัดประชุมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง พร้อมติดตามการดําเนินงานในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ด้าน สศก.เผยผลการประเมินโครงการฯใน 3 เดือนแรก ทั้ง 77 จว. พบเกษตรสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนได้เพิ่มขึน ร้อยละ 25
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดการประชุมขับเคลื่อนโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ระดับกระทรวง และการติดตามการดําเนินงานในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยมี พลเอก ประสาท สุขเกษตร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุม และมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัด ปราชญ์เกษตร ภาคประชารัฐ ภาคสถาบันการศึกษา ประธานกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ และเกษตรและสหกรณ์จังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ ณ ห้องประชุมจามเทวี ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดลําพูน อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน
พลเอกประสาท สุขเกษตร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ) มีนโยบายให้จัดทําโครงการ "5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่แนวพระราชดําริเกษตรทฤษฎีใหม่ไปสู่สาธารณชน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีความสมัครใจจาก 882 อําเภอ รวม 70,000 ราย ได้น้อมนําหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองอย่างเหมาะสม ให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกร โดยมุ่งหวังจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ อันเกิดจากการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยการสร้างอาชีพอย่างเหมาะสมกับทรัพยากรและปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า โดยได้คัดเลือกเกษตรกรที่มีความพร้อมเพื่อดําเนินการในปี 2560 จํานวน 70,000 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ เกษตรกรกลุ่มพร้อมมาก (Cell ต้นกําเนิด) จํานวน 21,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ก.พ. - เม.ย. 60 เกษตรกรกลุ่มพร้อมปานกลาง (Cell แตกตัว ครั้งที่ 1) จํานวน 42,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน พ.ค. - ก.ย. 60 และเกษตรกรกลุ่มพร้อม (Cell แตกตัว ครั้งที่ 2) จํานวน 7,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 60 โดยเกษตรกรกลุ่ม Cell ต้นกําเนิดที่ประสบผลสําเร็จจะทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการให้คําแนะนําการดําเนินกิจกรรมตามแผนการผลิตให้แก่เกษตรกรกลุ่ม Cell แตกตัว
ทั้งนี้ จากการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้รายงานผลการประเมินผลโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 ก.พ.– 30 เม.ย.60 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการกับเกษตรกรเป้าหมาย กลุ่มพร้อมมาก จํานวน 21,000 ราย โดยการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากรเป้าหมาย ทั้ง 77 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,810 ราย โดยสรุปผลเป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้ 1.มูลค่าผลตอบแทนสุทธิทางการเกษตรในพื้นที่โครงการ พบว่า การทําเกษตรทฤษฎีใหม่ที่มีการทํากิจกรรมในแปลงแบบเกษตรผสมผสาน มีการเกื้อกูลกัน โดยหลังจากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการและมีการลงมือทํากิจกรรมการผลิต โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 93.33 มีผลผลิตจากแปลงที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนเกษตรกรที่เหลือร้อยละ 6.67 อยู่ระหว่างการดําเนินการ สําหรับเกษตรกรที่ได้รับผลผลิตแล้วได้รับผลตอบแทนสุทธิจากกิจกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้นจากเดิม 16,547 บาท/เดือน เป็น 21,160/บาท หรือเพิ่มขึ้น 4,613 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 27.88
2.การลดรายจ่ายในครัวเรือนโดยการพึ่งพาตนเอง โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า (1) การลดรายจ่ายในครัวเรือนสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนจากเดิม 426 บาท/เดือน เป็น 533 บาท/เดือน หรือสามารถลดได้เพิ่มขึ้น 107 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 25
(2) การลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตรโดยใช้ปัจจัยการผลิตของตนเอง เช่น การเก็บพันธุ์ไว้ใช้เอง การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช และการผลิตอาหารสัตว์ไว้ใช้เองแทนการซื้อจากภายนอก พบว่า เกษตรกรสามาถลดต้นทุนการผลิตโดยการพึ่งพาตนเอง จากเดิม 140 บาท/เดือน เป็น 170 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 21 (3) การลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน โดยการใช้แรงงานในครัวเรือน แทนการจ้างแรงงานภายนอก พบว่า เกษตรกรสามารถลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนโดยการพึ่งพาแรงงานของตนเองจากเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการ 332 บาท/เดือน เป็น 386 บาท/เดือนิหรือสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น 54 บาท/ เดือน คิดเป็นร้อยละ 16
3.คุณภาพชีวิตของเกษตรกร แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ (1) สภาพหนี้สินของครัวเรือนเกษตรกร พบว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการเกษตรกรมีหนี้สิน (ณ 31 ม.ค.60) จํานวน 296,085 บาท และหลังเข้าร่วมโครงการ เกษตรกรมีหนี้คงเหลือ (ณ 3 เม.ย60) จํานวน 294,688 บาท หรือหนี้สินลดลง 1,397 บาทโดยมีจํานวนครัวเรือนเกษตรกรที่มีหนี้สินลดลง ร้อยละ 15.65 ของจํานวนเกษตรกรที่มีหนี้สินทั้งหมด ทั้งนี้ จํานวนหนี้สินที่ลดลงส่วนหนึ่งเกิดจากการชําระหนี้ที่เป็นปกติของเกษตรอยู่แล้ว และบางส่วนเกิดจากการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการทําเกษตรทฤษฎีใหม่มาชําระหนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของหนี้สินที่ยังไม่ลดลง เนื่องจากยังไม่ถึงกําหนดชําระหนี้ ผลผลิตยังมีไม่มาก และมีการลงทุนปรับพื้นที่เพิ่มทําเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น(2) การเคลื่อนย้ายแรงงาน เนื่องจากการทําเกษตรทฤษฎีใหม่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีการทําการเกษตรแบบผสมผสาน ทําให้มีกิจกรรมและรายได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วเกษตรกรมีการเคลื่อนย้ายแรงงานลดลงจากเดิม ร้อยละ 9.56 เป็นร้อยละ 0.72 หรือลดลงร้อยละ 8.84 เนื่องจากสมาชิกในครัวเรือนบางส่วนได้ย้ายกลับมาทํางานในพื้นที่มากขึ้น และบางส่วนได้กลับมาทําการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งมีกิจกรรมและรายได้ตลอดทั้งปี (3) การบริโภคสินค้าปลอดจากสารพิษ การทําเกษตรทฤษฎีใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพาภายนอก ดังนั้น การที่เกษตรกรบริโภคผลผลิตของตนเองที่อยู่ในแปลงจึงมีความปลอดภัยจากสารพิษ โดยเกษตรกรมีการบริโภคผลผลิตของตนเองจากเดิม มูลค่า 426 บาท/เดือน เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 533 บาท/เดือน หรือเพิ่มขึ้น 107 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 25
(4) การลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นของครัวเรือนการทําเกษตรทฤษฎีใหม่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิตประจําวัน จะส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเปลี่ยนแปลงไป โดยหลังจากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ เกษตรกร ร้อยละ 77.66 มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเท่าเดิม เกษตรกรร้อยละ 3.98 มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น และเกษตรกรร้อยละ 18.36 มีค่าใช้จ่ายลดลง เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ลดการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การเล่นพนัน รวมถึงการได้เห็นจํานวนค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจากการจัดทําบัญชีครัวเรือน ทําให้เกษตรกรตระหนักถึงการออมเพิ่มขึ้น
สําหรับการจัดประชุมขับเคลื่อนโครงการ ฯ ในครั้งนี้ เพื่อรับทราบผลการดําเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของ 77 จังหวัด และติดตามความก้าวหน้าของหน่วยงานส่วนภูมิภาคในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งจังหวัดลําพูน มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ 353 ราย จําแนกเป็น กลุ่มพร้อมมาก 124 ราย กลุ่มพร้อมปานกลาง 202 ราย และกลุ่มพร้อม 27 ราย นอกจากนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรCell ต้นกําเนิด (เกษตรกรกลุ่มพร้อมมาก) และเกษตรกร Cell แตกตัว ครั้งที่ 1 (เกษตรกรกลุ่มพร้อมปานกลาง) ในพื้นที่อําเภอเมือง จังหวัดลําพูนด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4291
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง
ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะบุคคลสําคัญประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะมีกําหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 (2019 ASEAN-ROK Commemorative Summit) และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 (1st Mekong-ROK Summit) ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ดังนี้
การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 เป็นการประชุมระดับผู้นํา ระหว่างผู้นําอาเซียนกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสการครบรอบ 30 ปีของความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี จะเป็นประธานร่วมของการประชุมสุดยอดฯ ดังกล่าว โดยการประชุมสุดยอดฯ ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. การประชุมเต็มคณะ โดยมี 2 ช่วง ช่วงที่ 1 หัวข้อ ASEAN-ROK 30&30 โดยจะทบทวนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างอาเซียน กับสาธารณรัฐเกาหลีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และการกําหนดทิศทางในอีก 30 ปีข้างหน้า และช่วงที่ 2 หัวข้อ Enhancing Connectivity toward Prosperity and Sustainability โดยจะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ในประเด็นความเชื่อมโยงเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและความยั่งยืน
2. การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 3 อย่างไม่เป็นทางการในช่วงอาหารกลางวัน (Lunch Retreat) โดยจะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจและมีความห่วงกังวลร่วมกัน
การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 (1st Mekong-ROK Summit) เป็นความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK) โดยเป็นข้อริเริ่มของสาธารณรัฐเกาหลี ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ คือ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และสาธารณรัฐเกาหลี ในการประชุมดังกล่าวฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยให้ความสําคัญกับความร่วมมือเพื่อพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการความร่วมมือเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Special Exhibition on Biodiversity Cooperation between Mekong Countries and Korea) ด้วย
ในโอกาสนี้ สาธารณรัฐเกาหลีได้จัดกิจกรรมคู่ขนานกับการประชุมดังกล่าวในลักษณะนิทรรศการ เพื่อนําเสนอแนวทางการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมที่สําคัญ โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วม จํานวน 5 กิจกรรม ได้แก่
1. โครงการ Busan Eco-Delta Smart City
2. การประชุม ASEAN-ROK CEO Summit
3. การประชุม 2019 ASEAN-ROK Culture Innovation Summit
4. งาน ASEAN-ROK Innovation Showcase 2019
5. การประชุม ASEAN-ROK Startup Summit
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือทวิภาคีกับ นายมุน-แชอิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความตกลงระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี
สําหรับกําหนดการที่สําคัญของนายกรัฐมนตรีมีดังนี้
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562
เวลา 08.10 น. นายกรัฐมนตรีและคณะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) และจะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกิมเฮ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เวลา 16.10 น. โดยเวลา 17.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดโครงการ Busan Eco-Delta Smart City จากนั้นเวลา 19.15 น. นายกรัฐมนตรีจะรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความตกลงระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ASEAN-ROK CEO Summit โดยนายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงแสดงความยินดี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุม 2019 ASEAN-ROK Culture Innovation Summit ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการในงาน ASEAN-ROK Smart City Fair จากนั้นในช่วงค่ํา นายกรัฐมนตรีและภริยาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ํารับรอง ASEAN-ROK Welcoming Dinner
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562
ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะ ASEAN-ROK Commemorative Summit จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม ASEAN-ROK Startup Summit และเยี่ยมชมงาน ASEAN-ROK Innovation Showcase 2019 โดยในช่วงเที่ยง นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 3 อย่างไม่เป็นทางการในช่วงอาหารกลางวัน (Lunch Retreat) โดยช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีจะแถลงข่าวร่วมผลการประชุม ASEAN-ROK Commemorative Summit ซึ่งในช่วงค่ํา นายกรัฐมนตรีและภริยาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ํา Mekong-ROK Welcoming Dinner
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุม Mekong-ROK Commemorative Summit และนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการความร่วมมือเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Special Exhibition on Biodiversity Cooperation between Mekong Countries and Korea) จากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี แถลงข่าวร่วมผลการประชุม Mekong-ROK Commemorative Summit
หลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติกิมเฮ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เวลา 14.00 น.ในวันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562 และจะเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) เวลา 18.30 น.
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง
ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะบุคคลสําคัญประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะมีกําหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 (2019 ASEAN-ROK Commemorative Summit) และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 (1st Mekong-ROK Summit) ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ดังนี้
การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 เป็นการประชุมระดับผู้นํา ระหว่างผู้นําอาเซียนกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสการครบรอบ 30 ปีของความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี จะเป็นประธานร่วมของการประชุมสุดยอดฯ ดังกล่าว โดยการประชุมสุดยอดฯ ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. การประชุมเต็มคณะ โดยมี 2 ช่วง ช่วงที่ 1 หัวข้อ ASEAN-ROK 30&30 โดยจะทบทวนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างอาเซียน กับสาธารณรัฐเกาหลีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และการกําหนดทิศทางในอีก 30 ปีข้างหน้า และช่วงที่ 2 หัวข้อ Enhancing Connectivity toward Prosperity and Sustainability โดยจะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ในประเด็นความเชื่อมโยงเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและความยั่งยืน
2. การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 3 อย่างไม่เป็นทางการในช่วงอาหารกลางวัน (Lunch Retreat) โดยจะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจและมีความห่วงกังวลร่วมกัน
การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 (1st Mekong-ROK Summit) เป็นความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK) โดยเป็นข้อริเริ่มของสาธารณรัฐเกาหลี ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ คือ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และสาธารณรัฐเกาหลี ในการประชุมดังกล่าวฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยให้ความสําคัญกับความร่วมมือเพื่อพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการความร่วมมือเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Special Exhibition on Biodiversity Cooperation between Mekong Countries and Korea) ด้วย
ในโอกาสนี้ สาธารณรัฐเกาหลีได้จัดกิจกรรมคู่ขนานกับการประชุมดังกล่าวในลักษณะนิทรรศการ เพื่อนําเสนอแนวทางการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมที่สําคัญ โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วม จํานวน 5 กิจกรรม ได้แก่
1. โครงการ Busan Eco-Delta Smart City
2. การประชุม ASEAN-ROK CEO Summit
3. การประชุม 2019 ASEAN-ROK Culture Innovation Summit
4. งาน ASEAN-ROK Innovation Showcase 2019
5. การประชุม ASEAN-ROK Startup Summit
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือทวิภาคีกับ นายมุน-แชอิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความตกลงระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี
สําหรับกําหนดการที่สําคัญของนายกรัฐมนตรีมีดังนี้
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2562
เวลา 08.10 น. นายกรัฐมนตรีและคณะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) และจะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกิมเฮ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เวลา 16.10 น. โดยเวลา 17.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดโครงการ Busan Eco-Delta Smart City จากนั้นเวลา 19.15 น. นายกรัฐมนตรีจะรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความตกลงระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ASEAN-ROK CEO Summit โดยนายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงแสดงความยินดี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุม 2019 ASEAN-ROK Culture Innovation Summit ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการในงาน ASEAN-ROK Smart City Fair จากนั้นในช่วงค่ํา นายกรัฐมนตรีและภริยาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ํารับรอง ASEAN-ROK Welcoming Dinner
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562
ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะ ASEAN-ROK Commemorative Summit จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม ASEAN-ROK Startup Summit และเยี่ยมชมงาน ASEAN-ROK Innovation Showcase 2019 โดยในช่วงเที่ยง นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 3 อย่างไม่เป็นทางการในช่วงอาหารกลางวัน (Lunch Retreat) โดยช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีจะแถลงข่าวร่วมผลการประชุม ASEAN-ROK Commemorative Summit ซึ่งในช่วงค่ํา นายกรัฐมนตรีและภริยาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ํา Mekong-ROK Welcoming Dinner
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุม Mekong-ROK Commemorative Summit และนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการความร่วมมือเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Special Exhibition on Biodiversity Cooperation between Mekong Countries and Korea) จากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี แถลงข่าวร่วมผลการประชุม Mekong-ROK Commemorative Summit
หลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติกิมเฮ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เวลา 14.00 น.ในวันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562 และจะเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) เวลา 18.30 น.
*********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24742
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม จับมือ 7 กระทรวง หารือเตรียมจัดงาน MOU เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561
ก.ยุติธรรม จับมือ 7 กระทรวง หารือเตรียมจัดงาน MOU เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ
ก.ยุติธรรม จับมือ 7 กระทรวง หารือเตรียมจัดงาน MOU เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ
ในวันพุธที่ ๖ มิถุนายน 2561 เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ
เพื่อให้ความช่วยเหลือประขาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ (MOU)
ระหว่าง
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่างกําหนดการ รวมถึงรูปแบบการจัดงาน
พร้อมทั้งรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะในการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือในการให้บริการประชาชน
เพื่ออํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ํา และสามารถนําไปใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดําเนินงาน
ด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐในด้านต่างๆ
ได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม จับมือ 7 กระทรวง หารือเตรียมจัดงาน MOU เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561
ก.ยุติธรรม จับมือ 7 กระทรวง หารือเตรียมจัดงาน MOU เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ
ก.ยุติธรรม จับมือ 7 กระทรวง หารือเตรียมจัดงาน MOU เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ
ในวันพุธที่ ๖ มิถุนายน 2561 เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ
เพื่อให้ความช่วยเหลือประขาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ (MOU)
ระหว่าง
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่างกําหนดการ รวมถึงรูปแบบการจัดงาน
พร้อมทั้งรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะในการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือในการให้บริการประชาชน
เพื่ออํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ํา และสามารถนําไปใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดําเนินงาน
ด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐในด้านต่างๆ
ได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12829
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด คุมเข้มความปลอดภัยจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
|
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด คุมเข้มความปลอดภัยจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด คุมเข้มความปลอดภัยจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
วันนี้ (3 เม.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนได้มีการประชุมพิจารณาแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2560 และมีข้อสั่งการเกี่ยวกับแนวทางการดูแลความปลอดภัยทางถนนซึ่งเน้นมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นจิตสํานึก และการใช้มาตรการทางสังคม ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวกระทรวงมหาดไทย จึงสั่งการให้ทุกจังหวัดเร่งดําเนินการดังนี้
1. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย เน้นการควบคุมความเร็ว โดยเฉพาะการกําหนดจุดห้ามขับรถเร็วในเขตชุมชน การควบคุมการจําหน่ายสุรา โดยให้ชุดปฏิบัติการประจําตําบลตักเตือนร้านค้าในหมู่บ้านห้ามจําหน่ายสุราให้แก่เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ และต้องจําหน่ายในห้วงเวลาตามที่กฎหมายกําหนด
2. มาตรการกระตุ้นจิตสํานึกและมาตรการทางสังคม ให้นายอําเภอแจ้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และชุดปฏิบัติการประจําตําบล/หมู่บ้าน ประชุมประชาคมหมู่บ้าน เพื่อนํากติกาหรือธรรมนูญชุมชน/หมู่บ้าน ให้ประชาชนปฏิบัติและมีส่วนร่วมรับผิดชอบ รวมทั้งสํารวจในหมู่บ้าน/ชุมชน หากมีการจัดงานรื่นเริงให้ควบคุมไม่ให้จัดงานเกินเวลาที่กําหนด และให้จัดพื้นที่จอดรถพร้อมรับฝากกุญแจรถ หากพบว่าผู้ใช้รถเมาสุราต้องให้ผู้อื่นที่ไม่เมามารับรถกลับบ้านแทน รวมไปถึงให้สํารวจลูกบ้านที่มีพฤติกรรมดื่มสุราและขับรถหรือก่อความรําคาญแก่ผู้อื่น ต้องให้ผู้ปกครองดูแลคนในบ้านไม่ให้มีพฤติกรรมดังกล่าวอีก
ที่สําคัญคือ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน จะต้องให้คําแนะนําเน้นย้ําและดูแลลูกบ้าน เรื่องการขับขี่ยานพาหนะ โดยผู้ขับรถต้องไม่ดื่มสุราโดยเด็ดขาด และให้ชุดปฏิบัติการตําบลร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิงรุก แบบเคาะประตูบ้าน เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความตระหนัก มีองค์ความรู้ และมีส่วนร่วมในการลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างจริงจังด้วย
และ 3. ด้านการประชาสัมพันธ์ ทุกจังหวัดจะต้องเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชน โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งสํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตามแนวทางดังกล่าวผ่านสื่อท้องถิ่นในพื้นที่ทุกช่องทาง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ รวมถึงการติดตามข่าวสารและติดตามผลกรณีการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่จังหวัดด้วย โดยอาจใช้ทั้งภาษาราชการและภาษาถิ่นร่วมด้วย รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่หมู่บ้านผ่านเสียงตามสายของหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 จําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชนในพื้นที่ โดยต้องยึดหลักความปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎหมาย และที่สําคัญคือ จิตสํานึกในการใช้รถใช้ถนน ภายใต้แนวคิด ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน.
ครั้งที่ 49/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด คุมเข้มความปลอดภัยจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด คุมเข้มความปลอดภัยจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด คุมเข้มความปลอดภัยจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
วันนี้ (3 เม.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนได้มีการประชุมพิจารณาแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2560 และมีข้อสั่งการเกี่ยวกับแนวทางการดูแลความปลอดภัยทางถนนซึ่งเน้นมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นจิตสํานึก และการใช้มาตรการทางสังคม ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวกระทรวงมหาดไทย จึงสั่งการให้ทุกจังหวัดเร่งดําเนินการดังนี้
1. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย เน้นการควบคุมความเร็ว โดยเฉพาะการกําหนดจุดห้ามขับรถเร็วในเขตชุมชน การควบคุมการจําหน่ายสุรา โดยให้ชุดปฏิบัติการประจําตําบลตักเตือนร้านค้าในหมู่บ้านห้ามจําหน่ายสุราให้แก่เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ และต้องจําหน่ายในห้วงเวลาตามที่กฎหมายกําหนด
2. มาตรการกระตุ้นจิตสํานึกและมาตรการทางสังคม ให้นายอําเภอแจ้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และชุดปฏิบัติการประจําตําบล/หมู่บ้าน ประชุมประชาคมหมู่บ้าน เพื่อนํากติกาหรือธรรมนูญชุมชน/หมู่บ้าน ให้ประชาชนปฏิบัติและมีส่วนร่วมรับผิดชอบ รวมทั้งสํารวจในหมู่บ้าน/ชุมชน หากมีการจัดงานรื่นเริงให้ควบคุมไม่ให้จัดงานเกินเวลาที่กําหนด และให้จัดพื้นที่จอดรถพร้อมรับฝากกุญแจรถ หากพบว่าผู้ใช้รถเมาสุราต้องให้ผู้อื่นที่ไม่เมามารับรถกลับบ้านแทน รวมไปถึงให้สํารวจลูกบ้านที่มีพฤติกรรมดื่มสุราและขับรถหรือก่อความรําคาญแก่ผู้อื่น ต้องให้ผู้ปกครองดูแลคนในบ้านไม่ให้มีพฤติกรรมดังกล่าวอีก
ที่สําคัญคือ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน จะต้องให้คําแนะนําเน้นย้ําและดูแลลูกบ้าน เรื่องการขับขี่ยานพาหนะ โดยผู้ขับรถต้องไม่ดื่มสุราโดยเด็ดขาด และให้ชุดปฏิบัติการตําบลร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิงรุก แบบเคาะประตูบ้าน เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความตระหนัก มีองค์ความรู้ และมีส่วนร่วมในการลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างจริงจังด้วย
และ 3. ด้านการประชาสัมพันธ์ ทุกจังหวัดจะต้องเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชน โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งสํานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตามแนวทางดังกล่าวผ่านสื่อท้องถิ่นในพื้นที่ทุกช่องทาง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ รวมถึงการติดตามข่าวสารและติดตามผลกรณีการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่จังหวัดด้วย โดยอาจใช้ทั้งภาษาราชการและภาษาถิ่นร่วมด้วย รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่หมู่บ้านผ่านเสียงตามสายของหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 จําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชนในพื้นที่ โดยต้องยึดหลักความปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎหมาย และที่สําคัญคือ จิตสํานึกในการใช้รถใช้ถนน ภายใต้แนวคิด ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน.
ครั้งที่ 49/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2841
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ผนึกกำลังหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมพันธมิตร เดินหน้าจัดงานเพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561
พาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ผนึกกําลังหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมพันธมิตร เดินหน้าจัดงานเพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ผนึกกําลังหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมพันธมิตร เดินหน้าจัดงานเพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจังหวัดบุรีรัมย์ภายใต้โครงการไทยนิยม อย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 3-4 พค.นี้
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมครม.สัญจร ตนมีกําหนดการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 3 พ.ค. ศกนี้ โดยช่วงเช้ามีกําหนดการพบหารือกับภาคเอกชน ณ โรงแรมครอสทู ไวบ์ บุรีรัมย์ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้แก่จังหวัด สําหรับในช่วงบ่าย กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานพันธมิตรมีกําหนดจัดงาน โครงการ ประชารัฐ "สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้" เพื่อจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นระหว่างวันที่ 3-4 พฤษภาคม ศกนี้ ณ โรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรพ์ อําเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อนําเสนอมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของจังหวัดบุรีรัมย์ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการให้ความช่วยเหลือที่รัฐบาลจัดให้ ทั้งด้านองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ การช่วยเหลือด้านเงินทุน ตัวอย่างความสําเร็จของชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งได้นําสินค้าธงฟ้าประชารัฐมาจัดจําหน่ายให้แก่ประชาชน เพื่อลดค่าครองชีพด้วย คาดว่าจะมีพี่น้องประชาชนหลายพันคนเข้าร่วมงาน
กระทรวงพาณิชย์และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย 3 ธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธกส. ธอส. และธนาคาร SME มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน ปตท. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ โครงการ 1 ประชารัฐ 1 ภูมิภาค ร่วมจัดงาน โครงการ ประชารัฐ "สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้" เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 โดยเริ่มจัดที่กาญจนบุรีเป็นจังหวัดต้นแบบเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 และตามด้วยจังหวัดอํานาจเจริญในวันที่ 29 มีนาคม-2 เมษายน 2561 วัตถุประสงค์เพื่อนํามาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ จากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การสร้างอาชีพ การพัฒนาทักษะเพิ่มเติมเพื่อนําไปประกอบอาชีพ แหล่งเงินทุน การเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาด และตัวอย่างผู้ที่ประสพความสําเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและให้กระตุ้นให้เห็นถึงโอกาสในการ มีงานทํา การมีตลาดในการจําหน่ายสินค้าและบริการ แหล่งเงินทุนที่ช่วยต่อยอดธุรกิจ และในที่สุดจะนํามา ซึ่งรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์จัดบริการให้คําแนะนําทักษะทางอาชีพ อาทิ แม่บ้านมืออาชีพ ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจร้านอาหาร โปรแกรมพัฒนาผู้ประกอบการ การค้าออนไลน์ แฟรนไชส์สร้างอาชีพ เพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 10,000 – 50,000 บาท รวมทั้งการจัดเชื่อมโยงเครือข่ายของธุรกิจชุมชนและธุรกิจรายย่อยในจังหวัดกับธุรกิจขนาดใหญ่ อาทิ ธุรกิจโมเดิร์นเทรด เพื่อสร้างรายได้เพิ่มแก่ท้องถิ่น
หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้นําการฝึกอาชีพที่เกษตรกรและบุคคลในครอบครัวสามารถนําไปสร้างรายได้เสริม รวมทั้งการนําผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ผ่านการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและเริ่มการวางจําหน่ายแล้วมาแสดง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ สินเชื่อสําหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยจากสถาบันการเงินของรัฐ เช่น สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์ สินเชื่อสตรีทฟู้ด สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
การนําองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาในพื้นที่มาต่อยอดให้แก่ชุมชน อาทิ การจัดหลักสูตรพัฒนาธุรกิจรายย่อย และโปรแกรมสําเร็จรูปจัดทําร้านค้าออนไลน์ด้วยตนเอง
การจัดโครงการประชารัฐตามแนวทาง 4 สร้าง สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้มีเป้าหมายดําเนินการใน 10 จังหวัด ที่มีรายได้น้อยที่สุด โดยขณะนี้ได้จัดที่จังหวัดอํานาจเจริญไปแล้วและบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดถัดไป ทั้งนี้มีกําหนดการที่จะไปจัดในจังหวัดที่เหลือ ได้แก่น่าน ชัยนาท ปัตตานี นราธิวาส กาฬสินธุ์ นครพนม แม่ฮ่องสอน และตาก ให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 ทั้งนี้ โครงการประชารัฐ 4 สร้าง ที่ดําเนินการผ่านกลไกไทยนิยม จะส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่น มีงาน มีรายได้เพิ่มขึ้น และลดความเหลื่อมล้ํา ทําให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปด้วยกันทั้งระบบ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ผนึกกำลังหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมพันธมิตร เดินหน้าจัดงานเพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561
พาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ผนึกกําลังหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมพันธมิตร เดินหน้าจัดงานเพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ผนึกกําลังหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมพันธมิตร เดินหน้าจัดงานเพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจังหวัดบุรีรัมย์ภายใต้โครงการไทยนิยม อย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 3-4 พค.นี้
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมครม.สัญจร ตนมีกําหนดการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 3 พ.ค. ศกนี้ โดยช่วงเช้ามีกําหนดการพบหารือกับภาคเอกชน ณ โรงแรมครอสทู ไวบ์ บุรีรัมย์ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้แก่จังหวัด สําหรับในช่วงบ่าย กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานพันธมิตรมีกําหนดจัดงาน โครงการ ประชารัฐ "สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้" เพื่อจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นระหว่างวันที่ 3-4 พฤษภาคม ศกนี้ ณ โรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรพ์ อําเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อนําเสนอมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของจังหวัดบุรีรัมย์ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการให้ความช่วยเหลือที่รัฐบาลจัดให้ ทั้งด้านองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ การช่วยเหลือด้านเงินทุน ตัวอย่างความสําเร็จของชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งได้นําสินค้าธงฟ้าประชารัฐมาจัดจําหน่ายให้แก่ประชาชน เพื่อลดค่าครองชีพด้วย คาดว่าจะมีพี่น้องประชาชนหลายพันคนเข้าร่วมงาน
กระทรวงพาณิชย์และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย 3 ธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธกส. ธอส. และธนาคาร SME มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน ปตท. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ โครงการ 1 ประชารัฐ 1 ภูมิภาค ร่วมจัดงาน โครงการ ประชารัฐ "สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้" เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 โดยเริ่มจัดที่กาญจนบุรีเป็นจังหวัดต้นแบบเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 และตามด้วยจังหวัดอํานาจเจริญในวันที่ 29 มีนาคม-2 เมษายน 2561 วัตถุประสงค์เพื่อนํามาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ จากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การสร้างอาชีพ การพัฒนาทักษะเพิ่มเติมเพื่อนําไปประกอบอาชีพ แหล่งเงินทุน การเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาด และตัวอย่างผู้ที่ประสพความสําเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและให้กระตุ้นให้เห็นถึงโอกาสในการ มีงานทํา การมีตลาดในการจําหน่ายสินค้าและบริการ แหล่งเงินทุนที่ช่วยต่อยอดธุรกิจ และในที่สุดจะนํามา ซึ่งรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์จัดบริการให้คําแนะนําทักษะทางอาชีพ อาทิ แม่บ้านมืออาชีพ ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจร้านอาหาร โปรแกรมพัฒนาผู้ประกอบการ การค้าออนไลน์ แฟรนไชส์สร้างอาชีพ เพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 10,000 – 50,000 บาท รวมทั้งการจัดเชื่อมโยงเครือข่ายของธุรกิจชุมชนและธุรกิจรายย่อยในจังหวัดกับธุรกิจขนาดใหญ่ อาทิ ธุรกิจโมเดิร์นเทรด เพื่อสร้างรายได้เพิ่มแก่ท้องถิ่น
หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้นําการฝึกอาชีพที่เกษตรกรและบุคคลในครอบครัวสามารถนําไปสร้างรายได้เสริม รวมทั้งการนําผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ผ่านการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและเริ่มการวางจําหน่ายแล้วมาแสดง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ สินเชื่อสําหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยจากสถาบันการเงินของรัฐ เช่น สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์ สินเชื่อสตรีทฟู้ด สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
การนําองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาในพื้นที่มาต่อยอดให้แก่ชุมชน อาทิ การจัดหลักสูตรพัฒนาธุรกิจรายย่อย และโปรแกรมสําเร็จรูปจัดทําร้านค้าออนไลน์ด้วยตนเอง
การจัดโครงการประชารัฐตามแนวทาง 4 สร้าง สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้มีเป้าหมายดําเนินการใน 10 จังหวัด ที่มีรายได้น้อยที่สุด โดยขณะนี้ได้จัดที่จังหวัดอํานาจเจริญไปแล้วและบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดถัดไป ทั้งนี้มีกําหนดการที่จะไปจัดในจังหวัดที่เหลือ ได้แก่น่าน ชัยนาท ปัตตานี นราธิวาส กาฬสินธุ์ นครพนม แม่ฮ่องสอน และตาก ให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 ทั้งนี้ โครงการประชารัฐ 4 สร้าง ที่ดําเนินการผ่านกลไกไทยนิยม จะส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่น มีงาน มีรายได้เพิ่มขึ้น และลดความเหลื่อมล้ํา ทําให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปด้วยกันทั้งระบบ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11904
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (Government’s Net Revenue Collection: The First 7 months of Fiscal Year 2018)
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (Government’s Net Revenue Collection: The First 7 months of Fiscal Year 2018)
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 60,598 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 60,598 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 โดยมีสาเหตุจากการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 30,444 และ 23,133 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 และ 21.5 ตามลําดับ ทั้งนี้ ภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษียาสูบ และภาษีเงินได้นิติบุคคล
นางสาวกุลยาฯ กล่าวโดยสรุปว่า “ในช่วงที่ผ่านมาการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิยังเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังประเมินไว้ สําหรับในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังจะกํากับดูแลให้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้”
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561) และเดือนเมษายน 2561
1. ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561)
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 60,598 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.9) โดยการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 30,444 และ 23,133 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 และ 21.5 ตามลําดับ
ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้
1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 899,477 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 6,554 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.7) เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 14,201 และ 1,958 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.9) และร้อยละ 1.0 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.1) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 5,947 ล้านบาท หรือร้อยละ 283.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 324.9) เนื่องจากมีการชําระภาษีเงินได้ปิโตรเลียมย้อนหลัง และผลประกอบการของบริษัทขุดเจาะน้ํามันปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,524 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.8) เนื่องจากภาษีจากกําไรสุทธิ (ภ.ง.ด. 50) ของกลุ่มบริษัทที่มีรอบระยะเวลาบัญชีเป็นปีงบประมาณ และภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาคเอกชน (ภ.ง.ด. 53) ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้
1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 322,132 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,289 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.1) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีน้ํามันฯ ภาษีเบียร์ และภาษีสุราฯ จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 7,388 4,341 และ 2,001 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.9 9.3 และ 5.5 ตามลําดับ เนื่องจากปริมาณน้ํามัน เบียร์ และสุราที่ชําระภาษีต่ํากว่าที่ประมาณการไว้ อย่างไรก็ดี ภาษียาสูบและภาษีรถยนต์ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,676 และ 4,008 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.7 และ 6.5 ตามลําดับ เนื่องจากภาระภาษีต่อซองของยาสูบหลังจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ สูงกว่าที่ประมาณการไว้ และปริมาณรถยนต์ที่ชําระภาษีขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่ยังขยายตัวได้ดี
1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 63,330 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,070 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.8) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ํากว่าประมาณการจํานวน 2,343 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.0) เนื่องจากการนําเข้าสินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษีมีแนวโน้มสูงขึ้น ทําให้การจัดเก็บอากรขาเข้าไม่ขยายตัวตามที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 15.4 และ 6.4 ตามลําดับ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าในช่วง 6 เดือนแรกได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยานบกและส่วนประกอบ (2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (3) เครื่องจักรและเครื่องใช้กล (4) ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และ (5) พลาสติกและสินค้าจากพลาสติก
1.4 รัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้รวม 113,239 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 30,444 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.6) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนําส่งรายได้ของธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์เร็วกว่าที่ประมาณการไว้ (ประมาณการว่าจะนําส่งในเดือนพฤษภาคม 2561) การนําส่งเงินปันผลของ บมจ. ปตท. และ บมจ. ท่าอากาศยานไทยที่สูงกว่าประมาณการเนื่องจากผลประกอบการขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ และจํานวนสลากกินแบ่งรัฐบาลที่พิมพ์สูงกว่าประมาณการ ทําให้การนําส่งรายได้ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสูงกว่าที่ประมาณการไว้
1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 130,543 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 23,133 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.5) เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
• การรับรู้ส่วนเกินจากการจําหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน
• การส่งคืนเงินกันชดเชยให้แก่ผู้ส่งออกเป็นรายได้แผ่นดินสูงกว่าประมาณการ
• การนําส่งรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 1800 MHz (ใบอนุญาต 4G) ที่สูงกว่าประมาณการ
• การนําส่งรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 900 MHz บางส่วนเร็วกว่าที่ประมาณการไว้
สําหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 5,509 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 424 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.3 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.9) โดยรายได้ด้านที่ราชพัสดุจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จํานวน 173,002 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 16,899 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.9 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 129,549 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 21,051 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.0 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จํานวน 43,453 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 4,152 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.6
1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จํานวน 8,636 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2,636 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.9
1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จํานวน 9,564 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 882 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4
1.9 เงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออก จํานวน 6,474 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 3,566 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 เป็นผลจากการปรับลดอัตราเงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออกจากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา
1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจฯ งวดที่ 1 - 4 จํานวน 37,137 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 777 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.1
2. เดือนเมษายน 2561
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 218,126 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 21,717 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.1 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.9) เนื่องจากการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 20,276 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.7 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 70.1) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนําส่งรายได้ของธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์เร็วขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ (ประมาณการว่าจะนําส่งในเดือนพฤษภาคม 2561) และการนําส่งเงินปันผลของ บมจ. ปตท. สูงกว่าที่ประมาณการไว้ เป็นสําคัญ ประกอบกับการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นสูงกว่าประมาณการ 6,391 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.9
(สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 42.6) เนื่องจากมีการนําส่งรายได้จากประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 900 MHz บางส่วนเร็วกว่าที่ประมาณการไว้ นอกจากนี้ ภาษียาสูบจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 2,096 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.7 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 37.0)
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573
Ms. Kulaya Tantitemit, Inspector General of the Ministry of Finance and Ministry of Finance’s Spokesman stated that the government’s net revenue collection in the first 7 months of fiscal year 2018 (October 2017 – April 2018) was 1,293,908 million baht, 60,598 million baht or 4.9% above the target and 4.9% higher than the same period last year, This was mainly due to remittances from state-owned enterprises and revenue collection from other agencies exceeding the targets by 30,444 and 23,133 million baht, or 36.8% and 21.5%, respectively. Moreover, the collection of petroleum tax, tobacco tax and
corporate income tax were significantly above the targets.
Ms. Kulaya concluded that, “revenue collection in the first 7 months of fiscal year 2018 remains on target. For the rest of this fiscal year, the Ministry of Finance will closely monitor the revenue collection in order to achieve the revenue target.”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (Government’s Net Revenue Collection: The First 7 months of Fiscal Year 2018)
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (Government’s Net Revenue Collection: The First 7 months of Fiscal Year 2018)
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 60,598 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 60,598 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 โดยมีสาเหตุจากการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 30,444 และ 23,133 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 และ 21.5 ตามลําดับ ทั้งนี้ ภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษียาสูบ และภาษีเงินได้นิติบุคคล
นางสาวกุลยาฯ กล่าวโดยสรุปว่า “ในช่วงที่ผ่านมาการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิยังเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังประเมินไว้ สําหรับในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังจะกํากับดูแลให้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้”
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561) และเดือนเมษายน 2561
1. ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – เมษายน 2561)
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 60,598 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.9) โดยการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 30,444 และ 23,133 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 และ 21.5 ตามลําดับ
ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้
1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 899,477 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 6,554 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.7) เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 14,201 และ 1,958 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.9) และร้อยละ 1.0 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.1) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 5,947 ล้านบาท หรือร้อยละ 283.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 324.9) เนื่องจากมีการชําระภาษีเงินได้ปิโตรเลียมย้อนหลัง และผลประกอบการของบริษัทขุดเจาะน้ํามันปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,524 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.8) เนื่องจากภาษีจากกําไรสุทธิ (ภ.ง.ด. 50) ของกลุ่มบริษัทที่มีรอบระยะเวลาบัญชีเป็นปีงบประมาณ และภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาคเอกชน (ภ.ง.ด. 53) ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้
1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 322,132 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,289 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.1) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีน้ํามันฯ ภาษีเบียร์ และภาษีสุราฯ จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 7,388 4,341 และ 2,001 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.9 9.3 และ 5.5 ตามลําดับ เนื่องจากปริมาณน้ํามัน เบียร์ และสุราที่ชําระภาษีต่ํากว่าที่ประมาณการไว้ อย่างไรก็ดี ภาษียาสูบและภาษีรถยนต์ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,676 และ 4,008 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.7 และ 6.5 ตามลําดับ เนื่องจากภาระภาษีต่อซองของยาสูบหลังจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ สูงกว่าที่ประมาณการไว้ และปริมาณรถยนต์ที่ชําระภาษีขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่ยังขยายตัวได้ดี
1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 63,330 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,070 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.8) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ํากว่าประมาณการจํานวน 2,343 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.0) เนื่องจากการนําเข้าสินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษีมีแนวโน้มสูงขึ้น ทําให้การจัดเก็บอากรขาเข้าไม่ขยายตัวตามที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 15.4 และ 6.4 ตามลําดับ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าในช่วง 6 เดือนแรกได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยานบกและส่วนประกอบ (2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (3) เครื่องจักรและเครื่องใช้กล (4) ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และ (5) พลาสติกและสินค้าจากพลาสติก
1.4 รัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้รวม 113,239 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 30,444 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.6) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนําส่งรายได้ของธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์เร็วกว่าที่ประมาณการไว้ (ประมาณการว่าจะนําส่งในเดือนพฤษภาคม 2561) การนําส่งเงินปันผลของ บมจ. ปตท. และ บมจ. ท่าอากาศยานไทยที่สูงกว่าประมาณการเนื่องจากผลประกอบการขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ และจํานวนสลากกินแบ่งรัฐบาลที่พิมพ์สูงกว่าประมาณการ ทําให้การนําส่งรายได้ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสูงกว่าที่ประมาณการไว้
1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 130,543 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 23,133 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.5) เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
• การรับรู้ส่วนเกินจากการจําหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน
• การส่งคืนเงินกันชดเชยให้แก่ผู้ส่งออกเป็นรายได้แผ่นดินสูงกว่าประมาณการ
• การนําส่งรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 1800 MHz (ใบอนุญาต 4G) ที่สูงกว่าประมาณการ
• การนําส่งรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 900 MHz บางส่วนเร็วกว่าที่ประมาณการไว้
สําหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 5,509 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 424 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.3 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.9) โดยรายได้ด้านที่ราชพัสดุจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จํานวน 173,002 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 16,899 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.9 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 129,549 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 21,051 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.0 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จํานวน 43,453 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 4,152 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.6
1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จํานวน 8,636 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2,636 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.9
1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จํานวน 9,564 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 882 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4
1.9 เงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออก จํานวน 6,474 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 3,566 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.5 เป็นผลจากการปรับลดอัตราเงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออกจากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา
1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจฯ งวดที่ 1 - 4 จํานวน 37,137 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 777 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.1
2. เดือนเมษายน 2561
รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 218,126 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 21,717 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.1 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.9) เนื่องจากการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 20,276 ล้านบาท หรือร้อยละ 81.7 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 70.1) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนําส่งรายได้ของธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์เร็วขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ (ประมาณการว่าจะนําส่งในเดือนพฤษภาคม 2561) และการนําส่งเงินปันผลของ บมจ. ปตท. สูงกว่าที่ประมาณการไว้ เป็นสําคัญ ประกอบกับการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นสูงกว่าประมาณการ 6,391 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.9
(สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 42.6) เนื่องจากมีการนําส่งรายได้จากประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 900 MHz บางส่วนเร็วกว่าที่ประมาณการไว้ นอกจากนี้ ภาษียาสูบจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 2,096 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.7 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 37.0)
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573
Ms. Kulaya Tantitemit, Inspector General of the Ministry of Finance and Ministry of Finance’s Spokesman stated that the government’s net revenue collection in the first 7 months of fiscal year 2018 (October 2017 – April 2018) was 1,293,908 million baht, 60,598 million baht or 4.9% above the target and 4.9% higher than the same period last year, This was mainly due to remittances from state-owned enterprises and revenue collection from other agencies exceeding the targets by 30,444 and 23,133 million baht, or 36.8% and 21.5%, respectively. Moreover, the collection of petroleum tax, tobacco tax and
corporate income tax were significantly above the targets.
Ms. Kulaya concluded that, “revenue collection in the first 7 months of fiscal year 2018 remains on target. For the rest of this fiscal year, the Ministry of Finance will closely monitor the revenue collection in order to achieve the revenue target.”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12486
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญร่วมงาน "สัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม INDUSTRIAL DESIGN WEEK 2017"
|
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
ขอเชิญร่วมงาน "สัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม INDUSTRIAL DESIGN WEEK 2017"
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญร่วมงานสัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม (Industrial Design Week 2017 : ID WEEK ) : Insprie Ideas for Smart SMEs
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญร่วมงานสัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม (Industrial Design Week 2017 : ID WEEK ) : Insprie Ideas for Smart SMEs เตรียมพบกับ 11 พื้นที่ 14 หน่วยร่วม ปรากฎการณ์ครั้งแรกบนความร่วมมือ จาก 27 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะมาร่วมสร้างกิจกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพนักออกแบบ ผู้ประกอบการ และ SMEs ทุกอุตสาหกรรม ร่วมต่อยอดธุรกิจผลิตสินค้าดีไซน์ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลก ภายในงานพบกับเสวนา “Industrial Design Highlight” โดยนักออกแบบมืออาชีพ อาทิ คุณพลพัฒน์ อัศวะประภา เจ้าของแบรนด์ ASAVA,คุณกวี พฤกษาพรพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมรองเท้าไทยและผู้บริหารแบรนด์ ADDA, คุณดนู โชติกพนิช CEO บริษัท คอบร้าอินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด และคุณสมชนะ กังวารจิตต์ Executive Creative Director จาก Prompt Design พร้อมชมนิทรรศการและขอคําปรึกษาด้านอุตสาหกรรมการออกแบบจากหน่วยร่วม
เช็คอินร่วมกัน !!! อย่างเป็นทางการ จันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 นี้ เริ่ม 13.30 น. โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณอุตตม สาวนายน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิกิติ์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaitextile.org/index.php/blog/2017/02/activity_2560_designweek
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญร่วมงาน "สัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม INDUSTRIAL DESIGN WEEK 2017"
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
ขอเชิญร่วมงาน "สัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม INDUSTRIAL DESIGN WEEK 2017"
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญร่วมงานสัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม (Industrial Design Week 2017 : ID WEEK ) : Insprie Ideas for Smart SMEs
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญร่วมงานสัปดาห์แห่งการออกแบบอุตสาหกรรม (Industrial Design Week 2017 : ID WEEK ) : Insprie Ideas for Smart SMEs เตรียมพบกับ 11 พื้นที่ 14 หน่วยร่วม ปรากฎการณ์ครั้งแรกบนความร่วมมือ จาก 27 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะมาร่วมสร้างกิจกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพนักออกแบบ ผู้ประกอบการ และ SMEs ทุกอุตสาหกรรม ร่วมต่อยอดธุรกิจผลิตสินค้าดีไซน์ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลก ภายในงานพบกับเสวนา “Industrial Design Highlight” โดยนักออกแบบมืออาชีพ อาทิ คุณพลพัฒน์ อัศวะประภา เจ้าของแบรนด์ ASAVA,คุณกวี พฤกษาพรพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมรองเท้าไทยและผู้บริหารแบรนด์ ADDA, คุณดนู โชติกพนิช CEO บริษัท คอบร้าอินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด และคุณสมชนะ กังวารจิตต์ Executive Creative Director จาก Prompt Design พร้อมชมนิทรรศการและขอคําปรึกษาด้านอุตสาหกรรมการออกแบบจากหน่วยร่วม
เช็คอินร่วมกัน !!! อย่างเป็นทางการ จันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 นี้ เริ่ม 13.30 น. โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณอุตตม สาวนายน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิกิติ์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaitextile.org/index.php/blog/2017/02/activity_2560_designweek
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งเวลาให้บริการรถไฟฟ้า MRT รวมถึงอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง เป็นปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
|
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
รฟม. แจ้งเวลาให้บริการรถไฟฟ้า MRT รวมถึงอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง เป็นปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
รฟม. แจ้งเวลาให้บริการรถไฟฟ้า MRT รวมถึงอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง เป็นปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการสอดคล้องตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) ที่เห็นชอบให้ยกเลิกเวลาการห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) และผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 โดยปรับเวลาการให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) เป็นเวลาปกติ ดังนี้
1. ให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ตั้งแต่เวลา 05.30 – 24.00 น. และให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบตารางการเดินรถและเวลารถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้จากประกาศภายในสถานี หรือเฟซบุ๊ก MRT Bangkok Metro โมบายแอพลิเคชั่น Bangkok MRT เว็บไซต์ www.bemplc.co.th ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200
2. อาคารและลานจอดแล้วจรของ รฟม. จะเปิดให้บริการเวลา 05.00 – 01.00 น. โดยปัจจุบัน รฟม. มีที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน จํานวน 13 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดแล้วจรที่สถานีลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีหลักสอง (2 อาคาร) และลานจอดแล้วจรที่สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน ที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง จํานวน 4 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดแล้วจรที่สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1 รวมถึงที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ จํานวน 1 แห่ง คือ ลานจอดแล้วจรที่สถานีเคหะสมุทรปราการ
ทั้งนี้ การผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 4 นั้น จะส่งผลให้มีจํานวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จนใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติ รฟม. ขอความร่วมมือผู้โดยสารโปรดปฏิบัติตนในการใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ (New Normal) ในการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้า ด้วยการสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการใช้บริการ รักษาระยะห่างในการใช้บริการตามมาตรการ Social Distancing ตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางราง รวมถึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ในจุดให้บริการในสถานี เพื่อความปลอดภัยทางสุขอนามัยของทุกคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งเวลาให้บริการรถไฟฟ้า MRT รวมถึงอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง เป็นปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
รฟม. แจ้งเวลาให้บริการรถไฟฟ้า MRT รวมถึงอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง เป็นปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
รฟม. แจ้งเวลาให้บริการรถไฟฟ้า MRT รวมถึงอาคารและลานจอดแล้วจรทุกแห่ง เป็นปกติ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการสอดคล้องตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) ที่เห็นชอบให้ยกเลิกเวลาการห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) และผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 โดยปรับเวลาการให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) เป็นเวลาปกติ ดังนี้
1. ให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ตั้งแต่เวลา 05.30 – 24.00 น. และให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบตารางการเดินรถและเวลารถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้จากประกาศภายในสถานี หรือเฟซบุ๊ก MRT Bangkok Metro โมบายแอพลิเคชั่น Bangkok MRT เว็บไซต์ www.bemplc.co.th ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200
2. อาคารและลานจอดแล้วจรของ รฟม. จะเปิดให้บริการเวลา 05.00 – 01.00 น. โดยปัจจุบัน รฟม. มีที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน จํานวน 13 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดแล้วจรที่สถานีลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีหลักสอง (2 อาคาร) และลานจอดแล้วจรที่สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน ที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง จํานวน 4 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดแล้วจรที่สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1 รวมถึงที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ จํานวน 1 แห่ง คือ ลานจอดแล้วจรที่สถานีเคหะสมุทรปราการ
ทั้งนี้ การผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 4 นั้น จะส่งผลให้มีจํานวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จนใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติ รฟม. ขอความร่วมมือผู้โดยสารโปรดปฏิบัติตนในการใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ (New Normal) ในการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้า ด้วยการสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการใช้บริการ รักษาระยะห่างในการใช้บริการตามมาตรการ Social Distancing ตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางราง รวมถึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ในจุดให้บริการในสถานี เพื่อความปลอดภัยทางสุขอนามัยของทุกคน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32351
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 3/2560
|
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 3/2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2560
ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาว่าที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย
●ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับสมัครครูผู้ช่วย สําหรับผู้ที่ยังไม่มีใบอนุญาตปฏิบัติการสอนที่คุรุสภาออกให้ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ก่อน
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ที่ประชุมได้อนุมัติให้ปรับปรุงมาตรฐานตําแหน่งครูผู้ช่วย ตามที่ ก.ค.ศ. กําหนดไว้เดิมในข้อ 2 ของคุณสมบัติเฉพาะสําหรับผู้ดํารงตําแหน่ง จากเดิมกําหนดว่า"มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครู ตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน"โดยกําหนดใหม่เป็น"มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครู ตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน ก่อนการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา"
ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานการศึกษาสามารถสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะสม เป็นไปตามความจําเป็นในการใช้ครูของส่วนราชการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการแต่ผู้นั้นยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครูตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน สามารถสมัครสอบแข่งขันหรือสมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วยได้
แต่ทั้งนี้ผู้สอบแข่งขันได้หรือผู้ผ่านการคัดเลือก ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครูตามที่คุรุสภาออกให้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอนตั้งแต่วันที่บรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย
● เห็นชอบแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันครูผู้ช่วย สพฐ. เริ่มรับสมัคร21มีนาคมนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/ ว14 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 ซึ่งจะใช้สําหรับสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 1/2560 โดยจะเริ่มประกาศรับสมัครในวันที่ 21 มีนาคม 2560 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องจากการปรับปรุงมาตรฐานตําแหน่งครูผู้ช่วย ดังนี้
1) กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครสอบแข่งขันใหม่จากเดิมที่กําหนดว่าผู้มีสิทธิ์สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ตามมาตรฐานตําแหน่งครบถ้วนในวันสมัครกําหนดใหม่เป็น“ผู้มีสิทธิ์สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ตามมาตรฐานตําแหน่งครูผู้ช่วย”
2) กําหนดการเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้ให้มารายงานเพื่อบรรจุและแต่งตั้งใหม่จากเดิมกําหนดว่าการเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เป็นการเรียกตัวผู้มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลําดับที่ที่ประกาศผลการสอบแข่งขันไว้กําหนดใหม่เป็น“การเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้เพื่อบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เป็นการเรียกตัวผู้มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลําดับที่ที่ประกาศผลการสอบแข่งขันไว้ โดยกําหนดวันรายงานตัวไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน แต่ไม่เกินนับแต่วันประกาศผลการสอบแข่งขัน”
ทั้งนี้ มาตรฐานตําแหน่งและหลักเกณฑ์ฯ ที่แก้ไข ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560และให้สํานักงาน ก.ค.ศ. ดําเนินการแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดอื่น(นอกเหนือจาก สพฐ.) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องทุกหลักเกณฑ์ฯที่ ก.ค.ศ. กําหนดไว้ เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกันและแจ้งเวียนให้ส่วนราชการและหน่วยงานการศึกษาทราบและถือปฏิบัติต่อไป
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่าเป็นครั้งแรกที่มีการปรับแก้หลักเกณฑ์การรับสมัครครูผู้ช่วย เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่มีใบอนุญาตฯ หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอนที่คุรุสภาออกให้ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ จากเดิมที่ต้องมีใบอนุญาตฯ จึงจะสามารถสมัครได้ ซึ่งจะเริ่มประกาศรับสมัครในวันที่ 21 มีนาคม โดยสาขาที่ยังมีความต้องการจํานวนมากคือ สาขาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ดังนั้น ผู้ใดที่มีความรู้ความสามารถก็ขอให้มาสมัคร เพราะเราต้องการได้คนเก่งมาเป็นครู เมื่อสอบได้แล้วก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้ได้ใบอนุญาตฯ ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนคุรุสภาต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 3/2560
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 3/2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2560
ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาว่าที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย
●ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับสมัครครูผู้ช่วย สําหรับผู้ที่ยังไม่มีใบอนุญาตปฏิบัติการสอนที่คุรุสภาออกให้ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ก่อน
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ที่ประชุมได้อนุมัติให้ปรับปรุงมาตรฐานตําแหน่งครูผู้ช่วย ตามที่ ก.ค.ศ. กําหนดไว้เดิมในข้อ 2 ของคุณสมบัติเฉพาะสําหรับผู้ดํารงตําแหน่ง จากเดิมกําหนดว่า"มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครู ตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน"โดยกําหนดใหม่เป็น"มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครู ตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน ก่อนการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา"
ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานการศึกษาสามารถสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะสม เป็นไปตามความจําเป็นในการใช้ครูของส่วนราชการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการแต่ผู้นั้นยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครูตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน สามารถสมัครสอบแข่งขันหรือสมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วยได้
แต่ทั้งนี้ผู้สอบแข่งขันได้หรือผู้ผ่านการคัดเลือก ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครูตามที่คุรุสภาออกให้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอนตั้งแต่วันที่บรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย
● เห็นชอบแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันครูผู้ช่วย สพฐ. เริ่มรับสมัคร21มีนาคมนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหนังสือสํานักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/ ว14 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 ซึ่งจะใช้สําหรับสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 1/2560 โดยจะเริ่มประกาศรับสมัครในวันที่ 21 มีนาคม 2560 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องจากการปรับปรุงมาตรฐานตําแหน่งครูผู้ช่วย ดังนี้
1) กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครสอบแข่งขันใหม่จากเดิมที่กําหนดว่าผู้มีสิทธิ์สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ตามมาตรฐานตําแหน่งครบถ้วนในวันสมัครกําหนดใหม่เป็น“ผู้มีสิทธิ์สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ตามมาตรฐานตําแหน่งครูผู้ช่วย”
2) กําหนดการเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้ให้มารายงานเพื่อบรรจุและแต่งตั้งใหม่จากเดิมกําหนดว่าการเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เป็นการเรียกตัวผู้มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลําดับที่ที่ประกาศผลการสอบแข่งขันไว้กําหนดใหม่เป็น“การเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้เพื่อบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เป็นการเรียกตัวผู้มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลําดับที่ที่ประกาศผลการสอบแข่งขันไว้ โดยกําหนดวันรายงานตัวไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน แต่ไม่เกินนับแต่วันประกาศผลการสอบแข่งขัน”
ทั้งนี้ มาตรฐานตําแหน่งและหลักเกณฑ์ฯ ที่แก้ไข ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560และให้สํานักงาน ก.ค.ศ. ดําเนินการแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดอื่น(นอกเหนือจาก สพฐ.) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องทุกหลักเกณฑ์ฯที่ ก.ค.ศ. กําหนดไว้ เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกันและแจ้งเวียนให้ส่วนราชการและหน่วยงานการศึกษาทราบและถือปฏิบัติต่อไป
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่าเป็นครั้งแรกที่มีการปรับแก้หลักเกณฑ์การรับสมัครครูผู้ช่วย เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่มีใบอนุญาตฯ หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอนที่คุรุสภาออกให้ สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ จากเดิมที่ต้องมีใบอนุญาตฯ จึงจะสามารถสมัครได้ ซึ่งจะเริ่มประกาศรับสมัครในวันที่ 21 มีนาคม โดยสาขาที่ยังมีความต้องการจํานวนมากคือ สาขาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ดังนั้น ผู้ใดที่มีความรู้ความสามารถก็ขอให้มาสมัคร เพราะเราต้องการได้คนเก่งมาเป็นครู เมื่อสอบได้แล้วก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้ได้ใบอนุญาตฯ ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนคุรุสภาต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2524
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านซ่อมรถที่เสียหายจากน้ำท่วม
|
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560
การหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านซ่อมรถที่เสียหายจากน้ําท่วม
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 กรณีการหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านและค่าซ่อมรถ นั้น
นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า “เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียภาษีที่มีทรัพย์สินเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเกี่ยวกับการให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านและค่าซ่อมรถที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. กรณีซ่อมบ้าน ให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีสําหรับจํานวนเงินที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร หรือที่อยู่ในเขตอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดกับตัวอาคารหรือในเขตอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕60 และอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย ทั้งนี้ ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องมีการจ่ายค่าซ่อมภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
ตัวอย่างเช่น
(1) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร เช่น ค่าสีทาบ้าน ห้องชุดในอาคารชุด หรือตึกแถว ค่ากระเบื้อง ค่าฝ้าเพดาน ค่าหลังคา ค่าอิฐ ค่าปูน ที่ใช้ในการซ่อมแซม และค่าแรงในการซ่อมแซม
(2) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดกับ ตัวอาคารหรือห้องชุด เช่น ค่าซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ built-in
(3) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดอยู่ในเขตอาคาร เช่น ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมรั้ว ประตูรั้ว กําแพง โรงรถ สระว่ายน้ํา บ่อเลี้ยงปลา รวมทั้งค่าแรง
2. กรณีซ่อมรถ ให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีสําหรับจํานวนเงินที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์ หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕60 และอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย ทั้งนี้ ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท โดยต้องมีการจ่ายค่าซ่อมภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
ตัวอย่างเช่น ค่าซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ค่าซ่อมตัวเครื่องยนต์ ค่าซ่อมแซมสีรถ เบาะรถ ล้อรถ ระบบแอร์ในรถ หรืออุปกรณ์ที่ติดกับตัวรถซึ่งเสียหายจากการถูกน้ําท่วม โดยรถนั้นจะต้องเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์หรือกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
2 ค่าซ่อมบ้านและค่าซ่อมรถดังกล่าวที่จ่ายในปี 2560 ให้ใช้สําหรับการคํานวณเสียภาษีเพื่อยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 ประจําปีภาษี 2560 ที่จะต้องยื่นรายการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2561 จึงขอให้ผู้เสียภาษีเก็บเอกสารการจ่ายเงินค่าซ่อมเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นรายการเพื่อเสียภาษีด้วย”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่ทุกพื้นที่และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161
สํานักบริหารกลาง ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านซ่อมรถที่เสียหายจากน้ำท่วม
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560
การหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านซ่อมรถที่เสียหายจากน้ําท่วม
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 กรณีการหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านและค่าซ่อมรถ นั้น
นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า “เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียภาษีที่มีทรัพย์สินเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเกี่ยวกับการให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านและค่าซ่อมรถที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. กรณีซ่อมบ้าน ให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีสําหรับจํานวนเงินที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร หรือที่อยู่ในเขตอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดกับตัวอาคารหรือในเขตอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕60 และอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย ทั้งนี้ ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องมีการจ่ายค่าซ่อมภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
ตัวอย่างเช่น
(1) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร เช่น ค่าสีทาบ้าน ห้องชุดในอาคารชุด หรือตึกแถว ค่ากระเบื้อง ค่าฝ้าเพดาน ค่าหลังคา ค่าอิฐ ค่าปูน ที่ใช้ในการซ่อมแซม และค่าแรงในการซ่อมแซม
(2) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดกับ ตัวอาคารหรือห้องชุด เช่น ค่าซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ built-in
(3) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดอยู่ในเขตอาคาร เช่น ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมรั้ว ประตูรั้ว กําแพง โรงรถ สระว่ายน้ํา บ่อเลี้ยงปลา รวมทั้งค่าแรง
2. กรณีซ่อมรถ ให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีสําหรับจํานวนเงินที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์ หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕60 และอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย ทั้งนี้ ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท โดยต้องมีการจ่ายค่าซ่อมภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
ตัวอย่างเช่น ค่าซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ค่าซ่อมตัวเครื่องยนต์ ค่าซ่อมแซมสีรถ เบาะรถ ล้อรถ ระบบแอร์ในรถ หรืออุปกรณ์ที่ติดกับตัวรถซึ่งเสียหายจากการถูกน้ําท่วม โดยรถนั้นจะต้องเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์หรือกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
2 ค่าซ่อมบ้านและค่าซ่อมรถดังกล่าวที่จ่ายในปี 2560 ให้ใช้สําหรับการคํานวณเสียภาษีเพื่อยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 ประจําปีภาษี 2560 ที่จะต้องยื่นรายการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2561 จึงขอให้ผู้เสียภาษีเก็บเอกสารการจ่ายเงินค่าซ่อมเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นรายการเพื่อเสียภาษีด้วย”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่ทุกพื้นที่และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161
สํานักบริหารกลาง ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1393
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. เร่งหารือด้านกฎหมายการขนแร่ออกนอกพื้นที่เหมืองทอง หลังมีคำสั่ง คสช. ได้หรือไม่
|
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
กพร. เร่งหารือด้านกฎหมายการขนแร่ออกนอกพื้นที่เหมืองทอง หลังมีคําสั่ง คสช. ได้หรือไม่
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลย เร่งหารือข้อกฎหมาย ก่อนชี้ชัดบริษัท ทุ่งคํา จํากัด สามารถขนแร่ออกนอกพื้นที่เหมืองได้หรือไม่ พร้อมสั่งให้บริษัทฯ ยุติการขนแร่แล้ว
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ชาวบ้านคัดค้านการขนแร่ทองคําออกจากพื้นที่เหมือง อ.วังสะพุง จ.เลย นั้น จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ปรากฏว่า การดําเนินการดังกล่าว เป็นการดําเนินการในพื้นที่ของบริษัท ทุ่งคํา จํากัด ซึ่งได้หยุดดําเนินการมาประมาณ 4 ปี โดยได้มีการนํารถบรรทุก จํานวน 11 คัน เพื่อเตรียมขนแร่ทองแดงที่มีทองคําและเงินเจือปน จํานวน 190 ถุงบิ๊กแบ็ก ซึ่งแร่ที่บริษัทฯ จะขนดังกล่าวเป็นแร่เก่าที่ตกค้างอยู่ในกระบวนการแต่งแร่ก่อนที่บริษัทฯ จะหยุดการทําเหมือง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 72/2559 เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ซึ่งกําหนดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับประทานบัตรและใบอนุญาตต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ระงับการประกอบกิจการไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป จนกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติจะมีมติเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ขณะนี้สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลย ได้สั่งให้บริษัทฯ ยุติการขนแร่ออกนอกพื้นที่ก่อน ซึ่งบริษัทฯ ได้ยินยอมขนแร่ลงจากรถบรรทุกแล้ว เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อรอการพิจารณาในประเด็นด้านข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และสํานักงานอุตสาหกรรม จังหวัดเลย จะได้มีการประชุมหารือร่วมกันถึงข้อกฎหมายว่า การขนแร่ของบริษัทฯ จะสามารถกระทําได้เพียงใด หลังมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 ดังกล่าว นอกจากนี้ การขนแร่ ผู้ประกอบการต้องได้รับใบอนุญาตขนแร่ และดําเนินการชําระค่าภาคหลวงแร่ก่อนดําเนินการขนแร่
22 กุมภาพันธ์ 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. เร่งหารือด้านกฎหมายการขนแร่ออกนอกพื้นที่เหมืองทอง หลังมีคำสั่ง คสช. ได้หรือไม่
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
กพร. เร่งหารือด้านกฎหมายการขนแร่ออกนอกพื้นที่เหมืองทอง หลังมีคําสั่ง คสช. ได้หรือไม่
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลย เร่งหารือข้อกฎหมาย ก่อนชี้ชัดบริษัท ทุ่งคํา จํากัด สามารถขนแร่ออกนอกพื้นที่เหมืองได้หรือไม่ พร้อมสั่งให้บริษัทฯ ยุติการขนแร่แล้ว
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ชาวบ้านคัดค้านการขนแร่ทองคําออกจากพื้นที่เหมือง อ.วังสะพุง จ.เลย นั้น จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ปรากฏว่า การดําเนินการดังกล่าว เป็นการดําเนินการในพื้นที่ของบริษัท ทุ่งคํา จํากัด ซึ่งได้หยุดดําเนินการมาประมาณ 4 ปี โดยได้มีการนํารถบรรทุก จํานวน 11 คัน เพื่อเตรียมขนแร่ทองแดงที่มีทองคําและเงินเจือปน จํานวน 190 ถุงบิ๊กแบ็ก ซึ่งแร่ที่บริษัทฯ จะขนดังกล่าวเป็นแร่เก่าที่ตกค้างอยู่ในกระบวนการแต่งแร่ก่อนที่บริษัทฯ จะหยุดการทําเหมือง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 72/2559 เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ซึ่งกําหนดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับประทานบัตรและใบอนุญาตต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ระงับการประกอบกิจการไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป จนกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติจะมีมติเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ขณะนี้สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลย ได้สั่งให้บริษัทฯ ยุติการขนแร่ออกนอกพื้นที่ก่อน ซึ่งบริษัทฯ ได้ยินยอมขนแร่ลงจากรถบรรทุกแล้ว เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อรอการพิจารณาในประเด็นด้านข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และสํานักงานอุตสาหกรรม จังหวัดเลย จะได้มีการประชุมหารือร่วมกันถึงข้อกฎหมายว่า การขนแร่ของบริษัทฯ จะสามารถกระทําได้เพียงใด หลังมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 ดังกล่าว นอกจากนี้ การขนแร่ ผู้ประกอบการต้องได้รับใบอนุญาตขนแร่ และดําเนินการชําระค่าภาคหลวงแร่ก่อนดําเนินการขนแร่
22 กุมภาพันธ์ 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2009
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยรุกหนักตลาดอินเดีย แสดงบทบาทนำของประธานอาเซียน ในงาน India – ASEAN Expo and Summit ครั้งที่ 4
|
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
ไทยรุกหนักตลาดอินเดีย แสดงบทบาทนําของประธานอาเซียน ในงาน India – ASEAN Expo and Summit ครั้งที่ 4
‘พาณิชย์’ จัดทัพทีมประเทศไทยเข้าร่วมงานอินเดีย-อาเซียน เอ็กซ์โปแอนด์ซัมมิท ครั้งที่ 4 (the 4th India – ASEAN Expo and Summit) หวังยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าดิจิทัล และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)
ตลอดจนเร่งผลักดันผลสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(RCEP)ภายในปี 2562ที่ไทยเป็นประธานอาเซียน พร้อมลงพื้นที่แหล่งผลิตน้ํามันรําข้าวอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งนําเข้าอันดับหนึ่งของไทย มุ่งต่อยอดอุตสาหกรรมแปรรูปข้าวของประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตนจะเดินทางเข้าร่วมงานอินเดีย-อาเซียน เอ็กซ์โปแอนด์ซัมมิท ครั้งที่4ภายใต้หัวข้อ“การสร้างสรรค์อนาคตร่วมกัน(Co-creating the Future)”ระหว่างวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2562 ณ กรุงนิวเดลี ตามคําเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียซึ่งงานดังกล่าวมุ่งเน้นการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับอินเดียให้ครอบคลุมเศรษฐกิจใหม่ อาทิการค้าดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเศรษฐกิจทางทะเล โดยภายในงานดังกล่าวจะมี3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1)การสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมหาแนวทางขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับอินเดีย 2)งานแสดงสินค้าและศักยภาพด้านการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวของประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)บมจ. การบินไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Bank)และสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(TCEB)รวมทั้งภาคเอกชนชั้นนําของไทย ในสาขาธุรกิจศักยภาพ อาทิ การก่อสร้าง การเดินเรือและโลจิสติกส์ การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ และล้อยางรถยนต์ และ 3)กิจกรรมจับคู่และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างนักธุรกิจอาเซียนกับอินเดีย
นอกจากนี้ ตนจะพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย ร่วมกับรัฐมนตรีการค้าของอินโดนีเซีย และเลขาธิการอาเซียน เพื่อขอให้อินเดียสนับสนุนผลักดันสรุปผลการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน
นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนจะใช้โอกาสในการเดินทางเยือนอินเดียครั้งนี้ลงพื้นที่สํารวจอุตสาหกรรม
การผลิตน้ํามันรําข้าวของอินเดีย ณ รัฐหารยะนา ซึ่งอินเดียเป็นแหล่งนําเข้าน้ํามันรําข้าวอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่า1.01ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 1 ใน 4 ของการนําเข้าทั้งหมดของไทย โดยไทยและอินเดียเป็นแหล่งผลิตน้ํามันรําข้าวที่สําคัญของโลกและปัจจุบันน้ํามันรําข้าวได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลก กระทรวงพาณิชย์จึงต้องการผลักดันและยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตน้ํามันรําข้าว เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมการแปรรูปข้าวของไทยที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
ทั้งนี้ ในปี 2560 การค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียมีมูลค่า 73,500ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวกว่าร้อยละ 25.4 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ2.9ด้านการลงทุนโดยตรงจากอินเดียมีมูลค่า 1,800ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.8 ในส่วนการค้าทวิภาคีไทย-อินเดีย ในปี 2561 มีมูลค่า 12,463.74 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ20.16จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปอินเดีย มูลค่า 7,600.32 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สําคัญ อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และการนําเข้าจากอินเดีย มูลค่า 4,863.43 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านําเข้าที่สําคัญ อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะอื่น ๆ และเศษโลหะและผลิตภัณฑ์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยรุกหนักตลาดอินเดีย แสดงบทบาทนำของประธานอาเซียน ในงาน India – ASEAN Expo and Summit ครั้งที่ 4
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
ไทยรุกหนักตลาดอินเดีย แสดงบทบาทนําของประธานอาเซียน ในงาน India – ASEAN Expo and Summit ครั้งที่ 4
‘พาณิชย์’ จัดทัพทีมประเทศไทยเข้าร่วมงานอินเดีย-อาเซียน เอ็กซ์โปแอนด์ซัมมิท ครั้งที่ 4 (the 4th India – ASEAN Expo and Summit) หวังยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าดิจิทัล และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)
ตลอดจนเร่งผลักดันผลสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(RCEP)ภายในปี 2562ที่ไทยเป็นประธานอาเซียน พร้อมลงพื้นที่แหล่งผลิตน้ํามันรําข้าวอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งนําเข้าอันดับหนึ่งของไทย มุ่งต่อยอดอุตสาหกรรมแปรรูปข้าวของประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตนจะเดินทางเข้าร่วมงานอินเดีย-อาเซียน เอ็กซ์โปแอนด์ซัมมิท ครั้งที่4ภายใต้หัวข้อ“การสร้างสรรค์อนาคตร่วมกัน(Co-creating the Future)”ระหว่างวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2562 ณ กรุงนิวเดลี ตามคําเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียซึ่งงานดังกล่าวมุ่งเน้นการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับอินเดียให้ครอบคลุมเศรษฐกิจใหม่ อาทิการค้าดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเศรษฐกิจทางทะเล โดยภายในงานดังกล่าวจะมี3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1)การสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมหาแนวทางขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับอินเดีย 2)งานแสดงสินค้าและศักยภาพด้านการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวของประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)บมจ. การบินไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Bank)และสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(TCEB)รวมทั้งภาคเอกชนชั้นนําของไทย ในสาขาธุรกิจศักยภาพ อาทิ การก่อสร้าง การเดินเรือและโลจิสติกส์ การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ และล้อยางรถยนต์ และ 3)กิจกรรมจับคู่และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างนักธุรกิจอาเซียนกับอินเดีย
นอกจากนี้ ตนจะพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย ร่วมกับรัฐมนตรีการค้าของอินโดนีเซีย และเลขาธิการอาเซียน เพื่อขอให้อินเดียสนับสนุนผลักดันสรุปผลการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน
นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนจะใช้โอกาสในการเดินทางเยือนอินเดียครั้งนี้ลงพื้นที่สํารวจอุตสาหกรรม
การผลิตน้ํามันรําข้าวของอินเดีย ณ รัฐหารยะนา ซึ่งอินเดียเป็นแหล่งนําเข้าน้ํามันรําข้าวอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่า1.01ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 1 ใน 4 ของการนําเข้าทั้งหมดของไทย โดยไทยและอินเดียเป็นแหล่งผลิตน้ํามันรําข้าวที่สําคัญของโลกและปัจจุบันน้ํามันรําข้าวได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลก กระทรวงพาณิชย์จึงต้องการผลักดันและยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตน้ํามันรําข้าว เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมการแปรรูปข้าวของไทยที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
ทั้งนี้ ในปี 2560 การค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียมีมูลค่า 73,500ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวกว่าร้อยละ 25.4 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ2.9ด้านการลงทุนโดยตรงจากอินเดียมีมูลค่า 1,800ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.8 ในส่วนการค้าทวิภาคีไทย-อินเดีย ในปี 2561 มีมูลค่า 12,463.74 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ20.16จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปอินเดีย มูลค่า 7,600.32 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สําคัญ อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และการนําเข้าจากอินเดีย มูลค่า 4,863.43 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านําเข้าที่สําคัญ อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะอื่น ๆ และเศษโลหะและผลิตภัณฑ์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18826
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลักดันพืชสมุนไพรไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
|
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562
ผลักดันพืชสมุนไพรไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลผลักดันให้พืชสมุนไพรไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยสนับสนุนการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติสมุนไพรแห่งชาติที่เน้นการพัฒนาและขึ้นทะเบียนสมุนไพรไทยที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้สมุนไพรไทยออกสู่ตลาด และสามารถแข่งขันได้ในต่างประเทศ สําหรับการดําเนินงานภายใต้แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร ฉบับที่ 1 ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพร GAP และ Organic ให้กับเกษตรกรรายใหม่ ลงทุนเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น วิจัยและส่งเสริมการใช้สมุนไพร ขยายช่องทางการตลาดสมุนไพรและเจรจาทางการค้า พัฒนาเมืองสมุนไพร 13 จังหวัด ช่วยให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรครบวงจร สร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่ง
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลักดันพืชสมุนไพรไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562
ผลักดันพืชสมุนไพรไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลผลักดันให้พืชสมุนไพรไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยสนับสนุนการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติสมุนไพรแห่งชาติที่เน้นการพัฒนาและขึ้นทะเบียนสมุนไพรไทยที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้สมุนไพรไทยออกสู่ตลาด และสามารถแข่งขันได้ในต่างประเทศ สําหรับการดําเนินงานภายใต้แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร ฉบับที่ 1 ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพร GAP และ Organic ให้กับเกษตรกรรายใหม่ ลงทุนเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น วิจัยและส่งเสริมการใช้สมุนไพร ขยายช่องทางการตลาดสมุนไพรและเจรจาทางการค้า พัฒนาเมืองสมุนไพร 13 จังหวัด ช่วยให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรครบวงจร สร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่ง
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23494
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ 1/2561
|
วันอังคารที่ 16 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ 1/2561
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันอังคารที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาแก้ไขร่างระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ตลอดจนพิจารณาตัวชี้วัดของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กําหนด
เพื่อให้การดําเนินการด้านกระบวนการอนุญาโตตุลาการมีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด
และเป็นธรรมแก่คู่พิพาททุกฝ่าย ตลอดจนเป็นการส่งเสริม
และพัฒนากระบวนการอนุญาโตตุลาการ
และเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินกิจการเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ
แก่ประชาชนทุกฝ่ายด้วยเป็นธรรม และความเท่าเทียม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ 1/2561
วันอังคารที่ 16 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” หารือแนวทางการขับเคลื่อนการระงับข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ 1/2561
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันอังคารที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาแก้ไขร่างระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ตลอดจนพิจารณาตัวชี้วัดของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กําหนด
เพื่อให้การดําเนินการด้านกระบวนการอนุญาโตตุลาการมีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด
และเป็นธรรมแก่คู่พิพาททุกฝ่าย ตลอดจนเป็นการส่งเสริม
และพัฒนากระบวนการอนุญาโตตุลาการ
และเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินกิจการเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ
แก่ประชาชนทุกฝ่ายด้วยเป็นธรรม และความเท่าเทียม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9419
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19 [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม]
|
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19 [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม]
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า วันนี้ ได้มาร่วมกับทาง กสทช ในการจัดแถลงข่าวให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบมาตรการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือ กสทช และโอเปอเรเตอร์ 5 รายในเรื่องการแบ่งเบาภาระลดค่าใช้จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการโทรฟรี 100 นาทีเป็นระยะเวลา 45 วัน ซึ่งจะให้ลงทะเบียนระหว่างวันวันที่ 1- 15 พฤษภาคม 2563 เมื่อลงทะเบียนแล้วจะได้ SMS ยืนยันสิทธิ์ นับตั้งแต่วันที่ได้ SMS เป็นเวลา 45 วันจะได้ใช้ฟรี 100 นาที ซึ่งทุกคนจะได้สิทธิ์นี้ และสามารถโทรข้ามเครือข่ายได้ ยกเว้นเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่จดทะเบียนในนามนิติบุคคล และผู้จดทะเบียนเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ตั้งใจมอบให้ประชาชนคนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19 [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม]
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19 [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม]
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า วันนี้ ได้มาร่วมกับทาง กสทช ในการจัดแถลงข่าวให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบมาตรการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือ กสทช และโอเปอเรเตอร์ 5 รายในเรื่องการแบ่งเบาภาระลดค่าใช้จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการโทรฟรี 100 นาทีเป็นระยะเวลา 45 วัน ซึ่งจะให้ลงทะเบียนระหว่างวันวันที่ 1- 15 พฤษภาคม 2563 เมื่อลงทะเบียนแล้วจะได้ SMS ยืนยันสิทธิ์ นับตั้งแต่วันที่ได้ SMS เป็นเวลา 45 วันจะได้ใช้ฟรี 100 นาที ซึ่งทุกคนจะได้สิทธิ์นี้ และสามารถโทรข้ามเครือข่ายได้ ยกเว้นเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่จดทะเบียนในนามนิติบุคคล และผู้จดทะเบียนเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ตั้งใจมอบให้ประชาชนคนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด
**********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29441
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ติดตามการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เน้นย้ำ ด้านความปลอดภัย เตรียมพร้อมเปิดอุทยานฯ ดีเดย์ 1 ก.ค. 63
|
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ติดตามการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เน้นย้ํา ด้านความปลอดภัย เตรียมพร้อมเปิดอุทยานฯ ดีเดย์ 1 ก.ค. 63
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ติดตามการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เน้นย้ํา ด้านความปลอดภัย เตรียมพร้อมเปิดอุทยานฯ ดีเดย์ 1 ก.ค. 63
วันที่ 19 มิ.ย. 63 เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล การดําเนินการด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูหมู่เกาะอ่างทอง บริเวณเกาะวัวตาหลับ และเกาะแม่เกาะ (ทะเลใน) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง หลังจากที่มีมาตรการปิดอุทยานฯ และแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เนื่องจากสถานการณ์โรคติดต่อไวรัสโคโรน่า 19 (โควิด-19) ทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย ความสะอาด การอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และการดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว รวมทั้ง ชมสาธิตการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (การทํา CPR) จากเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ เพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดอุทยานฯ ต้อนรับนักท่องเที่ยว ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้ ซึ่งรมว.ทส. และ ปกท.ทส. ได้ปลูกต้นตะเคียนทอง ณ ที่ทําการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองในโอกาสนี้ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ติดตามการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เน้นย้ำ ด้านความปลอดภัย เตรียมพร้อมเปิดอุทยานฯ ดีเดย์ 1 ก.ค. 63
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ติดตามการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เน้นย้ํา ด้านความปลอดภัย เตรียมพร้อมเปิดอุทยานฯ ดีเดย์ 1 ก.ค. 63
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ติดตามการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เน้นย้ํา ด้านความปลอดภัย เตรียมพร้อมเปิดอุทยานฯ ดีเดย์ 1 ก.ค. 63
วันที่ 19 มิ.ย. 63 เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล การดําเนินการด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูหมู่เกาะอ่างทอง บริเวณเกาะวัวตาหลับ และเกาะแม่เกาะ (ทะเลใน) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง หลังจากที่มีมาตรการปิดอุทยานฯ และแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เนื่องจากสถานการณ์โรคติดต่อไวรัสโคโรน่า 19 (โควิด-19) ทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย ความสะอาด การอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และการดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว รวมทั้ง ชมสาธิตการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (การทํา CPR) จากเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ เพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดอุทยานฯ ต้อนรับนักท่องเที่ยว ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้ ซึ่งรมว.ทส. และ ปกท.ทส. ได้ปลูกต้นตะเคียนทอง ณ ที่ทําการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองในโอกาสนี้ด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32595
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเตรียมพร้อมระบบออนไลน์สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
กรมสรรพากรเตรียมพร้อมระบบออนไลน์สําหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับปีภาษี 2562
กรมสรรพากรเตรียมความพร้อมระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรและ Mobile Application พร้อมทั้งให้ผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร
กรมสรรพากรเตรียมความพร้อมระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรและ Mobile Application พร้อมทั้งให้ผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพื่อลดความยุ่งยาก ในการจัดเก็บเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ได้แก่ เงินสมทบ กบข. เบี้ยประกันสุขภาพ และเงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งจะช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการคืนภาษีรวดเร็วขึ้น
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๖๒ กําหนดให้ยื่นภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ หรือผู้ที่ยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตจะได้ขยายเวลาออกไปอีก ๘ วัน ถึงวันที่ 8 เมษายน 2563 ทั้งนี้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสัดส่วนการยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ ๘๒ ของผู้ยื่นแบบฯ กรมสรรพากรจึงได้มีการเตรียมระบบการยื่นแบบออนไลน์ และระบบ Mobile Application ให้สอดคล้องกับรายการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ สําหรับผู้เสียภาษี ซึ่งระบบจะพร้อมให้ใช้ยื่นแบบออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓”
“ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้เสียภาษีต้องแสดงข้อมูลเงินได้ และค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อให้ได้รับสิทธิการลดหย่อนและเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน กรมสรรพากรตระหนักถึงความสําคัญดังกล่าว จึงสร้างช่องทางให้ผู้เสียภาษีสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ซึ่ง My Tax Account เป็นระบบให้บริการผู้เสียภาษีในการค้นข้อมูลค่าลดหย่อนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลต่างๆ และแสดงข้อมูลค่าลดหย่อน ได้แก่ ข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพ ข้อมูลการบริจาคที่ปรากฏอยู่ในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) และข้อมูลเงินสะสมเข้ากองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ซึ่งจะช่วยลดภาระ ในการเก็บเอกสารหลักฐานและการสแกนเอกสารต่างๆ และช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการคืนภาษีสะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมามีผู้ใช้งานระบบนี้กว่าแปดแสนราย”
“การยื่นแบบออนไลน์จะช่วยให้ได้รับเงินคืนภาษีเร็วกว่าการยื่นแบบกระดาษ หากไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม ระบบจะประมวลผลสั่งคืนเงินแบบอัตโนมัติ โดยโอนเงินคืนภาษีเข้าในระบบพร้อมเพย์ของผู้มีเงินได้ หรือบัตร e-Money/e-Wallet ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ กรมสรรพากรได้อนุมัติคืนภาษีรวมกว่า ๓๔ ล้านบาท ในจํานวนนี้เป็นการคืนผ่านพร้อมเพย์และ e-Money จํานวนกว่า ๒๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๖.๘๖” โฆษกกรมสรรพากรกล่าว
ทั้งนี้ ผู้เสียภาษีสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเตรียมพร้อมระบบออนไลน์สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2562
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
กรมสรรพากรเตรียมพร้อมระบบออนไลน์สําหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับปีภาษี 2562
กรมสรรพากรเตรียมความพร้อมระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรและ Mobile Application พร้อมทั้งให้ผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร
กรมสรรพากรเตรียมความพร้อมระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรและ Mobile Application พร้อมทั้งให้ผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพื่อลดความยุ่งยาก ในการจัดเก็บเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ได้แก่ เงินสมทบ กบข. เบี้ยประกันสุขภาพ และเงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งจะช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการคืนภาษีรวดเร็วขึ้น
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๖๒ กําหนดให้ยื่นภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ หรือผู้ที่ยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตจะได้ขยายเวลาออกไปอีก ๘ วัน ถึงวันที่ 8 เมษายน 2563 ทั้งนี้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสัดส่วนการยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ ๘๒ ของผู้ยื่นแบบฯ กรมสรรพากรจึงได้มีการเตรียมระบบการยื่นแบบออนไลน์ และระบบ Mobile Application ให้สอดคล้องกับรายการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ สําหรับผู้เสียภาษี ซึ่งระบบจะพร้อมให้ใช้ยื่นแบบออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓”
“ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้เสียภาษีต้องแสดงข้อมูลเงินได้ และค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อให้ได้รับสิทธิการลดหย่อนและเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน กรมสรรพากรตระหนักถึงความสําคัญดังกล่าว จึงสร้างช่องทางให้ผู้เสียภาษีสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ซึ่ง My Tax Account เป็นระบบให้บริการผู้เสียภาษีในการค้นข้อมูลค่าลดหย่อนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลต่างๆ และแสดงข้อมูลค่าลดหย่อน ได้แก่ ข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพ ข้อมูลการบริจาคที่ปรากฏอยู่ในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) และข้อมูลเงินสะสมเข้ากองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ซึ่งจะช่วยลดภาระ ในการเก็บเอกสารหลักฐานและการสแกนเอกสารต่างๆ และช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการคืนภาษีสะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมามีผู้ใช้งานระบบนี้กว่าแปดแสนราย”
“การยื่นแบบออนไลน์จะช่วยให้ได้รับเงินคืนภาษีเร็วกว่าการยื่นแบบกระดาษ หากไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม ระบบจะประมวลผลสั่งคืนเงินแบบอัตโนมัติ โดยโอนเงินคืนภาษีเข้าในระบบพร้อมเพย์ของผู้มีเงินได้ หรือบัตร e-Money/e-Wallet ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ กรมสรรพากรได้อนุมัติคืนภาษีรวมกว่า ๓๔ ล้านบาท ในจํานวนนี้เป็นการคืนผ่านพร้อมเพย์และ e-Money จํานวนกว่า ๒๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๖.๘๖” โฆษกกรมสรรพากรกล่าว
ทั้งนี้ ผู้เสียภาษีสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากเกิดการติดเชื้อระลอกสอง
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
หากเกิดการติดเชื้อระลอกสอง
ตระหนัก ไม่ตระหนก
จะไม่เหมือนระลอกแรก เพราะผลจากการที่เราผ่านการเรียนรู้และควบคุมภายในประเทศมาเป็นอย่างดี เช่น ไม่ปล่อยให้มีการเดินทางข้ามาในประเทศ โดยไม่มีการจัดการควบคุมทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ความพร้อมและประสบการณ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชน ด้วยความพร้อมทั้ง 3 ปัจจัยนี้ เรายืนยันว่า "ถ้าเกิดการระบาดระลอกสอง...เราจัดการได้" และขอให้พวกเรายืนยันร่วมมือร่วมใจกันใช้ชีวิตทางสัมคมและเศรษฐกิจแบบปกติ แต่เป็น "ปกติวิถีใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากเกิดการติดเชื้อระลอกสอง
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
หากเกิดการติดเชื้อระลอกสอง
ตระหนัก ไม่ตระหนก
จะไม่เหมือนระลอกแรก เพราะผลจากการที่เราผ่านการเรียนรู้และควบคุมภายในประเทศมาเป็นอย่างดี เช่น ไม่ปล่อยให้มีการเดินทางข้ามาในประเทศ โดยไม่มีการจัดการควบคุมทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ความพร้อมและประสบการณ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชน ด้วยความพร้อมทั้ง 3 ปัจจัยนี้ เรายืนยันว่า "ถ้าเกิดการระบาดระลอกสอง...เราจัดการได้" และขอให้พวกเรายืนยันร่วมมือร่วมใจกันใช้ชีวิตทางสัมคมและเศรษฐกิจแบบปกติ แต่เป็น "ปกติวิถีใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม"
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ เตรียมประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ฟาร์มจิ้งหรีด ไก่พื้นเมือง และไหมอินทรีย์
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560
เกษตรฯ เตรียมประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ฟาร์มจิ้งหรีด ไก่พื้นเมือง และไหมอินทรีย์
เกษตรฯ เตรียมประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ฟาร์มจิ้งหรีด ไก่พื้นเมือง และไหมอินทรีย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต จ่อคิวขึ้นแท่นเป็นสินค้าเศรษฐกิจใหม่ สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค เพิ่มโอกาสทางการค้าให้เกษตรกรรายย่อย
นางสาวชุติมา บุณยประภัศรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรเมื่อวันที่7สิงหาคม2560ว่าคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบให้เร่งประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรเพิ่มเติม 7 เรื่อง ได้แก่ 1.GAP ฟาร์มจิ้งหรีด 2. GAP ฟาร์มไก่พื้นเมืองแบบเลี้ยงปล่อย 3. ไหมอินทรีย์4. แนวปฏิบัติการผลิตเชื้อเห็ด5. สารพิษตกค้าง6. มะนาวและ 7. แตงกวา โดยมี3เรื่อง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการผลิตอย่างแพร่หลายในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยและมีโอกาสทางการตลาดสูง ได้แก่ มาตรฐาน GAP ฟาร์มจิ้งหรีด มาตรฐาน GAP ฟาร์มไก่พื้นเมืองแบบเลี้ยงปล่อย และมาตรฐานสินค้าไหมอินทรีย์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนายกระดับการผลิตให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีความปลอดภัย ต่อผู้บริโภคภายในประเทศและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออกในต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย
จิ้งหรีดเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มทางการตลาดดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและต่างประเทศ ปัจจุบันมีเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีด มากกว่า20,000ราย ผลผลิตปีละ7,500ตัน มีมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาทต่อปีซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบริโภคภายในประเทศ เริ่มมีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและประเทศตะวันตกบางประเทศ ดังนั้นการกําหนดมาตรฐานGAP ฟาร์มจิ้งหรีด จะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด ผู้บริโภค และประเทศผู้นําเข้าได้ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป หรือ อียู ซึ่งจัดให้แมลงเป็นอาหารชนิดใหม่ ประกอบกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ (FAO) ได้ส่งเสริมให้มีการบริโภคแมลงเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากแมลงเป็นอาหารทางเลือกที่มีโปรตีนสูงราคาถูก และสามารถผลิตได้ง่ายในท้องถิ่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงจะยกระดับการผลิตจิ้งหรีดให้เป็นแมลงเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการส่งออกสูงขึ้น และสามารถช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรด้วย
สําหรับการเลี้ยงไก่พื้นเมืองแบบปล่อยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรรายย่อยเนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อย ดูแลจัดการง่าย ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทนต่อโรคได้ดี เมื่อนํามาแปรรูปหรือประกอบอาหารก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่าไก่เนื้อที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบปิดเนื่องจากเนื้อแน่นและมีรสชาติดีกว่าปัจจุบันไทยมีไก่พื้นเมืองรวมกว่า72.4ล้านตัวทั่วประเทศมีการขยายตัวของธุรกิจการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเพื่อการค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังนั้นจึงจําเป็นต้องเร่งยกระดับการผลิตให้ได้มาตรฐานเพื่อสร้างการยอมรับจากผู้บริโภคและช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดได้
ส่วนเรื่องการผลิตไหมอินทรีย์ก็ถือเป็นช่องทางทําเงินให้กับเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้อีกช่องทางหนึ่งซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ประมาณเกือบ 100,000 รายมีแนวโน้มที่ตลาดจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินค้าอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางจากไหมอินทรีย์เช่น แผ่นมาร์คหน้า ดังนั้นการกําหนดมาตรฐานอินทรีย์สําหรับไหมนอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าแล้ว ยังสามารถเพิ่มโอกาสทางการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกได้” นางสาวชุติมา บุณยประภัศรกล่าว
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษรตและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรยังเห็นชอบให้เก็บค่าบริการตรวจสอบรับรองโรงงานผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ โดยกําหนดตามขนาดของโรงงานผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง ขนาดเล็ก ไม่เกิน 15,000 บาท ขนาดกลาง ไม่เกิน 25,000 บาท และขนาดใหญ่ไม่เกิน 35,000 บาท ซึ่งการประกาศกําหนดค่าบริการนี้เพื่อให้หน่วยตรวจรับรองเอกชนใช้เป็นหลักในการคิดค่าบริการ ในกรณีที่มีการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้กําหนดมาตรฐาน ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด สําหรับลําไย มะม่วง และมังคุด และจะเสนอให้เกาหลีใต้ใช้เป็นค่ามาตรฐาน เนื่องจากปัจจุบันเกาหลีใต้ไม่ได้กําหนดค่ามาตรฐานดังกล่าวไว้ การกําหนดมาตรฐานดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการขยายการค้าผลไม้ ทั้ง 3 ชนิด ของไทย ไปเกาหลีใต้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ เตรียมประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ฟาร์มจิ้งหรีด ไก่พื้นเมือง และไหมอินทรีย์
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560
เกษตรฯ เตรียมประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ฟาร์มจิ้งหรีด ไก่พื้นเมือง และไหมอินทรีย์
เกษตรฯ เตรียมประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ฟาร์มจิ้งหรีด ไก่พื้นเมือง และไหมอินทรีย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต จ่อคิวขึ้นแท่นเป็นสินค้าเศรษฐกิจใหม่ สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค เพิ่มโอกาสทางการค้าให้เกษตรกรรายย่อย
นางสาวชุติมา บุณยประภัศรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรเมื่อวันที่7สิงหาคม2560ว่าคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบให้เร่งประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรเพิ่มเติม 7 เรื่อง ได้แก่ 1.GAP ฟาร์มจิ้งหรีด 2. GAP ฟาร์มไก่พื้นเมืองแบบเลี้ยงปล่อย 3. ไหมอินทรีย์4. แนวปฏิบัติการผลิตเชื้อเห็ด5. สารพิษตกค้าง6. มะนาวและ 7. แตงกวา โดยมี3เรื่อง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการผลิตอย่างแพร่หลายในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยและมีโอกาสทางการตลาดสูง ได้แก่ มาตรฐาน GAP ฟาร์มจิ้งหรีด มาตรฐาน GAP ฟาร์มไก่พื้นเมืองแบบเลี้ยงปล่อย และมาตรฐานสินค้าไหมอินทรีย์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนายกระดับการผลิตให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีความปลอดภัย ต่อผู้บริโภคภายในประเทศและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออกในต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย
จิ้งหรีดเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มทางการตลาดดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและต่างประเทศ ปัจจุบันมีเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีด มากกว่า20,000ราย ผลผลิตปีละ7,500ตัน มีมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาทต่อปีซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบริโภคภายในประเทศ เริ่มมีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและประเทศตะวันตกบางประเทศ ดังนั้นการกําหนดมาตรฐานGAP ฟาร์มจิ้งหรีด จะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด ผู้บริโภค และประเทศผู้นําเข้าได้ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป หรือ อียู ซึ่งจัดให้แมลงเป็นอาหารชนิดใหม่ ประกอบกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ (FAO) ได้ส่งเสริมให้มีการบริโภคแมลงเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากแมลงเป็นอาหารทางเลือกที่มีโปรตีนสูงราคาถูก และสามารถผลิตได้ง่ายในท้องถิ่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงจะยกระดับการผลิตจิ้งหรีดให้เป็นแมลงเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการส่งออกสูงขึ้น และสามารถช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรด้วย
สําหรับการเลี้ยงไก่พื้นเมืองแบบปล่อยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรรายย่อยเนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อย ดูแลจัดการง่าย ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทนต่อโรคได้ดี เมื่อนํามาแปรรูปหรือประกอบอาหารก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่าไก่เนื้อที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบปิดเนื่องจากเนื้อแน่นและมีรสชาติดีกว่าปัจจุบันไทยมีไก่พื้นเมืองรวมกว่า72.4ล้านตัวทั่วประเทศมีการขยายตัวของธุรกิจการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเพื่อการค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังนั้นจึงจําเป็นต้องเร่งยกระดับการผลิตให้ได้มาตรฐานเพื่อสร้างการยอมรับจากผู้บริโภคและช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดได้
ส่วนเรื่องการผลิตไหมอินทรีย์ก็ถือเป็นช่องทางทําเงินให้กับเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้อีกช่องทางหนึ่งซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ประมาณเกือบ 100,000 รายมีแนวโน้มที่ตลาดจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินค้าอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางจากไหมอินทรีย์เช่น แผ่นมาร์คหน้า ดังนั้นการกําหนดมาตรฐานอินทรีย์สําหรับไหมนอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าแล้ว ยังสามารถเพิ่มโอกาสทางการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกได้” นางสาวชุติมา บุณยประภัศรกล่าว
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษรตและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรยังเห็นชอบให้เก็บค่าบริการตรวจสอบรับรองโรงงานผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ โดยกําหนดตามขนาดของโรงงานผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง ขนาดเล็ก ไม่เกิน 15,000 บาท ขนาดกลาง ไม่เกิน 25,000 บาท และขนาดใหญ่ไม่เกิน 35,000 บาท ซึ่งการประกาศกําหนดค่าบริการนี้เพื่อให้หน่วยตรวจรับรองเอกชนใช้เป็นหลักในการคิดค่าบริการ ในกรณีที่มีการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้กําหนดมาตรฐาน ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด สําหรับลําไย มะม่วง และมังคุด และจะเสนอให้เกาหลีใต้ใช้เป็นค่ามาตรฐาน เนื่องจากปัจจุบันเกาหลีใต้ไม่ได้กําหนดค่ามาตรฐานดังกล่าวไว้ การกําหนดมาตรฐานดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการขยายการค้าผลไม้ ทั้ง 3 ชนิด ของไทย ไปเกาหลีใต้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5858
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.มอบนโยบายปีงบ 61 เร่งรัด 3 เรื่อง คือ การแพทย์ฉุกเฉินวัณโรค และการเงินการคลัง
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560
รมว.สธ.มอบนโยบายปีงบ 61 เร่งรัด 3 เรื่อง คือ การแพทย์ฉุกเฉินวัณโรค และการเงินการคลัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดการดําเนินงาน 3 เรื่องปีงบประมาณ 2561 คือ การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบส่งต่อการป้องกันควบคุมวัณโรคและแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดการดําเนินงาน 3 เรื่องปีงบประมาณ 2561 คือการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบส่งต่อการป้องกันควบคุมวัณโรคและแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
บ่ายวันนี้ (30 พฤศจิกายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงานของผู้บริหารกระทรวง (Performance Agreement:PA) ประจําปี 2561 ในระดับกระทรวงระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุขกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และระหว่างผู้บริหารในแต่ละระดับ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากส่วนกลางประกอบด้วย อธิบดีทุกกรม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขนิเทศก์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง ผู้อํานวยการสํานัก/กองในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ร่วมพิธีลงนาม 260 คน
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2561 นี้ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเน้นหนัก 3 เรื่องคือ1.การพัฒนาคุณภาพห้องฉุกเฉิน ทั้งการเพิ่มอัตรากําลังและพัฒนาทักษะบุคลากร การลดความแออัดในห้องฉุกเฉิน และการพัฒนาให้ผ่านเกณฑ์คุณภาพ 2.การป้องกันควบคุมโรควัณโรค ทั้งการค้นหาผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้ต้องขัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยเบาหวาน และแรงงานการสอบสวนโรค และการรักษาผู้ป่วยวัณโรค เพื่อตัดวงจรการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคและป้องกันเชื้อวัณโรคดื้อยา ซึ่งขณะนี้อัตราความสําเร็จของการรักษาวัณโรคของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ80ตั้งเป้าหมายให้ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 85 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดอัตราป่วยให้ต่ํากว่า10ต่อแสนประชากรภายในพ.ศ.2578ตามที่องค์การอนามัยโลกกําหนดและ3.การแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง ซึ่งปัจจุบันมี 87 แห่ง ลดอัตราหน่วยบริการที่ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินระดับ 7 ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 6
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับการสร้างสุขในหน่วยงาน ซึ่งผลการสํารวจในปีที่ผ่านมาพบว่าปัจจัยความสุขด้านการเงินของบุคลากรมีค่าน้อยที่สุด จึงได้สํารวจสภาพหนี้ของบุคลากรเพื่อเป็นข้อมูลเจรจากับธนาคารในการขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน และในระยะต่อไปจะขอสินเชื่อเรื่องรถคันใหม่หรือบ้านสวัสดิการให้แก่บุคลากร
สําหรับคํารับรองการปฏิบัติราชการ ปีงบประมาณ 2561 มี 15 ประเด็น คือ 1.คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน ในการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน 2.ระบบการแพทย์ปฐมภูมิ (PCC)3.ลดปัญหาวัณโรค 4.การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนด้านสุขภาพ(กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแห่งความสุข) ให้บุคลากรคงอยู่ในระบบ มีความสุข และเป็นมืออาชีพ 5.การเงินการคลัง เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ให้เกิดความยั่งยืนของระบบ6.โรงพยาบาลพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม(Green and Clean Hospital)7.การใช้ยาสมเหตุผล (Rational Drug Use:RDU)8.ระบบการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบการส่งต่อ (ECS) เน้นระบบการคัดแยกผู้ป่วยตามความเร่งด่วน 5 กลุ่ม คือ ฉุกเฉินวิกฤติ ฉุกเฉินเร่งด่วน ฉุกเฉินมาก ฉุกเฉินไม่เร่งด่วน และไม่ฉุกเฉิน 9.การพัฒนาระบบการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและภัยสุขภาพ (EOC)10.ระบบบริการผ่าตัดแบบไม่ค้างคืน เพื่อลดวันนอน ลดการรอคิว เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงาน 11.เมืองสมุนไพร ใน 13 จังหวัดนําร่อง 12.พัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้มีคุณภาพ มาตรฐานเอชเอ (Hospital Accreditation) สร้างความเชื่อมั่นประชาชน 13.พัฒนาคุณภาพหน่วยบริการปฐมภูมิ รพ.สต.ติดดาว 14.การบริหารจัดการภาครัฐ เพิ่มศักยภาพและคุณภาพหน่วยบริหาร และ15.การพัฒนาตามบริบทของเขตสุขภาพโดยมีการติดตามความคืบหน้าทุก 3, 6, 9 และ 12 เดือน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนดประชาชนผู้รับบริการพึงพอใจคุณภาพการให้บริการ
**************** 30 พฤศจิกายน2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.มอบนโยบายปีงบ 61 เร่งรัด 3 เรื่อง คือ การแพทย์ฉุกเฉินวัณโรค และการเงินการคลัง
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560
รมว.สธ.มอบนโยบายปีงบ 61 เร่งรัด 3 เรื่อง คือ การแพทย์ฉุกเฉินวัณโรค และการเงินการคลัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดการดําเนินงาน 3 เรื่องปีงบประมาณ 2561 คือ การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบส่งต่อการป้องกันควบคุมวัณโรคและแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดการดําเนินงาน 3 เรื่องปีงบประมาณ 2561 คือการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบส่งต่อการป้องกันควบคุมวัณโรคและแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
บ่ายวันนี้ (30 พฤศจิกายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงานของผู้บริหารกระทรวง (Performance Agreement:PA) ประจําปี 2561 ในระดับกระทรวงระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุขกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และระหว่างผู้บริหารในแต่ละระดับ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากส่วนกลางประกอบด้วย อธิบดีทุกกรม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขนิเทศก์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง ผู้อํานวยการสํานัก/กองในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ร่วมพิธีลงนาม 260 คน
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2561 นี้ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเน้นหนัก 3 เรื่องคือ1.การพัฒนาคุณภาพห้องฉุกเฉิน ทั้งการเพิ่มอัตรากําลังและพัฒนาทักษะบุคลากร การลดความแออัดในห้องฉุกเฉิน และการพัฒนาให้ผ่านเกณฑ์คุณภาพ 2.การป้องกันควบคุมโรควัณโรค ทั้งการค้นหาผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้ต้องขัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยเบาหวาน และแรงงานการสอบสวนโรค และการรักษาผู้ป่วยวัณโรค เพื่อตัดวงจรการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคและป้องกันเชื้อวัณโรคดื้อยา ซึ่งขณะนี้อัตราความสําเร็จของการรักษาวัณโรคของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ80ตั้งเป้าหมายให้ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 85 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดอัตราป่วยให้ต่ํากว่า10ต่อแสนประชากรภายในพ.ศ.2578ตามที่องค์การอนามัยโลกกําหนดและ3.การแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง ซึ่งปัจจุบันมี 87 แห่ง ลดอัตราหน่วยบริการที่ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินระดับ 7 ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 6
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับการสร้างสุขในหน่วยงาน ซึ่งผลการสํารวจในปีที่ผ่านมาพบว่าปัจจัยความสุขด้านการเงินของบุคลากรมีค่าน้อยที่สุด จึงได้สํารวจสภาพหนี้ของบุคลากรเพื่อเป็นข้อมูลเจรจากับธนาคารในการขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน และในระยะต่อไปจะขอสินเชื่อเรื่องรถคันใหม่หรือบ้านสวัสดิการให้แก่บุคลากร
สําหรับคํารับรองการปฏิบัติราชการ ปีงบประมาณ 2561 มี 15 ประเด็น คือ 1.คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน ในการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน 2.ระบบการแพทย์ปฐมภูมิ (PCC)3.ลดปัญหาวัณโรค 4.การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนด้านสุขภาพ(กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแห่งความสุข) ให้บุคลากรคงอยู่ในระบบ มีความสุข และเป็นมืออาชีพ 5.การเงินการคลัง เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ให้เกิดความยั่งยืนของระบบ6.โรงพยาบาลพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม(Green and Clean Hospital)7.การใช้ยาสมเหตุผล (Rational Drug Use:RDU)8.ระบบการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบการส่งต่อ (ECS) เน้นระบบการคัดแยกผู้ป่วยตามความเร่งด่วน 5 กลุ่ม คือ ฉุกเฉินวิกฤติ ฉุกเฉินเร่งด่วน ฉุกเฉินมาก ฉุกเฉินไม่เร่งด่วน และไม่ฉุกเฉิน 9.การพัฒนาระบบการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและภัยสุขภาพ (EOC)10.ระบบบริการผ่าตัดแบบไม่ค้างคืน เพื่อลดวันนอน ลดการรอคิว เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงาน 11.เมืองสมุนไพร ใน 13 จังหวัดนําร่อง 12.พัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้มีคุณภาพ มาตรฐานเอชเอ (Hospital Accreditation) สร้างความเชื่อมั่นประชาชน 13.พัฒนาคุณภาพหน่วยบริการปฐมภูมิ รพ.สต.ติดดาว 14.การบริหารจัดการภาครัฐ เพิ่มศักยภาพและคุณภาพหน่วยบริหาร และ15.การพัฒนาตามบริบทของเขตสุขภาพโดยมีการติดตามความคืบหน้าทุก 3, 6, 9 และ 12 เดือน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนดประชาชนผู้รับบริการพึงพอใจคุณภาพการให้บริการ
**************** 30 พฤศจิกายน2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8467
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชำระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด [กระทรวงการคลัง]
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชําระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด [กระทรวงการคลัง]
ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เมื่อครบกําหนดระยะเวลาพักชําระเงินต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี และมาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) เริ่มลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาลูกค้าประชาชน พร้อมบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และนําเงินส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายในด้านอื่นที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต พร้อมกับยังคงมีบ้านให้ตนเองและครอบครัวอยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) มีสถานะบัญชีปกติ ไม่อยู่ในสถานะกฎหมาย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563
มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) เมื่อครบกําหนดระยะเวลาที่พักชําระเงินต้นแล้ว สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี ซึ่งการขยายระยะเวลาจะทําให้เงินงวดรายเดือนของลูกค้าลดลงอีกด้วย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
มาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) ซึ่งลูกค้าที่มีความประสงค์จะใช้มาตรการนี้ต้องนําส่งหลักฐานให้ธนาคารผ่าน Mobile Application : GHB ALL ที่สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบให้รายได้ลดลง สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
ทั้งนี้ มาตรการที่ 2 และมาตรการที่ 3 สามารถใช้ได้ทั้งลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และลูกค้า NPL ของธนาคาร ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Mobile Application : GHB ALL ด้วยการกรอกข้อมูลและส่งหลักฐานตามที่ธนาคารกําหนด อาทิ เลขประจําตัวประชาชน และเลขที่บัญชีเงินกู้ พร้อมเลือก 1 ใน 3 มาตรการของ ธอส. ที่ประสงค์เข้าร่วม ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 โดยลูกค้าสามารถชําระเงินงวดตามยอดที่ได้รับแจ้งผ่าน Application : GHB ALL ในวันถัดไป หรือสร้าง QR CODE จาก Application : GHB ALL เพื่อนําไปสแกนชําระเงินงวดผ่าน Application ของธนาคารอื่นได้
โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ จะสามารถบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทั้ง 1.57 ล้านราย คิดเป็นกรอบวงเงินสินเชื่อรวม 1.22 ล้านล้านบาท ที่ปัจจุบันพบว่าหลายสาขาอาชีพต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งหลังจากลูกค้าเลือกมาตรการพักชําระเงินต้นตามระยะเวลาที่ต้องการแล้ว จะทําให้เงินงวดรายเดือนลดลง โดยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดตามโปรโมชั่นเดิมของลูกค้าแต่ละรายด้วย อาทิ กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท(อัตราดอกเบี้ยเดิม MRR - 0.50 = 5.775% ต่อปี) จากเดิมต้องชําระเงินงวดประมาณ 6,600 บาท/เดือน เมื่อเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่ 3 เงินงวดที่ชําระจะลดลงเหลือ 3,400 บาท/เดือน
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถดาวน์โหลด Application : GHB ALL ได้ที่ App Store หรือ Play Store และสามารถลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และwww.ghbank.co.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชำระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ บรรเทาผลกระทบให้ลูกค้า จากปัญหา COVID-19 พักชําระเงินต้น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน ลดดอกเบี้ย ลดเงินงวด [กระทรวงการคลัง]
ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เมื่อครบกําหนดระยะเวลาพักชําระเงินต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี และมาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) เริ่มลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาลูกค้าประชาชน พร้อมบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ตามแนวคิด ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธอส. จัดทํา “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าของ ธอส. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย และนําเงินส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายในด้านอื่นที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต พร้อมกับยังคงมีบ้านให้ตนเองและครอบครัวอยู่อาศัย โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) มีสถานะบัญชีปกติ ไม่อยู่ในสถานะกฎหมาย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563
มาตรการที่ 2 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (ไม่จํากัดกรอบวงเงินสินเชื่อ) เมื่อครบกําหนดระยะเวลาที่พักชําระเงินต้นแล้ว สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี ซึ่งการขยายระยะเวลาจะทําให้เงินงวดรายเดือนของลูกค้าลดลงอีกด้วย สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
มาตรการที่ 3 พักชําระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน (กรอบวงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท) ซึ่งลูกค้าที่มีความประสงค์จะใช้มาตรการนี้ต้องนําส่งหลักฐานให้ธนาคารผ่าน Mobile Application : GHB ALL ที่สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบให้รายได้ลดลง สามารถลงทะเบียนได้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2563
ทั้งนี้ มาตรการที่ 2 และมาตรการที่ 3 สามารถใช้ได้ทั้งลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และลูกค้า NPL ของธนาคาร ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Mobile Application : GHB ALL ด้วยการกรอกข้อมูลและส่งหลักฐานตามที่ธนาคารกําหนด อาทิ เลขประจําตัวประชาชน และเลขที่บัญชีเงินกู้ พร้อมเลือก 1 ใน 3 มาตรการของ ธอส. ที่ประสงค์เข้าร่วม ได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 โดยลูกค้าสามารถชําระเงินงวดตามยอดที่ได้รับแจ้งผ่าน Application : GHB ALL ในวันถัดไป หรือสร้าง QR CODE จาก Application : GHB ALL เพื่อนําไปสแกนชําระเงินงวดผ่าน Application ของธนาคารอื่นได้
โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ จะสามารถบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทั้ง 1.57 ล้านราย คิดเป็นกรอบวงเงินสินเชื่อรวม 1.22 ล้านล้านบาท ที่ปัจจุบันพบว่าหลายสาขาอาชีพต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งหลังจากลูกค้าเลือกมาตรการพักชําระเงินต้นตามระยะเวลาที่ต้องการแล้ว จะทําให้เงินงวดรายเดือนลดลง โดยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดตามโปรโมชั่นเดิมของลูกค้าแต่ละรายด้วย อาทิ กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท(อัตราดอกเบี้ยเดิม MRR - 0.50 = 5.775% ต่อปี) จากเดิมต้องชําระเงินงวดประมาณ 6,600 บาท/เดือน เมื่อเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่ 3 เงินงวดที่ชําระจะลดลงเหลือ 3,400 บาท/เดือน
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถดาวน์โหลด Application : GHB ALL ได้ที่ App Store หรือ Play Store และสามารถลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และwww.ghbank.co.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27980
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเน้นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ
นายกรัฐมนตรีเน้นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2563) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก พร้อมนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อเดินหน้าโครงการต่อไป
ที่ประชุม รับทราบโครงการพัฒนา “เมืองการบินภาคตะวันออก” ในพื้นที่ 6,500 ไร่ บริเวณสนามบินอู่ตะเภา ประกอบด้วย 6 กิจกรรมสําคัญ ได้แก่ 1) อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 (Passenger Terminal Building 3) 2) ศูนย์ธุรกิจการค้าและการขนส่งภาคพื้นดิน (Commercial Gateway and Ground Transportation Centre) 3) ศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul) 4) เขตประกอบการค้าเสรี และเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Cargo Village or Free Trade Zone) 5) ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ (Cargo Complex) และ 6) ศูนย์ฝึกอบรมการบิน (Aviation Training Centre) โดยมีเงินลงทุนรวมประมาณ 290,000 ล้านบาท พบว่า จะทําให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม 15,600 ตําแหน่งต่อปี ในระยะ 5 ปีแรก รวมทั้งเพิ่มเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะแรงงานด้านธุรกิจการบิน และธุรกิจเชื่อมโยง โดยเมื่อสิ้นสุดสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของรัฐ
“เมืองการบินภาคตะวันออก” จะทําหน้าที่สําคัญ 3 ด้าน คือ เป็น “สนามบินกรุงเทพฯ แห่งที่ 3” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง เป็นศูนย์กลางการพัฒนา “ศูนย์กลางอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” ของ EEC และเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” เชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทางตะวันออกด้วยทางบก ทางราง รถไฟและรถไฟความเร็วสูง และทางอากาศ สนามบิน
ทั้งนี้ นายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผย นายกรัฐมนตรีได้ย้ําในที่ประชุม เน้น“โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ภาคตะวันออก” และ “โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” จะต้องเดินหน้าสอดคล้อง เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อตัวโครงการและการพัฒนาประเทศด้วย
----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเน้นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ
นายกรัฐมนตรีเน้นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของโครงการ
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2563) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก พร้อมนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อเดินหน้าโครงการต่อไป
ที่ประชุม รับทราบโครงการพัฒนา “เมืองการบินภาคตะวันออก” ในพื้นที่ 6,500 ไร่ บริเวณสนามบินอู่ตะเภา ประกอบด้วย 6 กิจกรรมสําคัญ ได้แก่ 1) อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 (Passenger Terminal Building 3) 2) ศูนย์ธุรกิจการค้าและการขนส่งภาคพื้นดิน (Commercial Gateway and Ground Transportation Centre) 3) ศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul) 4) เขตประกอบการค้าเสรี และเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Cargo Village or Free Trade Zone) 5) ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ (Cargo Complex) และ 6) ศูนย์ฝึกอบรมการบิน (Aviation Training Centre) โดยมีเงินลงทุนรวมประมาณ 290,000 ล้านบาท พบว่า จะทําให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม 15,600 ตําแหน่งต่อปี ในระยะ 5 ปีแรก รวมทั้งเพิ่มเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะแรงงานด้านธุรกิจการบิน และธุรกิจเชื่อมโยง โดยเมื่อสิ้นสุดสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของรัฐ
“เมืองการบินภาคตะวันออก” จะทําหน้าที่สําคัญ 3 ด้าน คือ เป็น “สนามบินกรุงเทพฯ แห่งที่ 3” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง เป็นศูนย์กลางการพัฒนา “ศูนย์กลางอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” ของ EEC และเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” เชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปทางตะวันออกด้วยทางบก ทางราง รถไฟและรถไฟความเร็วสูง และทางอากาศ สนามบิน
ทั้งนี้ นายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผย นายกรัฐมนตรีได้ย้ําในที่ประชุม เน้น“โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ภาคตะวันออก” และ “โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” จะต้องเดินหน้าสอดคล้อง เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อตัวโครงการและการพัฒนาประเทศด้วย
----------------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31217
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตฯ เปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล
|
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตฯ เปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล
รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตฯ เปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล
วันที่ 5 ตุลาคม 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล โดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมในพิธี ณ โรงแรม ไมด้า ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ
นายสมชาย กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมและผลักดันสินค้าอุตสาหกรรมชุมชนให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยผสมผสานการออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์และเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นลงไป เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สินค้าในแต่ละชุมชน ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาในระดับท้องถิ่น สร้างความเข็มแข็งต่อเศรษฐกิจฐานรากและสนับสนุนการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งผลิตสินค้า ดึงเม็ดเงินจากภายนอกสู่ชุมชนอย่างยั่งยืนและชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ในพื้นที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตฯ เปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตฯ เปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล
รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตฯ เปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล
วันที่ 5 ตุลาคม 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสร้างสรรค์อัตลักษณ์สินค้าอุตสาหกรรมชุมชนสู่สากล โดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมในพิธี ณ โรงแรม ไมด้า ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ
นายสมชาย กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมและผลักดันสินค้าอุตสาหกรรมชุมชนให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยผสมผสานการออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์และเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นลงไป เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สินค้าในแต่ละชุมชน ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาในระดับท้องถิ่น สร้างความเข็มแข็งต่อเศรษฐกิจฐานรากและสนับสนุนการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งผลิตสินค้า ดึงเม็ดเงินจากภายนอกสู่ชุมชนอย่างยั่งยืนและชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ในพื้นที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15913
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลื่อนสอบ GAT/PAT เป็น 16-19 ก.พ.62 หลบเลือกตั้ง
|
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
เลื่อนสอบ GAT/PAT เป็น 16-19 ก.พ.62 หลบเลือกตั้ง
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาผ่านระบบกลาง (Thai University Central Admission System: TCAS) ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและ รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาผ่านระบบกลาง(ThaiUniversity Central Admission System: TCAS) ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) นําโดย ศาสตราจารย์สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ประธาน ทปอ. รวมทั้ง รศ.นพ.ดร.ชัยเลิศ พิชิตพรชัย ประธานคณะอนุกรรมการระบบสารสนเทศ TCAS62 และคณะ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สกอ. โดยมี 2 ประเด็นสําคัญ ดังนี้
1.มีมติเลื่อนการสอบGAT/PATเร็วขึ้นจากเดิม 1 สัปดาห์ เป็นวันที่16-19 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการจัดทดสอบวัดความถนัดทางทั่วไป (GAT) และการทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ (PAT) ซึ่งตรงกับช่วงของการเลือกตั้ง เห็นว่าควรเลื่อนการสอบเพื่อเลี่ยงช่วงเวลาดังกล่าว จึงมีมติเลื่อนการจัดสอบ GAT/PAT จากเดิมกําหนดสอบในวันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2562เลื่อนเร็วขึ้น 1 สัปดาห์เป็นวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2562พร้อมทั้งมอบให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งไปยังโรงเรียนให้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรและสอบภาคปลายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่ง สพฐ.ได้ยืนยันว่า สามารถบริหารจัดการให้เป็นไปตามกําหนดเวลาได้ ส่วนปฏิทินการสอบวิชาสามัญ 9 วิชา หรืออื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามกําหนดการเดิม
ที่ประชุมเห็นว่าการเลื่อนสอบเร็วขึ้นทําให้เด็กช่วยลดความเครียด แต่หากเลื่อนช้าออกไป อาจกระทบกับการสอบ TCAS62 ได้
2.ให้โรงเรียนทุกสังกัดส่งระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1) ให้ ทปอ. ภายใน 16 พ.ย.61
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมหารือถึงการดําเนินงาน TCAS ที่ผ่านมา พบปัญหาการส่งระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1) ให้ ทปอ. ล่าช้า ทําให้การประมวลผลข้อมูลล่าช้าไปด้วย และในปีนี้ยังพบว่ามีโรงเรียนที่ยังไม่ส่งข้อมูลอีกกว่า 1,300 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 300 แห่ง และโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ อีกกว่า 1,000 แห่ง
ในส่วนของ สพฐ.ได้สั่งการให้ประสานไปยังผู้อํานวยการโรงเรียนทั้ง 300 แห่ง เพื่อจัดส่ง ปพ.1 ให้กับ ทปอ. ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ทันภายในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561พร้อมกําชับให้ถือเป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด และแนะนําให้นึกถึงเด็กเป็นที่ตั้ง ไม่ให้เกิดความกังวลใจและได้รับความเดือดร้อนอีก
ทั้งนี้ หากผู้อํานวยการโรงเรียนไม่ส่งข้อมูลตามเวลาที่กําหนด ถือเป็นการผิดวินัย โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป ส่วนโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ ได้มอบสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) ประสานไปยังโรงเรียนเพื่อให้จัดส่งข้อมูลภายในกําหนดด้วย
Writtenbyนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลื่อนสอบ GAT/PAT เป็น 16-19 ก.พ.62 หลบเลือกตั้ง
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
เลื่อนสอบ GAT/PAT เป็น 16-19 ก.พ.62 หลบเลือกตั้ง
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาผ่านระบบกลาง (Thai University Central Admission System: TCAS) ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและ รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาผ่านระบบกลาง(ThaiUniversity Central Admission System: TCAS) ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) นําโดย ศาสตราจารย์สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ประธาน ทปอ. รวมทั้ง รศ.นพ.ดร.ชัยเลิศ พิชิตพรชัย ประธานคณะอนุกรรมการระบบสารสนเทศ TCAS62 และคณะ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สกอ. โดยมี 2 ประเด็นสําคัญ ดังนี้
1.มีมติเลื่อนการสอบGAT/PATเร็วขึ้นจากเดิม 1 สัปดาห์ เป็นวันที่16-19 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการจัดทดสอบวัดความถนัดทางทั่วไป (GAT) และการทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ (PAT) ซึ่งตรงกับช่วงของการเลือกตั้ง เห็นว่าควรเลื่อนการสอบเพื่อเลี่ยงช่วงเวลาดังกล่าว จึงมีมติเลื่อนการจัดสอบ GAT/PAT จากเดิมกําหนดสอบในวันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2562เลื่อนเร็วขึ้น 1 สัปดาห์เป็นวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2562พร้อมทั้งมอบให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งไปยังโรงเรียนให้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรและสอบภาคปลายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่ง สพฐ.ได้ยืนยันว่า สามารถบริหารจัดการให้เป็นไปตามกําหนดเวลาได้ ส่วนปฏิทินการสอบวิชาสามัญ 9 วิชา หรืออื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามกําหนดการเดิม
ที่ประชุมเห็นว่าการเลื่อนสอบเร็วขึ้นทําให้เด็กช่วยลดความเครียด แต่หากเลื่อนช้าออกไป อาจกระทบกับการสอบ TCAS62 ได้
2.ให้โรงเรียนทุกสังกัดส่งระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1) ให้ ทปอ. ภายใน 16 พ.ย.61
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมหารือถึงการดําเนินงาน TCAS ที่ผ่านมา พบปัญหาการส่งระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1) ให้ ทปอ. ล่าช้า ทําให้การประมวลผลข้อมูลล่าช้าไปด้วย และในปีนี้ยังพบว่ามีโรงเรียนที่ยังไม่ส่งข้อมูลอีกกว่า 1,300 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 300 แห่ง และโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ อีกกว่า 1,000 แห่ง
ในส่วนของ สพฐ.ได้สั่งการให้ประสานไปยังผู้อํานวยการโรงเรียนทั้ง 300 แห่ง เพื่อจัดส่ง ปพ.1 ให้กับ ทปอ. ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ทันภายในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561พร้อมกําชับให้ถือเป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด และแนะนําให้นึกถึงเด็กเป็นที่ตั้ง ไม่ให้เกิดความกังวลใจและได้รับความเดือดร้อนอีก
ทั้งนี้ หากผู้อํานวยการโรงเรียนไม่ส่งข้อมูลตามเวลาที่กําหนด ถือเป็นการผิดวินัย โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป ส่วนโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ ได้มอบสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) ประสานไปยังโรงเรียนเพื่อให้จัดส่งข้อมูลภายในกําหนดด้วย
Writtenbyนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16554
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม ก.พ.อ. 2/2561
|
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
ผลประชุม ก.พ.อ. 2/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 2/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สกอ. โดยมีสาระสําคัญสรุปดังนี้
● การกําหนดชื่อสาขาวิชา สําหรับการเสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการฯ
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง การกําหนดชื่อสาขาวิชาสําหรับการเสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการและการเทียบเคียงสาขาวิชาที่เคยกําหนดไปแล้ว ตลอดจนบัญชีรายชื่อกลุ่มสาขาวิชา ตามที่คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาและกําหนดแนวทางการดําเนินการพิจารณากําหนดตําแหน่งทางวิชาการเสนอเพื่อประโยชน์ของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการ และเป็นแนวทางให้สถาบันอุดมศึกษาใช้ในการกําหนดสาขาวิชาของผู้ดํารงตําแหน่งทางวิชาการ รวมทั้งการคัดสรรผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินผลงานทางวิชาการด้วย
โดยมีเกณฑ์การกําหนดสาขาวิชาในตําแหน่งทางวิชาการคือ มีความสอดคล้องกับสาขาวิชาในสากลและนํามาประยุกต์ใช้กับระบบสถาบันอุดมศึกษาของไทย โดยให้น้ําหนักกับการกําหนดกลุ่มสาขาวิชาที่สะท้อนวิชาชีพชั้นสูงพร้อมจัดหมวดหมู่เป็น "กลุ่มสาขาวิชา" และเพิ่มอนุสาขาวิชา (Sub-Discipline)ในแต่ละสาขาวิชาตามฐานการวิจัยและการเรียนการสอนในระบบอุดมศึกษา โดยจัดให้มีการทบทวนสาขาวิชาและอนุสาขาวิชาอย่างเป็นระบบทุก 3-5 ปี
ทั้งนี้ ให้มีการระบุสาขาวิชาสําหรับการเสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการฯ ตามประกาศนี้แต่หากประสงค์จะขอกําหนดวิชาเพิ่มเติม ให้เสนอขอความเห็นชอบจาก ก.พ.อ. ก่อน ส่วนกรณีพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา ขอความร่วมมือให้มีการผูกพันและปฏิบัติตามเกณฑ์นี้ด้วย และกรณีผู้ดํารงตําแหน่งทางวิชาการในปัจจุบัน โดยที่ยังไม่ระบุสาขาวิชา หรือระบุสาขาที่แตกต่างจากประกาศ หรือระบุสาขาวิชาที่ไม่สะท้อนความเชี่ยวชาญอาจขอระยะเวลาผ่อนผันให้สภาสถาบันอุดมศึกษากําหนดสาขาวิชาใหม่ได้ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการกําหนดชื่อสาขาวิชาสําหรับการเสนอขอตําแหน่งทางวิชาการที่เป็นระบบชัดเจน เป็นเพียงการอ้างอิงสาขาวิชาที่จําแนกตาม ISCED (International Standard Classification of Education) อย่างกว้าง ๆ เท่านั้น ทําให้มีสาขาวิชาที่แตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย ประกอบกับปัจจุบันมีการผนวกรวมบางสาขาวิชาที่มีอยู่เดิม การเติบโตของอนุสาขาวิชาขึ้นเป็นสาขาวิชา รวมทั้งเกิดสาขาวิชาใหม่ ๆ จํานวนมาก จึงมอบให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ฯ ศึกษาและกําหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง การกําหนดสาขาวิชา โดยยึดหลักการจําแนกหลักการ ISCED และให้สอดคล้องกับสาขาวิชาที่มีอยู่ เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษานําไปใช้เป็นแนวทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
● แต่งตั้งศาสตราจารย์ 4 ราย และศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 2 ราย
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ จํานวน 4 ราย และศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 2 ราย ดังนี้
- รศ.บุญไชย สถิตมั่นในธรรมให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ โดยวิธีที่ 2 ในสาขาวิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- รศ.กีรติ เจริญชลวานิชให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- รศ.ทรงพล กาญจนชูชัยให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- รศ.วัชรี สวามิวัศดุ์ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
- ศ.ณัฐนันท์ สินชัยพานิชให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง ในสาขาวิชาเภสัชอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล
- ศ.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุลให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง ในสาขาวิชาเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
● ผลการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการ
ที่ประชุมรับทราบ สรุปผลการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ก.พ.อ.ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวนทั้งสิ้น 33 รายประกอบด้วยตําแหน่งศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 5 ราย ตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ จํานวน 28 ราย
● (ร่าง) แผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม ระยะ 20 ปี
ที่ประชุมรับทราบ (ร่าง) แผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2575) เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมให้มีความสามารถทัดเทียมนานาประเทศ เพื่อพัฒนาแรงงานให้มีทักษะสูง และสร้างระบบผลิตนักเรียนนักศึกษาที่มีคุณภาพป้อนสู่อาชีพบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมโดยประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลักคือ
1) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมด้วยบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมระดับหัวรถจักร
2) พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีรองรับการผลิต บริการ สังคม และชุมชน ด้วยบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมคุณภาพสูง
3) เตรียมความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ในอนาคต ด้วยการขยายฐานบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
More Photosfacebook ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม ก.พ.อ. 2/2561
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
ผลประชุม ก.พ.อ. 2/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 2/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สกอ. โดยมีสาระสําคัญสรุปดังนี้
● การกําหนดชื่อสาขาวิชา สําหรับการเสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการฯ
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง การกําหนดชื่อสาขาวิชาสําหรับการเสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการและการเทียบเคียงสาขาวิชาที่เคยกําหนดไปแล้ว ตลอดจนบัญชีรายชื่อกลุ่มสาขาวิชา ตามที่คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาและกําหนดแนวทางการดําเนินการพิจารณากําหนดตําแหน่งทางวิชาการเสนอเพื่อประโยชน์ของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการ และเป็นแนวทางให้สถาบันอุดมศึกษาใช้ในการกําหนดสาขาวิชาของผู้ดํารงตําแหน่งทางวิชาการ รวมทั้งการคัดสรรผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินผลงานทางวิชาการด้วย
โดยมีเกณฑ์การกําหนดสาขาวิชาในตําแหน่งทางวิชาการคือ มีความสอดคล้องกับสาขาวิชาในสากลและนํามาประยุกต์ใช้กับระบบสถาบันอุดมศึกษาของไทย โดยให้น้ําหนักกับการกําหนดกลุ่มสาขาวิชาที่สะท้อนวิชาชีพชั้นสูงพร้อมจัดหมวดหมู่เป็น "กลุ่มสาขาวิชา" และเพิ่มอนุสาขาวิชา (Sub-Discipline)ในแต่ละสาขาวิชาตามฐานการวิจัยและการเรียนการสอนในระบบอุดมศึกษา โดยจัดให้มีการทบทวนสาขาวิชาและอนุสาขาวิชาอย่างเป็นระบบทุก 3-5 ปี
ทั้งนี้ ให้มีการระบุสาขาวิชาสําหรับการเสนอขอกําหนดตําแหน่งทางวิชาการฯ ตามประกาศนี้แต่หากประสงค์จะขอกําหนดวิชาเพิ่มเติม ให้เสนอขอความเห็นชอบจาก ก.พ.อ. ก่อน ส่วนกรณีพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา ขอความร่วมมือให้มีการผูกพันและปฏิบัติตามเกณฑ์นี้ด้วย และกรณีผู้ดํารงตําแหน่งทางวิชาการในปัจจุบัน โดยที่ยังไม่ระบุสาขาวิชา หรือระบุสาขาที่แตกต่างจากประกาศ หรือระบุสาขาวิชาที่ไม่สะท้อนความเชี่ยวชาญอาจขอระยะเวลาผ่อนผันให้สภาสถาบันอุดมศึกษากําหนดสาขาวิชาใหม่ได้ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการกําหนดชื่อสาขาวิชาสําหรับการเสนอขอตําแหน่งทางวิชาการที่เป็นระบบชัดเจน เป็นเพียงการอ้างอิงสาขาวิชาที่จําแนกตาม ISCED (International Standard Classification of Education) อย่างกว้าง ๆ เท่านั้น ทําให้มีสาขาวิชาที่แตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย ประกอบกับปัจจุบันมีการผนวกรวมบางสาขาวิชาที่มีอยู่เดิม การเติบโตของอนุสาขาวิชาขึ้นเป็นสาขาวิชา รวมทั้งเกิดสาขาวิชาใหม่ ๆ จํานวนมาก จึงมอบให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ฯ ศึกษาและกําหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง การกําหนดสาขาวิชา โดยยึดหลักการจําแนกหลักการ ISCED และให้สอดคล้องกับสาขาวิชาที่มีอยู่ เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษานําไปใช้เป็นแนวทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
● แต่งตั้งศาสตราจารย์ 4 ราย และศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 2 ราย
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ จํานวน 4 ราย และศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 2 ราย ดังนี้
- รศ.บุญไชย สถิตมั่นในธรรมให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ โดยวิธีที่ 2 ในสาขาวิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- รศ.กีรติ เจริญชลวานิชให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- รศ.ทรงพล กาญจนชูชัยให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- รศ.วัชรี สวามิวัศดุ์ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
- ศ.ณัฐนันท์ สินชัยพานิชให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง ในสาขาวิชาเภสัชอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล
- ศ.วัชรินทร์ รุกขไชยศิริกุลให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ได้รับเงินเดือนขั้นสูง ในสาขาวิชาเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
● ผลการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการ
ที่ประชุมรับทราบ สรุปผลการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ก.พ.อ.ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวนทั้งสิ้น 33 รายประกอบด้วยตําแหน่งศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 5 ราย ตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ จํานวน 28 ราย
● (ร่าง) แผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม ระยะ 20 ปี
ที่ประชุมรับทราบ (ร่าง) แผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2575) เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมให้มีความสามารถทัดเทียมนานาประเทศ เพื่อพัฒนาแรงงานให้มีทักษะสูง และสร้างระบบผลิตนักเรียนนักศึกษาที่มีคุณภาพป้อนสู่อาชีพบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมโดยประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลักคือ
1) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมด้วยบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมระดับหัวรถจักร
2) พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีรองรับการผลิต บริการ สังคม และชุมชน ด้วยบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมคุณภาพสูง
3) เตรียมความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ในอนาคต ด้วยการขยายฐานบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
More Photosfacebook ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10460
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชี้แจงกรณีผู้สูงอายุและคนพิการ ที่เทศบาลตำบลน้ำก่ำ จ.นครพนม รวมตัวร้องเรียนยังไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ นาน 2 เดือน
|
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
พม. ชี้แจงกรณีผู้สูงอายุและคนพิการ ที่เทศบาลตําบลน้ําก่ํา จ.นครพนม รวมตัวร้องเรียนยังไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ นาน 2 เดือน
พม. ชี้แจงกรณีผู้สูงอายุและคนพิการ ที่เทศบาลตําบลน้ําก่ํา จ.นครพนม รวมตัวร้องเรียนยังไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ นาน 2 เดือน
วันที่ 4 พ.ย. 60นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีมีการนําเสนอข่าว ที่วัดบ้านทู้สระพังทอง หมู่ 6 ตําบลน้ําก่ํา อําเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีผู้สูงอายุในตําบลน้ําก่ํา จํานวน 4 หมู่บ้าน และคนพิการกว่า 50 คน เดินทางมาชุมนุมร้องเรียน กรณียังไม่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินคนพิการจากเทศบาลตําบลน้ําก่ํา นานถึง 2 เดือน นั้น ทั้งนี้ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มีความห่วงใยถึงปัญหาดังกล่าว และได้สั่งการให้กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม (สนง.พมจ.นครพนม) เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น มีการแจ้งการจัดสรรเงินงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการให้กับเทศบาลตําบลน้ําก่ําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากเงินเบี้ยยังชีพยังไม่เข้าบัญชีของเทศบาลตําบลน้ําก่ํา ซึ่งคาดว่าภายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 เงินจะโอนเข้าระบบเป็นที่เรียบร้อย แล้วจะรีบดําเนินแจกจ่ายให้กับผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดนครพนม เร่งลงพื้นที่เพื่อทําความเข้าใจกับผู้สูงอายุและคนพิการ ติดตามการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพของเทศบาลตําบลน้ําก่ํา พร้อมทั้งวางแผนจัดกระบวนงานขั้นตอนการทํางานที่ชัดเจน ร่วมกับเทศบาลตําบลน้ําก่ํา เพื่อให้การดําเนินการจ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิ์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพรวมทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชี้แจงกรณีผู้สูงอายุและคนพิการ ที่เทศบาลตำบลน้ำก่ำ จ.นครพนม รวมตัวร้องเรียนยังไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ นาน 2 เดือน
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
พม. ชี้แจงกรณีผู้สูงอายุและคนพิการ ที่เทศบาลตําบลน้ําก่ํา จ.นครพนม รวมตัวร้องเรียนยังไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ นาน 2 เดือน
พม. ชี้แจงกรณีผู้สูงอายุและคนพิการ ที่เทศบาลตําบลน้ําก่ํา จ.นครพนม รวมตัวร้องเรียนยังไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ นาน 2 เดือน
วันที่ 4 พ.ย. 60นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีมีการนําเสนอข่าว ที่วัดบ้านทู้สระพังทอง หมู่ 6 ตําบลน้ําก่ํา อําเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีผู้สูงอายุในตําบลน้ําก่ํา จํานวน 4 หมู่บ้าน และคนพิการกว่า 50 คน เดินทางมาชุมนุมร้องเรียน กรณียังไม่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินคนพิการจากเทศบาลตําบลน้ําก่ํา นานถึง 2 เดือน นั้น ทั้งนี้ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มีความห่วงใยถึงปัญหาดังกล่าว และได้สั่งการให้กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม (สนง.พมจ.นครพนม) เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น มีการแจ้งการจัดสรรเงินงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการให้กับเทศบาลตําบลน้ําก่ําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากเงินเบี้ยยังชีพยังไม่เข้าบัญชีของเทศบาลตําบลน้ําก่ํา ซึ่งคาดว่าภายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 เงินจะโอนเข้าระบบเป็นที่เรียบร้อย แล้วจะรีบดําเนินแจกจ่ายให้กับผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดนครพนม เร่งลงพื้นที่เพื่อทําความเข้าใจกับผู้สูงอายุและคนพิการ ติดตามการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพของเทศบาลตําบลน้ําก่ํา พร้อมทั้งวางแผนจัดกระบวนงานขั้นตอนการทํางานที่ชัดเจน ร่วมกับเทศบาลตําบลน้ําก่ํา เพื่อให้การดําเนินการจ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิ์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพรวมทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7838
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุก์ขอความเป็นธรรมจากประชาชน
|
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุก์ขอความเป็นธรรมจากประชาชน
พันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องทํางานกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯพันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมได้รับเรื่องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน ดังนี้
๑.นายทิพย์ ศิลปเทพ ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีถูกคุกคามจากอดีตภรรยา ให้ตกลงค่าใช้จ่ายและทรัพย์สินทางแพ่ง
๒.นายสุวิทย์ อากาศโชติ ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีถูกศาลตัดสินจําคุก ๑๕ ปี ๖ เดือน ข้อหาปล้นทรัพย์ และมีความผิดต่อเจ้าพนักงาน เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ในพื้นที่อําเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎธานี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุก์ขอความเป็นธรรมจากประชาชน
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุก์ขอความเป็นธรรมจากประชาชน
พันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องทํางานกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯพันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมได้รับเรื่องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน ดังนี้
๑.นายทิพย์ ศิลปเทพ ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีถูกคุกคามจากอดีตภรรยา ให้ตกลงค่าใช้จ่ายและทรัพย์สินทางแพ่ง
๒.นายสุวิทย์ อากาศโชติ ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณีถูกศาลตัดสินจําคุก ๑๕ ปี ๖ เดือน ข้อหาปล้นทรัพย์ และมีความผิดต่อเจ้าพนักงาน เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ในพื้นที่อําเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎธานี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/780
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"Save Food Save the World" ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือลดขยะอาหาร ในสายการบิน
|
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
"Save Food Save the World" ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือลดขยะอาหาร ในสายการบิน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการบริหารจัดการห่วงโซ่อาหารเพื่อลดการสูญเสียด้านทรัพยากร (Food Waste Manageme
"Save Food Save the World"ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือลดขยะอาหาร ในสายการบิน
วันนี้ (22 ม.ค. 63) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการบริหารจัดการห่วงโซ่อาหารเพื่อลดการสูญเสียด้านทรัพยากร (Food Waste Management) ระหว่างบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จํากัด กับ Food Innopolis สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านมลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะอาหารณ สํานักงานใหญ่ การบินไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะที่เกิดจากอาหารเป็นจํานวนมาก ซึ่งหากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้องจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดก๊าชเรือนกระจก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น การลงนามในวันนี้นับเป็นก้าวที่สําคัญสําหรับอุตสาหกรรมการบิน ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะอาหาร โดยขอชื่นชมและขอบคุณ Food Innopolis สวทช. ที่จะทําหน้าที่ดูแล ให้คําแนะนําและดําเนินการศึกษาร่วมกับสายการบิน เพื่อยกระดับการบริหารจัดการด้านการผลิตอาหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า นําไปสู่ความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างสมดุลและยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"Save Food Save the World" ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือลดขยะอาหาร ในสายการบิน
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
"Save Food Save the World" ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือลดขยะอาหาร ในสายการบิน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการบริหารจัดการห่วงโซ่อาหารเพื่อลดการสูญเสียด้านทรัพยากร (Food Waste Manageme
"Save Food Save the World"ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือลดขยะอาหาร ในสายการบิน
วันนี้ (22 ม.ค. 63) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการบริหารจัดการห่วงโซ่อาหารเพื่อลดการสูญเสียด้านทรัพยากร (Food Waste Management) ระหว่างบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จํากัด กับ Food Innopolis สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านมลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะอาหารณ สํานักงานใหญ่ การบินไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะที่เกิดจากอาหารเป็นจํานวนมาก ซึ่งหากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้องจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดก๊าชเรือนกระจก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น การลงนามในวันนี้นับเป็นก้าวที่สําคัญสําหรับอุตสาหกรรมการบิน ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะอาหาร โดยขอชื่นชมและขอบคุณ Food Innopolis สวทช. ที่จะทําหน้าที่ดูแล ให้คําแนะนําและดําเนินการศึกษาร่วมกับสายการบิน เพื่อยกระดับการบริหารจัดการด้านการผลิตอาหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า นําไปสู่ความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างสมดุลและยั่งยืนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25976
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0
|
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0
นายกรัฐมนตรีย้ําทุกหน่วยงานสร้างการรับรู้ให้สังคมเกิดความเข้าใจถึงความจําเป็นในการปฏิรูปประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนด Thailand 4.0
วันนี้ (30 เม.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวก่อนการประชุมว่าฯ รัฐบาลได้มีการประกาศการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 ในเวทีโลกและอาเซียนให้ประชาคมโลกและชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับแนวทางในการที่จะปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ทันสมัย แต่การจะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้สามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสามารถดํารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐจะต้องเร่งดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งในเรื่องของระเบียบ วิธีการปฏิบัติ การสร้างจิตสํานึกข้าราชการ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทํางาน การแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยให้เป็นปัจจุบันและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ทั้งนี้ การดําเนินในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะการปฏิรูปตามนโยบายรัฐบาล ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและสังคมได้รับทราบถึงความจําเป็นที่ต้องดําเนินการและประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับ รวมไปถึงการปลูกจิตสํานึกในเรื่องของการเคารพกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนเกิดความตระหนักและเข้าใจ อันจะส่งผลให้ประชาชนทุกฝ่ายให้ความร่วมมือต่อการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนด Thailand 4.0
สําหรับผลประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 ประกอบด้วย 1. ประเด็นการปฏิรูประบบราชการ ได้แก่ 1) การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ (Service Reform) มีความก้าวหน้าใน 4 เรื่อง ได้แก่ (1) การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ลดคําขอค้างทั้งด้านยาและอาหาร ที่ยื่นก่อน 7 สิงหาคม 2560 กว่า 8,000 คําขอ ได้หมดภายใน 6 เดือน และลดขั้นตอนการพิจารณาอนุญาตทําให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 (2) การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ลดคําขอค้างสะสมสิทธิบัตรการประดิษฐ์อย่างต่อเนื่อง โดยผลสําเร็จทําได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 14 (3) การจดทะเบียนที่ดินของกรมที่ดิน สํานักงานที่ดินลดระยะเวลาดําเนินการรังวัดได้ตามเป้าหมาย เฉลี่ยระยะเวลารอคิว 45 วัน และพัฒนาการให้บริการข้อมูลที่ดินผ่านเว็บไซต์ของกรมที่ดิน และ Mobile Application LandsMaps ค้นหาได้จากสถานที่สําคัญผ่านระบบของ Google และ (4) การนําเข้าและส่งออกของกรมศุลกากร ได้เชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ Single Form (B2G) สําหรับสินค้าวัตถุอันตราย ใช้งานแล้ว 6 หน่วยงาน อีก 2 หน่วยงานจะเริ่มใช้ภายในเดือนกันยายน 2561
2) การพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่ (Sandbox) มีความก้าวหน้าในการพัฒนา 3 เรื่อง ได้แก่ (1) การแก้ไขพื้นที่ป่าและการใช้ประโยชน์พื้นที่จังหวัดน่านและกลไกการบริหารจัดการ โดยจะขอคืนพื้นที่ร้อยละ 18 จากพื้นที่ป่าทั้งหมด และอีกร้อยละ10 ที่เหลือให้ประชาชนสามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยพื้นที่ยังเป็นป่าของรัฐ คาดการณ์ว่าภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์และส่งเสริมการเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (2) Public School หรือโรงเรียนร่วมพัฒนา ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ 40 โรงเรียน โดยมีผู้สนับสนุนจากภาคเอกชน จะเริ่มดําเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 และ (3) หน่วยงานราชการ 4.0 ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมบังคับคดี และสํานักงาน ก.พ.ร. ได้รับการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ และกฎ ระเบียบการบริหารทรัพยากรบุคคลในหน่วยงานนําร่อง 4 หน่วยงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการพัฒนาองค์การรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 และดําเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตกลงไว้
3) การเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในเดือนพฤษภาคม 2561 จะระบุตําแหน่งจุดให้บริการประชาชนประมาณ 40,000 จุดบริการ ตามคู่มือสําหรับประชาชนใน info.go.th ในเดือนสิงหาคม จะยกเลิกสําเนาบัตรประชาชน สําเนาทะเบียนบ้านจากหน่วยงานผู้ให้บริการ พร้อมเปิดใช้ Application บอกข้อมูลบริการ จากนั้นในเดือนตุลาคม เริ่มยกเลิกสําเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล และในเดือนมกราคม 2562 เปิดใช้ระบบ Citizen Feedback ให้ประชาชนประเมินความพึงพอใจ
ในการใช้บริการ แสดงความคิดเห็นและข้อร้องเรียน
นอกจากนี้ ประเด็นการปฏิรูปกฎหมาย ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการเร่งรัดการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดําเนินธุรกิจของประชาชน จํานวน 10 คณะ และได้พิจารณากฎหมาย 27 เรื่อง เช่น ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ....ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพคนขับรถรับจ้างสาธารณะและผู้ค้าหาบเร่แผงลอย เป็นต้น
และ 2. ประเด็นการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ได้ดําเนินการสร้างกระบวนทัศน์และหลักคิดสําหรับคนไทย 5 ด้าน คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ และประกาศเจตนารมณ์พันธะสัญญาร่วมกันขององค์กรภาคีเครือข่ายมาแล้ว 275 เครือข่าย
สําหรับงานใหม่ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐเพิ่มเติม 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ธุรกิจพาณิชยนาวีได้พัฒนาการให้บริการแบบ One Stop Service ด้านแรงงานทางทะเลที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลการอนุมัติอนุญาตเกี่ยวกับแรงงานทางทะเล การพัฒนาระบบ e-Service รองรับงานบริการ รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการมอบอํานาจให้สถาบันตรวจเรือและความถี่ในการชําระเงิน และการจัดทําหลักสูตรกลางด้านพาณิชยนาวีให้กับสถาบันการศึกษา 2) ใบอนุญาตด้านการเกษตร มุ่งปรับปรุงกระบวนการควบคุมการอนุญาตการครอบครองสารเคมีเพื่อนํามาใช้คลุกเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อป้องกันกําจัดศัตรูพืช สร้าง Application ตรวจสอบข้อมูลขึ้นทะเบียน และแจ้งเตือนการต่ออายุใบสําคัญฯ และ 3) การบริหารจัดการคิวโรงพยาบาล ซึ่งมีต้นแบบจากการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) ทําให้มีแนวทาง
จะพัฒนาระบบคิวกลางสําหรับนัดหมายเข้ารับการรักษา ระบบแจ้งเตือนก่อนวันนัด แจ้งขั้นตอนการรับบริการตั้งแต่ต้นจนจบ รวมทั้งต้นแบบ Application เพื่อใช้ในการบริหารจัดการคิวภายในโรงพยาบาล ซึ่งจะมีการขยายผลต่อไป จํานวน 50 โรงพยาบาล
รวมทั้งจะพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่เพิ่มอีก 1 เรื่อง เกี่ยวกับข้อเสนอการยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม (Ease of Doing Research, Development and Innovation) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ THAILAND 4.0 ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษา ของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งสร้างและดึงดูดบุคลากรวิจัยและพัฒนา รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0
นายกรัฐมนตรีย้ําทุกหน่วยงานสร้างการรับรู้ให้สังคมเกิดความเข้าใจถึงความจําเป็นในการปฏิรูปประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนด Thailand 4.0
วันนี้ (30 เม.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวก่อนการประชุมว่าฯ รัฐบาลได้มีการประกาศการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 ในเวทีโลกและอาเซียนให้ประชาคมโลกและชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับแนวทางในการที่จะปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ทันสมัย แต่การจะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้สามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสามารถดํารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐจะต้องเร่งดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งในเรื่องของระเบียบ วิธีการปฏิบัติ การสร้างจิตสํานึกข้าราชการ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทํางาน การแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยให้เป็นปัจจุบันและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ทั้งนี้ การดําเนินในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะการปฏิรูปตามนโยบายรัฐบาล ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและสังคมได้รับทราบถึงความจําเป็นที่ต้องดําเนินการและประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับ รวมไปถึงการปลูกจิตสํานึกในเรื่องของการเคารพกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนเกิดความตระหนักและเข้าใจ อันจะส่งผลให้ประชาชนทุกฝ่ายให้ความร่วมมือต่อการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนด Thailand 4.0
สําหรับผลประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 ประกอบด้วย 1. ประเด็นการปฏิรูประบบราชการ ได้แก่ 1) การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ (Service Reform) มีความก้าวหน้าใน 4 เรื่อง ได้แก่ (1) การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ลดคําขอค้างทั้งด้านยาและอาหาร ที่ยื่นก่อน 7 สิงหาคม 2560 กว่า 8,000 คําขอ ได้หมดภายใน 6 เดือน และลดขั้นตอนการพิจารณาอนุญาตทําให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 (2) การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ลดคําขอค้างสะสมสิทธิบัตรการประดิษฐ์อย่างต่อเนื่อง โดยผลสําเร็จทําได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 14 (3) การจดทะเบียนที่ดินของกรมที่ดิน สํานักงานที่ดินลดระยะเวลาดําเนินการรังวัดได้ตามเป้าหมาย เฉลี่ยระยะเวลารอคิว 45 วัน และพัฒนาการให้บริการข้อมูลที่ดินผ่านเว็บไซต์ของกรมที่ดิน และ Mobile Application LandsMaps ค้นหาได้จากสถานที่สําคัญผ่านระบบของ Google และ (4) การนําเข้าและส่งออกของกรมศุลกากร ได้เชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ Single Form (B2G) สําหรับสินค้าวัตถุอันตราย ใช้งานแล้ว 6 หน่วยงาน อีก 2 หน่วยงานจะเริ่มใช้ภายในเดือนกันยายน 2561
2) การพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่ (Sandbox) มีความก้าวหน้าในการพัฒนา 3 เรื่อง ได้แก่ (1) การแก้ไขพื้นที่ป่าและการใช้ประโยชน์พื้นที่จังหวัดน่านและกลไกการบริหารจัดการ โดยจะขอคืนพื้นที่ร้อยละ 18 จากพื้นที่ป่าทั้งหมด และอีกร้อยละ10 ที่เหลือให้ประชาชนสามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยพื้นที่ยังเป็นป่าของรัฐ คาดการณ์ว่าภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์และส่งเสริมการเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (2) Public School หรือโรงเรียนร่วมพัฒนา ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ 40 โรงเรียน โดยมีผู้สนับสนุนจากภาคเอกชน จะเริ่มดําเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 และ (3) หน่วยงานราชการ 4.0 ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมบังคับคดี และสํานักงาน ก.พ.ร. ได้รับการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ และกฎ ระเบียบการบริหารทรัพยากรบุคคลในหน่วยงานนําร่อง 4 หน่วยงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการพัฒนาองค์การรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 และดําเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตกลงไว้
3) การเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในเดือนพฤษภาคม 2561 จะระบุตําแหน่งจุดให้บริการประชาชนประมาณ 40,000 จุดบริการ ตามคู่มือสําหรับประชาชนใน info.go.th ในเดือนสิงหาคม จะยกเลิกสําเนาบัตรประชาชน สําเนาทะเบียนบ้านจากหน่วยงานผู้ให้บริการ พร้อมเปิดใช้ Application บอกข้อมูลบริการ จากนั้นในเดือนตุลาคม เริ่มยกเลิกสําเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล และในเดือนมกราคม 2562 เปิดใช้ระบบ Citizen Feedback ให้ประชาชนประเมินความพึงพอใจ
ในการใช้บริการ แสดงความคิดเห็นและข้อร้องเรียน
นอกจากนี้ ประเด็นการปฏิรูปกฎหมาย ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการเร่งรัดการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดําเนินธุรกิจของประชาชน จํานวน 10 คณะ และได้พิจารณากฎหมาย 27 เรื่อง เช่น ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ....ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพคนขับรถรับจ้างสาธารณะและผู้ค้าหาบเร่แผงลอย เป็นต้น
และ 2. ประเด็นการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ได้ดําเนินการสร้างกระบวนทัศน์และหลักคิดสําหรับคนไทย 5 ด้าน คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ และประกาศเจตนารมณ์พันธะสัญญาร่วมกันขององค์กรภาคีเครือข่ายมาแล้ว 275 เครือข่าย
สําหรับงานใหม่ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐเพิ่มเติม 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ธุรกิจพาณิชยนาวีได้พัฒนาการให้บริการแบบ One Stop Service ด้านแรงงานทางทะเลที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลการอนุมัติอนุญาตเกี่ยวกับแรงงานทางทะเล การพัฒนาระบบ e-Service รองรับงานบริการ รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการมอบอํานาจให้สถาบันตรวจเรือและความถี่ในการชําระเงิน และการจัดทําหลักสูตรกลางด้านพาณิชยนาวีให้กับสถาบันการศึกษา 2) ใบอนุญาตด้านการเกษตร มุ่งปรับปรุงกระบวนการควบคุมการอนุญาตการครอบครองสารเคมีเพื่อนํามาใช้คลุกเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อป้องกันกําจัดศัตรูพืช สร้าง Application ตรวจสอบข้อมูลขึ้นทะเบียน และแจ้งเตือนการต่ออายุใบสําคัญฯ และ 3) การบริหารจัดการคิวโรงพยาบาล ซึ่งมีต้นแบบจากการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) ทําให้มีแนวทาง
จะพัฒนาระบบคิวกลางสําหรับนัดหมายเข้ารับการรักษา ระบบแจ้งเตือนก่อนวันนัด แจ้งขั้นตอนการรับบริการตั้งแต่ต้นจนจบ รวมทั้งต้นแบบ Application เพื่อใช้ในการบริหารจัดการคิวภายในโรงพยาบาล ซึ่งจะมีการขยายผลต่อไป จํานวน 50 โรงพยาบาล
รวมทั้งจะพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่เพิ่มอีก 1 เรื่อง เกี่ยวกับข้อเสนอการยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม (Ease of Doing Research, Development and Innovation) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ THAILAND 4.0 ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษา ของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งสร้างและดึงดูดบุคลากรวิจัยและพัฒนา รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11859
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. พร้อมจัดทำแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
|
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562
ทส. พร้อมจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ทส. พร้อมจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ทส. พร้อมจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวแนวทางการอนุรักษ์พะยูนก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในโอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมด้วยนายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษกประจํากระทรวงฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวง ทส. เข้าพบนายกรัฐมนตรีก่อนเข้าประชุม ครม. โดย อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นําเสนอความเป็นมาเกี่ยวกับพะยูนมาเรียม และผู้แทนจากบริษัท moreloop นําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการนําผ้าที่เหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย มาสร้างให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมทั้งนํานิทรรศการมาร่วมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ความเป็นมาของมาเรียมและแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ความห่วงใยสัตว์ทะเลหายากจากนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริเวณหน้าตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.62 มาเรียมได้มีอาการลอยนิ่งตรวจไม่พบชีพจร และการตอบสนองไม่สามารถทรงตัวในน้ําได้ จึงรีบทําการกู้ชีพและกระตุ้นการหายใจ โดยกระทําเหนือน้ํา จนเริ่มตรวจพบการตอบสนอง สามารถกระพริบตา และตอบสนองต่อการสัมผัสได้ จึงนํามาเรียมลงประคองในน้ํา แต่สัญญานชีพได้หายไปอีกครั้งเวลา 23.45 น. จึงต้องนําขึ้นจากน้ําเพื่อทําการกู้ชีพ ด้วยยากระตุ้นหัวใจยากระตุ้นการหายใจ การใช้สารน้ํา แต่เนื่องจากไม่สามารถกู้ชีพกลับมาได้ มาเรียมจึงได้จากไปอย่างสงบจากอาการการช๊อค นอกจากนี้ยังพบเศษพลาสติกเล็กๆ หลายชิ้นขวางลําไส้ จนมีอาการอุดตันบางส่วนและอักเสบ ทําให้มีแก๊สสะสมอยู่เต็มทางเดินอาหาร มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดเป็นหนอง ตามมา ได้สร้างความโศกเศร้าและเสียใจให้กับวงการนักอนุรักษ์และประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก
ในการนี้ จึงได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ โดยการกําหนดเป้าหมายให้เพิ่มจํานวนพะยูนในประเทศไทยให้ได้ 50% ภายใน 10 ปี ให้ใช้บทเรียนจากกรณีมาเรียมที่คนทั้งประเทศได้ให้ความรัก ความหวังกับการเลี้ยงดูมาเรียมและไม่ต้องการให้มาเรียมต้องตายฟรี พร้อมทั้งกําชับให้มีการถอดบทเรียน “ลิบงโมเดล” รวมทั้งการกระชับ road map ลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลพะยูนยามีลอย่างใกล้ชิด โดยนําความสูญเสียในครั้งนี้มาเป็นแนวทางในการดูแลยามีลและพะยูนตัวอื่นๆ โดยรัฐบาลจะเร่งรัดการดําเนินการตามแผนการลดปริมาณขยะทะเล การปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมงที่เป็นสาเหตุการตายของพะยูนและส่งเสริมการท่องเที่ยวชมพะยูน โดยกําชับให้ใช้อาสาสมัครพิทักษ์ทะเลเป็นศูนย์กลางในการทํางาน นอกจากนั้นในส่วนของเกาะลิบง จังหวัดตรัง จะยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชมพะยูนที่สําคัญของโลก รวมทั้งจะมีการจัดประชุมพะยูนโลกที่จังหวัดตรังในปีหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนการอนุรักษ์ทรัพยากรพะยูนในประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ในส่วนของความร่วมมือจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ทะเลหายาก มีการนําเทคโนโลยีเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นําผ้าที่เหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย มาผลิตเป็นเสื้อเพื่อลดปริมาณขยะตามนโยบายของรัฐบาล “นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. พร้อมจัดทำแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562
ทส. พร้อมจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ทส. พร้อมจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ทส. พร้อมจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวแนวทางการอนุรักษ์พะยูนก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในโอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมด้วยนายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษกประจํากระทรวงฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวง ทส. เข้าพบนายกรัฐมนตรีก่อนเข้าประชุม ครม. โดย อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นําเสนอความเป็นมาเกี่ยวกับพะยูนมาเรียม และผู้แทนจากบริษัท moreloop นําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการนําผ้าที่เหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย มาสร้างให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมทั้งนํานิทรรศการมาร่วมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ความเป็นมาของมาเรียมและแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ความห่วงใยสัตว์ทะเลหายากจากนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริเวณหน้าตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.62 มาเรียมได้มีอาการลอยนิ่งตรวจไม่พบชีพจร และการตอบสนองไม่สามารถทรงตัวในน้ําได้ จึงรีบทําการกู้ชีพและกระตุ้นการหายใจ โดยกระทําเหนือน้ํา จนเริ่มตรวจพบการตอบสนอง สามารถกระพริบตา และตอบสนองต่อการสัมผัสได้ จึงนํามาเรียมลงประคองในน้ํา แต่สัญญานชีพได้หายไปอีกครั้งเวลา 23.45 น. จึงต้องนําขึ้นจากน้ําเพื่อทําการกู้ชีพ ด้วยยากระตุ้นหัวใจยากระตุ้นการหายใจ การใช้สารน้ํา แต่เนื่องจากไม่สามารถกู้ชีพกลับมาได้ มาเรียมจึงได้จากไปอย่างสงบจากอาการการช๊อค นอกจากนี้ยังพบเศษพลาสติกเล็กๆ หลายชิ้นขวางลําไส้ จนมีอาการอุดตันบางส่วนและอักเสบ ทําให้มีแก๊สสะสมอยู่เต็มทางเดินอาหาร มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดเป็นหนอง ตามมา ได้สร้างความโศกเศร้าและเสียใจให้กับวงการนักอนุรักษ์และประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก
ในการนี้ จึงได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งจัดทําแผนการอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ โดยการกําหนดเป้าหมายให้เพิ่มจํานวนพะยูนในประเทศไทยให้ได้ 50% ภายใน 10 ปี ให้ใช้บทเรียนจากกรณีมาเรียมที่คนทั้งประเทศได้ให้ความรัก ความหวังกับการเลี้ยงดูมาเรียมและไม่ต้องการให้มาเรียมต้องตายฟรี พร้อมทั้งกําชับให้มีการถอดบทเรียน “ลิบงโมเดล” รวมทั้งการกระชับ road map ลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลพะยูนยามีลอย่างใกล้ชิด โดยนําความสูญเสียในครั้งนี้มาเป็นแนวทางในการดูแลยามีลและพะยูนตัวอื่นๆ โดยรัฐบาลจะเร่งรัดการดําเนินการตามแผนการลดปริมาณขยะทะเล การปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมงที่เป็นสาเหตุการตายของพะยูนและส่งเสริมการท่องเที่ยวชมพะยูน โดยกําชับให้ใช้อาสาสมัครพิทักษ์ทะเลเป็นศูนย์กลางในการทํางาน นอกจากนั้นในส่วนของเกาะลิบง จังหวัดตรัง จะยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชมพะยูนที่สําคัญของโลก รวมทั้งจะมีการจัดประชุมพะยูนโลกที่จังหวัดตรังในปีหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนการอนุรักษ์ทรัพยากรพะยูนในประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ในส่วนของความร่วมมือจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ทะเลหายาก มีการนําเทคโนโลยีเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นําผ้าที่เหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย มาผลิตเป็นเสื้อเพื่อลดปริมาณขยะตามนโยบายของรัฐบาล “นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22462
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน รับมอบเงินบริจาค เครื่องช่วยหายใจ และนวัตกรรมทางการแพทย์
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
อนุทิน รับมอบเงินบริจาค เครื่องช่วยหายใจ และนวัตกรรมทางการแพทย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินบริจาค หลอดไฟยูวีซีใช้กับตู้อบฆ่าเชื้อ เครื่องช่วยหายใจ ตู้ความดันลบ รถกองหนุน หุ่นยนต์ส่งยาและอาหาร และถุงซิปล็อคอเนกประสงค์ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินบริจาค หลอดไฟยูวีซีใช้กับตู้อบฆ่าเชื้อ เครื่องช่วยหายใจ ตู้ความดันลบ รถกองหนุน หุ่นยนต์ส่งยาและอาหาร และถุงซิปล็อคอเนกประสงค์ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินและสิ่งของบริจาคจากประชาชนและภาคเอกชน จํานวน 8 คณะ
นายอนุทินกล่าวว่า ในวันนี้มีผู้มีจิตศรัทธาหลายท่าน ทั้งบริษัท สถาบันการศึกษา ได้นําเงิน สิ่งของ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คิดค้นเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษา ป้องกันโรคโควิด 19 มาบริจาคให้กับกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและกับประชาชนทุกคน ในนามรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณในน้ําใจของผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน กระทรวงสาธารณสุขจะนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และเร่งดําเนินการจัดส่งให้ถึงมือผู้ที่จะได้รับตามเจตนารมณ์ของทุกท่าน ทําให้บุคลากรทางการแพทย์ มีความมั่นใจ เกิดความปลอดภัย ดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ เป็นส่วนสําคัญที่ทําให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี
สําหรับสิ่งของบริจาค ประกอบด้วย 1.เงินบริจาค 1 ล้านบาท จากคุณอุไรวรรณ และคุณอนุสรณ์ ศิวะกุล (เคมี อ.อุ๊) 2.เงินบริจาค 3 แสนบาท จากสมาคมอัสสัมชัญ ภายใต้ “โครงการอัสสัมชนิกรวมใจร่วมช่วยชาติต้านภัยไวรัสโควิด 19” ให้กับโรงพยาบาลสนามในจังหวัดสงขลา แห่งละ 1 แสนบาท 3.หลอดไฟยูวีซี เพื่อใช้กับตู้อบฆ่าเชื้อ จํานวน 1,002 หลอด จากบริษัทไฟฟ้า จํากัด (มหาชน) เอ็กโก กรุ๊ป 4.เครื่องอบฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัย จํานวน 45 เครื่อง จากโครงการ SOS “หมอช่วยเรา เราช่วยหมอ” 5.เครื่องช่วยหายใจ จํานวน 2 เครื่อง หน้ากาก N 95 และชุด PPE จํานวน 1 แสนชิ้นจากบริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) มูลค่ารวม 8 ล้านบาท 6.ตู้ความดันลบ 20 ตู้ มูลค่ารวม 7 แสนบาท หุ่นยนต์ส่งยาและอาหารทางไกล 50 ชุด มูลค่ารวม 3 ล้านบาท จากบริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชัน จํากัด 7.รถความดันบวก “CU กองหนุน” สําหรับบุคลากรทางการแพทย์ จํานวน 20 คัน จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ8.ถุงซิปล็อคอเนกประสงค์ 1,002,000 ใบ มูลค่ารวม 3,507,000 บาท จากบริษัท คิงส์ แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด
******************************** 7 พฤษภาคม 2563
*****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน รับมอบเงินบริจาค เครื่องช่วยหายใจ และนวัตกรรมทางการแพทย์
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
อนุทิน รับมอบเงินบริจาค เครื่องช่วยหายใจ และนวัตกรรมทางการแพทย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินบริจาค หลอดไฟยูวีซีใช้กับตู้อบฆ่าเชื้อ เครื่องช่วยหายใจ ตู้ความดันลบ รถกองหนุน หุ่นยนต์ส่งยาและอาหาร และถุงซิปล็อคอเนกประสงค์ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินบริจาค หลอดไฟยูวีซีใช้กับตู้อบฆ่าเชื้อ เครื่องช่วยหายใจ ตู้ความดันลบ รถกองหนุน หุ่นยนต์ส่งยาและอาหาร และถุงซิปล็อคอเนกประสงค์ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินและสิ่งของบริจาคจากประชาชนและภาคเอกชน จํานวน 8 คณะ
นายอนุทินกล่าวว่า ในวันนี้มีผู้มีจิตศรัทธาหลายท่าน ทั้งบริษัท สถาบันการศึกษา ได้นําเงิน สิ่งของ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คิดค้นเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษา ป้องกันโรคโควิด 19 มาบริจาคให้กับกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและกับประชาชนทุกคน ในนามรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณในน้ําใจของผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน กระทรวงสาธารณสุขจะนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และเร่งดําเนินการจัดส่งให้ถึงมือผู้ที่จะได้รับตามเจตนารมณ์ของทุกท่าน ทําให้บุคลากรทางการแพทย์ มีความมั่นใจ เกิดความปลอดภัย ดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ เป็นส่วนสําคัญที่ทําให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี
สําหรับสิ่งของบริจาค ประกอบด้วย 1.เงินบริจาค 1 ล้านบาท จากคุณอุไรวรรณ และคุณอนุสรณ์ ศิวะกุล (เคมี อ.อุ๊) 2.เงินบริจาค 3 แสนบาท จากสมาคมอัสสัมชัญ ภายใต้ “โครงการอัสสัมชนิกรวมใจร่วมช่วยชาติต้านภัยไวรัสโควิด 19” ให้กับโรงพยาบาลสนามในจังหวัดสงขลา แห่งละ 1 แสนบาท 3.หลอดไฟยูวีซี เพื่อใช้กับตู้อบฆ่าเชื้อ จํานวน 1,002 หลอด จากบริษัทไฟฟ้า จํากัด (มหาชน) เอ็กโก กรุ๊ป 4.เครื่องอบฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัย จํานวน 45 เครื่อง จากโครงการ SOS “หมอช่วยเรา เราช่วยหมอ” 5.เครื่องช่วยหายใจ จํานวน 2 เครื่อง หน้ากาก N 95 และชุด PPE จํานวน 1 แสนชิ้นจากบริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) มูลค่ารวม 8 ล้านบาท 6.ตู้ความดันลบ 20 ตู้ มูลค่ารวม 7 แสนบาท หุ่นยนต์ส่งยาและอาหารทางไกล 50 ชุด มูลค่ารวม 3 ล้านบาท จากบริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชัน จํากัด 7.รถความดันบวก “CU กองหนุน” สําหรับบุคลากรทางการแพทย์ จํานวน 20 คัน จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ8.ถุงซิปล็อคอเนกประสงค์ 1,002,000 ใบ มูลค่ารวม 3,507,000 บาท จากบริษัท คิงส์ แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด
******************************** 7 พฤษภาคม 2563
*****************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30445
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ออกอากาศผ่านทางรายการ “แพะเดอะซีรีย์” สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ออกอากาศผ่านทางรายการ “แพะเดอะซีรีย์” สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น การขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของนายชัยยันต์ สุนันทา
ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิตที่จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ ห้องทํางานกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น การขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของนายชัยยันต์ สุนันทา
ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิตที่จังหวัดอุบลราชธานี
ซึ่งกําหนดออกอากาศผ่านทางรายการ “แพะเดอะซีรีย์”
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๒๐.๓๐-๒๑.๑๐ น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ออกอากาศผ่านทางรายการ “แพะเดอะซีรีย์” สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ออกอากาศผ่านทางรายการ “แพะเดอะซีรีย์” สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น การขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของนายชัยยันต์ สุนันทา
ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิตที่จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ ห้องทํางานกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น การขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของนายชัยยันต์ สุนันทา
ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิตที่จังหวัดอุบลราชธานี
ซึ่งกําหนดออกอากาศผ่านทางรายการ “แพะเดอะซีรีย์”
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๒๐.๓๐-๒๑.๑๐ น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6541
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. แจงอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋าฯ เป็นการให้สิทธิสำรวจแร่ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อนทำการสำรวจ
|
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
กพร. แจงอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋าฯ เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อนทําการสํารวจ
กพร. ชี้แจงการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยกําหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสํารวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยกําหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสํารวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน และต้องทําการฝังกลบพร้อมฟื้นฟูพื้นที่หลังเสร็จสิ้นการสํารวจ
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ชี้แจงกรณีปรากฏเป็นข่าวว่า กลุ่มรักษ์อําเภอวานรนิวาส ตําบลวานรนิวาส อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร คัดค้านการสํารวจแร่โพแทชในพื้นที่ พร้อมทั้งยื่นหนังสือที่อําเภอวานรนิวาสขอให้ชะลอการเข้าเตรียมพื้นที่สํารวจของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด ที่อาจละเมิดสิทธิชุมชนและสร้างข้อกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อม ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสํารวจแร่โพแทชให้แก่บริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด ในพื้นที่อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จํานวน 12 แปลง เนื้อที่รวม 116,875 ไร่ อาชญาบัตรพิเศษมีอายุ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2558 สิ้นอายุวันที่ 4 มกราคม 2563 โดยได้กําหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสํารวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน การอนุญาตอาชญาบัตรเป็นเพียงการให้สิทธิในการสํารวจแร่เท่านั้น โดยผู้ได้รับอนุญาตยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หากบริษัทฯ เข้าพื้นที่เพื่อการสํารวจแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการอนุญาตอาชญาบัตร และเป็นการกระทําความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษดังกล่าว เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยจะมีการขุดหรือเจาะสํารวจในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยเพื่อนําข้อมูลมาประเมินศักยภาพแหล่งแร่ว่ามีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์หรือไม่ และต้องทําการฝังกลบพร้อมกับฟื้นฟูพื้นที่ภายหลังเสร็จสิ้นการสํารวจแล้ว จึงไม่ได้ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษดังกล่าวเป็นการอนุญาตเพื่อการสํารวจแร่ตามปกติทั่วไป มิได้เป็นสัญญาสํารวจและผลิตแร่โพแทช และมิได้เป็นข้อผูกพันว่าจะต้องได้รับอนุญาตประทานบัตรเพื่อการทําเหมืองแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หากการสํารวจพบว่า พื้นที่มีศักยภาพแร่ที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ บริษัทฯ ต้องยื่นขอประทานบัตรเพื่อการทําเหมืองซึ่งต้องดําเนินการตามระเบียบ ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการขอประทานบัตรต้องผ่านความเห็นชอบจากองค์การบริหารส่วนตําบลและชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งต้องจัดให้มี การรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ที่จะขอทําเหมืองด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. แจงอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋าฯ เป็นการให้สิทธิสำรวจแร่ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อนทำการสำรวจ
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
กพร. แจงอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋าฯ เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อนทําการสํารวจ
กพร. ชี้แจงการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยกําหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสํารวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยกําหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสํารวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน และต้องทําการฝังกลบพร้อมฟื้นฟูพื้นที่หลังเสร็จสิ้นการสํารวจ
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ชี้แจงกรณีปรากฏเป็นข่าวว่า กลุ่มรักษ์อําเภอวานรนิวาส ตําบลวานรนิวาส อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร คัดค้านการสํารวจแร่โพแทชในพื้นที่ พร้อมทั้งยื่นหนังสือที่อําเภอวานรนิวาสขอให้ชะลอการเข้าเตรียมพื้นที่สํารวจของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด ที่อาจละเมิดสิทธิชุมชนและสร้างข้อกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อม ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสํารวจแร่โพแทชให้แก่บริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด ในพื้นที่อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จํานวน 12 แปลง เนื้อที่รวม 116,875 ไร่ อาชญาบัตรพิเศษมีอายุ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2558 สิ้นอายุวันที่ 4 มกราคม 2563 โดยได้กําหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสํารวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน การอนุญาตอาชญาบัตรเป็นเพียงการให้สิทธิในการสํารวจแร่เท่านั้น โดยผู้ได้รับอนุญาตยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หากบริษัทฯ เข้าพื้นที่เพื่อการสํารวจแร่โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการอนุญาตอาชญาบัตร และเป็นการกระทําความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษดังกล่าว เป็นการให้สิทธิสํารวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยจะมีการขุดหรือเจาะสํารวจในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยเพื่อนําข้อมูลมาประเมินศักยภาพแหล่งแร่ว่ามีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์หรือไม่ และต้องทําการฝังกลบพร้อมกับฟื้นฟูพื้นที่ภายหลังเสร็จสิ้นการสํารวจแล้ว จึงไม่ได้ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษดังกล่าวเป็นการอนุญาตเพื่อการสํารวจแร่ตามปกติทั่วไป มิได้เป็นสัญญาสํารวจและผลิตแร่โพแทช และมิได้เป็นข้อผูกพันว่าจะต้องได้รับอนุญาตประทานบัตรเพื่อการทําเหมืองแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หากการสํารวจพบว่า พื้นที่มีศักยภาพแร่ที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ บริษัทฯ ต้องยื่นขอประทานบัตรเพื่อการทําเหมืองซึ่งต้องดําเนินการตามระเบียบ ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการขอประทานบัตรต้องผ่านความเห็นชอบจากองค์การบริหารส่วนตําบลและชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งต้องจัดให้มี การรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ที่จะขอทําเหมืองด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2406
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 เมษายน 2561
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 เมษายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 เมษายน 2561
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 เมษายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11289
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 - 5 พ.ย.62
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 - 5 พ.ย.62
คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเห็นชอบอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2562
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี เนื่องในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พิจารณาแล้วเห็นว่าตามระเบียบฯ กําหนดให้วันเสนอราคาต้องเป็นวันทําการ ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวต่อไปได้ จึงอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ และซ้อมความเข้าใจในการจัดซื้อซื้อจัดจ้าง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้ดําเนินการดังนี้ (1) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ซึ่งได้กําหนดวัน เวลาการเสนอราคาในเอกสารซื้อหรือจ้าง ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 34 วรรคท้าย ข้อ 43 วรรคท้าย และข้อ 53 (2) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดําเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การนําร่างประกาศและร่างเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการตามข้อ 45 ให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดําเนินการนําร่างเอกสารดังกล่าวเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานของรัฐอื่นเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความคิดเห็นไปยังหน่วยงานของรัฐที่จัดซื้อจัดจ้างโดยตรงและโดยเปิดเผย ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อ 46 และข้อ 47 (3) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกวดราคานานาชาติ โดยต้องเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างให้เผยแพร่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 วันทําการ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 60 และสําหรับกรณีหน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกหรือวิธีเฉพาะเจาะจงให้หน่วยงานของรัฐจัดทําหนังสือแจ้งเลื่อนวัน เวลา และสถานที่เสนอราคาตามระเบียบฯ ออกไปก่อนถึงกําหนดวันยื่นข้อเสนอ
ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงวันดังกล่าวได้อย่างสะดวก ถูกต้อง รวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงสุด อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 - 5 พ.ย.62
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 - 5 พ.ย.62
คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเห็นชอบอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ในช่วงวันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2562
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี เนื่องในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พิจารณาแล้วเห็นว่าตามระเบียบฯ กําหนดให้วันเสนอราคาต้องเป็นวันทําการ ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวต่อไปได้ จึงอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ และซ้อมความเข้าใจในการจัดซื้อซื้อจัดจ้าง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้ดําเนินการดังนี้ (1) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ซึ่งได้กําหนดวัน เวลาการเสนอราคาในเอกสารซื้อหรือจ้าง ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 34 วรรคท้าย ข้อ 43 วรรคท้าย และข้อ 53 (2) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดําเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การนําร่างประกาศและร่างเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการตามข้อ 45 ให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดําเนินการนําร่างเอกสารดังกล่าวเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานของรัฐอื่นเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความคิดเห็นไปยังหน่วยงานของรัฐที่จัดซื้อจัดจ้างโดยตรงและโดยเปิดเผย ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อ 46 และข้อ 47 (3) กรณีหน่วยงานของรัฐได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกวดราคานานาชาติ โดยต้องเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างให้เผยแพร่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 วันทําการ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ 60 และสําหรับกรณีหน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือกหรือวิธีเฉพาะเจาะจงให้หน่วยงานของรัฐจัดทําหนังสือแจ้งเลื่อนวัน เวลา และสถานที่เสนอราคาตามระเบียบฯ ออกไปก่อนถึงกําหนดวันยื่นข้อเสนอ
ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างในช่วงวันดังกล่าวได้อย่างสะดวก ถูกต้อง รวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงสุด อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24183
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ตุลาคม 2561
|
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ตุลาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ตุลาคม 2561
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ตุลาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16262
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ พบเครือข่ายน้ำบาดาลทั่วประเทศ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการน้ำบาดาลดีเด่น
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
วราวุธ พบเครือข่ายน้ําบาดาลทั่วประเทศ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการน้ําบาดาลดีเด่น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ําบาดาล จัดการประชุมเครือข่ายและนวัตกรรมน้ําบาดาลแห่งชาติ และเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ เทคโนโลยีนวัตกรรมด้านน้ําบาดาล พร้อมรับมอบนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง
วราวุธ พบเครือข่ายน้ําบาดาลทั่วประเทศ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการน้ําบาดาลดีเด่น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ําบาดาล จัดการประชุมเครือข่ายและนวัตกรรมน้ําบาดาลแห่งชาติ และเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ เทคโนโลยีนวัตกรรมด้านน้ําบาดาล พร้อมรับมอบนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง
วันนี้ (19 ธันวาคม 2562) เวลา 14.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) พร้อมด้วย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายยุทธพล อังกินันทน์) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายธเนศพล ธนบุญวัฒน์) และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) ร่วมเปิดการประชุมเครือข่ายและนวัตกรรมน้ําบาดาลแห่งชาติ (National Ground Water Network and Innovation)มอบนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลแก่เครือข่ายน้ําบาดาลที่มาเข้าร่วมการประชุมกว่า 1,000 คนเพื่อเป็นแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ประกอบกิจการน้ําบาดาลดีเด่นที่ใช้น้ําบาดาลแบบอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืน จํานวน 8 แห่ง และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ช่างเจาะน้ําบาดาลดีเด่น จํานวน 2 ราย ซึ่งเป็น(ผู้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติน้้ําบาดาล พ.ศ.2520 และก่อสร้างบ่อบาดาลที่ได้มาตรฐาน
โอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณเครือข่ายน้ําบาดาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลเพื่อการช่วยเหลือประชาชนในการบรรเทาปัญหาภัยแล้งในช่วงวิกฤติภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ซึ่งทรัพยากรน้ําเป็นสิ่งสําคัญสําหรับพี่น้องประชาชนที่จะใช้ในการเกษตรกรรมและอุปโภคบริโภค การบริหารจัดการน้ําจึงต้องมีการใช้น้ําบาดาลแบบอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ พบเครือข่ายน้ำบาดาลทั่วประเทศ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการน้ำบาดาลดีเด่น
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
วราวุธ พบเครือข่ายน้ําบาดาลทั่วประเทศ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการน้ําบาดาลดีเด่น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ําบาดาล จัดการประชุมเครือข่ายและนวัตกรรมน้ําบาดาลแห่งชาติ และเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ เทคโนโลยีนวัตกรรมด้านน้ําบาดาล พร้อมรับมอบนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง
วราวุธ พบเครือข่ายน้ําบาดาลทั่วประเทศ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการน้ําบาดาลดีเด่น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ําบาดาล จัดการประชุมเครือข่ายและนวัตกรรมน้ําบาดาลแห่งชาติ และเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ เทคโนโลยีนวัตกรรมด้านน้ําบาดาล พร้อมรับมอบนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง
วันนี้ (19 ธันวาคม 2562) เวลา 14.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) พร้อมด้วย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายยุทธพล อังกินันทน์) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายธเนศพล ธนบุญวัฒน์) และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) ร่วมเปิดการประชุมเครือข่ายและนวัตกรรมน้ําบาดาลแห่งชาติ (National Ground Water Network and Innovation)มอบนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลแก่เครือข่ายน้ําบาดาลที่มาเข้าร่วมการประชุมกว่า 1,000 คนเพื่อเป็นแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ประกอบกิจการน้ําบาดาลดีเด่นที่ใช้น้ําบาดาลแบบอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืน จํานวน 8 แห่ง และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ช่างเจาะน้ําบาดาลดีเด่น จํานวน 2 ราย ซึ่งเป็น(ผู้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติน้้ําบาดาล พ.ศ.2520 และก่อสร้างบ่อบาดาลที่ได้มาตรฐาน
โอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณเครือข่ายน้ําบาดาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลเพื่อการช่วยเหลือประชาชนในการบรรเทาปัญหาภัยแล้งในช่วงวิกฤติภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ซึ่งทรัพยากรน้ําเป็นสิ่งสําคัญสําหรับพี่น้องประชาชนที่จะใช้ในการเกษตรกรรมและอุปโภคบริโภค การบริหารจัดการน้ําจึงต้องมีการใช้น้ําบาดาลแบบอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25342
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเคาะมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
บอร์ดบีโอไอเคาะมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน]
บอร์ดบีโอไอเคาะมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19
บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการเร่งรัดลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บอร์ดได้อนุมัติมาตรการหลายประการ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วสนองต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีของประชาชนในประเทศ และมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ
เร่งรัดให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเพื่อรับมือกับCOVID-19
มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย
(1)มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อรับมือกับCOVID-19โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งปกติจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี อยู่แล้ว เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึง Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบใน การผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยาและสารออกฤทธิ์สําคัญในยา เป็นต้น โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงโครงการที่ยื่นคําขอรับการส่งเสริมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 และต้องเริ่มผลิตและมีรายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ จะต้องจําหน่ายและหรือบริจาคภายในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2563-2564
(2)มาตรการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร โดยต้องนําเข้าภายในปี 2563 และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563
(3)การปรับสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ําและกลางน้ําในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มเติมขอบข่ายประเภทกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ให้ครอบคลุมถึงการผลิตแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ (Pharmaceutical Grade) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้กิจการผลิต Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์การแพทย์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี เป็น 5 ปี
มาตรการผ่อนปรนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทําให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ภายในกรอบเวลาที่คณะกรรมการกําหนดได้ บอร์ดจึงเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและพิจารณาขยายเวลาการดําเนินการสําหรับกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่นการขยายเวลานําเข้าเครื่องจักรและเปิดดําเนินการ การขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือนเป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสํานักงานจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป
เร่งสนับสนุนภาคเอกชนให้ลงทุนเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม
ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ปัญหาน้ําท่วม ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก โดยแผนการดําเนินการบริหารจัดการน้ํา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ําของประเทศด้วย และต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2564
ทั้งนี้ ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน หรือให้ได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน แล้วแต่กรณี
ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และประเภทกิจการเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และเกษตรสมัยใหม่
นอกจากนั้น บอร์ดบีโอไอยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบข่ายการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมประเภทกิจการอื่นๆเพิ่มเติม ได้แก่ ประเภทกิจการที่มีเงื่อนไขกําหนดให้ทําการวิจัยและพัฒนา ประเภทกิจการที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้นเมื่อมีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโครงการที่ทําการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ หรือดิจิทัลแพลตฟอร์มในประเทศ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขของประเภทกิจการให้ครอบคลุมถึงกิจการที่ไม่มีการออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม โดยผู้พัฒนาในประเทศไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
อนุมัติมิตซูบิชิลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สําหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีกําลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles - HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย
************************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเคาะมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
บอร์ดบีโอไอเคาะมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน]
บอร์ดบีโอไอเคาะมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19
บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการเร่งรัดลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บอร์ดได้อนุมัติมาตรการหลายประการ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วสนองต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีของประชาชนในประเทศ และมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ
เร่งรัดให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเพื่อรับมือกับCOVID-19
มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย
(1)มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อรับมือกับCOVID-19โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งปกติจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี อยู่แล้ว เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึง Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบใน การผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยาและสารออกฤทธิ์สําคัญในยา เป็นต้น โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงโครงการที่ยื่นคําขอรับการส่งเสริมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 และต้องเริ่มผลิตและมีรายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ จะต้องจําหน่ายและหรือบริจาคภายในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2563-2564
(2)มาตรการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร โดยต้องนําเข้าภายในปี 2563 และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563
(3)การปรับสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ําและกลางน้ําในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มเติมขอบข่ายประเภทกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ให้ครอบคลุมถึงการผลิตแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ (Pharmaceutical Grade) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้กิจการผลิต Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์การแพทย์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี เป็น 5 ปี
มาตรการผ่อนปรนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทําให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ภายในกรอบเวลาที่คณะกรรมการกําหนดได้ บอร์ดจึงเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและพิจารณาขยายเวลาการดําเนินการสําหรับกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่นการขยายเวลานําเข้าเครื่องจักรและเปิดดําเนินการ การขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือนเป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสํานักงานจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป
เร่งสนับสนุนภาคเอกชนให้ลงทุนเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม
ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ปัญหาน้ําท่วม ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก โดยแผนการดําเนินการบริหารจัดการน้ํา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ําของประเทศด้วย และต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2564
ทั้งนี้ ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน หรือให้ได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน แล้วแต่กรณี
ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และประเภทกิจการเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และเกษตรสมัยใหม่
นอกจากนั้น บอร์ดบีโอไอยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบข่ายการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมประเภทกิจการอื่นๆเพิ่มเติม ได้แก่ ประเภทกิจการที่มีเงื่อนไขกําหนดให้ทําการวิจัยและพัฒนา ประเภทกิจการที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้นเมื่อมีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโครงการที่ทําการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ หรือดิจิทัลแพลตฟอร์มในประเทศ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขของประเภทกิจการให้ครอบคลุมถึงกิจการที่ไม่มีการออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม โดยผู้พัฒนาในประเทศไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
อนุมัติมิตซูบิชิลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สําหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีกําลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles - HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย
************************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28984
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เผย ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 1,000 บาท ครั้งเดียว ให้คนพิการทุกคน
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
รมว.พม. เผย ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 1,000 บาท ครั้งเดียว ให้คนพิการทุกคน
รมว.พม. เผย ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 1,000 บาท ครั้งเดียว ให้คนพิการทุกคน
วันที่ 28 เม.ย. 63 เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ มาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ 1,000 บาท เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่มีความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ซึ่งจะจ่ายเพียงครั้งเดียว ให้แก่คนพิการทุกคนที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 2 ล้านคน คนละ 1,000 บาท ทั้งนี้ ขอแจ้งให้คนพิการทุกคนรับทราบและรอการโอนเงินจากรัฐบาล นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะรัฐมนตรีที่มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับคนพิการทุกคนที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ เป็นเงิน 1,000 บาท ใช้งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งกระทรวง พม. โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จะได้ประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อจ่ายเงินให้คนพิการโดยเร็ว ซึ่งการจ่ายเงิน 1,000 บาท ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ หากมีปัญหาข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน พม. โทร. 1300 ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม และสายด่วนคนพิการ โทร. 1479 รวมทั้ง ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของ พก.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เผย ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 1,000 บาท ครั้งเดียว ให้คนพิการทุกคน
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
รมว.พม. เผย ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 1,000 บาท ครั้งเดียว ให้คนพิการทุกคน
รมว.พม. เผย ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 1,000 บาท ครั้งเดียว ให้คนพิการทุกคน
วันที่ 28 เม.ย. 63 เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ มาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ 1,000 บาท เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่มีความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ซึ่งจะจ่ายเพียงครั้งเดียว ให้แก่คนพิการทุกคนที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 2 ล้านคน คนละ 1,000 บาท ทั้งนี้ ขอแจ้งให้คนพิการทุกคนรับทราบและรอการโอนเงินจากรัฐบาล นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะรัฐมนตรีที่มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับคนพิการทุกคนที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ เป็นเงิน 1,000 บาท ใช้งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งกระทรวง พม. โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จะได้ประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อจ่ายเงินให้คนพิการโดยเร็ว ซึ่งการจ่ายเงิน 1,000 บาท ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ หากมีปัญหาข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน พม. โทร. 1300 ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม และสายด่วนคนพิการ โทร. 1479 รวมทั้ง ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของ พก.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29987
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560
10 พฤษภาคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560
10 พฤษภาคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2560 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3671
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ วางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
|
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2561
ก.อุตฯ วางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
ก.อุตฯ วางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันนี้ (6 เมษายน 2561) นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ พุทธศักราช 2561 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมถวายสักการะ ณ สะพานพระพุทธยอดฟ้า กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ วางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2561
ก.อุตฯ วางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
ก.อุตฯ วางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันนี้ (6 เมษายน 2561) นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องในวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ พุทธศักราช 2561 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมถวายสักการะ ณ สะพานพระพุทธยอดฟ้า กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11388
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม เป็นประธานงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 15 ปี
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงคมนาคม เป็นประธานงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 15 ปี
นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงคมนาคม เป็นประธานงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 15 ปี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560
โดยมี นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ร่วมต้อนรับ ซึ่งกิจกรรมในงานฯ ประกอบด้วย พิธีสงฆ์ พิธีมอบโล่ข้าราชการ ลูกจ้างประจําและพนักงานราชการดีเด่น เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ กรมทางหลวงชนบท กรุงเทพฯ
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2545 ตามมาตรา 20 อนุ 7 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช 2545 กําหนดให้มี ทช. ในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยให้โอนกิจการ อํานาจ หน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากําลังบางส่วนที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างทางและสะพาน จากกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยกระทรวงคมนาคมได้ออกกฎกระทรวง กําหนด ให้ ทช. มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง การก่อสร้างและบํารุงรักษาทางหลวงชนบทให้มีโครงข่ายทางที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ตลอดระยะเวลา 15 ปี ทช. ได้เดินหน้าพัฒนาและยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบทอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว การพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการและยั่งยืน และส่งเสริมความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยสร้างทางเชื่อม (Missing Link) ทางเลี่ยง (By Pass) ทางลัด (Shortcut) เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาทางหลวงท้องถิ่นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพัฒนาองค์กรตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย เพื่อให้บรรลุผลตามวิสัยทัศน์ “พัฒนาเพิ่มคุณค่า เติมต่อโครงข่ายทางให้สมบูรณ์ อย่างพอเพียงและยั่งยืน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม เป็นประธานงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 15 ปี
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงคมนาคม เป็นประธานงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 15 ปี
นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงคมนาคม เป็นประธานงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 15 ปี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560
โดยมี นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ร่วมต้อนรับ ซึ่งกิจกรรมในงานฯ ประกอบด้วย พิธีสงฆ์ พิธีมอบโล่ข้าราชการ ลูกจ้างประจําและพนักงานราชการดีเด่น เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ กรมทางหลวงชนบท กรุงเทพฯ
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2545 ตามมาตรา 20 อนุ 7 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช 2545 กําหนดให้มี ทช. ในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยให้โอนกิจการ อํานาจ หน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง และอัตรากําลังบางส่วนที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างทางและสะพาน จากกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยกระทรวงคมนาคมได้ออกกฎกระทรวง กําหนด ให้ ทช. มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง การก่อสร้างและบํารุงรักษาทางหลวงชนบทให้มีโครงข่ายทางที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ตลอดระยะเวลา 15 ปี ทช. ได้เดินหน้าพัฒนาและยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบทอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว การพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการและยั่งยืน และส่งเสริมความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยสร้างทางเชื่อม (Missing Link) ทางเลี่ยง (By Pass) ทางลัด (Shortcut) เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาทางหลวงท้องถิ่นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพัฒนาองค์กรตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย เพื่อให้บรรลุผลตามวิสัยทัศน์ “พัฒนาเพิ่มคุณค่า เติมต่อโครงข่ายทางให้สมบูรณ์ อย่างพอเพียงและยั่งยืน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7286
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวท. ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร MICESpotlight by NCC เน้นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017
|
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560
รวท. ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร MICESpotlight by NCC เน้นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017
รวท. ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร MICESpotlight by NCC เน้นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 / นิตยสาร MICESpotlight by NCC เข้าสัมภาษณ์ ดร. อรรชกา สีบุญเรืองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในประเด็นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017 ณ ห้อง รวท. ชั้น 2 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาพรวมและธุรกิจ Startup ปี 2560แนวโน้มของธุรกิจ Startup ที่น่าสนใจในปีนี้ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ 9 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่อยู่ในแผนตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ตัวอย่างเช่น การแพทย์ (HealthTech), การท่องเที่ยว (TravelTech), เกษตรและอาหาร (AgriTech/FoodTech) และการขนส่ง (E-Commerce / Logistic) เป็นต้น
เทรนด์ที่เริ่มเห็นคือ Startup รายเล็กจะเริ่มควบรวมกัน เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้นและเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศเริ่มที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์หรือเข้าซื้อกิจการ Startup ในเมืองไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Ookbee จับมือกับ Tencent ในการทําธุรกิจในประเทศไทย ส่วนธุรกิจด้าน FinTech หรือ Financial Technology ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือ ธุรกิจที่มีการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้กับการให้บริการธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนําเสนอบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะด้านความสะดวกรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการใช้บริการที่ต่ําลง โดยอนาคตอันใกล้ คนไทยจะใช้เงินในลักษณะพันธบัตรและเหรียญน้อยลง
นอกจากนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เข้าร่วมงานประชุม Global Entrepreneurship Congress 2017 (GEC2017) ณ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ 13-16 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นการเข้าร่วมประชุม GEC โดยผู้แทนของประเทศไทยเป็นครั้งแรก งานประชุม GEC2017 เป็นงานประชุมประจําปี จัดโดยเครือข่าย Global Entrepreneurship Network (GEN) มีผู้แทนจากประเทศต่างๆ 172 ประเทศ รวมกว่า 8,500 คน เข้าร่วม ทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน นักวิจัย ผู้แทนจากภาครัฐ Policy Maker และ Startup โดยมีจุดมุ่งหมายให้เกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ งานวิจัยและโปรแกรมส่งเสริมเชิงนโยบายต่างๆ เป็นต้น โดยในที่ประชุมได้กล่าวถึงบทบาทของประเทศไทยในการส่งเสริม Startup ด้านเกษตรและอาหาร ซึ่งการที่ไทยได้มีความร่วมมือกับ GEN ถือเป็นการช่วยเสริมให้ Startup Ecosystem ในไทยมีความเป็นสากลและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ในส่วนการดําเนินงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในปีนี้จะเป็นปีแห่งการพัฒนาความเข้าใจและความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและ 30 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศเพื่อพัฒนาระบบนิเวศให้เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจ Startup โดยได้ดําเนินโครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ (Innovative Startup) ภายใต้โครงการ Agenda-based Startup ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 พร้อมๆกับการพัฒนาในรายสาขาของ 9 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยในปีนี้จะเน้นไปที่อุตสาหกรรมกลุ่มภาครัฐ/ การศึกษา (GovTech/EdTech) กลุ่มเกษตรและอาหาร (AgriTech/FoodTech) กลุ่มการแพทย์ (HealthTech) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PropertyTech)แผนการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย
รัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นพัฒนา startup ให้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจที่สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นการกระจายรายได้สู่ภูมิภาครวมทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยการส่งเสริมและพัฒนาทาง startup ต้องเร่งสร้างและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโต ซึ่งขณะนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กําลังเดินหน้าในการพัฒนาและส่งเสริมเทคสตาร์ทอัพ เริ่มต้นด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ โดยการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ และสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมและผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และเสริมสร้างความรู้ โดยจัดกิจกรรมเสริมองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการ และเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการดําเนินธุรกิจสตาร์ทอัพให้ประสบความสําเร็จ หลังจากนั้น ส่งเสริมให้เกิดแนวคิดธุรกิจใหม่ โดยจัดกิจกรรมและกลไกสนับสนุนเพื่อให้สตาร์อัพสามารถเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ และช่วยให้สามารถวางแผนการดําเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสมพร้อมที่จะโตไปข้างหน้า บางธุรกิจจําเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่เหมาะสมจากแหล่งต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ผ่านกระบวนการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยจัดกิจกรรมและกลไกสนับสนุนสําหรับผู้ที่จะเริ่มก่อตั้งธุรกิจ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อนําเสนอเข้าสู่ตลาดและทดสอบความต้องการของตลาดเบื้องต้น สุดท้ายต้องเร่งการเติบโตของธุรกิจโดยการขยายตลาด และเพิ่มรายได้ด้วยกลยุทธ์การตลาดผ่านกิจกรรมต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะดําเนินการในรูปแบบของ 8 กิจกรรมหลัก ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 สร้างความตระหนักและความเข้าใจแก่สาธารณชน
โดยเฉพาะการจัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ 2560 (Startup Thailand 2017) เพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยการส่งเสริม สนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจแก่สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจและสร้างตลาดใหม่ ให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยการระดมสตาร์ทอัพของประเทศไทยให้มารวมตัวกัน เปิดโอกาสให้พบปะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจที่ปะสบความสําเร็จในระดับนานาชาติ รวมถึงกลุ่มลงทุนที่พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน นอกจากนี้ยังสร้างช่องทางการประชาสัมพันธ์กิจกรรมสตาร์ทอัพเพิ่มเติม ได้แก่ รายการโทรทัศน์ ที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายใหญ่คือ บุคคลทั่วไป และสื่อสังคมออนไลน์ Facebook Instagram และ Twitter เพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง
กิจกรรมที่ 2 พัฒนาระบบนิเวศสําหรับการเป็นผู้ประกอบการ
โดยจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพใน 3 รูปแบบ คือ
พัฒนาหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการ (STARTUP THAILAND ACADEMY) ขับเคลื่อนนโยบายพัฒนา “มหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ (Entreprenuerial University)” ร่วมกับ 30 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นพัฒนาหลักสูตร เพื่อสร้างภาวะความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) พัฒนาศักยภาพอาจารย์และบุคลากรมหาวิทยาลัย และนักศึกษา โดยมีเป้าหมาย คือ นักศึกษาได้รับการอบรมจํานวน 30,000 คน
พัฒนาย่านธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ (STARTUP THAILAND LAUNCHPADS) โดยการสร้าง Co-Working Space ในมหาวิทยาลัย 30 แห่งทั่งประเทศ
ศูนย์พัฒนาแนวความคิดสู่ธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ (STARTUP THAILAND LEAGUE) โดยมีเป้าหมายคือ 550 โครงการที่จะได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์
กิจกรรมที่ 3 การพัฒนาระบบนิเวศและกลุ่มอุตสาหกรรม
คือ การเสริมสร้างขีดความสามารถ การสนับสนุนทางด้านการเงิน และการพัฒนาระบบนิเวศและแผนกลยุทธ์ เพื่อการพัฒนา 9 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่
GovTech / EdTech : ภาครัฐ/การศึกษา
AgriTech / FoodTech : เกษตร/อาหาร
HealthTech : การแพทย์
IndustryTech : ภาคอุตสาหกรรม
E-Commerce / Logistic : การขนส่ง
FinTech : การเงิน/การธนาคาร
LifeStyle : ไลฟ์สไตล์
TravelTech : ท่องเที่ยว
PropertyTech : อสังหาริมทรัพย์
กิจกรรมที่ 4 สตาร์ทอัพภูมิภาค
ปัจจุบัน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพในส่วนภูมิภาค 3 แห่งหลัก ๆ คือ
การสร้างความสามารถของผู้ประกอบการใหม่ในเขตภาคเหนือ (NORTHERN INNOVATIVE STARTUP THAILAND) ในโครงการ NIST โดย สนช. ซึ่งผู้สนใจสามารถมาเข้าร่วมอบรมหลักสูตร 3 Days 8 Weeks ในวงเงินสนับสนุนไม่เกิน 600,000 บาท โดยขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการ 37 ทีม
การส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการใหม่และวิสาหกิจเริ่มต้นในจังหวัดชายแดนใต้ (DEEPSOUTH STARTUP THAILAND) เป้าหมาย Startup 10 ทีม SME 10 ทีม Otop 10 ทีม ภายในปี 2560
การส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EASTERN ECONOMIC CORRIDOR STARTUP THAILAND) โดยมี สนช. สทอภ. กนอ. และมหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นผู้ดูแลกิจกรรม HACKATHON ที่ศรีราชา
กิจกรรมที่ 5 STARTUP THAILAND CONNECT
เป็นการส่งเสริมและผลักดันสตาร์ทอัพของไทยก้าวสู่สากล โดยมี 4 แนวทาง คือ
ศูนย์บ่มเพาะและเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้นเพื่อการเติบโตในระดับสากล (GLOBAL ACCELERATION) ล่าสุด กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีประสบการณ์ในการลงทุนในธุรกิจ Startup และเริ่มโครงการบ่มเพาะเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ “Global Acceleration Program” ภายใต้ชื่อ “สปาร์ค” (SPARK) โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งสร้างและพัฒนา Startup ให้มีความพร้อมในศักยภาพเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดระดับสากลมากขึ้น สปาร์ค จึงเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมและเติมเต็มระบบนิเวศของธุรกิจ Startup ในประเทศไทยให้สมบูรณ์ขึ้น และช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Startup ให้เป็นไปตามที่คาดหมายของรัฐบาล
สปาร์ค ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในหลาย ๆ สาขา อาทิ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญา ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ นักลงทุนในบริษัทกองทุนร่วมทุน การจัดการ Big Data และ IoTs เทคโนโลยีการเงิน การพัฒนาธุรกิจและการตลาด เป็นต้น โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะร่วมเป็นวิทยากรและเป็นที่ปรึกษาแบบตัวต่อตัวให้แก่ Startup ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมฝึกอบรมเข้มข้น 8 สัปดาห์ ณ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สนช. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จุดเด่นของ สปาร์ค คือการสร้างโอกาสให้บริษัท Startup ไทยก้าวสู่ตลาดและเติบโตในระดับสากล โดยผ่านบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกและชนะการประกวดแผนธุรกิจในรอบสุดท้ายจะมีโอกาสเดินทางไปพบกับนักลงทุนหรือบริษัทกองทุนร่วมทุน และศึกษาดูงานในศูนย์บ่มเพาะชั้นนําของโลก เช่น Google, Barclays ในประเทสอิสราเอล เป็นต้น
ศูนย์ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่(BUSINESS BROTHERHOOD) จํานวน 10 ศูนย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มหาวิทยาลัยจับมือกับบริษัทขนาดใหญ่ร่วมกันพัฒนาสตาร์ทอัพในรายสาขาตามความถนัดเฉพาะ
การจัดหาหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมจัดกิจกรรมบ่มเพาะและเร่งสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ การให้ปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและพี่เลี้ยง (STARTUPS IN RESIDENCE) เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจนวัตกรรมที่มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ รวมทั้งมีพื้นที่ทํางานร่วม (co-working space) เพื่อจัดกิจกรรมเครือข่ายของวิสาหกิจเริ่มต้น ชุมชน ธุรกิจ และหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันมี co-working space เข้าร่วมโครงการ 4 แห่ง คือ Pun Space จ.เชียงใหม่ Jump Space จ.ขอนแก่น Hatch จ.ภูเก็ต และ Tuber จ.สงขลา
พัฒนาศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ (INCUBATOR DEVELOPMENT) ให้เกิดขึ้นในทั่วประเทศ
กิจกรรมที่ 6 ย่านนวัตกรรม
การพัฒนาย่านนวัตกรรม (Innovation District) ถือเป็นแนวโน้มล่าสุดในการวางผังเมือง และเป็นรูปแบบใหม่ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในเมืองมหานครทั่วโลก นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ Silicon Valley หลายประเทศในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มส่งเสริมพื้นที่ในเมืองบางส่วน ให้เป็นพื้นที่สําหรับการจัดตั้งสถานประกอบการแบบ Start up และสําหรับการบ่มเพาะธุรกิจที่อาศัยงานวิจัย ความคิดสร้างสรรค์ ปัจจุบันเมืองใหญ่ทั่วโลกมีกว่า 80 แห่งที่ประกาศเรื่องการสร้างย่านนวัตกรรม อาทิ บาร์เซโลนา ประเทศสเปน และบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ดังนั้น กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงได้นํารูปแบบดังกล่าวมาจัดทํา ย่านนวัตกรรม สําหรับบ่มเพาะ Startup ของไทย โดยพื้นที่แห่งนี้จะมีขนาดไม่เกิน 4 ตร.กม. โดยสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมให้เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจ Startup เช่น
- พื้นที่ส่วนกลางในพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ประกอบการ Startup ด้วยกัน หรือผู้ประกอบการ Startup กับนักลงทุน โดยมีพี่เลี้ยงในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม กฎหมาย การเงิน การตลาด และการบริหารจัดการ รวมถึงนักวิจัยในย่านนั้นมาให้คําแนะนํา ตลอดจนเปิดโอกาสในการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ
- มีสถาบันชั้นนําและคลัสเตอร์ธุรกิจตั้งอยู่รวมกัน
- มีกิจกรรมและการจัดการร่วมกันของชุมชนคนภายในพื้นที่
โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีการกําหนดพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็น “ย่านนวัตกรรม” ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะต้องสร้างผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ สร้างงาน สร้างคุณค่าบางอย่างที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ขึ้น ได้แก่
ย่านนวัตกรรมแนวระเบียงกรุงเทพมหานคร (BANGKOK INNOVATION CORRIDOR) ได้แก่ ย่านโยธี สยาม คลองสาน กล้วยน้ําไท ห้วยขวาง และลาดกระบัง
ย่านนวัตกรรมแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC INNOVATION CORRIDOR) ได้แก่ พัทยา ศรีราชา บางแสน และอู่ตะเภา
กลุ่มเครือข่ายย่านนวัตกรรมภูมิภาค (INNOVATION CONSTELLATION) ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต
กิจกรรมที่ 7 ฐานข้อมูลสตาร์ทอัพและการประเมินผลกระทบ
ข้อมูลของสตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ต้องมีการจัดเก็บข้อมูลและวัดผลเพื่อประเมินสิ่งที่ได้ทํามาและสามารถดําเนินการต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สวทน. เป็นผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานเกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ได้แก่ ข้อมูลสตาร์ทอัพและสถิติ รายงานประจําปีสตาร์ทอัพ และการประเมินกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้คนที่สนใจหรืออยู่ในแวดวง startup สามารถเข้าถึงข้อมูลในทุกด้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดําเนินธุรกิจ
กิจกรรมที่ 8 ความง่ายในการดําเนินธุรกิจ
การเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพต้องมีการเปลี่ยนกฎหมายบางอย่างเพื่อเอื้อต่อการดําเนินธุรกิจ โดยเริ่มแรกจะมีการกําหนดกรอบระยะเวลาและการทดลองใช้ข้อมูลที่มีดําเนินการชัดเจน เพื่อประเมินว่าจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง หากสําเร็จก็สามารถนําข้อมูลที่เกิดขึ้นไปเสนอปรับเปลี่ยนแก้กฎหมายได้ เช่น การแก้กฎหมายที่เอื้ออํานวยต่อนักลงทุนเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมีการแก้ไขกฎหมายทั้งหมด 4 ข้อ โดยให้สิทธิดังนี้
สิทธิซื้อหุ้นของพนักงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทํางาน ให้มีคนเก่งมีความสามารถเข้ามาทํางานมากขึ้น
หนี้แปลงสภาพ คือนักลงทุนบางรายเลือกที่จะเป็นเจ้าหนี้ให้บริษัทสามารถกู้เงินได้ แต่หนี้สามารถแปรสภาพเป็นหุ้นได้เช่นกัน
การทยอยให้หุ้น คือการทยอยให้สินทรัพย์และสิทธิประโยชน์ตามช่วงเวลาที่กําหนด เพื่อให้พนักงานที่ตั้งใจทํางานได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเหมาะสม
หุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงบุริมสิทธิในหุ้น มีความสําคัญกับบริษัทเนื่องจากสภาพการลงทุนของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการดําเนินงานของบริษัทในช่วงเวลานั้นๆ
ดั้งนั้น การปรับปรุงกฎหมายจะทําให้เกิดแรงจูงใจที่เพิ่มมากขึ้นและมีนักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนมากขึ้น
การจัดงาน Startup Thailand 2017 วันที่ 6-9 กรกฎาคม 2560 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
การจัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ 2560 (Startup Thailand 2017) เพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยการส่งเสริม สนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจแก่สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจและสร้างตลาดใหม่ ให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยการระดมสตาร์ทอัพของประเทศไทยให้มารวมตัวกัน เปิดโอกาสให้พบปะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจที่ประสบความสําเร็จในระดับนานาชาติ รวมถึงกลุ่มลงทุนที่พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน ตลอดจนสร้างความตระหนักและความตื่นตัวให้กับทุกคนในสังคมในการเป็นผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ อาทิเช่น นักเรียน นักศึกษา นักเรียนอาชีวะ ผู้ที่จบการศึกษาและทํางานมาระยะหนึ่ง เกษตรกรยุคใหม่ และผู้ประกอบการ SMEs อันจะช่วยผลักดันให้เกิดสังคมแห่งผู้ประกอบการขึ้นในประเทศไทยและส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยปีนี้การจัดงาน มีความแตกต่างจากปีที่ผ่านมา มีความเป็นสากลมากขึ้น ด้วยธีม Startup Hub of Southeast Asia มีการนํานักศึกษาจากทั่วประเทศทั้ง 30 มหาวิทยาลัยมาร่วมประกวดแข่งขันเพื่อรับรางวัล โดยการจัดงาน Startup Thailand 2017 จะจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร วันที่ 6-9 กรกฎาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมหลักภายในงาน มีดังนี้
กิจกรรมให้ความรู้ ผ่านเวทีการประชุมสัมมนา นิทรรศการหลักของงาน และคําปรึกษาจาก ผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่างประเทศ
กิจกรรมสร้างเครือข่ายของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Networking)
กิจกรรมการต่อยอดทางธุรกิจ ผ่านการพบปะนักลงทุนและเจรจาต่อยอดทางธุรกิจ
กิจกรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจ ผ่านเวทีประกวดแข่งขัน
นิทรรศการเพื่อให้ความรู้จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่างประเทศ และการจัดแสดงนิทรรศการจากผู้ประกอบการ Startup สาขาต่าง ๆ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail :pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวท. ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร MICESpotlight by NCC เน้นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560
รวท. ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร MICESpotlight by NCC เน้นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017
รวท. ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร MICESpotlight by NCC เน้นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 / นิตยสาร MICESpotlight by NCC เข้าสัมภาษณ์ ดร. อรรชกา สีบุญเรืองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในประเด็นการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย และการจัดงาน StartupThailand 2017 ณ ห้อง รวท. ชั้น 2 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาพรวมและธุรกิจ Startup ปี 2560แนวโน้มของธุรกิจ Startup ที่น่าสนใจในปีนี้ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ 9 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่อยู่ในแผนตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ตัวอย่างเช่น การแพทย์ (HealthTech), การท่องเที่ยว (TravelTech), เกษตรและอาหาร (AgriTech/FoodTech) และการขนส่ง (E-Commerce / Logistic) เป็นต้น
เทรนด์ที่เริ่มเห็นคือ Startup รายเล็กจะเริ่มควบรวมกัน เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้นและเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศเริ่มที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์หรือเข้าซื้อกิจการ Startup ในเมืองไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Ookbee จับมือกับ Tencent ในการทําธุรกิจในประเทศไทย ส่วนธุรกิจด้าน FinTech หรือ Financial Technology ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือ ธุรกิจที่มีการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้กับการให้บริการธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนําเสนอบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะด้านความสะดวกรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการใช้บริการที่ต่ําลง โดยอนาคตอันใกล้ คนไทยจะใช้เงินในลักษณะพันธบัตรและเหรียญน้อยลง
นอกจากนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เข้าร่วมงานประชุม Global Entrepreneurship Congress 2017 (GEC2017) ณ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ 13-16 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นการเข้าร่วมประชุม GEC โดยผู้แทนของประเทศไทยเป็นครั้งแรก งานประชุม GEC2017 เป็นงานประชุมประจําปี จัดโดยเครือข่าย Global Entrepreneurship Network (GEN) มีผู้แทนจากประเทศต่างๆ 172 ประเทศ รวมกว่า 8,500 คน เข้าร่วม ทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน นักวิจัย ผู้แทนจากภาครัฐ Policy Maker และ Startup โดยมีจุดมุ่งหมายให้เกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ งานวิจัยและโปรแกรมส่งเสริมเชิงนโยบายต่างๆ เป็นต้น โดยในที่ประชุมได้กล่าวถึงบทบาทของประเทศไทยในการส่งเสริม Startup ด้านเกษตรและอาหาร ซึ่งการที่ไทยได้มีความร่วมมือกับ GEN ถือเป็นการช่วยเสริมให้ Startup Ecosystem ในไทยมีความเป็นสากลและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ในส่วนการดําเนินงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในปีนี้จะเป็นปีแห่งการพัฒนาความเข้าใจและความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและ 30 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศเพื่อพัฒนาระบบนิเวศให้เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจ Startup โดยได้ดําเนินโครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ (Innovative Startup) ภายใต้โครงการ Agenda-based Startup ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 พร้อมๆกับการพัฒนาในรายสาขาของ 9 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยในปีนี้จะเน้นไปที่อุตสาหกรรมกลุ่มภาครัฐ/ การศึกษา (GovTech/EdTech) กลุ่มเกษตรและอาหาร (AgriTech/FoodTech) กลุ่มการแพทย์ (HealthTech) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PropertyTech)แผนการพัฒนาและส่งเสริม Startup ของไทย
รัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นพัฒนา startup ให้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจที่สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นการกระจายรายได้สู่ภูมิภาครวมทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยการส่งเสริมและพัฒนาทาง startup ต้องเร่งสร้างและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโต ซึ่งขณะนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กําลังเดินหน้าในการพัฒนาและส่งเสริมเทคสตาร์ทอัพ เริ่มต้นด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ โดยการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ และสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมและผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และเสริมสร้างความรู้ โดยจัดกิจกรรมเสริมองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการ และเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการดําเนินธุรกิจสตาร์ทอัพให้ประสบความสําเร็จ หลังจากนั้น ส่งเสริมให้เกิดแนวคิดธุรกิจใหม่ โดยจัดกิจกรรมและกลไกสนับสนุนเพื่อให้สตาร์อัพสามารถเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ และช่วยให้สามารถวางแผนการดําเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสมพร้อมที่จะโตไปข้างหน้า บางธุรกิจจําเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่เหมาะสมจากแหล่งต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ผ่านกระบวนการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยจัดกิจกรรมและกลไกสนับสนุนสําหรับผู้ที่จะเริ่มก่อตั้งธุรกิจ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อนําเสนอเข้าสู่ตลาดและทดสอบความต้องการของตลาดเบื้องต้น สุดท้ายต้องเร่งการเติบโตของธุรกิจโดยการขยายตลาด และเพิ่มรายได้ด้วยกลยุทธ์การตลาดผ่านกิจกรรมต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะดําเนินการในรูปแบบของ 8 กิจกรรมหลัก ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 สร้างความตระหนักและความเข้าใจแก่สาธารณชน
โดยเฉพาะการจัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ 2560 (Startup Thailand 2017) เพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยการส่งเสริม สนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจแก่สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจและสร้างตลาดใหม่ ให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยการระดมสตาร์ทอัพของประเทศไทยให้มารวมตัวกัน เปิดโอกาสให้พบปะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจที่ปะสบความสําเร็จในระดับนานาชาติ รวมถึงกลุ่มลงทุนที่พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน นอกจากนี้ยังสร้างช่องทางการประชาสัมพันธ์กิจกรรมสตาร์ทอัพเพิ่มเติม ได้แก่ รายการโทรทัศน์ ที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายใหญ่คือ บุคคลทั่วไป และสื่อสังคมออนไลน์ Facebook Instagram และ Twitter เพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง
กิจกรรมที่ 2 พัฒนาระบบนิเวศสําหรับการเป็นผู้ประกอบการ
โดยจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพใน 3 รูปแบบ คือ
พัฒนาหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการ (STARTUP THAILAND ACADEMY) ขับเคลื่อนนโยบายพัฒนา “มหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ (Entreprenuerial University)” ร่วมกับ 30 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นพัฒนาหลักสูตร เพื่อสร้างภาวะความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) พัฒนาศักยภาพอาจารย์และบุคลากรมหาวิทยาลัย และนักศึกษา โดยมีเป้าหมาย คือ นักศึกษาได้รับการอบรมจํานวน 30,000 คน
พัฒนาย่านธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ (STARTUP THAILAND LAUNCHPADS) โดยการสร้าง Co-Working Space ในมหาวิทยาลัย 30 แห่งทั่งประเทศ
ศูนย์พัฒนาแนวความคิดสู่ธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ (STARTUP THAILAND LEAGUE) โดยมีเป้าหมายคือ 550 โครงการที่จะได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์
กิจกรรมที่ 3 การพัฒนาระบบนิเวศและกลุ่มอุตสาหกรรม
คือ การเสริมสร้างขีดความสามารถ การสนับสนุนทางด้านการเงิน และการพัฒนาระบบนิเวศและแผนกลยุทธ์ เพื่อการพัฒนา 9 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่
GovTech / EdTech : ภาครัฐ/การศึกษา
AgriTech / FoodTech : เกษตร/อาหาร
HealthTech : การแพทย์
IndustryTech : ภาคอุตสาหกรรม
E-Commerce / Logistic : การขนส่ง
FinTech : การเงิน/การธนาคาร
LifeStyle : ไลฟ์สไตล์
TravelTech : ท่องเที่ยว
PropertyTech : อสังหาริมทรัพย์
กิจกรรมที่ 4 สตาร์ทอัพภูมิภาค
ปัจจุบัน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพในส่วนภูมิภาค 3 แห่งหลัก ๆ คือ
การสร้างความสามารถของผู้ประกอบการใหม่ในเขตภาคเหนือ (NORTHERN INNOVATIVE STARTUP THAILAND) ในโครงการ NIST โดย สนช. ซึ่งผู้สนใจสามารถมาเข้าร่วมอบรมหลักสูตร 3 Days 8 Weeks ในวงเงินสนับสนุนไม่เกิน 600,000 บาท โดยขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการ 37 ทีม
การส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการใหม่และวิสาหกิจเริ่มต้นในจังหวัดชายแดนใต้ (DEEPSOUTH STARTUP THAILAND) เป้าหมาย Startup 10 ทีม SME 10 ทีม Otop 10 ทีม ภายในปี 2560
การส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EASTERN ECONOMIC CORRIDOR STARTUP THAILAND) โดยมี สนช. สทอภ. กนอ. และมหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นผู้ดูแลกิจกรรม HACKATHON ที่ศรีราชา
กิจกรรมที่ 5 STARTUP THAILAND CONNECT
เป็นการส่งเสริมและผลักดันสตาร์ทอัพของไทยก้าวสู่สากล โดยมี 4 แนวทาง คือ
ศูนย์บ่มเพาะและเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้นเพื่อการเติบโตในระดับสากล (GLOBAL ACCELERATION) ล่าสุด กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีประสบการณ์ในการลงทุนในธุรกิจ Startup และเริ่มโครงการบ่มเพาะเร่งสร้างวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ “Global Acceleration Program” ภายใต้ชื่อ “สปาร์ค” (SPARK) โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งสร้างและพัฒนา Startup ให้มีความพร้อมในศักยภาพเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดระดับสากลมากขึ้น สปาร์ค จึงเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมและเติมเต็มระบบนิเวศของธุรกิจ Startup ในประเทศไทยให้สมบูรณ์ขึ้น และช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Startup ให้เป็นไปตามที่คาดหมายของรัฐบาล
สปาร์ค ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในหลาย ๆ สาขา อาทิ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญา ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ นักลงทุนในบริษัทกองทุนร่วมทุน การจัดการ Big Data และ IoTs เทคโนโลยีการเงิน การพัฒนาธุรกิจและการตลาด เป็นต้น โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะร่วมเป็นวิทยากรและเป็นที่ปรึกษาแบบตัวต่อตัวให้แก่ Startup ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมฝึกอบรมเข้มข้น 8 สัปดาห์ ณ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สนช. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จุดเด่นของ สปาร์ค คือการสร้างโอกาสให้บริษัท Startup ไทยก้าวสู่ตลาดและเติบโตในระดับสากล โดยผ่านบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกและชนะการประกวดแผนธุรกิจในรอบสุดท้ายจะมีโอกาสเดินทางไปพบกับนักลงทุนหรือบริษัทกองทุนร่วมทุน และศึกษาดูงานในศูนย์บ่มเพาะชั้นนําของโลก เช่น Google, Barclays ในประเทสอิสราเอล เป็นต้น
ศูนย์ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่(BUSINESS BROTHERHOOD) จํานวน 10 ศูนย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มหาวิทยาลัยจับมือกับบริษัทขนาดใหญ่ร่วมกันพัฒนาสตาร์ทอัพในรายสาขาตามความถนัดเฉพาะ
การจัดหาหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมจัดกิจกรรมบ่มเพาะและเร่งสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ การให้ปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและพี่เลี้ยง (STARTUPS IN RESIDENCE) เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจนวัตกรรมที่มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ รวมทั้งมีพื้นที่ทํางานร่วม (co-working space) เพื่อจัดกิจกรรมเครือข่ายของวิสาหกิจเริ่มต้น ชุมชน ธุรกิจ และหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันมี co-working space เข้าร่วมโครงการ 4 แห่ง คือ Pun Space จ.เชียงใหม่ Jump Space จ.ขอนแก่น Hatch จ.ภูเก็ต และ Tuber จ.สงขลา
พัฒนาศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ (INCUBATOR DEVELOPMENT) ให้เกิดขึ้นในทั่วประเทศ
กิจกรรมที่ 6 ย่านนวัตกรรม
การพัฒนาย่านนวัตกรรม (Innovation District) ถือเป็นแนวโน้มล่าสุดในการวางผังเมือง และเป็นรูปแบบใหม่ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในเมืองมหานครทั่วโลก นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ Silicon Valley หลายประเทศในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มส่งเสริมพื้นที่ในเมืองบางส่วน ให้เป็นพื้นที่สําหรับการจัดตั้งสถานประกอบการแบบ Start up และสําหรับการบ่มเพาะธุรกิจที่อาศัยงานวิจัย ความคิดสร้างสรรค์ ปัจจุบันเมืองใหญ่ทั่วโลกมีกว่า 80 แห่งที่ประกาศเรื่องการสร้างย่านนวัตกรรม อาทิ บาร์เซโลนา ประเทศสเปน และบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ดังนั้น กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงได้นํารูปแบบดังกล่าวมาจัดทํา ย่านนวัตกรรม สําหรับบ่มเพาะ Startup ของไทย โดยพื้นที่แห่งนี้จะมีขนาดไม่เกิน 4 ตร.กม. โดยสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมให้เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจ Startup เช่น
- พื้นที่ส่วนกลางในพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ประกอบการ Startup ด้วยกัน หรือผู้ประกอบการ Startup กับนักลงทุน โดยมีพี่เลี้ยงในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม กฎหมาย การเงิน การตลาด และการบริหารจัดการ รวมถึงนักวิจัยในย่านนั้นมาให้คําแนะนํา ตลอดจนเปิดโอกาสในการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ
- มีสถาบันชั้นนําและคลัสเตอร์ธุรกิจตั้งอยู่รวมกัน
- มีกิจกรรมและการจัดการร่วมกันของชุมชนคนภายในพื้นที่
โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีการกําหนดพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็น “ย่านนวัตกรรม” ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะต้องสร้างผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ สร้างงาน สร้างคุณค่าบางอย่างที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ขึ้น ได้แก่
ย่านนวัตกรรมแนวระเบียงกรุงเทพมหานคร (BANGKOK INNOVATION CORRIDOR) ได้แก่ ย่านโยธี สยาม คลองสาน กล้วยน้ําไท ห้วยขวาง และลาดกระบัง
ย่านนวัตกรรมแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC INNOVATION CORRIDOR) ได้แก่ พัทยา ศรีราชา บางแสน และอู่ตะเภา
กลุ่มเครือข่ายย่านนวัตกรรมภูมิภาค (INNOVATION CONSTELLATION) ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต
กิจกรรมที่ 7 ฐานข้อมูลสตาร์ทอัพและการประเมินผลกระทบ
ข้อมูลของสตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ต้องมีการจัดเก็บข้อมูลและวัดผลเพื่อประเมินสิ่งที่ได้ทํามาและสามารถดําเนินการต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สวทน. เป็นผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานเกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ได้แก่ ข้อมูลสตาร์ทอัพและสถิติ รายงานประจําปีสตาร์ทอัพ และการประเมินกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้คนที่สนใจหรืออยู่ในแวดวง startup สามารถเข้าถึงข้อมูลในทุกด้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดําเนินธุรกิจ
กิจกรรมที่ 8 ความง่ายในการดําเนินธุรกิจ
การเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพต้องมีการเปลี่ยนกฎหมายบางอย่างเพื่อเอื้อต่อการดําเนินธุรกิจ โดยเริ่มแรกจะมีการกําหนดกรอบระยะเวลาและการทดลองใช้ข้อมูลที่มีดําเนินการชัดเจน เพื่อประเมินว่าจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง หากสําเร็จก็สามารถนําข้อมูลที่เกิดขึ้นไปเสนอปรับเปลี่ยนแก้กฎหมายได้ เช่น การแก้กฎหมายที่เอื้ออํานวยต่อนักลงทุนเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมีการแก้ไขกฎหมายทั้งหมด 4 ข้อ โดยให้สิทธิดังนี้
สิทธิซื้อหุ้นของพนักงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทํางาน ให้มีคนเก่งมีความสามารถเข้ามาทํางานมากขึ้น
หนี้แปลงสภาพ คือนักลงทุนบางรายเลือกที่จะเป็นเจ้าหนี้ให้บริษัทสามารถกู้เงินได้ แต่หนี้สามารถแปรสภาพเป็นหุ้นได้เช่นกัน
การทยอยให้หุ้น คือการทยอยให้สินทรัพย์และสิทธิประโยชน์ตามช่วงเวลาที่กําหนด เพื่อให้พนักงานที่ตั้งใจทํางานได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเหมาะสม
หุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงบุริมสิทธิในหุ้น มีความสําคัญกับบริษัทเนื่องจากสภาพการลงทุนของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการดําเนินงานของบริษัทในช่วงเวลานั้นๆ
ดั้งนั้น การปรับปรุงกฎหมายจะทําให้เกิดแรงจูงใจที่เพิ่มมากขึ้นและมีนักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนมากขึ้น
การจัดงาน Startup Thailand 2017 วันที่ 6-9 กรกฎาคม 2560 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
การจัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ 2560 (Startup Thailand 2017) เพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยการส่งเสริม สนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจแก่สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจและสร้างตลาดใหม่ ให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยการระดมสตาร์ทอัพของประเทศไทยให้มารวมตัวกัน เปิดโอกาสให้พบปะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจที่ประสบความสําเร็จในระดับนานาชาติ รวมถึงกลุ่มลงทุนที่พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน ตลอดจนสร้างความตระหนักและความตื่นตัวให้กับทุกคนในสังคมในการเป็นผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ อาทิเช่น นักเรียน นักศึกษา นักเรียนอาชีวะ ผู้ที่จบการศึกษาและทํางานมาระยะหนึ่ง เกษตรกรยุคใหม่ และผู้ประกอบการ SMEs อันจะช่วยผลักดันให้เกิดสังคมแห่งผู้ประกอบการขึ้นในประเทศไทยและส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยปีนี้การจัดงาน มีความแตกต่างจากปีที่ผ่านมา มีความเป็นสากลมากขึ้น ด้วยธีม Startup Hub of Southeast Asia มีการนํานักศึกษาจากทั่วประเทศทั้ง 30 มหาวิทยาลัยมาร่วมประกวดแข่งขันเพื่อรับรางวัล โดยการจัดงาน Startup Thailand 2017 จะจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร วันที่ 6-9 กรกฎาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมหลักภายในงาน มีดังนี้
กิจกรรมให้ความรู้ ผ่านเวทีการประชุมสัมมนา นิทรรศการหลักของงาน และคําปรึกษาจาก ผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่างประเทศ
กิจกรรมสร้างเครือข่ายของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Networking)
กิจกรรมการต่อยอดทางธุรกิจ ผ่านการพบปะนักลงทุนและเจรจาต่อยอดทางธุรกิจ
กิจกรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจ ผ่านเวทีประกวดแข่งขัน
นิทรรศการเพื่อให้ความรู้จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่างประเทศ และการจัดแสดงนิทรรศการจากผู้ประกอบการ Startup สาขาต่าง ๆ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail :pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2902
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.ฯ พล อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลอง 25 ปี สกว. สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต พร้อมต่อยอดงานวิจัยสู่ Thailand 4.0
|
วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2560
รอง นรม.ฯ พล อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลอง 25 ปี สกว. สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต พร้อมต่อยอดงานวิจัยสู่ Thailand 4.0
เรื่อง “ทิศทางและนโยบายการพัฒนาประเทศ โดยใช้องค์ความรู้จากงานวิจัย”
เมื่อวันที่ (25 สิงหาคม 2560) เวลา 13.30 น.ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ 2 สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมาย จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลอง 25 ปี สกว.สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต จัดโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นักวิจัย คณาจารย์และสื่อมวลชนรวมทั้งสิ้นกว่า 600 คน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานและปาฐกถานํา เรื่อง “ทิศทางและนโยบายการพัฒนาประเทศ โดยใช้องค์ความรู้จากงานวิจัย” รัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพ รวมไปถึงการสร้างระบบการวิจัยของประเทศที่เข้มแข็ง จึงจัดทํายุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ 20 ปีขึ้น มุ่งเน้นที่การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศ มีหลักการของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDGs) ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่พัฒนาบนพื้นฐานการวิจัยและนวัตกรรม มีผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ นําองค์ความรู้และนวัตกรรมจากงานวิจัย ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงในด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่าผลงานของ สกว. ในช่วง25 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นข้อพิสูจน์อันดีว่าศักยภาพของบุคลากรการวิจัยของประเทศไทย สามารถผลิตงานวิจัยรวมถึงนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง และสามารถนําไปใช้ได้จริงนั้นมีอยู่จํานวนมาก แต่เพื่อจะขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาอย่าง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จะต้องอาศัยการผสานพลังวิจัยจากทุกภาคส่วนที่จะกระตุ้นให้เกิดผลงานวิจัยที่มีผลกระทบสูงได้
หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับคณะผู้บริหาร สกว. กดปุ่มเปิดงานฯ อย่างเป็นทางการ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการที่น่าสนใจ
อนึ่ง รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนมาเยี่ยมชม นิทรรศการและผลงานวิจัยภายในงานดังกล่าว ซึ่งจัดถึงวันเสาร์ ที่ 26 สิงหาคม 2560 พร้อมมีของราวัลและของที่ระลึกมอบให้ผู้มาเยี่ยมชมงานอีกด้วย
.........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.ฯ พล อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลอง 25 ปี สกว. สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต พร้อมต่อยอดงานวิจัยสู่ Thailand 4.0
วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2560
รอง นรม.ฯ พล อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลอง 25 ปี สกว. สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต พร้อมต่อยอดงานวิจัยสู่ Thailand 4.0
เรื่อง “ทิศทางและนโยบายการพัฒนาประเทศ โดยใช้องค์ความรู้จากงานวิจัย”
เมื่อวันที่ (25 สิงหาคม 2560) เวลา 13.30 น.ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ 2 สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมาย จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลอง 25 ปี สกว.สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต จัดโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นักวิจัย คณาจารย์และสื่อมวลชนรวมทั้งสิ้นกว่า 600 คน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานและปาฐกถานํา เรื่อง “ทิศทางและนโยบายการพัฒนาประเทศ โดยใช้องค์ความรู้จากงานวิจัย” รัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพ รวมไปถึงการสร้างระบบการวิจัยของประเทศที่เข้มแข็ง จึงจัดทํายุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ 20 ปีขึ้น มุ่งเน้นที่การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศ มีหลักการของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDGs) ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่พัฒนาบนพื้นฐานการวิจัยและนวัตกรรม มีผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ นําองค์ความรู้และนวัตกรรมจากงานวิจัย ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงในด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่าผลงานของ สกว. ในช่วง25 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นข้อพิสูจน์อันดีว่าศักยภาพของบุคลากรการวิจัยของประเทศไทย สามารถผลิตงานวิจัยรวมถึงนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูง และสามารถนําไปใช้ได้จริงนั้นมีอยู่จํานวนมาก แต่เพื่อจะขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาอย่าง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จะต้องอาศัยการผสานพลังวิจัยจากทุกภาคส่วนที่จะกระตุ้นให้เกิดผลงานวิจัยที่มีผลกระทบสูงได้
หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับคณะผู้บริหาร สกว. กดปุ่มเปิดงานฯ อย่างเป็นทางการ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการที่น่าสนใจ
อนึ่ง รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนมาเยี่ยมชม นิทรรศการและผลงานวิจัยภายในงานดังกล่าว ซึ่งจัดถึงวันเสาร์ ที่ 26 สิงหาคม 2560 พร้อมมีของราวัลและของที่ระลึกมอบให้ผู้มาเยี่ยมชมงานอีกด้วย
.........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6207
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561
รมว.วธ.ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
รมว.วธ.ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
วันที่ 24 ตุลาคม 2561 เวลา 08.50 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561
รมว.วธ.ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
รมว.วธ.ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
วันที่ 24 ตุลาคม 2561 เวลา 08.50 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมถ่ายภาพหมู่และร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธาน AMCA ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16292
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ให้กำลังใจนักกีฬาคนพิการ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15
|
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจนักกีฬาคนพิการ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15
รัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักกีฬาคนพิการเพื่อให้สามารถดํารงชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ (19 สิงหาคม 2559) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล รศ. ชวนี ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย นําคณะนักกีฬาคนพิการตัวแทนทีมชาติไทย จํานวน 46 คน เข้ารับโอวาทจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15 ณ กรุงริโอ เดอจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 7 - 18 กันยายนศกนี้
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวรายงานว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีนโยบายสนับสนุนกีฬาเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ และส่งเสริมให้นักกีฬาไทยก้าวไกลไปสู่การแข่งขันระดับนานาชาติและระดับโลก ซึ่งการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก 2016 ครั้งนี้ คณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทยจะจัดส่งคณะนักกีฬาคนพิการตัวแทนทีมชาติไทยไปร่วมการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15 จํานวน 82 คน แบ่งเป็นนักกีฬา 46 คน ผู้ฝึกสอน ผู้ช่วยเหลือ และเจ้าหน้าที่ 36 คน เข้าร่วมการแข่งขัน 10 ชนิดกีฬา จากทั้งหมด 23 ชนิดกีฬา โดยการแข่งขันจํานวน 10 ชนิดกีฬา ได้แก่ กรีฑา ว่ายน้ํา เทเบิลเทนนิส ยิงธนู ยกน้ําหนัก บอคเซีย ยิงปืน วิลแชร์เทนนิส และวิลแชร์ฟันดาบ รวมนักกีฬาทั้งสิ้น 46 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้โอวาทในนามของรัฐบาลและคนไทยว่า นักกีฬาทุกคนถือว่าเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ที่ประเทศบราซิล ที่ผ่านมาการแข่งขันกีฬาดังกล่าวนี้ ประเทศไทยจัดอยู่ในลําดับที่ค่อนข้างดีในระดับโลก ซึ่งนักกีฬาทุกคนได้ฝึกซ้อมและเตรียมความพร้อมกันอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อที่จะนําเหรียญทองกลับมาให้ได้ แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความตั้งใจด้วยเช่นกัน ถ้าทุกคนตั้งใจมุ่งมั่น ตั้งความหวังที่จะชนะการแข่งขัน เพื่อเป็นกําลังใจที่จะผลักดันไปสู่ความสําเร็จได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักกีฬาจะต้องเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันอย่างเต็มที ทั้งด้านร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นสิ่งสําคัญ จึงขอให้นักกีฬาแข่งขันกันอย่างสุดความสามารถ และนําความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทยให้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนคนพิการ ดูแลนักกีฬาคนพิการทุกคนให้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น และจัดสรรงบประมาณให้ โดยช่วงที่สองปีที่ผ่านมา ถือได้ว่ารัฐบาลให้การดูแลคนพิการเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของสิทธิให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในสังคมเพิ่มมากขึ้น สามารถดํารงชีวิตประจําวันได้ และการอํานวยความสะดวกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ รวมถึงครอบครัว อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างบุคลากรคนพิการให้มีความเข้มแข็งและเป็นกําลังส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้กําลังใจกับนักกีฬาฯ ว่า การแข่งขันในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่ต้องการคือ ขอให้นักกีฬาทุกคนแข่งขันให้สุดความสามารถ เพื่อเป็นความภาคภูมิใจ และนําประสบการณ์ที่ดีกลับมาให้มากที่สุด นําประสบการณ์ที่ได้รับมาพัฒนาฝึกฝนตัวเอง แล้วนํามาสั่งสอนอบรมประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น นักกีฬารุ่นพี่ไปสู่นักกีฬารุ่นน้องต่อไปในอนาคต
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้มอบอุปกรณ์กีฬา และร่วมถ่ายภาพหมู่แก่นักกีฬาเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ก่อนเดินทางไปแข่งขันกีฬาฯ ต่อไป
--------------------------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ให้กำลังใจนักกีฬาคนพิการ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจนักกีฬาคนพิการ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15
รัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักกีฬาคนพิการเพื่อให้สามารถดํารงชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ (19 สิงหาคม 2559) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล รศ. ชวนี ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย นําคณะนักกีฬาคนพิการตัวแทนทีมชาติไทย จํานวน 46 คน เข้ารับโอวาทจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15 ณ กรุงริโอ เดอจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 7 - 18 กันยายนศกนี้
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวรายงานว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีนโยบายสนับสนุนกีฬาเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ และส่งเสริมให้นักกีฬาไทยก้าวไกลไปสู่การแข่งขันระดับนานาชาติและระดับโลก ซึ่งการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก 2016 ครั้งนี้ คณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทยจะจัดส่งคณะนักกีฬาคนพิการตัวแทนทีมชาติไทยไปร่วมการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 15 จํานวน 82 คน แบ่งเป็นนักกีฬา 46 คน ผู้ฝึกสอน ผู้ช่วยเหลือ และเจ้าหน้าที่ 36 คน เข้าร่วมการแข่งขัน 10 ชนิดกีฬา จากทั้งหมด 23 ชนิดกีฬา โดยการแข่งขันจํานวน 10 ชนิดกีฬา ได้แก่ กรีฑา ว่ายน้ํา เทเบิลเทนนิส ยิงธนู ยกน้ําหนัก บอคเซีย ยิงปืน วิลแชร์เทนนิส และวิลแชร์ฟันดาบ รวมนักกีฬาทั้งสิ้น 46 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้โอวาทในนามของรัฐบาลและคนไทยว่า นักกีฬาทุกคนถือว่าเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ที่ประเทศบราซิล ที่ผ่านมาการแข่งขันกีฬาดังกล่าวนี้ ประเทศไทยจัดอยู่ในลําดับที่ค่อนข้างดีในระดับโลก ซึ่งนักกีฬาทุกคนได้ฝึกซ้อมและเตรียมความพร้อมกันอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อที่จะนําเหรียญทองกลับมาให้ได้ แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความตั้งใจด้วยเช่นกัน ถ้าทุกคนตั้งใจมุ่งมั่น ตั้งความหวังที่จะชนะการแข่งขัน เพื่อเป็นกําลังใจที่จะผลักดันไปสู่ความสําเร็จได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักกีฬาจะต้องเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันอย่างเต็มที ทั้งด้านร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นสิ่งสําคัญ จึงขอให้นักกีฬาแข่งขันกันอย่างสุดความสามารถ และนําความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทยให้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนคนพิการ ดูแลนักกีฬาคนพิการทุกคนให้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น และจัดสรรงบประมาณให้ โดยช่วงที่สองปีที่ผ่านมา ถือได้ว่ารัฐบาลให้การดูแลคนพิการเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของสิทธิให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในสังคมเพิ่มมากขึ้น สามารถดํารงชีวิตประจําวันได้ และการอํานวยความสะดวกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ รวมถึงครอบครัว อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างบุคลากรคนพิการให้มีความเข้มแข็งและเป็นกําลังส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้กําลังใจกับนักกีฬาฯ ว่า การแข่งขันในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่ต้องการคือ ขอให้นักกีฬาทุกคนแข่งขันให้สุดความสามารถ เพื่อเป็นความภาคภูมิใจ และนําประสบการณ์ที่ดีกลับมาให้มากที่สุด นําประสบการณ์ที่ได้รับมาพัฒนาฝึกฝนตัวเอง แล้วนํามาสั่งสอนอบรมประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น นักกีฬารุ่นพี่ไปสู่นักกีฬารุ่นน้องต่อไปในอนาคต
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้มอบอุปกรณ์กีฬา และร่วมถ่ายภาพหมู่แก่นักกีฬาเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ก่อนเดินทางไปแข่งขันกีฬาฯ ต่อไป
--------------------------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/151
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.ก.อุตฯ เปิดการสัมมนา “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” จ.นครราชสีมา
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561
รมต.ก.อุตฯ เปิดการสัมมนา “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” จ.นครราชสีมา
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา
วันนี้ (13 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” เพื่อให้ความรู้ด้านการเงิน การทําบัญชี และภาษีอากร ให้กับ SME และผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งการมอบสินเชื่อตาม มาตรการ Financial Literacy ของกระทรวงอุตสาหกรรม และมอบคูปองตรวจยกระดับมาตรฐาน SME ไทยสู่สากล ของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้กับผู้ประกอบการที่อนุมัติสินเชื่อจากกองทุนการพัฒนา เอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมีนายจรัสชัย โชคเรืองสกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารองค์กรเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน สถาบันการศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ร่วมเปิดงาน ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การจัดงาน “SME สัญจร : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” เป็นการดําเนินการเพื่อตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศภายใต้ “Thailand 4.0” เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศที่มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว. หรือ SME Bank) ในการนํานโยบายดังกล่าวมากําหนดเป็นแนวทางการขับเคลื่อน พร้อมด้วยมาตรการ ส่งเสริม สนับสนุน และให้การช่วยเหลือ SMEs เพื่อยกระดับไปสู่การสร้างมูลค่าที่สูงขึ้น (High Value) อย่างมีศักยภาพก้าวไปสู่ SME 4.0 ได้ในที่สุด
การจัดงาน “SME สัญจร : พลิกธูรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตอบสนองพันธกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการดึงศักยภาพของอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ออกมาและพัฒนาให้ตรงตามความต้องการ โดยเริ่มจากการปรับตัว พัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ต่อยอดอุตสาหกรรมให้ถึงเป้าหมาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะนําไปสู่การยกระดับการเพิ่มผลผลิต รวมถึงด้านการพัฒนาคนเพื่อเป็นรากฐานของการขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ในทุกมิติ ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายหน่วยร่วม ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.ก.อุตฯ เปิดการสัมมนา “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” จ.นครราชสีมา
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561
รมต.ก.อุตฯ เปิดการสัมมนา “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” จ.นครราชสีมา
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา
วันนี้ (13 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ “SME สัญจร : เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” เพื่อให้ความรู้ด้านการเงิน การทําบัญชี และภาษีอากร ให้กับ SME และผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งการมอบสินเชื่อตาม มาตรการ Financial Literacy ของกระทรวงอุตสาหกรรม และมอบคูปองตรวจยกระดับมาตรฐาน SME ไทยสู่สากล ของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้กับผู้ประกอบการที่อนุมัติสินเชื่อจากกองทุนการพัฒนา เอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมีนายจรัสชัย โชคเรืองสกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารองค์กรเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน สถาบันการศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ร่วมเปิดงาน ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การจัดงาน “SME สัญจร : พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” เป็นการดําเนินการเพื่อตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศภายใต้ “Thailand 4.0” เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศที่มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว. หรือ SME Bank) ในการนํานโยบายดังกล่าวมากําหนดเป็นแนวทางการขับเคลื่อน พร้อมด้วยมาตรการ ส่งเสริม สนับสนุน และให้การช่วยเหลือ SMEs เพื่อยกระดับไปสู่การสร้างมูลค่าที่สูงขึ้น (High Value) อย่างมีศักยภาพก้าวไปสู่ SME 4.0 ได้ในที่สุด
การจัดงาน “SME สัญจร : พลิกธูรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0” ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตอบสนองพันธกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการดึงศักยภาพของอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ออกมาและพัฒนาให้ตรงตามความต้องการ โดยเริ่มจากการปรับตัว พัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ต่อยอดอุตสาหกรรมให้ถึงเป้าหมาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะนําไปสู่การยกระดับการเพิ่มผลผลิต รวมถึงด้านการพัฒนาคนเพื่อเป็นรากฐานของการขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ในทุกมิติ ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายหน่วยร่วม ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15357
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561
“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชน
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชน
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชนในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรม
พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว และสามารถดําเนินการการขับเคลื่อนแผนงานที่กําหนดไว้ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
โดยมี พลตํารวจโทวรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันหาแนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ของเด็กและเยาวชน (คุณแม่วัยใส) จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานฯ ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนร่วมกันวิเคราะห์ลักษณะของสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างกัน เพื่อปรับปรุงแผนงานในการขับเคลื่อนให้มีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่แท้จริงอยู่เสมอ เพื่อรวบรวมเป็นแนวทางในการดําเนินแผนงาน/โครงการ ในการสร้างการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงชุดความรู้ และงานบริการในการป้องกันปัญหาดังกล่าว จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชน
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561
“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชน
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชน
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานขับเคลื่อนแผนยุทธศาตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์แก่เด็กและเยาวชนในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรม
พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว และสามารถดําเนินการการขับเคลื่อนแผนงานที่กําหนดไว้ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
โดยมี พลตํารวจโทวรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันหาแนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ของเด็กและเยาวชน (คุณแม่วัยใส) จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานฯ ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนร่วมกันวิเคราะห์ลักษณะของสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างกัน เพื่อปรับปรุงแผนงานในการขับเคลื่อนให้มีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่แท้จริงอยู่เสมอ เพื่อรวบรวมเป็นแนวทางในการดําเนินแผนงาน/โครงการ ในการสร้างการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงชุดความรู้ และงานบริการในการป้องกันปัญหาดังกล่าว จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15367
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางอาทิตยา สุธาธรรม ที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ และคณะผู้บริหาร ข้าราชการในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ณ ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ บริเวณลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางอาทิตยา สุธาธรรม ที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ และคณะผู้บริหาร ข้าราชการในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ณ ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ บริเวณลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7750
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เยี่ยมชม รถขายอาหาร (Food Truck) ภายใต้โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์เคลื่อนที่” โฉมใหม่ พร้อมเน้นย้ำเรื่องความสะอาด และการจัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด
|
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
นรม. เยี่ยมชม รถขายอาหาร (Food Truck) ภายใต้โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์เคลื่อนที่” โฉมใหม่ พร้อมเน้นย้ําเรื่องความสะอาด และการจัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด
นรม. เยี่ยมชม รถขายอาหาร (Food Truck) ภายใต้โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์เคลื่อนที่” โฉมใหม่ พร้อมเน้นย้ําเรื่องความสะอาด และการจัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด
วันนี้ (23 สิงหาคม 2559) เวลา 9.00 น. ณ หน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะนําตัวแทนในโครงการ ร้านอาหารหนูณิชย์เคลื่อนที่ มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์ โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์” โฉมใหม่ เน้นแนวคิด อร่อย สะอาด ราคาประหยัดพร้อมปรับปรุงร้านให้ทันสมัย และนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อตอบโจทย์กระแสความนิยมอาหาร Street Food และนํารถขายอาหาร Food Truck “หนูณิชย์เคลื่อนที่” มาจัดแสดงในครั้งนี้อีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า การปรับโฉมใหม่ โครงการร้านอาหาร หนูณิชย์ พาชิม ครั้งนี้เพื่อต้องการสร้างโอกาสในการขยายร้านอาหารหนูณิชย์ให้เข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเพิ่มความทันสมัยควบคู่ไปกับการยกระดับร้านอาหารหนูณิชย์สู่มาตรฐานสากล พร้อมส่งเสริมและพัฒนาเจ้าของกิจการให้เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ยังคงเป้าหมายหลักไว้ คือ คุณภาพอาหารที่ดี อร่อย และราคาประหยัด หรือจ่ายน้อยแต่อร่อยมาก ซึ่งมั่นใจได้ว่าการปรับภาพลักษณ์จะส่งผลให้ร้านหนูณิชย์ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินโครงการ หนูณิชย์ พาชิม ภายใต้หลักการ ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนที่จะสามารถรับประทานอาหารปรุงสําเร็จ ที่ถูก สะอาด ดี และอร่อย ในราคาไม่เกิน 35 บาท จนถึงปัจจุบันมีจํานวนร้าน หนูณิชย์ ภายใต้โครงการแล้วถึง 11,576 ร้านทั่วประเทศ พร้อมเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะยกระดับและพัฒนาร้านหนูณิชย์ให้มีความทันสมัย สามารถขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น เช่น คนทํางาน วัยรุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการตอบโจทย์กระแสนิยมร้านอาหารลักษณะ Street Food พร้อมนํารถขายอาหาร Food Truck มาจัดแสดงเพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และพร้อมกระจายลงสู่พื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มดําเนินการในวันที่ 1 กันยายน 2559 นี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมและสอบถามผู้ประกอบการตัวแทนร้านอาหารหนูณิชย์ พร้อมกล่าวชื่นชมและขอให้เน้นเรื่องความสะอาด จัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด พร้อมมีการพัฒนาต่อยอดร้านค้าให้มีความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในร้าน และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกับตัวแทนร้านอาหาร รวมทั้งได้อุดหนุนอาหารต่าง ๆ จํานวนหนึ่งกลับไปรับประทานที่บ้านพักอีกด้วย เช่น ปลาดุกผัดฉ่า หมูคั่วกลิ้ง ไข่ต้ม แกงเขียวหวานหมู ปลาสลิดทอด น้ําพริกกะปิพร้อมผักสด ลูกชิ้นปลากราย (นครสวรรค์) และหมูทอดเจ๊จง เป็นต้น
********************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เยี่ยมชม รถขายอาหาร (Food Truck) ภายใต้โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์เคลื่อนที่” โฉมใหม่ พร้อมเน้นย้ำเรื่องความสะอาด และการจัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
นรม. เยี่ยมชม รถขายอาหาร (Food Truck) ภายใต้โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์เคลื่อนที่” โฉมใหม่ พร้อมเน้นย้ําเรื่องความสะอาด และการจัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด
นรม. เยี่ยมชม รถขายอาหาร (Food Truck) ภายใต้โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์เคลื่อนที่” โฉมใหม่ พร้อมเน้นย้ําเรื่องความสะอาด และการจัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด
วันนี้ (23 สิงหาคม 2559) เวลา 9.00 น. ณ หน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะนําตัวแทนในโครงการ ร้านอาหารหนูณิชย์เคลื่อนที่ มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์ โครงการร้านอาหาร “หนูณิชย์” โฉมใหม่ เน้นแนวคิด อร่อย สะอาด ราคาประหยัดพร้อมปรับปรุงร้านให้ทันสมัย และนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อตอบโจทย์กระแสความนิยมอาหาร Street Food และนํารถขายอาหาร Food Truck “หนูณิชย์เคลื่อนที่” มาจัดแสดงในครั้งนี้อีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า การปรับโฉมใหม่ โครงการร้านอาหาร หนูณิชย์ พาชิม ครั้งนี้เพื่อต้องการสร้างโอกาสในการขยายร้านอาหารหนูณิชย์ให้เข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเพิ่มความทันสมัยควบคู่ไปกับการยกระดับร้านอาหารหนูณิชย์สู่มาตรฐานสากล พร้อมส่งเสริมและพัฒนาเจ้าของกิจการให้เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ยังคงเป้าหมายหลักไว้ คือ คุณภาพอาหารที่ดี อร่อย และราคาประหยัด หรือจ่ายน้อยแต่อร่อยมาก ซึ่งมั่นใจได้ว่าการปรับภาพลักษณ์จะส่งผลให้ร้านหนูณิชย์ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินโครงการ หนูณิชย์ พาชิม ภายใต้หลักการ ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนที่จะสามารถรับประทานอาหารปรุงสําเร็จ ที่ถูก สะอาด ดี และอร่อย ในราคาไม่เกิน 35 บาท จนถึงปัจจุบันมีจํานวนร้าน หนูณิชย์ ภายใต้โครงการแล้วถึง 11,576 ร้านทั่วประเทศ พร้อมเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะยกระดับและพัฒนาร้านหนูณิชย์ให้มีความทันสมัย สามารถขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น เช่น คนทํางาน วัยรุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการตอบโจทย์กระแสนิยมร้านอาหารลักษณะ Street Food พร้อมนํารถขายอาหาร Food Truck มาจัดแสดงเพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และพร้อมกระจายลงสู่พื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มดําเนินการในวันที่ 1 กันยายน 2559 นี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมและสอบถามผู้ประกอบการตัวแทนร้านอาหารหนูณิชย์ พร้อมกล่าวชื่นชมและขอให้เน้นเรื่องความสะอาด จัดร้านให้ดูดี ราคาประหยัด พร้อมมีการพัฒนาต่อยอดร้านค้าให้มีความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในร้าน และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกับตัวแทนร้านอาหาร รวมทั้งได้อุดหนุนอาหารต่าง ๆ จํานวนหนึ่งกลับไปรับประทานที่บ้านพักอีกด้วย เช่น ปลาดุกผัดฉ่า หมูคั่วกลิ้ง ไข่ต้ม แกงเขียวหวานหมู ปลาสลิดทอด น้ําพริกกะปิพร้อมผักสด ลูกชิ้นปลากราย (นครสวรรค์) และหมูทอดเจ๊จง เป็นต้น
********************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/149
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ เปิดงานวันดินโลก 2562
|
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
รมว.เกษตรฯ เปิดงานวันดินโลก 2562
รมว.เกษตรฯ เปิดงานวันดินโลก 2562 เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมสร้างการรับรู้การป้องกันการชะล้างพังทลายของดินแก่พี่น้องเกษตรกร
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงานวันดินโลก ปี 2562 World Soil Day 2019 ณ สถานีพัฒนาที่ดินประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ได้จัดงานวันดินโลก ปี 2562 World Soil Day 2019 ขึ้น ตามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) รับรองให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” (Humanitarian Soil Scientist Award) พระองค์แรกและพระองค์เดียวในโลก พร้อมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ถึงความสําคัญของวันดินโลก เพื่อให้น้อมนําแนวพระราชดําริตามศาสตร์พระราชามาสานต่อให้ประสบความสําเร็จ ด้วยทรงเห็นว่าดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งกําเนิดของปัจจัยสี่ และในด้านเกษตรกรรม ที่มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช เป็นแหล่งของธาตุอาหารต่าง ๆ ที่พืชจําเป็นต้องใช้
ทั้งนี้ กลุ่มสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership หรือ GSP) จะมีการกําหนดหัวข้อหลักการจัดงานของแต่ละปี และในปี 2562 ได้กําหนดหัวข้อ “Stop Soil Erosion, Save our Future” “ปกป้องอนาคต ลดการชะล้างดิน” เพื่อสร้างการรับรู้ และให้ความรู้เรื่องการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาดินเสื่อมโทรม หากปราศจากการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ก็จะไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ในเวลาอันสั้น และมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมขององค์กรและบุคคลถึงความสําคัญของการอนุรักษ์ดินและน้ํา ป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดินเพื่อระบบนิเวศให้มีความอุดมสมบูรณ์ โดยจะต้องมีการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนด้วย
สําหรับกิจกรรมภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการ แปลงสาธิต ฐานเรียนรู้ และจัดเสวนาหมอดินอาสาและเครือข่าย เพื่อสร้างการรับรู้ความสําคัญของวันดินโลก และให้ได้รับความรู้เพื่อร่วมกันป้องกันดูแล ใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินอย่างเหมาะสม หากดินมีความอุดมสมบูรณ์ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็จะสามารถดํารงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างยั่งยืน
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ เปิดงานวันดินโลก 2562
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
รมว.เกษตรฯ เปิดงานวันดินโลก 2562
รมว.เกษตรฯ เปิดงานวันดินโลก 2562 เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมสร้างการรับรู้การป้องกันการชะล้างพังทลายของดินแก่พี่น้องเกษตรกร
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงานวันดินโลก ปี 2562 World Soil Day 2019 ณ สถานีพัฒนาที่ดินประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ได้จัดงานวันดินโลก ปี 2562 World Soil Day 2019 ขึ้น ตามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) รับรองให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” (Humanitarian Soil Scientist Award) พระองค์แรกและพระองค์เดียวในโลก พร้อมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ถึงความสําคัญของวันดินโลก เพื่อให้น้อมนําแนวพระราชดําริตามศาสตร์พระราชามาสานต่อให้ประสบความสําเร็จ ด้วยทรงเห็นว่าดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งกําเนิดของปัจจัยสี่ และในด้านเกษตรกรรม ที่มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช เป็นแหล่งของธาตุอาหารต่าง ๆ ที่พืชจําเป็นต้องใช้
ทั้งนี้ กลุ่มสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership หรือ GSP) จะมีการกําหนดหัวข้อหลักการจัดงานของแต่ละปี และในปี 2562 ได้กําหนดหัวข้อ “Stop Soil Erosion, Save our Future” “ปกป้องอนาคต ลดการชะล้างดิน” เพื่อสร้างการรับรู้ และให้ความรู้เรื่องการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาดินเสื่อมโทรม หากปราศจากการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ก็จะไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ในเวลาอันสั้น และมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมขององค์กรและบุคคลถึงความสําคัญของการอนุรักษ์ดินและน้ํา ป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดินเพื่อระบบนิเวศให้มีความอุดมสมบูรณ์ โดยจะต้องมีการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนด้วย
สําหรับกิจกรรมภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการ แปลงสาธิต ฐานเรียนรู้ และจัดเสวนาหมอดินอาสาและเครือข่าย เพื่อสร้างการรับรู้ความสําคัญของวันดินโลก และให้ได้รับความรู้เพื่อร่วมกันป้องกันดูแล ใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินอย่างเหมาะสม หากดินมีความอุดมสมบูรณ์ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็จะสามารถดํารงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างยั่งยืน
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25274
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2558 เวลา 17.00 น.
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
ในวันที่ 1 มิถุนายนที่กําลังจะมาถึงเป็น “วันวิสาขบูชา”ซึ่งเป็นวันสําคัญยิ่งทางพุทธศาสนาเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศรับรองให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลของโลก จึงนับว่ามีความสําคัญกับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทั้งนี้ถือเป็นอันโอกาสดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ร่วมกิจกรรมสืบทอดพระพุทธศาสนา น้อมรําลึกถึงพระพุทธองค์ และนําหลักธรรมคําสอนไปปฏิบัติในชีวิตประจําวันและร่วมกันประดับธงชาติและธงธรรมจักร เพื่อแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เข้าวัด ทําบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ลด ละ เลิกอบายมุข ทําความดีถวายเป็นพุทธบูชา และน้อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ โดยพร้อมเพรียงกัน
รัฐบาลจะร่วมกับสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด คณะสงฆ์ และองค์กรเครือข่ายชุมชนคุณธรรม “บวร” (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ได้เตรียมการจัดกิจกรรมทางศาสนาทั้งในส่วนกลาง ณ ท้องสนามหลวง และส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วไปได้ร่วมงาน นอกจากจะเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองแล้ว ครอบครัวและยังจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมะอีกด้วย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานหลายงาน ทําให้มีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และรับฟังปัญหาจากตัวแทนภาคประชาชนในกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มตัวแทนหอการค้าจากทั่วประเทศ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ที่ผมได้พบส่วนใหญ่นั้น ให้ความสนใจ เข้าใจ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในส่วนของการวางรากฐาน ในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไปเพื่ออนาคตของเขาเอง
ผมได้ขอบคุณขอให้ทุกคนได้ช่วยกันกลับไปสื่อสาร ทําความเข้าใจและช่วยสานต่อในสิ่งที่ผมได้พูด ได้ทําไปในขณะนี้ ซึ่งบางอย่างนั้นอาจจะยังไม่เสร็จเรียบร้อย บางอย่างก็เสร็จไปแล้ว บางอย่างกําลังเตรียมการจะกระทําอยู่ ถ้าเข้าใจกันวันนี้ ก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ลดความขัดแย้ง
สําหรับนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลนั้น ขณะนี้ออกไปมากมาย ผมอยากจะให้ไปถึงชุมชน และถึงคนทุกระดับทุกพื้นที่ได้ทําความเข้าใจ เพราะเราจําเป็นต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และพื้นฐานตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานไว้แล้วว่า ทุกอย่างจะพัฒนาไปได้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือเราต้องมีความรู้และคุณธรรม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นกังวลอยู่คือเรื่องการเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย ผมได้พูดไปหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็อยากจะนําส่วนหนึ่งของการบรรยายพิเศษของศาสตราจารย์ มิเชล โทเปอร์ จากมหาวิทยาลัยปารีสที่ 10 ของฝรั่งเศสที่ได้มาบรรยายที่บ้านเรา และให้ข้อคิดที่ว่า “การรัฐประหาร ก็อาจไม่ใช่การทําลายประชาธิปไตยเสมอไป เพราะบางครั้งการรัฐประหารในหลายประเทศ ก็เป็นการทําเพื่อเตรียมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในอนาคต” ผมไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ทําความเข้าใจผมด้วย
เพราะหลายประเทศก็ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาเกือบทั้งสิ้น ผมอยากให้คนไทยทุกคนตระหนักว่าที่ผ่านมา 10 กว่าปีนั้น ประเทศไทยมีปัญหามาโดยตลอด ประชาชนแตกแยก ไม่มีความสุข รัฐบาลทุกรัฐบาลพร้อมที่จะใช้กําลังเพื่อให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ยุติ ทั้งด้วยกฎหมาย ด้วยการคลี่คลายสถานการณ์ แต่ก็ไม่ยุติ ประเทศไทยของเรานั้น ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่มาเป็นเวลานาน เพื่อนบ้าน รอบบ้านต่างเร่งเดินหน้าพัฒนาประเทศกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในเร็ววันนี้ ปลายปีนี้ ถ้าปล่อยไว้โดยเราไม่ทําอะไรเลย ประเทศก็พังพินาศเสียหาย ลูกหลานเราก็ไม่มีอนาคต
สําหรับผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาในการบริหารประเทศนั้นก็แก้ปัญหาให้ได้ อย่าให้คนไทยต้องหันมาต่อสู้ทําร้ายกันเองอีก สังคมแตกแยกขาดความเป็นระเบียบ กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ด้อยโอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบ มีความเลื่อมล้ําไม่เป็นธรรม ประเทศชาติอ่อนแอ รัฐบาลนี้เข้ามาตอนที่ประเทศไทยกําลังจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ กําลังจะไปไม่รอดอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาแล้ว ผมต้องการให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนจากสภาพเดิม ๆ แล้วเดินหน้าต่อ เรามีศักยภาพอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ใช้ศักยภาพเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
ผมต้องการให้คนไทยมีศักดิ์ศรี มีอนาคต ผมไม่เคยคิดว่าทุกอย่างจะง่าย แต่ก็เชื่อว่าถ้าทุกคนร่วมมือกัน มองข้ามผลประโยชน์ส่วนตัว และก็ยอมรับว่าประเทศชาติเราต้องปฏิรูป หันมามองผลประโยชน์ส่วนรวม ลดอัตตาตัวเองลงไป ผมคิดว่าเราทําได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนทุกคน การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารครั้งนี้ เราน่าจะสามารถวางรากฐานที่มั่นคงให้กับประเทศไทยของเราเพื่อเตรียมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ในอนาคต จะได้หรือไม่ได้อยู่ที่พวกเราทุกคน และผมอยากจะกราบเรียนว่าคงไม่ใช่เฉพาะพวกเรา การวางอนาคตเหล่านั้นเป็นการวางอนาคตให้กับคนรุ่นหลังของเรา ลูกหลาน ผมอยากจะใช้คําว่าคนไทยที่ยังไม่ได้เกิดมามีอีกมากมาย วันหน้าก็มีเกิดมาเพิ่มเติม เราต้องวางพื้นฐานให้เขาตรงนั้นด้วย ไม่ใช่วันนี้เราใช้ทุกอย่างสิ้นเปลือง ทรัพยากรก็หมดไป ความเข้มแข็งก็ไม่มี วันหน้าประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน แล้วเขาเกิดมาเขาต้องเผชิญกับความยากลําบากอย่างไร คิดอย่างนั้นนะ ทุกที่จะเข้ามาสู่การเมือง หรือคนที่จะเป็นข้าราชการ ต้องคิดแบบที่ผมคิด ถึงจะแก้ปัญหาสําเร็จ
ปัญหาที่สะสมมายาวนานก็ต้องช่วยกันแก้ อย่าโยนภาระให้กับรัฐบาล หรือ คสช. ให้ใช้อํานาจอย่างเดียว ไปไม่สําเร็จ วันหน้าเกิดขึ้นมาใหม่ อยู่ที่การร่วมแรง ร่วมใจของทุกคน ความสมัครใจ การที่จะปรองดองกัน เรื่องกฎหมายก็คือกฎหมายคนละเรื่องกัน ปรองดองกันให้ได้ก่อน และจะต้องไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก ในสถานการณ์ต่อจากนี้ไป
เรื่องสําคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลเร่งดําเนินการอยู่ในขณะนี้ด้วยความเร่งด่วน
เรื่องชาวโรฮีนจา รัฐบาลไทยได้มีความชัดเจนในการกําหนดความช่วยเหลือชาวโรฮีนจาตามหลักมนุษยธรรม ประเทศไทย คนไทยไม่เคยแล้งน้ําใจ เราได้ให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มิตรประเทศมาโดยตลอด ปัจจุบันก็ยังทําอยู่ตามแนวชายแดน และรวมทั้งเหตุการณ์สินามิในประเทศญี่ปุ่น อุทกภัยในประเทศอินเดีย ล่าสุดประเทศที่เนปาล เราก็เป็นประเทศแรก ๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่เราก็พร้อมและยินดีที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือมิตรของเราในยามลําบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์คุณค่าความเป็นมนุษย์ อันนี้เป็นสิ่งสําคัญ เราก็ช่วยตามขีดความสามารถของเรา
สําหรับปัญหาชาวโรฮีนจาก็เช่นกัน ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของทุกประเทศ องค์กรระหว่างประเทศต้องช่วยกัน ในการดูแลมนุษยชาติ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่จําเป็นต้องกําหนดหลักการช่วยเหลือให้ชัดเจน ทั้งในเรื่องของการดูแลรักษาพยาบาล น้ํา อาหาร และการอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้ปลอดภัยไปยังประเทศปลายทาง ตามความสมัครใจ ต้องเข้าใจว่าประเทศไทยนั้นเป็นเพียง “ทางผ่าน” ไม่ใช่ประเทศเป้าหมายของชาวโรฮีนจา
ผมได้สั่งการให้ กระทรวงกลาโหม จัดตั้ง “ศูนย์อํานวยการลาดตระเวนและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้กับผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ในมหาสมุทรอินเดีย” (ศอ.ยฐ.) มีหน้าที่ในการลาดตระเวน ทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ โดยความร่วมมือทั้งทหารเรือ ทหารอากาศ โดยทหารอากาศเป็นผู้ควบคุม ได้มีการจัดตั้งฐานปฏิบัติการลอยน้ํา เพื่อให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้แก่ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติด้วย ตามหลักสากล ก็ขึ้นอยู่กับกองทัพเรือ และปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
วันนี้กระทรวงการต่างประเทศก็ได้จัดการประชุมว่าด้วย “การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย” ทั้งนี้เพื่อเป็นเวทีให้ทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้หารืออย่างสร้างสรรค์เพื่อแสวงหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและให้เกิดความยั่งยืน มี 16 ประเทศเข้าร่วม อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และบังกลาเทศ รวมทั้งประเทศผู้สังเกตการณ์ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และ สหรัฐฯ และผู้แทนจากสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และสํานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)
เป้าหมายหลักของการประชุมครั้งนี้ เร่งผลักดันในประเด็นที่ต้องการให้เกิดความร่วมกันในการแก้ไข ทั้งประเทศต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ใช้หลักการร่วมแบ่งปันระหว่างประเทศ(International Burden Sharing) หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย สําหรับผลการประชุมกระทรวงการต่างประเทศนั้น จะเสนอให้ทราบในโอกาสต่อไป
ผมคิดว่าคงได้คําตอบในทุกประเด็นต้องการให้เกิดการปฏิบัติให้ได้หลังจากมีการประชุมไปแล้ว และระยะกลางจะทําอย่างไร ระยะยาวจะทําอย่างไร ระยะแรกจะต้องร่วมมือกันตรงไหน งบประมาณใช้จากที่ไหน แล้วใครจะเป็นผู้อํานวยการปฏิบัติ หรือแต่ปฏิบัติจะแยกกันเอง ก็ต้องไปหาคําตอบกันในที่ประชุม ผมได้สั่งการลงรายละเอียดไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับในที่ประชุมจะมีมติว่าอย่างไร
เราไปบังคับใครมากก็ไม่ได้อยู่แล้ว เป็นสิทธิของแต่ละประเทศ แล้วเราเป็นอาเซียนด้วยกัน ก็ไม่อยากให้เสนอข่าวเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นความขัดแย้งจะทําให้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันในอาเซียน ที่กําลังดีอยู่ กําลังเข้มแข็งอยู่ต้องเสียหายไป ปัญหามีทุกประเทศ ถ้าเราร่วมมือกันทํา ร่วมมือกันแก้ก็จะได้ แล้วก็ไม่โทษกันไปกันมา เราก็ทําหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของมนุษย์ ชีวิตทุกคนมีค่าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ศาสนาใดก็ตาม เขามีสิทธิ์ในการดํารงชีวิตอยู่ทั้งสิ้น
เรื่อง IUU รัฐบาลได้ดําเนินการจัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย” หรือ ศปมผ. ซึ่งเป็นศูนย์เฉพาะกิจ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานั้น หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐได้เร่งดําเนินการในการแก้ไขปัญหา ได้กําหนดให้ศูนย์อํานวยการการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน กรมประมง และกรมเจ้าท่า ในการจัดทําแผนการตรวจตราการประมงระดับชาติ (National Inspection Plan)
สําหรับการดําเนินงานวางระบบในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการประมงภายในประเทศ ปัจจุบันมีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประมง พ.ศ. 2558 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ IUU ที่เข้ามาเพื่อมาดูการปฏิบัติของเราในช่วงเร็ว ๆ นี้ เราจําเป็นที่จะต้องทําให้สามารถดําเนินการกับการจัดการทรัพยากรประมงให้ได้ รวมทั้งจะต้องมีการเร่งพิจารณากฎหมายลูกอีกไม่น้อยกว่า 17 ฉบับ สําหรับการปรับปรุงภายนอกประเทศ คือ ต้องมีการจัดทําข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศในการดําเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นไปตามหลักวิชาการด้านการประมง
เรื่องแรงงานประมง เราไม่ได้นิ่งนอนใจ การช่วยเหลือเพื่อส่งตัวลูกเรือประมงไทยที่ตกค้างอยู่ที่เกาะอําบน และเกาะอื่น ๆ ด้วยในอินโดนีเซียตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 ถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 1 ปี 2557-2558 กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาการ์ตา และกรมการกงสุล ได้ดําเนินการส่งตัวลูกเรือประมงกลับไทยแล้วทั้งสิ้น 618 คน ล่าสุดเป็นลูกเรือจากเกาะเบนจินา จํานวน 29 คน ที่ได้เดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ตามด้วยลูกเรือจากเกาะเบนจินา 29 คน เกาะตาเร็มปา 5 คน และเกาะอําบนอีก 5 คน ในวันที่ 26 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันนั้นจากเกาะอําบนที่ได้ดําเนินการออกหนังสือรับรองสัญชาติ (Certificate of Identity – C.I.) และอยู่ระหว่างการรอส่งกลับอีก 80 คน และจากเกาะเบนจินาอีก 327 คน ทั้งหมดอยู่ระหว่างการรอการสอบสวน ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานฝ่ายอินโดนีเซียขอให้ลดขั้นตอนการพิจารณาเพื่อที่จะส่งลูกเรือเหล่านี้กลับได้ในโอกาสแรก
รัฐบาลขอขอบคุณรัฐบาลอินโดนีเซีย และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งทหาร ตํารวจ และพลเรือน ที่ได้พยายามร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ถูกมองข้ามมาเป็นเวลายาวนานเหล่านี้ด้วย ก็ต้องคัดแยกให้ดี ว่าอันไหนเป็นเหยื่อ อันไหนเป็นค้ามนุษย์ อันไหนเกี่ยวข้องกับกระบวนการ และอันไหนเป็นสัญชาติของใคร ก็ต้องพิสูจน์สัญชาติให้เรียบร้อยแล้วก็ส่งกลับไป มาตรการทั้งกฎหมาย มาตรการทั้งวิธีการปฏิบัติ และมาตรการให้การดูแลเหยื่อ ทั้งหมดจะต้องครบถ้วน ตามข้อบังคับหรือกติกาของประชาคมโลก
ผมเชื่อว่าประเทศไทยนั้นมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี เราทุกคนก็ต้องช่วยกันทําให้ทุกคนเป็นคนดี และลงโทษคนไม่ดี อย่างเป็นธรรมด้วยกระบวนยุติธรรม อย่างน้อยก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลานเราเห็น ประเทศไทยเราจะได้ก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ลดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ ประชาชนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย
เรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ทุกคนก็ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยยังคงพึ่งพาการหารายได้จากภาคการส่งออกอยู่มาก การส่งออกบ้านเรานั้น ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่ค้าสําคัญ โดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรปและเอเชีย เช่น จีน ที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ผมได้รับรายงานสถานการณ์การส่งออกล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์ว่าการส่งออกของไทยเริ่มมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น โดยในเดือน เมษายน 2558 มูลค่าการส่งออกหากไม่นับรวมในส่วนของน้ํามันและทองคํา พบว่า มีการขยายตัว เป็นบวกที่ร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว
สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้เปิดเผยถึงผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในปี 2558 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 จากจํานวน 61 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ลดลง 1 อันดับ จากปี 2557 เนื่องจากผลการประเมินด้าน “สมรรถนะทางเศรษฐกิจ” ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมีการพิจารณาจากการค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนระหว่างประเทศเป็นหลัก เศรษฐกิจของไทยยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอยู่ เราต้องสร้างความเข้มแข็งสร้างนวัตกรรม แล้วดูแลธุรกิจ SMEs ให้ได้ SMEs อยู่ในภาคการส่งออก
การพิจารณาในด้านอื่น ๆ อาทิ การประเมินในด้าน “ประสิทธิภาพของภาครัฐ” มีการปรับตัวดีขึ้น ทั้งในด้านการเงินภาครัฐ จากอันดับที่ 19 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 14 ด้านกรอบการบริหารภาครัฐ จาก อันดับที่ 39 เป็นอันดับที่ 34 และกรอบดําเนินการด้านสังคม จากอันดับที่ 55 เป็นอันดับที่ 45 รวมไปถึง การประเมินด้าน“โครงสร้างพื้นฐาน” ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากอันดับที่ 48 เป็นอันดับที่ 46 คิดว่าน่าจะดีขึ้นต่อไป เพราะว่าเราก็มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกมากพอสมควร แต่เป็นระยะยาว
ภาครัฐก็จะพยายามอย่างเต็มที่ ในการที่จะพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในเรื่องของโลจิสติกส์ การขนส่งคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค แล้วก็การเปิดตลาดใหม่หาช่องทางการจัดจําหน่าย ขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องดําเนินไปควบคู่กันกับการพัฒนาของผู้ประกอบการในประเทศด้วย ผู้ประกอบการก็ต้องมีการปรับในเรื่องของคุณภาพสินค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ แล้วก็ให้ความร่วมมือกับรัฐ ในการปฏิบัติตามนโยบายในเรื่องของการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย SMEs เช่น พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อนอะไรก็แล้วแต่ ดูแลผู้ค้ารายย่อย ดูแลเกษตรกรภาคการผลิตนําไปสู่กระบวนการเพื่อจะแปรรูปแล้วนําขาย เพื่อให้ราคาสูงขึ้นต้องเอาประชาชน เกษตรกรมาอยู่ในห่วงโซ่ตรงนี้ด้วย เพราะจะทําให้เกิดกระบวนการต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วก็จะดูแลซึ่งกันและกันจะได้ไม่ไปพึ่งธุรกิจสีเทา ค้าขายผิดกฎหมาย หรือที่ทําในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ขายของผิดที่หรือกิจการใด ๆ ที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ที่ผ่านมาเหล่านี้ ทําให้เกิดเงินจํานวนมากในระดับล่างที่ประชาชนมีการใช้จ่าย
วันนี้เมื่อตรงนี้หายไป เงินตรงนี้หายไปเป็นจํานวนมากพอสมควร คนเดือดร้อนแน่นอนคนที่เคยใช้จากตรงนี้ ที่เป็นห่วงโซ่ แล้วเราจะยอมให้ห่วงโซ่เหล่านี้เกิดขึ้นไปอีกหรือไม่ ทําให้เกิดความเป็นธรรมหรือไม่กับการที่ทําผิดกฎหมายแล้วคนกลุ่มหนึ่งได้ผลประโยชน์ แต่ที่เหลือไม่ได้เกิดความขัดแย้งแล้วก็ทําให้เสื่อมเสียต่อประเทศโดยรวม ชื่อเสียงประเทศก็เสียหาย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ไม่มี คนมาท่องเที่ยวก็ไม่เกิด ไม่ชื่นชม
วันนี้การท่องเที่ยวมากเหลือเกิน จากการที่รัฐบาลได้ปรับนโยบายในเรื่องของการท่องเที่ยวหลาย ๆ Cluster แล้วก็มีความเชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วยและมีการจัดการท่องเที่ยวทั้งปี มีหลาย ๆ Sector ด้วยกัน วันนี้เราจะต้องมีการพัฒนาทุกอย่างให้เกิดเป็นกระบวนการให้ได้ ทุกอย่างที่มีการผลิตนั้นจะต้องรองรับทั้ง ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ให้ความสําคัญกับการลดต้นทุนในการผลิต แล้วก็ห่วงโซ่คุณค่า Value Chain ที่ให้ความสําคัญกับผู้บริโภคในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ
ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันเช่นนี้ ผมว่า เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืน อย่าไปฟังบางคนออกมาพูดโน่นพูดนี่ทุกวันไปทั้ง ๆ ที่ก็เคยเป็นรัฐบาลมาแล้ว แต่วันนี้ไม่เข้าใจอีกก็แสดงว่าความรู้พื้นฐานไม่มีก็มาตําหนิติเตือนเรื่องโน้นเรื่องนี้มาโทษรัฐบาลนี้ ความเข้มแข็งไม่เกิด ไม่มี ไม่สร้างห่วงโซ่กันไว้ ช่องว่างคนรวยคนจนก็ห่างกันมาก คนจนก็ยิ่งจนลง คนรวยก็รวยขึ้นไป การทุจริตผิดกฎหมายก็มี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องแก้ไขทั้งหมด แล้วเราในระหว่างนี้ก็อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ คือเศรษฐกิจอาจจะเงินหมุนเวียนหายไป ขาดไป รัฐบาลก็ไม่สามารถจะนําเงินไปให้ได้
นอกจากสร้างความเข้มแข็งแล้วทุกคนก็เข้ามาสู่ในห่วงโซ่ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน คนรวยช่วยคนจน ก็จะทําให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้อย่ามาคอยตําหนิติติง ทุกคนต้องรักชาติ รักประเทศ วิธีการในการแก้ปัญหาเราก็ฟังจากทุกที่ ทุกพวกทุกฝ่าย ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ด้วย ทั้งจากประชาชน ทั้งจากนักวิชาการผมคิดว่าเราทําหมดแล้ว ปัญหาก็คือเราควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้แล้วก็ปัจจัยภายในของเราก็ยังไม่พร้อมเพียงพอต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็โอเคไม่เป็นไร ค่าแรงก็สูงตามไปให้ได้ แต่ถ้าราคาสินค้าลดลงไปเรื่อย ๆ แล้วค่าแรงยังสูงอยู่ หรือจะสูงต่อไปอีก จะทําอย่างไร ก็ยิ่งขายไม่ได้กว่าเดิม ใช่ไหม ต้นทุนผลิตแล้วแพงกว่าปกติ แพงกว่าเพื่อนบ้าน 2 อย่างบวกเข้าไป ต้นทุนการผลิต แพง ปลูกข้าวก็แพง 2 ก็คือต้องไปบวกกับค่าแรง
ถ้าสมมติเป็นใช้แรงงานโรงงานต่าง ๆ ก็ค่าแรงบวกเข้าไปอีก ต้นทุนก็แพงค่าแรงก็แพง ราคาขายก็ตกแล้วจะทําอย่างไร ต้องมามองกันทั้งระบบ อย่าไปมองทางใดทางหนึ่งแล้วก็แก้ปัญหาผิดวิธีมาตลอด บิดเบือนราคา บิดเบือนระบบการเงินการคลังของประเทศ ไม่ได้ อย่ามองข้ามความสําคัญของความคิดเห็นอื่น ๆ ของโลก เช่น GNH index หรือดัชนีความสุข อันนี้ก็เป็นตัวกําหนดเหมือนกันว่าในโลกนี้ความสุขจะอยู่ที่ไหนกัน ประเทศไหนมีความสุขมาก ความสุขน้อย
ประเทศไทยอยู่ในระดับที่มีความสุขมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีสตางค์มากนัก เรายังยากจนอยู่ เราต้องอยู่ด้วยความพอเพียงลูกหลานก็อย่ารบกวนพ่อแม่มากนัก ต้องมีสติของตัวเองว่า เรามีแค่นี้ พ่อแม่เราลําบากไป พ่อแม่เราเป็นเกษตรกร พ่อแม่เรามีรายได้จากรับจ้าง เราก็อย่าไปใช้ของแพง พ่อแม่ให้เราเรียนหนังสือ อันนี้ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ให้กับเราแล้ว เป็นมรดกของพ่อแม่เราแล้ว อย่าไปหวังว่าจะต้องรอได้รับเงินโน้นเงินนี้พ่อแม่จะต้องมีของยกให้ วันหน้าต่อไป ทุกคนก็เลยไปขวนขวายหาเงินหาทองกันหมดเพื่อจะดูแลลูกหลาน
เราต้องย้อนกลับไปดูว่าสมัยที่ผ่านมานี่ เราทุกคนผู้ใหญ่วันนี้ก็ลําบากมาทั้งสิ้นกว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กว่าจะร่ํารวยขนาดนี้ก็เสี่ยงหลาย ๆ อย่างมา มีมาตรการต่าง ๆ ที่จะปรับตัวให้ตามกับกระแสโลกมาก็มีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากมายไป แต่วันนี้เมื่อสําเร็จแล้วเราก็ต้องดูแลคนข้างหลัง เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลักการของผม ก็คือประชาชนทุกคน มีสิทธิ์ มีเสียง ในประเทศไทย แต่ต้องหาช่องทางที่ถูกต้องว่าจะพูดกันอย่างไร
เรื่องของพลังงานไฟฟ้า อันนี้เป็นเป็นประเด็นสําคัญเป็นประเด็นของพลังงานที่เรากําลังมีปัญหาอยู่ขณะนี้ สําหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทยตอนนี้ก็ยังสร้างไม่ได้ มีความขัดแย้งมากแต่ผมอยากจะเรียนว่า โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินนั้น เป็นโรงไฟฟ้าที่ถูกที่สุดในการลงทุน ในเรื่องของวัสดุที่จะใช้ คือถ่านหิน เพียงแต่ว่าเราต้องหาเทคโนโลยีโรงงานที่ทันสมัย ที่ขจัดสิ่งที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม แล้วดูแลเยียวยาประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ทําให้ดิน ให้น้ําเสียหาย การปลูกพืช การอุปโภคบริโภคก็แล้วแต่
วันนี้เขาทําได้แล้วเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน ผมอยากให้ดูตัวอย่าง วันก่อนผมเห็นในทีวีช่องหนึ่งนําโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศลาวเพิ่งสร้างเสร็จ คนไทยด้วยซ้ําที่ไปสร้าง ก็เริ่มมีการผลิตแล้ว แล้วก็ตามข้อตกลงเขาต้องขายพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้กลับมาประเทศไทยได้อีก นี่ไงครับ เราก็จําเป็นต้องซื้อเขาเพราะว่าแหล่งผลิตในประเทศไทยลดลง ๆ ไปเรื่อย ๆ พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนก็ยังไม่ทันการต้องตามต่อไปด้วย สายส่งเข้าไปอีก การลงทุนสายส่งเป็นหมื่น ๆ ล้าน เป็นแสนล้านในการที่จะเดินสายส่งในแต่ละเส้น แต่ละช่วง ไม่ใช่ง่าย ๆ วันนี้ที่มีสายส่ง วันนี้กี่ 10 ปีมาแล้วละก็ได้แค่นี้ ยังไปไม่ทั่วถึง ถ้าทุกคนหวังว่าจะขายเข้าระบบสายส่งยังเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด แล้วก็การผลิตแบตเตอรี่อะไรต่าง ๆ ในเรื่องของการเก็บพลังงานไฟฟ้าจากทดแทนเรา ก็ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอต้องซื้อทั้งหมด ต้นทุนการผลิตก็แพงก็สูง การขจัดวัสดุที่ใช้แล้ว จากแผงโซล่าเซลล์ที่หมดอายุแล้วอะไรเหล่านี้เป็นขยะทางอิเล็กทรอนิกส์ มีอันตราย
วันนี้รัฐบาลก็ออกกฎหมาย ออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่า ใครที่จะมาลงทุนกับเราก็ต้องมีแผนในเรื่องของการกําจัดขยะเหล่านี้ให้เราด้วย ก็จะให้มีสิทธิประโยชน์อะไรต่าง ๆ ในการลงทุน BOI อะไรก็แล้วแต่ วันนี้ถ้าเรายังคิดไม่ตรงกันอยู่ คือคิดแต่เพียงว่าเราก็จะต้องรักษาทุกอย่างให้เหมือนเดิม ประชาชนทุกคนก็มีส่วนที่จะต้องกําหนดการใช้จ่ายทรัพยากรทั้งหมดแต่อย่าลืมว่า เราต้องดูแลประเทศชาติกันด้วย ถ้าไม่ได้ก็ดูว่าจะไปทําได้ที่ไหนถ้าทุกที่ปฏิเสธกันหมด ทําไม่ได้ผลิตไม่ได้ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซื้อใครก็ไม่อยากให้ซื้อก็ซื้อไม่ได้อีก
วันข้างหน้าด้านความมั่นคงมีปัญหากัน เขาไม่ส่งแก๊ส ไม่ส่งไฟฟ้าจะทําอย่างไรไปช่วยผมคิดด้วย การคัดค้านอะไรผมไม่ว่า เพียงแต่ว่าต้องฟังเหตุฟัง ฟังผลหน่อย ถ้าเราเข้มแข็งเพียงพอแล้ว เราผลิตทุอย่างได้เองแล้ว ผมคิดว่าเราค่อยจะเป็นเสียงที่ดังพอ ที่คนอื่นเขาฟังเรา วันนี้เขาไม่ฟังเรา เพราะเรายังไม่เข้มแข็งพอ แล้วเราก็ยังมีความขัดแย้งสูงในสังคมไทยในปัจจุบัน ลดลงมาบ้างแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ปัจจัยสําคัญของประเทศ ก็คือพลังงานไฟฟ้าจะมาจากไหนก็ไปคุยกันต่อแล้วกัน ใช้ในการอุปโภค บริโภคแล้วก็เกิดการผลิต การอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไม่ใช่ไฟฟ้าแล้วไปใช้ ไม่ใช่ ก็ต้องไปต่อโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจ SMEs อะไรก็แล้วแต่ วันนี้เราใช้น้ํามันกับแก๊สผลิตไฟฟ้าถึง 70% ถ้าเรายังไม่ลดตรงนี้ไป โดยไม่ใช้วัสดุอื่น ๆ มาเป็นต้นทุนในการที่จะเกิดพลังงานขึ้นมา เช่น ถ่านหินหรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ถ่านหินก็ราคาถูกที่สุด เพราะฉะนั้นวันหน้าถ้ายังต้องซื้อเขา แล้ววันหน้าหรือยังต้องใช้แก๊สน้ํามัน เพราะราคาขึ้นมาอีก ค่าไฟฟ้าขึ้นแน่นอน ท่านเรียกร้องใครไม่ได้แล้ว เพราะผมพูดด้วยเหตุด้วยผลให้ท่านฟัง อยากให้ประชาชนช่วยกันหาจุดสมดุล แล้วก็เชื่อมั่นในเทคโนโลยีและรัฐบาลก็จะทําให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด หลายประเทศในโลก เกือบทุกประเทศก็ยังมีใช้ทั้งหมดเพียงแต่ว่าของเก่าก็เปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีใหม่ เครื่องจักรใหม่ก็ดีขึ้น
เรื่องการปฏิรูปประเทศ นั้น ผมอยากจะเรียนว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หลายท่านมีความตั้งใจที่ดีมีเจตนารมณ์ที่ดี อยากจะทําโน่นทํานี่ให้เสร็จในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่ผมยังอยู่แล้วก็ใช้อํานาจผมที่มีอํานาจมาตรา 44 ในวันนี้ จริง ๆ แล้ว ผมอยากจะเรียนว่ามีหลายกิจกรรมในแต่ละเรื่องในการปฏิรูป มีหลายเรื่องด้วยกัน สิ่งสําคัญต้องนึกถึงว่าในการบริหารราชการปัจจุบัน การปฏิบัติงานในปัจจุบัน ประสิทธิภาพในปัจจุบัน แล้วเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะทําอย่างไรที่จะต้องแก้ปัญหาที่ผมพูดมาทั้งหมดมาเมื่อสักครู่ต้องใช้คนเหล่านี้ทําก่อน ทําให้มีประสิทธิภาพ Grouping ใช้บูรณาการ ใช้มาตรา 44 ทั้งหมดเพื่อให้เกิดงานขึ้นโดยเร็วอย่างที่ท่านต้องการ ในการปรับโครงสร้างทั้งหมด ถ้าท่านรื้อทั้งหมดทีเดียวก็ทํางานไม่ได้ ในขณะนี้ผมคิดว่าการที่จะรื้อใหญ่ ๆ ไปตรงโน้น แต่ท่านก็ต้องจัดระเบียบว่าตรงนี้ท่านจะทําอะไรตรงไหน
การปฏิรูปมีอยู่ 3 ระยะด้วยกัน ผมเคยบอกไปแล้ว ระยะที่ 1 2 3 ของ คสช. กับรัฐบาล 1 2 คือ คสช. กับรัฐบาล พอ 3 ของผมจะส่งไปโน้น ไปรัฐบาลใหม่ ก็จะเขียนไป 1- 2- 3 1 อาจจะ 4 ปี 5 ปีอะไรก็แล้วแต่ 555 แล้ว 1-2-3 เขาก็ไปตรงโน้น เรื่องของโครงสร้างอะไรต่าง ๆ ถ้าผมทําได้ก็จะทํา เช่น ตํารวจ ก็ต้องแยกมาเรื่องการสอบสวนจะทําอย่างไร ทดลองดูก่อนไหม จะทําได้ไหม ว่าจะอยู่ตรงไหนกันบ้าง มาจากไหน ใครจะทํา ในเรื่องคดีความจะทําอย่างไร ตํารวจท้องที่ ตํารวจส่วนกลางทําอย่างไร เอาทุกอย่างมาคลี่ออกมาทีละอัน ๆ แล้วส่วนหนึ่งก็ทําไปคู่ขนานกัน อีกส่วนก็ต้องปฏิบัติราชการต่อไป แก้ปัญหาให้ผม ทํางาน
เพราะวันนี้ปัญญามากมาย ก็ต้องรื้อ ต้องใช้คน ใช้ตํารวจ วันนี้ก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันนี้คือผมปฏิรูปแล้วในระยะแรก วางพื้นฐาน ลดขั้นตอน ให้การบริการประชาชน และได้รับความเชื่อถือจากสังคม จากประชาชน ไม่อย่างนั้นที่ผ่านมาตํารวจก็ถูกตําหนิติเตือนไปมากมาย อยู่ที่ว่าเราจะไปหาเขาอย่างไร ให้ความเป็นธรรมเขาอย่างไร
วันนี้การแต่งตั้งข้าราชการ ตํารวจก็ดีขึ้น ผมก็กําลังดูอยู่ว่าเรื่องของการที่จะตั้งสภามาแต่งตั้งข้าราชการระดับกระทรวง เป็นไปได้ไหม ผมก็อยากใช้แนวทางในส่วนของทหาร ไม่ใช่ว่าทหารจะดื้อดึงขัดขืนใครได้ ไม่ใช่ ที่ผ่านมารัฐมนตรีก็มีส่วนเกี่ยวข้องตรงนี้ อย่างกองทัพก็จะมี พ.ร.บ.ทหาร พ.ร.บ.กลาโหม เพียงแต่ว่าทุกหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมเขาเสนอคนของเขาขึ้นมาเข้าที่ประชุม เกิน 2 ใน 3 ถ้าตกลงกันได้ ทุกคนเอาขึ้นมาตามแท่งของตัวเอง แล้วก็ไม่มีใครขัดแย้ง ก็อนุมัติมาตามนั้น มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้า เป็นประธานกรรมการตรงนี้ นั้นเขาเสนอมาตามแท่งของเขา ท่านจะแก้ จะปรับไปตามความเหมาะสมก็ทักท้วงกันในนั้น ถ้าเห็นด้วยก็ตั้งเลย ไม่เห็นด้วยก็ประชุมใหม่ ไปหามาใหม่หรือเสนอคนใหม่เข้ามา 2 ใน 3 ก็ผ่านอีก นั้นแหละเป็นอย่างนั้น
ผมอยากให้ข้าราชการทั้ง ตํารวจ ข้าราชการพลเรือน อยากให้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ก.ต.ร.) คณะกรรมการนโยบายตํารวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) แต่ทําอย่างที่ทหารทําหรือเปล่า จะได้คนมาที่โตมาในแท่งของเขา ในพื้นที่ของเขา แล้วนายเขาเป็นคนเลือกของเขามา ถ้านายเขาเลือกมาก็จะเป็นไปตามขั้นตอน เป็นไปตามอาวุโสบ้าง ตามความรู้ความสามารถบ้าง หรือจะเป็น Fast Track เพื่ออนาคตบ้าง ต้องมีคนทั้ง 3 อย่าง สัดส่วนที่เหมาะสมอยู่ตรงนั้น เมื่อขึ้นมาแล้ว สมมติว่าเป็นกระทรวง ก็จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้นเป็นประธานคณะกรรมการ และในส่วนของอธิบดี รองปลัดกระทรวง รองปลัด อธิบดี ก็อยู่ในท่ามกลางตรงนั้นจะเป็นข้อสรุปออกมาแล้ว แล้วส่งมาอาจจะมีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) หรือ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ที่ทําอยู่ตอนนี้ เข้าไปเป็นเลขานุการคณะนี้ก็ได้ ผมเสนอแนวคิดไปเฉย ๆ ก็จะเกิดความเป็นธรรมชัดเจนขึ้น
ตํารวจก็เหมือนกัน ถ้าตั้งขึ้นมาอย่างนี้ก็เป็นสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน ไม่ใช่พวกใคร ขึ้นมาด้วยความชอบธรรม นายตัวเองต้องรู้ว่าลูกน้องตัวเองดีหรือไม่ดี จะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา วิ่งเต้นกันมากมายไปหมด ทหารวิ่งเต้นอย่างนี้ไม่ได้ เสียเงินก็ไม่มี เพราะฉะนั้นต้องเป็นไปตามนี้ถึงเคารพได้ ถึงทํางานได้ ไม่อย่างนั้นใครขึ้นมาก็ครอบได้หมดทุกอัน ทั้งข้าราชการ ทั้งตํารวจก็เป็นแบบเดิมอีก ไปแก้แบบนี้ ถ้าตั้งใครมาสักกลุ่มหนึ่ง และมีอํานาจตั้งทุกคน ท่านจะรู้ไหมว่าแต่ละกระทรวง แต่ละหน่วยงานเขามีใคร เขาทํางานกันมาอย่างไรรู้ไหม ผมให้เป็นข้อเสนอแนะเท่านั้น แต่ถ้าท่านจะเอาอย่างนั้นก็ตามใจแล้วแต่ท่าน
เพราะฉะนั้น ในส่วนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย จําเป็นต้องมีความละเอียด ใช้กฎหมาย ใช้อาวุธเหล่านี้ ต้องมีมาตรการที่เพียงพอ แล้วก็ให้อิสระในการทํางานพอสมควรกับเขา แต่อยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้กระบวนการยุติธรรมให้เกิดความชัดเจน รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบในการสั่งงาน ในการอะไรก็แล้วแต่ ผิดถูกก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นคนสั่งให้เขาทํา ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้ได้
ผมสรุปแล้วว่าปัญหาใหญ่ ๆ เรื่องใหญ่ ๆ นั้น ที่ยังค้างอยู่ในระยะที่ 2 ของผม ผมจะส่งระยะที่ 3 ของผม คืนรัฐบาลใหม่ รัฐบาลใหม่ก็ไปกําหนด 1-2-3 ทําเอาก็แล้วกัน คงเข้าใจตามนี้ หรือถ้าหากว่าทุกคนเกรงว่าจะไม่ทํา สภาปฏิรูปกําหนดไว้ ก็อาจจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญได้ไหม หรือกฎหมายลูก หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่มีความรู้ทางกฎหมายมากนัก แต่ท่านไปทําให้เขาทําได้ก็แล้วกัน ว่าทําอย่างไร กลไกเหล่านี้จะทําต่อ ทําอย่างไรรัฐบาลถึงจะทําได้ ถ้าไม่ยอมกันอยู่แบบนี้ ก็เดินหน้าไม่ได้ วันนี้เราทําทุกอย่างตามขั้นตอนทั้งหมด ตามโรดแมปทั้งหมด โรดแมปที่ว่าก็คือ มีรัฐธรรมนูญ วันนี้ขอให้มีประชามติ ผมก็ให้ทําประชามติได้ พอประชามติแล้วก็มีการเลือกตั้ง แต่ท่านไม่เคยมีใครถามผมเลยว่า ถ้าเลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้งเกิดความวุ่นวาย ทุกคนไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญกันอีก จะทําอย่างไร มีมาตรการอะไรหรือไม่ 2. ก็คือเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลปกครองไม่ได้ขึ้นมาอีก อีกพวกก็ต่อต้านจะทําอย่างไร ผมห่วงตรงนั้นมากกว่า ผมไม่ห่วงรัฐธรรมนูญ ไม่ห่วงอย่างอื่นเท่าไหร่ ห่วงตรงนี้ คสช. จะรับผิดชอบตรงนี้ด้วย รัฐบาลก็จะดูสถานการณ์ตรงนี้ด้วย แต่ทุกอย่างผมยืนยันว่า ทุกอย่างผมทําตามโรดแมป เว้นแต่มีใครทําให้โรดแมปของผมเปลี่ยนแปลง
รัฐธรรมนูญวันนี้ ผมบอกว่าจะต้องไม่เป็นรัฐธรรมนูญของความขัดแย้งในอนาคต ผมฟังจากผู้บรรยายทั้งหมดที่มาจากเยอรมัน ฝรั่งเศส ก็ได้บรรยายถึงความเป็นไปเป็นมาของรัฐธรรมนูญประเทศเขา ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่าเป็นกฎหมายที่น่าจะไม่ต้องมีการตีความมากนัก คนไทย รัฐบาล ฝ่ายค้าน เราก็ต้องใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญในทางที่ถูก เราต้องเป็นคนที่เจริญแล้ว ไม่นํากฎหมาย ไม่นํารัฐธรรมนูญมาทะเลาะเบาะแว้งกันอีก นักการเมืองเขาต้องมีธรรมาภิบาล เรามีประสบการณ์มากมาย รัฐธรรมนูญที่ผ่านมามีหลายฉบับ แก้ไปแก้มาก็จะกลับไปที่เดิมอีกแล้ว ทุกคนก็ต้องการของเดิม คนนั้นก็ว่าดี คนนี้ก็ว่าไม่ดี พรรคการเมืองโน้น พรรคการเมืองนี้ นักการเมือง ผมถามว่า ถามประชาชนเขาหรือยังว่า เขาต้องการอะไร เขาต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นกว่าเดิม หรือต้องการให้บ้านเมืองแย่กว่าเดิม อันนี้เป็นความรับผิดชอบของนักการเมืองต่อไปด้วย ผมก็พยายามทําเต็มที่แล้ว
รัฐธรรมนูญใหม่นั้น ก็น่าจะต้องสร้างความสมดุลระหว่าง 3 อํานาจให้ได้ และมีประชาชนเป็นผู้ใช้อํานาจ 3 อํานาจดังกล่าว โดยประชาชนจะต้องเป็นศูนย์กลาง เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาบอกว่าประชาชนต้องเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ มีอํานาจโน้น ไม่ใช่ ประชาชนไม่ใช่เป็นกลุ่มอํานาจที่ 4 มี 3 อํานาจ คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ประชาชนนั้นเป็นผู้ใช้อํานาจ 3 อํานาจผ่านการเลือกผู้แทนของท่าน นั้นแหละคืออํานาจของท่านอยู่แล้ว ท่านเลือกคนเข้ามา ท่านเลือกไม่ดี นั้นแหละท่านใช้อํานาจในทางที่ผิด ถ้าท่านเลือกดี เขาก็ดูแลท่านดี บ้านเมืองก็เจริญไปข้างหน้า นั้นคือการใช้อํานาจตามหลักประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
อีกอันหนึ่งก็คือการลงประชามติ ถ้าทําอะไรกันลงประชามติเห็นชอบไม่เห็นชอบก็แล้วแต่ เขามีสิทธิให้ท่านไปลงประชามติของประชาชนได้อีกทีหนึ่ง โดยรัฐบาลเป็นผู้กําหนดออกมา ที่ผ่านมาตีกันไปตีกันมา พันกันไปหมด แล้วประชาชนก็ถูกปลุกระดม กลายเป็นว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องเหนือกว่าทุกคน เหนือกว่ารัฐบาล เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ ก็ตีกันอยู่แบบนี้
เพราะฉะนั้นต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่า ท่านใช้อํานาจของท่าน ผ่านผู้แทนของท่าน ผ่านสภา อะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจ อย่าให้ใครเขามาบิดเบือนท่านอีก นักการเมืองที่ไม่ดี พรรคอะไรที่ไม่ดีก็แล้วแต่ อย่าไปมองเฉพาะในเรื่องนโยบายพรรคอย่างเดียว ต้องมองว่านโยบายของพรรคการเมืองเหล่านั้น วางยุทธศาสตร์ของชาติไว้อย่างไร จะเดินหน้า 5 ปี 10 ปี อย่างไร ใครเข้ามาตรงนี้ก็ต้องทําต่อ ในส่วนของพรรคก็ว่ากันไป จะสร้างคะแนนนิยมอะไรกันตรงไหนก็ว่ากันไป แต่ประเทศชาติต้องไม่เสียหาย และเดินไปข้างหน้าได้ ทุกประเทศเขาเป็นอย่างนี้หมด เลิกทะเลาะกัน ไม่เอาประชาชนมาเป็นตัวประกันอยู่แล้ว เพราะเขาใช้ประชาชน ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านสภา ผู้แทนของเขา หรือลงประชามติ แล้วก็เสนอสิ่งที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยผ่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของท่าน ที่ผ่านมาเขาทําหรือเปล่า ทําตอนนี้ไหม ถ้าไม่ทําก็ไปหาทางให้เขาทําวันหน้า
ในส่วนของรัฐบาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ในประเทศต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง วันนี้ผมก็รับผิดชอบเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมจิตวิทยา การต่างประเทศ ในเรื่องของกฎหมายทําทุกอย่าง จะปฏิเสธอันใดอันหนึ่งไม่ได้ หรือจะปฏิเสธประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทุกรัฐบาล ผมอยากจะใช้คําว่าต้องดูแลคนวันนี้ และวันหน้าด้วย อย่างที่ผมเรียนไปแล้วเมื่อสักครู่ คนที่ไทยยังไม่เกิดมาอีกมากมายไปหมด นึกถึงเขาด้วย
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 กําหนดไว้ ตามโรดแมปอะไรไปได้ก็ไป ไปตามนั้น ผมไม่เคยเป็นคนเลือกโรดแมป เพราะฉะนั้นโรดแมปจะถูกกําหนดโดยประชาชน โดยสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทําประชามติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ทําได้ อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่เคยไปขัดขวางอะไรทั้งสิ้น ผมอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าด้วยความยั่งยืน ก็เป็นเรื่องของประชาชนก็แล้วกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็น แต่อย่าขัดแย้ง ทุกคนต้องยอมรับกัน เว้นแต่สถานการณ์ที่ไม่เรียบร้อยแล้วจะทําอย่างไร คอยบอกผมก็แล้วกัน ถ้าเลือกไม่ได้ เป็นรัฐบาลไม่ได้ แล้วจะทําอย่างไร หาทางออกมาให้ผม ผมใช้อํานาจอย่างเดียวก็ไม่ไหว ผมพยายามระมัดระวังอย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดหวังวันนี้คือการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน อาจจะใช้เวลาหลายปี ผมก็ไม่ได้หวังว่าผมจะเองทั้งหมด แล้วอยู่หลาย ๆ ปี ไม่ใช่ ก็เป็นเรื่องที่ผมจะต้องส่งต่อ ถ้าผมไม่มีโอกาส ผมก็ส่งรัฐบาลใหม่ที่ท่านเลือกมา ท่านใช้อํานาจประชาชนเลือกมา ไปทํามา ประชาชนเรียกร้องมาตลอด รัฐบาลก็เรียกร้องทุกรัฐบาล 2 รัฐบาลที่แล้วผมจําได้ เรียกร้องการปฏิรูป ปฏิรูปก่อน ปฏิรูปหลังอะไรก็แล้วแต่ ทําไม่ได้สักรัฐบาลหนึ่ง
วันนี้เราเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วจะหยุดไปที่เดิม แล้วกลับไปที่เก่ากันอีกหรือ ก็แล้วแต่ท่าน อํานาจอยู่ที่ท่าน อย่างนี้ ใช้ในทางที่ถูกต้องแล้วกัน เข้าช่องทางมา วันนี้หลายคนก็ไปทํางานอยู่แล้ว กมธ. สปช. สนช. ทุกคนหวังดีกับประเทศไทยทั้งนั้น แต่เพียงว่าเหมาะสมทางการอย่างไร จะเอาแค่ไหนกัน ต้องเป็นการทําข้อตกลงกับคนทั้งประเทศด้วย ไม่ใช่เอากลุ่มนี้มารบกับกลุ่มนี้ กลุ่มนี้เห็นด้วย กลุ่มนี้ไม่เห็นด้วย แล้วก็ตีกันต่อไปในอนาคต แล้วจะทําไปทําไม จะปฏิรูปกันทําไม ผมจะมายืนตรงนี้ทําไม เข้าใจตรงนี้ด้วย ผมขอร้องแล้วกัน ขออีกครั้งหนึ่ง
เรื่องอื่น ๆ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของ “เทศกาลผักผลไม้ไทยคุณภาพ” ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ได้รับการตอบรับจากประชาชนและผู้บริโภคเป็นอย่างดี ยอดจําหน่ายถึงวันที่ 26 พฤษภาคมนี้เกือบ 20 ล้านบาท แล้วต่อไปก็จะจัดเป็น “งานไม้ดอกไม้ประดับและปลาสวยงาม” จะจัดต่อระหว่างวันที่ 5 - 28 มิถุนายน ภายในงานก็จะจัดกิจกรรมการแสดงปลาสวยงาม และจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนเมือง มีการตกแต่งอะไรก็แล้วแต่ ทําให้มูลค่าของดอกไม้สูงขึ้น จัดตู้ปลาอะไรต่าง ๆ มีหมด เป็นสินค้าที่จะขายออกต่างประเทศได้เลย แล้วก็จะมีการจําหน่ายด้วย ให้ความรู้ด้วย การเลี้ยงปลา ดูแลต้นไม้ ปลาสวยงามที่วันนี้เป็นรายได้หลักของเกษตรกร บางส่วนเขาเปลี่ยนไปเลี้ยงปลากัดบ้าง ปลากัดไทย ปลากัดจีน ไปเลี้ยงปลาเงิน ปลาทอง อะไรทํานองนี้ ดอกไม้ก็นํามาจัดใส่พานใส่โหลแก้ว ให้งดงามเหมือนกันกับดอกไม้ของต่างประเทศ แต่เราเป็นแบบไทย ๆ ไปดูแล้วกัน มีการบรรยาย มีการสาธิตทุกเรื่อง มีวิทยากรมืออาชีพ มีคําแนะนําการปลูกและดูแลรักษาจากนักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการ มีการให้คําแนะนําและมีแบบแปลนการจัดสวนต่าง ๆ มีนักจัดสวนมืออาชีพมาด้วย
ระหว่างวันที่ 25 - 31 พฤษภาคมนี้ ยังมีอีกงานที่จัดขึ้นในขณะนี้คือ “OTOP วิถีไทยจากร้อยสู่ล้าน” ที่ อิมแพ็คเมืองทองธานี อันนี้ก็เกี่ยวพันเรื่อง Value Chain ถ้าอันนี้เกิดขึ้นได้เราก็ต้องไปดูว่าการผลิตเขาเป็นอย่างไร ประชาชนผลิตได้ไหม ที่ผ่านมาทําดีหมด คนสั่งซื้อ ผลิตไม่ได้ ผลิตไม่ทัน เพราะว่าไม่พร้อม แต่ทําเป็นชิ้น ๆ ได้สวย พอทําเป็น 100 อัน 1,000 อันทําไม่ได้ นี่ต้องไปส่งเสริมข้างล่างภาคการผลิต ทําอย่างไร เครื่องจักร เครื่องไม้เครื่องมือ ควรมีไหม จะตั้งสหกรณ์กันอย่างไร ไม่ใช่เอาของมา ใครทําดีเอามาขาย แล้วเวลาที่เราต้องการสั่งซื้อจากต่างประเทศไม่ใช่หรือ ขายคนไทยอย่าขายเลยพอเพียง ต้องขายต่างประเทศ พอเขาสั่งมา 10 ชิ้นได้ 100 ชิ้นเริ่มไม่ได้แล้ว 1,000 ยิ่งไม่ได้ใหญ่ นี่ก็คือความล้มเหลวของ OTOP เหมือนกัน ผมว่าต้องไปดูตั้งแต่กระบวนการผลิต ให้สอดคล้องกับ Supply ด้วย Demand Supply ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ใช่เขาไม่ต้องการอะไรก็ผลิตอยู่นั้น จะไปขายให้ใคร เลิกไปทําอย่างอื่น แล้วก็ไปสู่การเป็นธุรกิจ SMEs ใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงรับสั่งไว้แล้วเรื่องความพอเพียง ทําอย่างไรก็แล้วแต่ถ้าไม่ต้องใช้จ่ายเงินได้ก็ดี พอกิน พออยู่ ถ้าเหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้าน ถ้าเหลือมากกว่านั้นก็ขาย แลกเปลี่ยน ต่อจากนั้นก็ตั้งธุรกิจขึ้นมา จัดทําร้านค้า เปิดเป็นบริษัท ก็พัฒนาในนั้น และต้องมีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ด้วย ต้องรับฟังด้วย หลาย ๆ กระทรวงเขาออกมาแล้ว ใน What App ในโทรศัพท์ เรื่องการเกษตร ราคาสินค้า การเพาะปลูกพืช การใช้น้ํา มีหมด ไปเปิดดู
วันพุธที่ผ่านมา ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่และนักกีฬาที่เตรียมเดินทางไปร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 28 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 5 – 16 มิถุนายน 2558 ผมในนามของรัฐบาลและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ขอแสดงความยินดีและชื่นชมนักกีฬาที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ ทั้งนี้รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและดูแลอย่างเต็มที่ ขอเป็นกําลังใจให้นักกีฬาทุกคนในการทําหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เต็มความสามารถของตนเอง มีน้ําใจเป็นนักกีฬา เคารพกฎกติกา และให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่าท่านเป็นตัวแทนของคนไทย และประเทศไทยในการที่จะสร้างภาพลักษณ์ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนไทย เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนบ้านในอาเซียน ขอให้ทุกคนทําหน้าที่ให้ดีที่สุด
วันนี้กีฬาก็ต้องแข่งขันกันด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา แข่งขันกันด้วยร่างกาย จิตใจ สามัญสํานึก และความรักชาติ ทั้งนี้ก็จะต้องคํานึงถึงประชาคมอาเซียนด้วยกันด้วย เราขัดแย้งกันไม่ได้อีกแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศพร้อมจะเป็นกําลังใจให้นักกีฬาทุกท่าน ขอให้ท่านทําให้ดีที่สุด จะแพ้ชนะก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเตรียมการไป ถ้าไม่ได้ก็ต้องมาพัฒนาใหม่ ผมยืนยันว่าเราจะต้องพัฒนาการกีฬาให้ดีขึ้นในอนาคตให้ได้ ขอให้ประสบความสําเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เพื่อจะนําชื่อเสียงและชัยชนะมาสู่ประเทศไทย ถ้าไม่ได้เอาเพื่อนกับมา นั้นสําคัญที่สุด พ่อแม่ภูมิใจ และพัฒนาตนเอง เรียนรู้ใหม่ ไม่มีใครบังคับได้นอกจากตัวเราเอง
เรื่องกีฬาก็ไม่ต้องกลัว ผมก็ขอโทษ รบกวนเวลาท่านพอสมควร วันไหนมีกีฬาผมก็จะเลื่อนให้แล้วกัน พูดให้สั้น ๆ ลง ตอนนี้ก็ปรับเรื่องการออกอากาศไปแล้ว ในวันศุกร์ผมพูดคนเดียวแล้วกัน แค่สักครึ่งชั่วโมงเล็กน้อยทํานองนี้ ในส่วนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไปออกอากาศตอนเย็นวันธรรมดาเวลา 18.00 น. แล้วกัน ไม่เกินครึ่งชั่วโมง 20 – 30 นาที เขาเรียกว่าเผื่อแผ่แบ่งปัน ฟังผมบ้าง ตอนนี้ “ป้าแย้ม” ก็ไม่อยู่แล้ว ก็รอป้าคนใหม่แล้วกัน แต่ผมยังอยู่ ขอเวลาพบกับท่านไปก่อนแล้วกัน สวัสดีครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2558 เวลา 17.00 น.
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
ในวันที่ 1 มิถุนายนที่กําลังจะมาถึงเป็น “วันวิสาขบูชา”ซึ่งเป็นวันสําคัญยิ่งทางพุทธศาสนาเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศรับรองให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลของโลก จึงนับว่ามีความสําคัญกับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทั้งนี้ถือเป็นอันโอกาสดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ร่วมกิจกรรมสืบทอดพระพุทธศาสนา น้อมรําลึกถึงพระพุทธองค์ และนําหลักธรรมคําสอนไปปฏิบัติในชีวิตประจําวันและร่วมกันประดับธงชาติและธงธรรมจักร เพื่อแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เข้าวัด ทําบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ลด ละ เลิกอบายมุข ทําความดีถวายเป็นพุทธบูชา และน้อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ โดยพร้อมเพรียงกัน
รัฐบาลจะร่วมกับสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด คณะสงฆ์ และองค์กรเครือข่ายชุมชนคุณธรรม “บวร” (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ได้เตรียมการจัดกิจกรรมทางศาสนาทั้งในส่วนกลาง ณ ท้องสนามหลวง และส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วไปได้ร่วมงาน นอกจากจะเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองแล้ว ครอบครัวและยังจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมะอีกด้วย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานหลายงาน ทําให้มีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และรับฟังปัญหาจากตัวแทนภาคประชาชนในกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มตัวแทนหอการค้าจากทั่วประเทศ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ที่ผมได้พบส่วนใหญ่นั้น ให้ความสนใจ เข้าใจ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในส่วนของการวางรากฐาน ในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไปเพื่ออนาคตของเขาเอง
ผมได้ขอบคุณขอให้ทุกคนได้ช่วยกันกลับไปสื่อสาร ทําความเข้าใจและช่วยสานต่อในสิ่งที่ผมได้พูด ได้ทําไปในขณะนี้ ซึ่งบางอย่างนั้นอาจจะยังไม่เสร็จเรียบร้อย บางอย่างก็เสร็จไปแล้ว บางอย่างกําลังเตรียมการจะกระทําอยู่ ถ้าเข้าใจกันวันนี้ ก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ลดความขัดแย้ง
สําหรับนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลนั้น ขณะนี้ออกไปมากมาย ผมอยากจะให้ไปถึงชุมชน และถึงคนทุกระดับทุกพื้นที่ได้ทําความเข้าใจ เพราะเราจําเป็นต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และพื้นฐานตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานไว้แล้วว่า ทุกอย่างจะพัฒนาไปได้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือเราต้องมีความรู้และคุณธรรม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นกังวลอยู่คือเรื่องการเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย ผมได้พูดไปหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็อยากจะนําส่วนหนึ่งของการบรรยายพิเศษของศาสตราจารย์ มิเชล โทเปอร์ จากมหาวิทยาลัยปารีสที่ 10 ของฝรั่งเศสที่ได้มาบรรยายที่บ้านเรา และให้ข้อคิดที่ว่า “การรัฐประหาร ก็อาจไม่ใช่การทําลายประชาธิปไตยเสมอไป เพราะบางครั้งการรัฐประหารในหลายประเทศ ก็เป็นการทําเพื่อเตรียมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในอนาคต” ผมไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ทําความเข้าใจผมด้วย
เพราะหลายประเทศก็ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาเกือบทั้งสิ้น ผมอยากให้คนไทยทุกคนตระหนักว่าที่ผ่านมา 10 กว่าปีนั้น ประเทศไทยมีปัญหามาโดยตลอด ประชาชนแตกแยก ไม่มีความสุข รัฐบาลทุกรัฐบาลพร้อมที่จะใช้กําลังเพื่อให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ยุติ ทั้งด้วยกฎหมาย ด้วยการคลี่คลายสถานการณ์ แต่ก็ไม่ยุติ ประเทศไทยของเรานั้น ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่มาเป็นเวลานาน เพื่อนบ้าน รอบบ้านต่างเร่งเดินหน้าพัฒนาประเทศกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในเร็ววันนี้ ปลายปีนี้ ถ้าปล่อยไว้โดยเราไม่ทําอะไรเลย ประเทศก็พังพินาศเสียหาย ลูกหลานเราก็ไม่มีอนาคต
สําหรับผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาในการบริหารประเทศนั้นก็แก้ปัญหาให้ได้ อย่าให้คนไทยต้องหันมาต่อสู้ทําร้ายกันเองอีก สังคมแตกแยกขาดความเป็นระเบียบ กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ด้อยโอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบ มีความเลื่อมล้ําไม่เป็นธรรม ประเทศชาติอ่อนแอ รัฐบาลนี้เข้ามาตอนที่ประเทศไทยกําลังจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ กําลังจะไปไม่รอดอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาแล้ว ผมต้องการให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนจากสภาพเดิม ๆ แล้วเดินหน้าต่อ เรามีศักยภาพอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ใช้ศักยภาพเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
ผมต้องการให้คนไทยมีศักดิ์ศรี มีอนาคต ผมไม่เคยคิดว่าทุกอย่างจะง่าย แต่ก็เชื่อว่าถ้าทุกคนร่วมมือกัน มองข้ามผลประโยชน์ส่วนตัว และก็ยอมรับว่าประเทศชาติเราต้องปฏิรูป หันมามองผลประโยชน์ส่วนรวม ลดอัตตาตัวเองลงไป ผมคิดว่าเราทําได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนทุกคน การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารครั้งนี้ เราน่าจะสามารถวางรากฐานที่มั่นคงให้กับประเทศไทยของเราเพื่อเตรียมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ในอนาคต จะได้หรือไม่ได้อยู่ที่พวกเราทุกคน และผมอยากจะกราบเรียนว่าคงไม่ใช่เฉพาะพวกเรา การวางอนาคตเหล่านั้นเป็นการวางอนาคตให้กับคนรุ่นหลังของเรา ลูกหลาน ผมอยากจะใช้คําว่าคนไทยที่ยังไม่ได้เกิดมามีอีกมากมาย วันหน้าก็มีเกิดมาเพิ่มเติม เราต้องวางพื้นฐานให้เขาตรงนั้นด้วย ไม่ใช่วันนี้เราใช้ทุกอย่างสิ้นเปลือง ทรัพยากรก็หมดไป ความเข้มแข็งก็ไม่มี วันหน้าประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน แล้วเขาเกิดมาเขาต้องเผชิญกับความยากลําบากอย่างไร คิดอย่างนั้นนะ ทุกที่จะเข้ามาสู่การเมือง หรือคนที่จะเป็นข้าราชการ ต้องคิดแบบที่ผมคิด ถึงจะแก้ปัญหาสําเร็จ
ปัญหาที่สะสมมายาวนานก็ต้องช่วยกันแก้ อย่าโยนภาระให้กับรัฐบาล หรือ คสช. ให้ใช้อํานาจอย่างเดียว ไปไม่สําเร็จ วันหน้าเกิดขึ้นมาใหม่ อยู่ที่การร่วมแรง ร่วมใจของทุกคน ความสมัครใจ การที่จะปรองดองกัน เรื่องกฎหมายก็คือกฎหมายคนละเรื่องกัน ปรองดองกันให้ได้ก่อน และจะต้องไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก ในสถานการณ์ต่อจากนี้ไป
เรื่องสําคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลเร่งดําเนินการอยู่ในขณะนี้ด้วยความเร่งด่วน
เรื่องชาวโรฮีนจา รัฐบาลไทยได้มีความชัดเจนในการกําหนดความช่วยเหลือชาวโรฮีนจาตามหลักมนุษยธรรม ประเทศไทย คนไทยไม่เคยแล้งน้ําใจ เราได้ให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มิตรประเทศมาโดยตลอด ปัจจุบันก็ยังทําอยู่ตามแนวชายแดน และรวมทั้งเหตุการณ์สินามิในประเทศญี่ปุ่น อุทกภัยในประเทศอินเดีย ล่าสุดประเทศที่เนปาล เราก็เป็นประเทศแรก ๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่เราก็พร้อมและยินดีที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือมิตรของเราในยามลําบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์คุณค่าความเป็นมนุษย์ อันนี้เป็นสิ่งสําคัญ เราก็ช่วยตามขีดความสามารถของเรา
สําหรับปัญหาชาวโรฮีนจาก็เช่นกัน ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของทุกประเทศ องค์กรระหว่างประเทศต้องช่วยกัน ในการดูแลมนุษยชาติ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่จําเป็นต้องกําหนดหลักการช่วยเหลือให้ชัดเจน ทั้งในเรื่องของการดูแลรักษาพยาบาล น้ํา อาหาร และการอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้ปลอดภัยไปยังประเทศปลายทาง ตามความสมัครใจ ต้องเข้าใจว่าประเทศไทยนั้นเป็นเพียง “ทางผ่าน” ไม่ใช่ประเทศเป้าหมายของชาวโรฮีนจา
ผมได้สั่งการให้ กระทรวงกลาโหม จัดตั้ง “ศูนย์อํานวยการลาดตระเวนและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้กับผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ในมหาสมุทรอินเดีย” (ศอ.ยฐ.) มีหน้าที่ในการลาดตระเวน ทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ โดยความร่วมมือทั้งทหารเรือ ทหารอากาศ โดยทหารอากาศเป็นผู้ควบคุม ได้มีการจัดตั้งฐานปฏิบัติการลอยน้ํา เพื่อให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้แก่ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติด้วย ตามหลักสากล ก็ขึ้นอยู่กับกองทัพเรือ และปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
วันนี้กระทรวงการต่างประเทศก็ได้จัดการประชุมว่าด้วย “การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย” ทั้งนี้เพื่อเป็นเวทีให้ทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้หารืออย่างสร้างสรรค์เพื่อแสวงหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและให้เกิดความยั่งยืน มี 16 ประเทศเข้าร่วม อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และบังกลาเทศ รวมทั้งประเทศผู้สังเกตการณ์ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และ สหรัฐฯ และผู้แทนจากสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และสํานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)
เป้าหมายหลักของการประชุมครั้งนี้ เร่งผลักดันในประเด็นที่ต้องการให้เกิดความร่วมกันในการแก้ไข ทั้งประเทศต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ใช้หลักการร่วมแบ่งปันระหว่างประเทศ(International Burden Sharing) หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย สําหรับผลการประชุมกระทรวงการต่างประเทศนั้น จะเสนอให้ทราบในโอกาสต่อไป
ผมคิดว่าคงได้คําตอบในทุกประเด็นต้องการให้เกิดการปฏิบัติให้ได้หลังจากมีการประชุมไปแล้ว และระยะกลางจะทําอย่างไร ระยะยาวจะทําอย่างไร ระยะแรกจะต้องร่วมมือกันตรงไหน งบประมาณใช้จากที่ไหน แล้วใครจะเป็นผู้อํานวยการปฏิบัติ หรือแต่ปฏิบัติจะแยกกันเอง ก็ต้องไปหาคําตอบกันในที่ประชุม ผมได้สั่งการลงรายละเอียดไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับในที่ประชุมจะมีมติว่าอย่างไร
เราไปบังคับใครมากก็ไม่ได้อยู่แล้ว เป็นสิทธิของแต่ละประเทศ แล้วเราเป็นอาเซียนด้วยกัน ก็ไม่อยากให้เสนอข่าวเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นความขัดแย้งจะทําให้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันในอาเซียน ที่กําลังดีอยู่ กําลังเข้มแข็งอยู่ต้องเสียหายไป ปัญหามีทุกประเทศ ถ้าเราร่วมมือกันทํา ร่วมมือกันแก้ก็จะได้ แล้วก็ไม่โทษกันไปกันมา เราก็ทําหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของมนุษย์ ชีวิตทุกคนมีค่าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ศาสนาใดก็ตาม เขามีสิทธิ์ในการดํารงชีวิตอยู่ทั้งสิ้น
เรื่อง IUU รัฐบาลได้ดําเนินการจัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย” หรือ ศปมผ. ซึ่งเป็นศูนย์เฉพาะกิจ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานั้น หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐได้เร่งดําเนินการในการแก้ไขปัญหา ได้กําหนดให้ศูนย์อํานวยการการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน กรมประมง และกรมเจ้าท่า ในการจัดทําแผนการตรวจตราการประมงระดับชาติ (National Inspection Plan)
สําหรับการดําเนินงานวางระบบในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการประมงภายในประเทศ ปัจจุบันมีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประมง พ.ศ. 2558 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ IUU ที่เข้ามาเพื่อมาดูการปฏิบัติของเราในช่วงเร็ว ๆ นี้ เราจําเป็นที่จะต้องทําให้สามารถดําเนินการกับการจัดการทรัพยากรประมงให้ได้ รวมทั้งจะต้องมีการเร่งพิจารณากฎหมายลูกอีกไม่น้อยกว่า 17 ฉบับ สําหรับการปรับปรุงภายนอกประเทศ คือ ต้องมีการจัดทําข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศในการดําเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นไปตามหลักวิชาการด้านการประมง
เรื่องแรงงานประมง เราไม่ได้นิ่งนอนใจ การช่วยเหลือเพื่อส่งตัวลูกเรือประมงไทยที่ตกค้างอยู่ที่เกาะอําบน และเกาะอื่น ๆ ด้วยในอินโดนีเซียตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 ถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 1 ปี 2557-2558 กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาการ์ตา และกรมการกงสุล ได้ดําเนินการส่งตัวลูกเรือประมงกลับไทยแล้วทั้งสิ้น 618 คน ล่าสุดเป็นลูกเรือจากเกาะเบนจินา จํานวน 29 คน ที่ได้เดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ตามด้วยลูกเรือจากเกาะเบนจินา 29 คน เกาะตาเร็มปา 5 คน และเกาะอําบนอีก 5 คน ในวันที่ 26 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันนั้นจากเกาะอําบนที่ได้ดําเนินการออกหนังสือรับรองสัญชาติ (Certificate of Identity – C.I.) และอยู่ระหว่างการรอส่งกลับอีก 80 คน และจากเกาะเบนจินาอีก 327 คน ทั้งหมดอยู่ระหว่างการรอการสอบสวน ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานฝ่ายอินโดนีเซียขอให้ลดขั้นตอนการพิจารณาเพื่อที่จะส่งลูกเรือเหล่านี้กลับได้ในโอกาสแรก
รัฐบาลขอขอบคุณรัฐบาลอินโดนีเซีย และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งทหาร ตํารวจ และพลเรือน ที่ได้พยายามร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ถูกมองข้ามมาเป็นเวลายาวนานเหล่านี้ด้วย ก็ต้องคัดแยกให้ดี ว่าอันไหนเป็นเหยื่อ อันไหนเป็นค้ามนุษย์ อันไหนเกี่ยวข้องกับกระบวนการ และอันไหนเป็นสัญชาติของใคร ก็ต้องพิสูจน์สัญชาติให้เรียบร้อยแล้วก็ส่งกลับไป มาตรการทั้งกฎหมาย มาตรการทั้งวิธีการปฏิบัติ และมาตรการให้การดูแลเหยื่อ ทั้งหมดจะต้องครบถ้วน ตามข้อบังคับหรือกติกาของประชาคมโลก
ผมเชื่อว่าประเทศไทยนั้นมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี เราทุกคนก็ต้องช่วยกันทําให้ทุกคนเป็นคนดี และลงโทษคนไม่ดี อย่างเป็นธรรมด้วยกระบวนยุติธรรม อย่างน้อยก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลานเราเห็น ประเทศไทยเราจะได้ก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ลดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ ประชาชนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย
เรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ทุกคนก็ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยยังคงพึ่งพาการหารายได้จากภาคการส่งออกอยู่มาก การส่งออกบ้านเรานั้น ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่ค้าสําคัญ โดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรปและเอเชีย เช่น จีน ที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ผมได้รับรายงานสถานการณ์การส่งออกล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์ว่าการส่งออกของไทยเริ่มมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น โดยในเดือน เมษายน 2558 มูลค่าการส่งออกหากไม่นับรวมในส่วนของน้ํามันและทองคํา พบว่า มีการขยายตัว เป็นบวกที่ร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว
สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้เปิดเผยถึงผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในปี 2558 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 จากจํานวน 61 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ลดลง 1 อันดับ จากปี 2557 เนื่องจากผลการประเมินด้าน “สมรรถนะทางเศรษฐกิจ” ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมีการพิจารณาจากการค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนระหว่างประเทศเป็นหลัก เศรษฐกิจของไทยยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอยู่ เราต้องสร้างความเข้มแข็งสร้างนวัตกรรม แล้วดูแลธุรกิจ SMEs ให้ได้ SMEs อยู่ในภาคการส่งออก
การพิจารณาในด้านอื่น ๆ อาทิ การประเมินในด้าน “ประสิทธิภาพของภาครัฐ” มีการปรับตัวดีขึ้น ทั้งในด้านการเงินภาครัฐ จากอันดับที่ 19 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 14 ด้านกรอบการบริหารภาครัฐ จาก อันดับที่ 39 เป็นอันดับที่ 34 และกรอบดําเนินการด้านสังคม จากอันดับที่ 55 เป็นอันดับที่ 45 รวมไปถึง การประเมินด้าน“โครงสร้างพื้นฐาน” ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากอันดับที่ 48 เป็นอันดับที่ 46 คิดว่าน่าจะดีขึ้นต่อไป เพราะว่าเราก็มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกมากพอสมควร แต่เป็นระยะยาว
ภาครัฐก็จะพยายามอย่างเต็มที่ ในการที่จะพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในเรื่องของโลจิสติกส์ การขนส่งคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค แล้วก็การเปิดตลาดใหม่หาช่องทางการจัดจําหน่าย ขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องดําเนินไปควบคู่กันกับการพัฒนาของผู้ประกอบการในประเทศด้วย ผู้ประกอบการก็ต้องมีการปรับในเรื่องของคุณภาพสินค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ แล้วก็ให้ความร่วมมือกับรัฐ ในการปฏิบัติตามนโยบายในเรื่องของการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย SMEs เช่น พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อนอะไรก็แล้วแต่ ดูแลผู้ค้ารายย่อย ดูแลเกษตรกรภาคการผลิตนําไปสู่กระบวนการเพื่อจะแปรรูปแล้วนําขาย เพื่อให้ราคาสูงขึ้นต้องเอาประชาชน เกษตรกรมาอยู่ในห่วงโซ่ตรงนี้ด้วย เพราะจะทําให้เกิดกระบวนการต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วก็จะดูแลซึ่งกันและกันจะได้ไม่ไปพึ่งธุรกิจสีเทา ค้าขายผิดกฎหมาย หรือที่ทําในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ขายของผิดที่หรือกิจการใด ๆ ที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ที่ผ่านมาเหล่านี้ ทําให้เกิดเงินจํานวนมากในระดับล่างที่ประชาชนมีการใช้จ่าย
วันนี้เมื่อตรงนี้หายไป เงินตรงนี้หายไปเป็นจํานวนมากพอสมควร คนเดือดร้อนแน่นอนคนที่เคยใช้จากตรงนี้ ที่เป็นห่วงโซ่ แล้วเราจะยอมให้ห่วงโซ่เหล่านี้เกิดขึ้นไปอีกหรือไม่ ทําให้เกิดความเป็นธรรมหรือไม่กับการที่ทําผิดกฎหมายแล้วคนกลุ่มหนึ่งได้ผลประโยชน์ แต่ที่เหลือไม่ได้เกิดความขัดแย้งแล้วก็ทําให้เสื่อมเสียต่อประเทศโดยรวม ชื่อเสียงประเทศก็เสียหาย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ไม่มี คนมาท่องเที่ยวก็ไม่เกิด ไม่ชื่นชม
วันนี้การท่องเที่ยวมากเหลือเกิน จากการที่รัฐบาลได้ปรับนโยบายในเรื่องของการท่องเที่ยวหลาย ๆ Cluster แล้วก็มีความเชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วยและมีการจัดการท่องเที่ยวทั้งปี มีหลาย ๆ Sector ด้วยกัน วันนี้เราจะต้องมีการพัฒนาทุกอย่างให้เกิดเป็นกระบวนการให้ได้ ทุกอย่างที่มีการผลิตนั้นจะต้องรองรับทั้ง ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ให้ความสําคัญกับการลดต้นทุนในการผลิต แล้วก็ห่วงโซ่คุณค่า Value Chain ที่ให้ความสําคัญกับผู้บริโภคในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ
ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันเช่นนี้ ผมว่า เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืน อย่าไปฟังบางคนออกมาพูดโน่นพูดนี่ทุกวันไปทั้ง ๆ ที่ก็เคยเป็นรัฐบาลมาแล้ว แต่วันนี้ไม่เข้าใจอีกก็แสดงว่าความรู้พื้นฐานไม่มีก็มาตําหนิติเตือนเรื่องโน้นเรื่องนี้มาโทษรัฐบาลนี้ ความเข้มแข็งไม่เกิด ไม่มี ไม่สร้างห่วงโซ่กันไว้ ช่องว่างคนรวยคนจนก็ห่างกันมาก คนจนก็ยิ่งจนลง คนรวยก็รวยขึ้นไป การทุจริตผิดกฎหมายก็มี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องแก้ไขทั้งหมด แล้วเราในระหว่างนี้ก็อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ คือเศรษฐกิจอาจจะเงินหมุนเวียนหายไป ขาดไป รัฐบาลก็ไม่สามารถจะนําเงินไปให้ได้
นอกจากสร้างความเข้มแข็งแล้วทุกคนก็เข้ามาสู่ในห่วงโซ่ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน คนรวยช่วยคนจน ก็จะทําให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้อย่ามาคอยตําหนิติติง ทุกคนต้องรักชาติ รักประเทศ วิธีการในการแก้ปัญหาเราก็ฟังจากทุกที่ ทุกพวกทุกฝ่าย ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ด้วย ทั้งจากประชาชน ทั้งจากนักวิชาการผมคิดว่าเราทําหมดแล้ว ปัญหาก็คือเราควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้แล้วก็ปัจจัยภายในของเราก็ยังไม่พร้อมเพียงพอต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็โอเคไม่เป็นไร ค่าแรงก็สูงตามไปให้ได้ แต่ถ้าราคาสินค้าลดลงไปเรื่อย ๆ แล้วค่าแรงยังสูงอยู่ หรือจะสูงต่อไปอีก จะทําอย่างไร ก็ยิ่งขายไม่ได้กว่าเดิม ใช่ไหม ต้นทุนผลิตแล้วแพงกว่าปกติ แพงกว่าเพื่อนบ้าน 2 อย่างบวกเข้าไป ต้นทุนการผลิต แพง ปลูกข้าวก็แพง 2 ก็คือต้องไปบวกกับค่าแรง
ถ้าสมมติเป็นใช้แรงงานโรงงานต่าง ๆ ก็ค่าแรงบวกเข้าไปอีก ต้นทุนก็แพงค่าแรงก็แพง ราคาขายก็ตกแล้วจะทําอย่างไร ต้องมามองกันทั้งระบบ อย่าไปมองทางใดทางหนึ่งแล้วก็แก้ปัญหาผิดวิธีมาตลอด บิดเบือนราคา บิดเบือนระบบการเงินการคลังของประเทศ ไม่ได้ อย่ามองข้ามความสําคัญของความคิดเห็นอื่น ๆ ของโลก เช่น GNH index หรือดัชนีความสุข อันนี้ก็เป็นตัวกําหนดเหมือนกันว่าในโลกนี้ความสุขจะอยู่ที่ไหนกัน ประเทศไหนมีความสุขมาก ความสุขน้อย
ประเทศไทยอยู่ในระดับที่มีความสุขมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีสตางค์มากนัก เรายังยากจนอยู่ เราต้องอยู่ด้วยความพอเพียงลูกหลานก็อย่ารบกวนพ่อแม่มากนัก ต้องมีสติของตัวเองว่า เรามีแค่นี้ พ่อแม่เราลําบากไป พ่อแม่เราเป็นเกษตรกร พ่อแม่เรามีรายได้จากรับจ้าง เราก็อย่าไปใช้ของแพง พ่อแม่ให้เราเรียนหนังสือ อันนี้ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ให้กับเราแล้ว เป็นมรดกของพ่อแม่เราแล้ว อย่าไปหวังว่าจะต้องรอได้รับเงินโน้นเงินนี้พ่อแม่จะต้องมีของยกให้ วันหน้าต่อไป ทุกคนก็เลยไปขวนขวายหาเงินหาทองกันหมดเพื่อจะดูแลลูกหลาน
เราต้องย้อนกลับไปดูว่าสมัยที่ผ่านมานี่ เราทุกคนผู้ใหญ่วันนี้ก็ลําบากมาทั้งสิ้นกว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กว่าจะร่ํารวยขนาดนี้ก็เสี่ยงหลาย ๆ อย่างมา มีมาตรการต่าง ๆ ที่จะปรับตัวให้ตามกับกระแสโลกมาก็มีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากมายไป แต่วันนี้เมื่อสําเร็จแล้วเราก็ต้องดูแลคนข้างหลัง เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลักการของผม ก็คือประชาชนทุกคน มีสิทธิ์ มีเสียง ในประเทศไทย แต่ต้องหาช่องทางที่ถูกต้องว่าจะพูดกันอย่างไร
เรื่องของพลังงานไฟฟ้า อันนี้เป็นเป็นประเด็นสําคัญเป็นประเด็นของพลังงานที่เรากําลังมีปัญหาอยู่ขณะนี้ สําหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทยตอนนี้ก็ยังสร้างไม่ได้ มีความขัดแย้งมากแต่ผมอยากจะเรียนว่า โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินนั้น เป็นโรงไฟฟ้าที่ถูกที่สุดในการลงทุน ในเรื่องของวัสดุที่จะใช้ คือถ่านหิน เพียงแต่ว่าเราต้องหาเทคโนโลยีโรงงานที่ทันสมัย ที่ขจัดสิ่งที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม แล้วดูแลเยียวยาประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ทําให้ดิน ให้น้ําเสียหาย การปลูกพืช การอุปโภคบริโภคก็แล้วแต่
วันนี้เขาทําได้แล้วเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน ผมอยากให้ดูตัวอย่าง วันก่อนผมเห็นในทีวีช่องหนึ่งนําโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศลาวเพิ่งสร้างเสร็จ คนไทยด้วยซ้ําที่ไปสร้าง ก็เริ่มมีการผลิตแล้ว แล้วก็ตามข้อตกลงเขาต้องขายพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้กลับมาประเทศไทยได้อีก นี่ไงครับ เราก็จําเป็นต้องซื้อเขาเพราะว่าแหล่งผลิตในประเทศไทยลดลง ๆ ไปเรื่อย ๆ พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนก็ยังไม่ทันการต้องตามต่อไปด้วย สายส่งเข้าไปอีก การลงทุนสายส่งเป็นหมื่น ๆ ล้าน เป็นแสนล้านในการที่จะเดินสายส่งในแต่ละเส้น แต่ละช่วง ไม่ใช่ง่าย ๆ วันนี้ที่มีสายส่ง วันนี้กี่ 10 ปีมาแล้วละก็ได้แค่นี้ ยังไปไม่ทั่วถึง ถ้าทุกคนหวังว่าจะขายเข้าระบบสายส่งยังเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด แล้วก็การผลิตแบตเตอรี่อะไรต่าง ๆ ในเรื่องของการเก็บพลังงานไฟฟ้าจากทดแทนเรา ก็ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอต้องซื้อทั้งหมด ต้นทุนการผลิตก็แพงก็สูง การขจัดวัสดุที่ใช้แล้ว จากแผงโซล่าเซลล์ที่หมดอายุแล้วอะไรเหล่านี้เป็นขยะทางอิเล็กทรอนิกส์ มีอันตราย
วันนี้รัฐบาลก็ออกกฎหมาย ออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่า ใครที่จะมาลงทุนกับเราก็ต้องมีแผนในเรื่องของการกําจัดขยะเหล่านี้ให้เราด้วย ก็จะให้มีสิทธิประโยชน์อะไรต่าง ๆ ในการลงทุน BOI อะไรก็แล้วแต่ วันนี้ถ้าเรายังคิดไม่ตรงกันอยู่ คือคิดแต่เพียงว่าเราก็จะต้องรักษาทุกอย่างให้เหมือนเดิม ประชาชนทุกคนก็มีส่วนที่จะต้องกําหนดการใช้จ่ายทรัพยากรทั้งหมดแต่อย่าลืมว่า เราต้องดูแลประเทศชาติกันด้วย ถ้าไม่ได้ก็ดูว่าจะไปทําได้ที่ไหนถ้าทุกที่ปฏิเสธกันหมด ทําไม่ได้ผลิตไม่ได้ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซื้อใครก็ไม่อยากให้ซื้อก็ซื้อไม่ได้อีก
วันข้างหน้าด้านความมั่นคงมีปัญหากัน เขาไม่ส่งแก๊ส ไม่ส่งไฟฟ้าจะทําอย่างไรไปช่วยผมคิดด้วย การคัดค้านอะไรผมไม่ว่า เพียงแต่ว่าต้องฟังเหตุฟัง ฟังผลหน่อย ถ้าเราเข้มแข็งเพียงพอแล้ว เราผลิตทุอย่างได้เองแล้ว ผมคิดว่าเราค่อยจะเป็นเสียงที่ดังพอ ที่คนอื่นเขาฟังเรา วันนี้เขาไม่ฟังเรา เพราะเรายังไม่เข้มแข็งพอ แล้วเราก็ยังมีความขัดแย้งสูงในสังคมไทยในปัจจุบัน ลดลงมาบ้างแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ปัจจัยสําคัญของประเทศ ก็คือพลังงานไฟฟ้าจะมาจากไหนก็ไปคุยกันต่อแล้วกัน ใช้ในการอุปโภค บริโภคแล้วก็เกิดการผลิต การอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไม่ใช่ไฟฟ้าแล้วไปใช้ ไม่ใช่ ก็ต้องไปต่อโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจ SMEs อะไรก็แล้วแต่ วันนี้เราใช้น้ํามันกับแก๊สผลิตไฟฟ้าถึง 70% ถ้าเรายังไม่ลดตรงนี้ไป โดยไม่ใช้วัสดุอื่น ๆ มาเป็นต้นทุนในการที่จะเกิดพลังงานขึ้นมา เช่น ถ่านหินหรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ถ่านหินก็ราคาถูกที่สุด เพราะฉะนั้นวันหน้าถ้ายังต้องซื้อเขา แล้ววันหน้าหรือยังต้องใช้แก๊สน้ํามัน เพราะราคาขึ้นมาอีก ค่าไฟฟ้าขึ้นแน่นอน ท่านเรียกร้องใครไม่ได้แล้ว เพราะผมพูดด้วยเหตุด้วยผลให้ท่านฟัง อยากให้ประชาชนช่วยกันหาจุดสมดุล แล้วก็เชื่อมั่นในเทคโนโลยีและรัฐบาลก็จะทําให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด หลายประเทศในโลก เกือบทุกประเทศก็ยังมีใช้ทั้งหมดเพียงแต่ว่าของเก่าก็เปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีใหม่ เครื่องจักรใหม่ก็ดีขึ้น
เรื่องการปฏิรูปประเทศ นั้น ผมอยากจะเรียนว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หลายท่านมีความตั้งใจที่ดีมีเจตนารมณ์ที่ดี อยากจะทําโน่นทํานี่ให้เสร็จในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่ผมยังอยู่แล้วก็ใช้อํานาจผมที่มีอํานาจมาตรา 44 ในวันนี้ จริง ๆ แล้ว ผมอยากจะเรียนว่ามีหลายกิจกรรมในแต่ละเรื่องในการปฏิรูป มีหลายเรื่องด้วยกัน สิ่งสําคัญต้องนึกถึงว่าในการบริหารราชการปัจจุบัน การปฏิบัติงานในปัจจุบัน ประสิทธิภาพในปัจจุบัน แล้วเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะทําอย่างไรที่จะต้องแก้ปัญหาที่ผมพูดมาทั้งหมดมาเมื่อสักครู่ต้องใช้คนเหล่านี้ทําก่อน ทําให้มีประสิทธิภาพ Grouping ใช้บูรณาการ ใช้มาตรา 44 ทั้งหมดเพื่อให้เกิดงานขึ้นโดยเร็วอย่างที่ท่านต้องการ ในการปรับโครงสร้างทั้งหมด ถ้าท่านรื้อทั้งหมดทีเดียวก็ทํางานไม่ได้ ในขณะนี้ผมคิดว่าการที่จะรื้อใหญ่ ๆ ไปตรงโน้น แต่ท่านก็ต้องจัดระเบียบว่าตรงนี้ท่านจะทําอะไรตรงไหน
การปฏิรูปมีอยู่ 3 ระยะด้วยกัน ผมเคยบอกไปแล้ว ระยะที่ 1 2 3 ของ คสช. กับรัฐบาล 1 2 คือ คสช. กับรัฐบาล พอ 3 ของผมจะส่งไปโน้น ไปรัฐบาลใหม่ ก็จะเขียนไป 1- 2- 3 1 อาจจะ 4 ปี 5 ปีอะไรก็แล้วแต่ 555 แล้ว 1-2-3 เขาก็ไปตรงโน้น เรื่องของโครงสร้างอะไรต่าง ๆ ถ้าผมทําได้ก็จะทํา เช่น ตํารวจ ก็ต้องแยกมาเรื่องการสอบสวนจะทําอย่างไร ทดลองดูก่อนไหม จะทําได้ไหม ว่าจะอยู่ตรงไหนกันบ้าง มาจากไหน ใครจะทํา ในเรื่องคดีความจะทําอย่างไร ตํารวจท้องที่ ตํารวจส่วนกลางทําอย่างไร เอาทุกอย่างมาคลี่ออกมาทีละอัน ๆ แล้วส่วนหนึ่งก็ทําไปคู่ขนานกัน อีกส่วนก็ต้องปฏิบัติราชการต่อไป แก้ปัญหาให้ผม ทํางาน
เพราะวันนี้ปัญญามากมาย ก็ต้องรื้อ ต้องใช้คน ใช้ตํารวจ วันนี้ก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันนี้คือผมปฏิรูปแล้วในระยะแรก วางพื้นฐาน ลดขั้นตอน ให้การบริการประชาชน และได้รับความเชื่อถือจากสังคม จากประชาชน ไม่อย่างนั้นที่ผ่านมาตํารวจก็ถูกตําหนิติเตือนไปมากมาย อยู่ที่ว่าเราจะไปหาเขาอย่างไร ให้ความเป็นธรรมเขาอย่างไร
วันนี้การแต่งตั้งข้าราชการ ตํารวจก็ดีขึ้น ผมก็กําลังดูอยู่ว่าเรื่องของการที่จะตั้งสภามาแต่งตั้งข้าราชการระดับกระทรวง เป็นไปได้ไหม ผมก็อยากใช้แนวทางในส่วนของทหาร ไม่ใช่ว่าทหารจะดื้อดึงขัดขืนใครได้ ไม่ใช่ ที่ผ่านมารัฐมนตรีก็มีส่วนเกี่ยวข้องตรงนี้ อย่างกองทัพก็จะมี พ.ร.บ.ทหาร พ.ร.บ.กลาโหม เพียงแต่ว่าทุกหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมเขาเสนอคนของเขาขึ้นมาเข้าที่ประชุม เกิน 2 ใน 3 ถ้าตกลงกันได้ ทุกคนเอาขึ้นมาตามแท่งของตัวเอง แล้วก็ไม่มีใครขัดแย้ง ก็อนุมัติมาตามนั้น มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้า เป็นประธานกรรมการตรงนี้ นั้นเขาเสนอมาตามแท่งของเขา ท่านจะแก้ จะปรับไปตามความเหมาะสมก็ทักท้วงกันในนั้น ถ้าเห็นด้วยก็ตั้งเลย ไม่เห็นด้วยก็ประชุมใหม่ ไปหามาใหม่หรือเสนอคนใหม่เข้ามา 2 ใน 3 ก็ผ่านอีก นั้นแหละเป็นอย่างนั้น
ผมอยากให้ข้าราชการทั้ง ตํารวจ ข้าราชการพลเรือน อยากให้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ก.ต.ร.) คณะกรรมการนโยบายตํารวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) แต่ทําอย่างที่ทหารทําหรือเปล่า จะได้คนมาที่โตมาในแท่งของเขา ในพื้นที่ของเขา แล้วนายเขาเป็นคนเลือกของเขามา ถ้านายเขาเลือกมาก็จะเป็นไปตามขั้นตอน เป็นไปตามอาวุโสบ้าง ตามความรู้ความสามารถบ้าง หรือจะเป็น Fast Track เพื่ออนาคตบ้าง ต้องมีคนทั้ง 3 อย่าง สัดส่วนที่เหมาะสมอยู่ตรงนั้น เมื่อขึ้นมาแล้ว สมมติว่าเป็นกระทรวง ก็จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้นเป็นประธานคณะกรรมการ และในส่วนของอธิบดี รองปลัดกระทรวง รองปลัด อธิบดี ก็อยู่ในท่ามกลางตรงนั้นจะเป็นข้อสรุปออกมาแล้ว แล้วส่งมาอาจจะมีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) หรือ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ที่ทําอยู่ตอนนี้ เข้าไปเป็นเลขานุการคณะนี้ก็ได้ ผมเสนอแนวคิดไปเฉย ๆ ก็จะเกิดความเป็นธรรมชัดเจนขึ้น
ตํารวจก็เหมือนกัน ถ้าตั้งขึ้นมาอย่างนี้ก็เป็นสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน ไม่ใช่พวกใคร ขึ้นมาด้วยความชอบธรรม นายตัวเองต้องรู้ว่าลูกน้องตัวเองดีหรือไม่ดี จะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา วิ่งเต้นกันมากมายไปหมด ทหารวิ่งเต้นอย่างนี้ไม่ได้ เสียเงินก็ไม่มี เพราะฉะนั้นต้องเป็นไปตามนี้ถึงเคารพได้ ถึงทํางานได้ ไม่อย่างนั้นใครขึ้นมาก็ครอบได้หมดทุกอัน ทั้งข้าราชการ ทั้งตํารวจก็เป็นแบบเดิมอีก ไปแก้แบบนี้ ถ้าตั้งใครมาสักกลุ่มหนึ่ง และมีอํานาจตั้งทุกคน ท่านจะรู้ไหมว่าแต่ละกระทรวง แต่ละหน่วยงานเขามีใคร เขาทํางานกันมาอย่างไรรู้ไหม ผมให้เป็นข้อเสนอแนะเท่านั้น แต่ถ้าท่านจะเอาอย่างนั้นก็ตามใจแล้วแต่ท่าน
เพราะฉะนั้น ในส่วนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย จําเป็นต้องมีความละเอียด ใช้กฎหมาย ใช้อาวุธเหล่านี้ ต้องมีมาตรการที่เพียงพอ แล้วก็ให้อิสระในการทํางานพอสมควรกับเขา แต่อยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้กระบวนการยุติธรรมให้เกิดความชัดเจน รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบในการสั่งงาน ในการอะไรก็แล้วแต่ ผิดถูกก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นคนสั่งให้เขาทํา ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้ได้
ผมสรุปแล้วว่าปัญหาใหญ่ ๆ เรื่องใหญ่ ๆ นั้น ที่ยังค้างอยู่ในระยะที่ 2 ของผม ผมจะส่งระยะที่ 3 ของผม คืนรัฐบาลใหม่ รัฐบาลใหม่ก็ไปกําหนด 1-2-3 ทําเอาก็แล้วกัน คงเข้าใจตามนี้ หรือถ้าหากว่าทุกคนเกรงว่าจะไม่ทํา สภาปฏิรูปกําหนดไว้ ก็อาจจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญได้ไหม หรือกฎหมายลูก หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่มีความรู้ทางกฎหมายมากนัก แต่ท่านไปทําให้เขาทําได้ก็แล้วกัน ว่าทําอย่างไร กลไกเหล่านี้จะทําต่อ ทําอย่างไรรัฐบาลถึงจะทําได้ ถ้าไม่ยอมกันอยู่แบบนี้ ก็เดินหน้าไม่ได้ วันนี้เราทําทุกอย่างตามขั้นตอนทั้งหมด ตามโรดแมปทั้งหมด โรดแมปที่ว่าก็คือ มีรัฐธรรมนูญ วันนี้ขอให้มีประชามติ ผมก็ให้ทําประชามติได้ พอประชามติแล้วก็มีการเลือกตั้ง แต่ท่านไม่เคยมีใครถามผมเลยว่า ถ้าเลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้งเกิดความวุ่นวาย ทุกคนไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญกันอีก จะทําอย่างไร มีมาตรการอะไรหรือไม่ 2. ก็คือเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลปกครองไม่ได้ขึ้นมาอีก อีกพวกก็ต่อต้านจะทําอย่างไร ผมห่วงตรงนั้นมากกว่า ผมไม่ห่วงรัฐธรรมนูญ ไม่ห่วงอย่างอื่นเท่าไหร่ ห่วงตรงนี้ คสช. จะรับผิดชอบตรงนี้ด้วย รัฐบาลก็จะดูสถานการณ์ตรงนี้ด้วย แต่ทุกอย่างผมยืนยันว่า ทุกอย่างผมทําตามโรดแมป เว้นแต่มีใครทําให้โรดแมปของผมเปลี่ยนแปลง
รัฐธรรมนูญวันนี้ ผมบอกว่าจะต้องไม่เป็นรัฐธรรมนูญของความขัดแย้งในอนาคต ผมฟังจากผู้บรรยายทั้งหมดที่มาจากเยอรมัน ฝรั่งเศส ก็ได้บรรยายถึงความเป็นไปเป็นมาของรัฐธรรมนูญประเทศเขา ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่าเป็นกฎหมายที่น่าจะไม่ต้องมีการตีความมากนัก คนไทย รัฐบาล ฝ่ายค้าน เราก็ต้องใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญในทางที่ถูก เราต้องเป็นคนที่เจริญแล้ว ไม่นํากฎหมาย ไม่นํารัฐธรรมนูญมาทะเลาะเบาะแว้งกันอีก นักการเมืองเขาต้องมีธรรมาภิบาล เรามีประสบการณ์มากมาย รัฐธรรมนูญที่ผ่านมามีหลายฉบับ แก้ไปแก้มาก็จะกลับไปที่เดิมอีกแล้ว ทุกคนก็ต้องการของเดิม คนนั้นก็ว่าดี คนนี้ก็ว่าไม่ดี พรรคการเมืองโน้น พรรคการเมืองนี้ นักการเมือง ผมถามว่า ถามประชาชนเขาหรือยังว่า เขาต้องการอะไร เขาต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นกว่าเดิม หรือต้องการให้บ้านเมืองแย่กว่าเดิม อันนี้เป็นความรับผิดชอบของนักการเมืองต่อไปด้วย ผมก็พยายามทําเต็มที่แล้ว
รัฐธรรมนูญใหม่นั้น ก็น่าจะต้องสร้างความสมดุลระหว่าง 3 อํานาจให้ได้ และมีประชาชนเป็นผู้ใช้อํานาจ 3 อํานาจดังกล่าว โดยประชาชนจะต้องเป็นศูนย์กลาง เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาบอกว่าประชาชนต้องเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ มีอํานาจโน้น ไม่ใช่ ประชาชนไม่ใช่เป็นกลุ่มอํานาจที่ 4 มี 3 อํานาจ คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ประชาชนนั้นเป็นผู้ใช้อํานาจ 3 อํานาจผ่านการเลือกผู้แทนของท่าน นั้นแหละคืออํานาจของท่านอยู่แล้ว ท่านเลือกคนเข้ามา ท่านเลือกไม่ดี นั้นแหละท่านใช้อํานาจในทางที่ผิด ถ้าท่านเลือกดี เขาก็ดูแลท่านดี บ้านเมืองก็เจริญไปข้างหน้า นั้นคือการใช้อํานาจตามหลักประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
อีกอันหนึ่งก็คือการลงประชามติ ถ้าทําอะไรกันลงประชามติเห็นชอบไม่เห็นชอบก็แล้วแต่ เขามีสิทธิให้ท่านไปลงประชามติของประชาชนได้อีกทีหนึ่ง โดยรัฐบาลเป็นผู้กําหนดออกมา ที่ผ่านมาตีกันไปตีกันมา พันกันไปหมด แล้วประชาชนก็ถูกปลุกระดม กลายเป็นว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องเหนือกว่าทุกคน เหนือกว่ารัฐบาล เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ ก็ตีกันอยู่แบบนี้
เพราะฉะนั้นต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่า ท่านใช้อํานาจของท่าน ผ่านผู้แทนของท่าน ผ่านสภา อะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจ อย่าให้ใครเขามาบิดเบือนท่านอีก นักการเมืองที่ไม่ดี พรรคอะไรที่ไม่ดีก็แล้วแต่ อย่าไปมองเฉพาะในเรื่องนโยบายพรรคอย่างเดียว ต้องมองว่านโยบายของพรรคการเมืองเหล่านั้น วางยุทธศาสตร์ของชาติไว้อย่างไร จะเดินหน้า 5 ปี 10 ปี อย่างไร ใครเข้ามาตรงนี้ก็ต้องทําต่อ ในส่วนของพรรคก็ว่ากันไป จะสร้างคะแนนนิยมอะไรกันตรงไหนก็ว่ากันไป แต่ประเทศชาติต้องไม่เสียหาย และเดินไปข้างหน้าได้ ทุกประเทศเขาเป็นอย่างนี้หมด เลิกทะเลาะกัน ไม่เอาประชาชนมาเป็นตัวประกันอยู่แล้ว เพราะเขาใช้ประชาชน ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านสภา ผู้แทนของเขา หรือลงประชามติ แล้วก็เสนอสิ่งที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยผ่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของท่าน ที่ผ่านมาเขาทําหรือเปล่า ทําตอนนี้ไหม ถ้าไม่ทําก็ไปหาทางให้เขาทําวันหน้า
ในส่วนของรัฐบาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ในประเทศต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง วันนี้ผมก็รับผิดชอบเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมจิตวิทยา การต่างประเทศ ในเรื่องของกฎหมายทําทุกอย่าง จะปฏิเสธอันใดอันหนึ่งไม่ได้ หรือจะปฏิเสธประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทุกรัฐบาล ผมอยากจะใช้คําว่าต้องดูแลคนวันนี้ และวันหน้าด้วย อย่างที่ผมเรียนไปแล้วเมื่อสักครู่ คนที่ไทยยังไม่เกิดมาอีกมากมายไปหมด นึกถึงเขาด้วย
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 กําหนดไว้ ตามโรดแมปอะไรไปได้ก็ไป ไปตามนั้น ผมไม่เคยเป็นคนเลือกโรดแมป เพราะฉะนั้นโรดแมปจะถูกกําหนดโดยประชาชน โดยสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทําประชามติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ทําได้ อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่เคยไปขัดขวางอะไรทั้งสิ้น ผมอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าด้วยความยั่งยืน ก็เป็นเรื่องของประชาชนก็แล้วกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็น แต่อย่าขัดแย้ง ทุกคนต้องยอมรับกัน เว้นแต่สถานการณ์ที่ไม่เรียบร้อยแล้วจะทําอย่างไร คอยบอกผมก็แล้วกัน ถ้าเลือกไม่ได้ เป็นรัฐบาลไม่ได้ แล้วจะทําอย่างไร หาทางออกมาให้ผม ผมใช้อํานาจอย่างเดียวก็ไม่ไหว ผมพยายามระมัดระวังอย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดหวังวันนี้คือการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน อาจจะใช้เวลาหลายปี ผมก็ไม่ได้หวังว่าผมจะเองทั้งหมด แล้วอยู่หลาย ๆ ปี ไม่ใช่ ก็เป็นเรื่องที่ผมจะต้องส่งต่อ ถ้าผมไม่มีโอกาส ผมก็ส่งรัฐบาลใหม่ที่ท่านเลือกมา ท่านใช้อํานาจประชาชนเลือกมา ไปทํามา ประชาชนเรียกร้องมาตลอด รัฐบาลก็เรียกร้องทุกรัฐบาล 2 รัฐบาลที่แล้วผมจําได้ เรียกร้องการปฏิรูป ปฏิรูปก่อน ปฏิรูปหลังอะไรก็แล้วแต่ ทําไม่ได้สักรัฐบาลหนึ่ง
วันนี้เราเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วจะหยุดไปที่เดิม แล้วกลับไปที่เก่ากันอีกหรือ ก็แล้วแต่ท่าน อํานาจอยู่ที่ท่าน อย่างนี้ ใช้ในทางที่ถูกต้องแล้วกัน เข้าช่องทางมา วันนี้หลายคนก็ไปทํางานอยู่แล้ว กมธ. สปช. สนช. ทุกคนหวังดีกับประเทศไทยทั้งนั้น แต่เพียงว่าเหมาะสมทางการอย่างไร จะเอาแค่ไหนกัน ต้องเป็นการทําข้อตกลงกับคนทั้งประเทศด้วย ไม่ใช่เอากลุ่มนี้มารบกับกลุ่มนี้ กลุ่มนี้เห็นด้วย กลุ่มนี้ไม่เห็นด้วย แล้วก็ตีกันต่อไปในอนาคต แล้วจะทําไปทําไม จะปฏิรูปกันทําไม ผมจะมายืนตรงนี้ทําไม เข้าใจตรงนี้ด้วย ผมขอร้องแล้วกัน ขออีกครั้งหนึ่ง
เรื่องอื่น ๆ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของ “เทศกาลผักผลไม้ไทยคุณภาพ” ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ได้รับการตอบรับจากประชาชนและผู้บริโภคเป็นอย่างดี ยอดจําหน่ายถึงวันที่ 26 พฤษภาคมนี้เกือบ 20 ล้านบาท แล้วต่อไปก็จะจัดเป็น “งานไม้ดอกไม้ประดับและปลาสวยงาม” จะจัดต่อระหว่างวันที่ 5 - 28 มิถุนายน ภายในงานก็จะจัดกิจกรรมการแสดงปลาสวยงาม และจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนเมือง มีการตกแต่งอะไรก็แล้วแต่ ทําให้มูลค่าของดอกไม้สูงขึ้น จัดตู้ปลาอะไรต่าง ๆ มีหมด เป็นสินค้าที่จะขายออกต่างประเทศได้เลย แล้วก็จะมีการจําหน่ายด้วย ให้ความรู้ด้วย การเลี้ยงปลา ดูแลต้นไม้ ปลาสวยงามที่วันนี้เป็นรายได้หลักของเกษตรกร บางส่วนเขาเปลี่ยนไปเลี้ยงปลากัดบ้าง ปลากัดไทย ปลากัดจีน ไปเลี้ยงปลาเงิน ปลาทอง อะไรทํานองนี้ ดอกไม้ก็นํามาจัดใส่พานใส่โหลแก้ว ให้งดงามเหมือนกันกับดอกไม้ของต่างประเทศ แต่เราเป็นแบบไทย ๆ ไปดูแล้วกัน มีการบรรยาย มีการสาธิตทุกเรื่อง มีวิทยากรมืออาชีพ มีคําแนะนําการปลูกและดูแลรักษาจากนักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการ มีการให้คําแนะนําและมีแบบแปลนการจัดสวนต่าง ๆ มีนักจัดสวนมืออาชีพมาด้วย
ระหว่างวันที่ 25 - 31 พฤษภาคมนี้ ยังมีอีกงานที่จัดขึ้นในขณะนี้คือ “OTOP วิถีไทยจากร้อยสู่ล้าน” ที่ อิมแพ็คเมืองทองธานี อันนี้ก็เกี่ยวพันเรื่อง Value Chain ถ้าอันนี้เกิดขึ้นได้เราก็ต้องไปดูว่าการผลิตเขาเป็นอย่างไร ประชาชนผลิตได้ไหม ที่ผ่านมาทําดีหมด คนสั่งซื้อ ผลิตไม่ได้ ผลิตไม่ทัน เพราะว่าไม่พร้อม แต่ทําเป็นชิ้น ๆ ได้สวย พอทําเป็น 100 อัน 1,000 อันทําไม่ได้ นี่ต้องไปส่งเสริมข้างล่างภาคการผลิต ทําอย่างไร เครื่องจักร เครื่องไม้เครื่องมือ ควรมีไหม จะตั้งสหกรณ์กันอย่างไร ไม่ใช่เอาของมา ใครทําดีเอามาขาย แล้วเวลาที่เราต้องการสั่งซื้อจากต่างประเทศไม่ใช่หรือ ขายคนไทยอย่าขายเลยพอเพียง ต้องขายต่างประเทศ พอเขาสั่งมา 10 ชิ้นได้ 100 ชิ้นเริ่มไม่ได้แล้ว 1,000 ยิ่งไม่ได้ใหญ่ นี่ก็คือความล้มเหลวของ OTOP เหมือนกัน ผมว่าต้องไปดูตั้งแต่กระบวนการผลิต ให้สอดคล้องกับ Supply ด้วย Demand Supply ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ใช่เขาไม่ต้องการอะไรก็ผลิตอยู่นั้น จะไปขายให้ใคร เลิกไปทําอย่างอื่น แล้วก็ไปสู่การเป็นธุรกิจ SMEs ใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงรับสั่งไว้แล้วเรื่องความพอเพียง ทําอย่างไรก็แล้วแต่ถ้าไม่ต้องใช้จ่ายเงินได้ก็ดี พอกิน พออยู่ ถ้าเหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้าน ถ้าเหลือมากกว่านั้นก็ขาย แลกเปลี่ยน ต่อจากนั้นก็ตั้งธุรกิจขึ้นมา จัดทําร้านค้า เปิดเป็นบริษัท ก็พัฒนาในนั้น และต้องมีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ด้วย ต้องรับฟังด้วย หลาย ๆ กระทรวงเขาออกมาแล้ว ใน What App ในโทรศัพท์ เรื่องการเกษตร ราคาสินค้า การเพาะปลูกพืช การใช้น้ํา มีหมด ไปเปิดดู
วันพุธที่ผ่านมา ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่และนักกีฬาที่เตรียมเดินทางไปร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 28 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 5 – 16 มิถุนายน 2558 ผมในนามของรัฐบาลและพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ขอแสดงความยินดีและชื่นชมนักกีฬาที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ ทั้งนี้รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและดูแลอย่างเต็มที่ ขอเป็นกําลังใจให้นักกีฬาทุกคนในการทําหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เต็มความสามารถของตนเอง มีน้ําใจเป็นนักกีฬา เคารพกฎกติกา และให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่าท่านเป็นตัวแทนของคนไทย และประเทศไทยในการที่จะสร้างภาพลักษณ์ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนไทย เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนบ้านในอาเซียน ขอให้ทุกคนทําหน้าที่ให้ดีที่สุด
วันนี้กีฬาก็ต้องแข่งขันกันด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา แข่งขันกันด้วยร่างกาย จิตใจ สามัญสํานึก และความรักชาติ ทั้งนี้ก็จะต้องคํานึงถึงประชาคมอาเซียนด้วยกันด้วย เราขัดแย้งกันไม่ได้อีกแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศพร้อมจะเป็นกําลังใจให้นักกีฬาทุกท่าน ขอให้ท่านทําให้ดีที่สุด จะแพ้ชนะก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเตรียมการไป ถ้าไม่ได้ก็ต้องมาพัฒนาใหม่ ผมยืนยันว่าเราจะต้องพัฒนาการกีฬาให้ดีขึ้นในอนาคตให้ได้ ขอให้ประสบความสําเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เพื่อจะนําชื่อเสียงและชัยชนะมาสู่ประเทศไทย ถ้าไม่ได้เอาเพื่อนกับมา นั้นสําคัญที่สุด พ่อแม่ภูมิใจ และพัฒนาตนเอง เรียนรู้ใหม่ ไม่มีใครบังคับได้นอกจากตัวเราเอง
เรื่องกีฬาก็ไม่ต้องกลัว ผมก็ขอโทษ รบกวนเวลาท่านพอสมควร วันไหนมีกีฬาผมก็จะเลื่อนให้แล้วกัน พูดให้สั้น ๆ ลง ตอนนี้ก็ปรับเรื่องการออกอากาศไปแล้ว ในวันศุกร์ผมพูดคนเดียวแล้วกัน แค่สักครึ่งชั่วโมงเล็กน้อยทํานองนี้ ในส่วนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไปออกอากาศตอนเย็นวันธรรมดาเวลา 18.00 น. แล้วกัน ไม่เกินครึ่งชั่วโมง 20 – 30 นาที เขาเรียกว่าเผื่อแผ่แบ่งปัน ฟังผมบ้าง ตอนนี้ “ป้าแย้ม” ก็ไม่อยู่แล้ว ก็รอป้าคนใหม่แล้วกัน แต่ผมยังอยู่ ขอเวลาพบกับท่านไปก่อนแล้วกัน สวัสดีครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จับมือ ก.ท่องเที่ยวฯ ช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว นำสินเชื่อSMEคนตัวเล็กเข้าช่วยปล่อยเงินทุน
|
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
ก.อุตฯ จับมือ ก.ท่องเที่ยวฯ ช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว นําสินเชื่อSMEคนตัวเล็กเข้าช่วยปล่อยเงินทุน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภายใต้ “โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว” ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ
วันนี้ (23 มีนาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภายใต้ “โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว” โดยมีนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกล่าวถึงเจตนารมณ์และความร่วมมือโครงการฯ และมีนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ
โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้คําแนะนําในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การบริหารจัดการ ระบบการเงิน ระบบขนส่ง และการตลาด ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลาความร่วมมือนับตั้งแต่วันที่ทําบันทึกข้อตกลง ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนและเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จับมือ ก.ท่องเที่ยวฯ ช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว นำสินเชื่อSMEคนตัวเล็กเข้าช่วยปล่อยเงินทุน
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
ก.อุตฯ จับมือ ก.ท่องเที่ยวฯ ช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว นําสินเชื่อSMEคนตัวเล็กเข้าช่วยปล่อยเงินทุน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภายใต้ “โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว” ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ
วันนี้ (23 มีนาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภายใต้ “โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว” โดยมีนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกล่าวถึงเจตนารมณ์และความร่วมมือโครงการฯ และมีนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ
โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้คําแนะนําในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การบริหารจัดการ ระบบการเงิน ระบบขนส่ง และการตลาด ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลาความร่วมมือนับตั้งแต่วันที่ทําบันทึกข้อตกลง ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนและเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10995
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เร่งดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ประชาชน
รัฐมนตรีเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ประชาชน ตามโครงการจัดที่ดินทํากินแห่งชาติ (คทช.)
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้จัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ประชาชนตามโครงการจัดที่ดินทํากินแห่งชาติ (คทช.) โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินดังกล่าว จึงได้ติดตามการดําเนินงานพัฒนาอาชีพตามโครงการ คทช.แก่ประชาชนหรือเกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน จันทบุรี เพชรบุรี หนองบัวลําภู อุทัยธานี และอุบลราชธานี ซึ่งพบว่ามีพื้นที่ตามโครงการ คทช.หลายแห่งยังขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาอาชีพหรือบางพื้นที่ประชาชนที่ได้รับที่ดินหรือเครื่องมือในการพัฒนาส่งเสริมอาชีพยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ
กระทรวงเกษตรฯ จึงได้เร่งดําเนินการโดยมอบหมายให้สหกรณ์จังหวัด ในฐานะเลขานุการอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพระดับจังหวัดเป็นหน่วยหลัก บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนดําเนินการ ดังนี้ 1) ในกรณีที่จะมีการจัดที่ดินทํากินตามโครงการ คทช.ในพื้นที่จังหวัดใด ขอให้ส่วนราชการของกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมงบประมาณ แผนงาน/โครงการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด /โครงสร้างพื้นฐาน ที่จําเป็นให้พร้อม เมื่อได้รับการส่งมอบรายชื่อประชาชนจากอนุกรรมการด้านจัดที่ดิน (กรมที่ดิน/ที่ดินจังหวัด มท.) จะได้ดําเนินการได้ทันที 2) ในพื้นที่จังหวัดที่เกษตรกรที่รับมอบที่ดินมาแล้ว ขอให้ตรวจสอบและหาทางพัฒนาช่วยเหลือประชาชนให้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ 3) ให้ดําเนินการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกรในพื้นที่โครงการให้เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรืองบประมาณพัฒนาจังหวัด และ 4) ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดจัดประชุมร่วมกับ อ.พ.ก.จังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เพื่อให้สหกรณ์จังหวัดได้รายงานผลการดําเนินงาน พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรค ในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรตามโครงการ คทช. เพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้มอบหมายผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกร์และผู้ตรวจราชการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อติดตามการดําเนินงานตามโครงการ คทช.ในด้านการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพอีกทางหนึ่งด้วย พร้อมทั้งได้มอบหมายอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ติดตามเร่งรัดการพัฒนาอาชีพ ภายใต้โครงการดังกล่าวต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เร่งดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ประชาชน
รัฐมนตรีเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ประชาชน ตามโครงการจัดที่ดินทํากินแห่งชาติ (คทช.)
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้จัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ประชาชนตามโครงการจัดที่ดินทํากินแห่งชาติ (คทช.) โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินดังกล่าว จึงได้ติดตามการดําเนินงานพัฒนาอาชีพตามโครงการ คทช.แก่ประชาชนหรือเกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน จันทบุรี เพชรบุรี หนองบัวลําภู อุทัยธานี และอุบลราชธานี ซึ่งพบว่ามีพื้นที่ตามโครงการ คทช.หลายแห่งยังขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาอาชีพหรือบางพื้นที่ประชาชนที่ได้รับที่ดินหรือเครื่องมือในการพัฒนาส่งเสริมอาชีพยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ
กระทรวงเกษตรฯ จึงได้เร่งดําเนินการโดยมอบหมายให้สหกรณ์จังหวัด ในฐานะเลขานุการอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพระดับจังหวัดเป็นหน่วยหลัก บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนดําเนินการ ดังนี้ 1) ในกรณีที่จะมีการจัดที่ดินทํากินตามโครงการ คทช.ในพื้นที่จังหวัดใด ขอให้ส่วนราชการของกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมงบประมาณ แผนงาน/โครงการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด /โครงสร้างพื้นฐาน ที่จําเป็นให้พร้อม เมื่อได้รับการส่งมอบรายชื่อประชาชนจากอนุกรรมการด้านจัดที่ดิน (กรมที่ดิน/ที่ดินจังหวัด มท.) จะได้ดําเนินการได้ทันที 2) ในพื้นที่จังหวัดที่เกษตรกรที่รับมอบที่ดินมาแล้ว ขอให้ตรวจสอบและหาทางพัฒนาช่วยเหลือประชาชนให้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ 3) ให้ดําเนินการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกรในพื้นที่โครงการให้เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรืองบประมาณพัฒนาจังหวัด และ 4) ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดจัดประชุมร่วมกับ อ.พ.ก.จังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เพื่อให้สหกรณ์จังหวัดได้รายงานผลการดําเนินงาน พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรค ในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรตามโครงการ คทช. เพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้มอบหมายผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกร์และผู้ตรวจราชการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อติดตามการดําเนินงานตามโครงการ คทช.ในด้านการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพอีกทางหนึ่งด้วย พร้อมทั้งได้มอบหมายอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ติดตามเร่งรัดการพัฒนาอาชีพ ภายใต้โครงการดังกล่าวต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15183
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561
สารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
สารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ตามที่เกิดเหตุกราดยิงเกิดขึ้นบริเวณตลาดคริสต์มาส (Marché de Noël - Christmas Night Market) เมืองสตราสบูร์กในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ นั้น
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อความสารถึงนายเอดัวร์ ฟีลิป นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ดังนี้
Excellency,
I am profoundly shocked and saddened to learn of the horrendous attack in Strasbourg on 11 December 2018, which resulted in the tragic loss of lives, including one Thai citizen on holiday in that city, with a dozen more injured.
Thailand shares France’s loss and stands with France in condemning this terrorist attack. The abominable act reminds us that terrorism knows no borders and requires a global response. This pressing challenge must be tackled through the firm resolve of the international community. Thailand, therefore, reaffirms our commitment to cooperating closely with France and the global community in the fight against all forms of violence and terrorism.
On behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, I wish to send our message of heartfelt support to Your Excellency and, through you, to the families of the victims and those affected by this tragic incident.
Accept, Excellency, the renewed assurances of my highest consideration.
General Prayut Chan-o-cha (Ret.)
Prime Minister of the Kingdom of Thailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561
สารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
สารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ตามที่เกิดเหตุกราดยิงเกิดขึ้นบริเวณตลาดคริสต์มาส (Marché de Noël - Christmas Night Market) เมืองสตราสบูร์กในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ นั้น
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อความสารถึงนายเอดัวร์ ฟีลิป นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ดังนี้
Excellency,
I am profoundly shocked and saddened to learn of the horrendous attack in Strasbourg on 11 December 2018, which resulted in the tragic loss of lives, including one Thai citizen on holiday in that city, with a dozen more injured.
Thailand shares France’s loss and stands with France in condemning this terrorist attack. The abominable act reminds us that terrorism knows no borders and requires a global response. This pressing challenge must be tackled through the firm resolve of the international community. Thailand, therefore, reaffirms our commitment to cooperating closely with France and the global community in the fight against all forms of violence and terrorism.
On behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, I wish to send our message of heartfelt support to Your Excellency and, through you, to the families of the victims and those affected by this tragic incident.
Accept, Excellency, the renewed assurances of my highest consideration.
General Prayut Chan-o-cha (Ret.)
Prime Minister of the Kingdom of Thailand
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17466
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ kick off โครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย
|
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
ก.เกษตรฯ kick off โครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย
เกษตรฯ kick off สร้างโคนมไทยเข้มแข็ง พร้อมผลักดันสู่การ แข่งขันในตลาดโลก
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกร ณ ศาลาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา รัชกาลที่ 9 วัดหนองตาแต้ม อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมด้วย นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ และประชาชนกว่า 1,000 คนให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้ได้มอบปัจจัยการผลิตให้แก่นัวแทนเกษตรกร และเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้ ทั้ง 5 ฐาน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า อาชีพการเลี้ยงโคนมซึ่งเป็นอาชีพพระราชทาน จําเป็นต้องมีการพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง สามารถผลิตน้ํานมดิบที่มีคุณภาพ และนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมเพื่อใช้เป็นอาหารเสริมสําหรับเด็กนักเรียน ตามโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ซึ่งจะช่วยให้เด็กนักเรียนมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ในขณะเดียวกันเกษตรกรที่ประกอบอาชีพอื่นก็สามารถใช้เป็นทางเลือกอาชีพ เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติและปัญหาด้านการเกษตรอื่นๆ ได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีนโยบายในการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรมีความอยู่ดี กินดี โดยยึดหลัก “ตลาดนําการผลิต” ผลผลิตมีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด ทําให้ราคาสินค้ามีความแน่นอน สามารถแข่งขันกับการเปิดเสรีทางการค้าได้ ทําให้อาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์มีความมั่นคง สร้างรายได้มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต อันจะเกิดความมั่นคงในอาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์ รวมทั้งเกิดการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายของกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ให้มีความเข้มแข็งและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างเกษตรกรด้วยกันเองและเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการประกอบอาชีพให้มั่นคงและมีอํานาจการต่อรองทางการตลาดได้
จากข้อมูลของกรมปศุสัตว์ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งประเทศ มีจํานวน 18,301 ราย โคนมจํานวน 661,741 ตัว ปริมาณน้ํานมดิบ 3,450 ตัน/วัน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีจํานวน 860,604 ราย โคเนื้อ จํานวน 5,838,118 ตัว สําหรับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จํานวน 958 ราย โคนมจํานวน 35,774 ตัว ปริมาณน้ํานมดิบ 195 ตัน/วัน และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ จํานวน 10,612 ราย โคเนื้อ จํานวน 134,460 ตัว
“จากจํานวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทําให้มั่นใจว่า พี่น้องในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่วนหนึ่งมีรายได้หลักจากการประกอบอาชีพด้านปศุสัตว์ จึงขอให้พวกเราได้ใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ จากฐานเรียนรู้ทั้ง 5 ฐานที่มีการจัดเตรียมไว้ ขอให้ทุกคนได้เข้าศึกษา สอบถาม แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และประเมินศักยภาพ ว่าอาชีพใดเหมาะสมที่จะเป็นอาชีพใหม่หรืออาชีพเสริมโดยปรับเปลี่ยนอาชีพให้เหมาะสมกับตนเอง หรือมีส่วนที่จะนําไปปรับปรุงอาชีพที่ทําอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น สําหรับปัจจัยการผลิตที่เกษตรกรได้รับมอบในวันนี้ ขอให้นําไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการประกอบอาชีพทางการเกษตรและเลี้ยงสัตว์” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ปัจจุบันการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนม ได้มุ่งเน้นให้เกษตรกร มีการจัดการเลี้ยงดูโคนม เพื่อผลิตน้ํานมที่มีคุณภาพ มีองค์ประกอบทางโภชนาการ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กําหนด ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน แต่ด้วยสภาพการจัดการฟาร์มโคนมของเกษตรกรในปัจจุบันยังต้องมีการพัฒนา เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ให้มากยิ่งขึ้น ภายใต้สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับในปี 2568 ประเทศไทยต้องเปิดเขตการค้าเสรีหรือข้อตกลงทางการค้าเสรี(FTA) ส่งผลให้น้ํานมดิบและผลิตภัณฑ์ของน้ํานมโคนมที่นําเข้ามีภาษีเป็นศูนย์ ทําให้เกษตรกรต้องมีการพัฒนาระบบการเลี้ยง การจัดการฟาร์ม เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและพัฒนาคุณภาพน้ํานม เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าเสรีได้
กรมปศุสัตว์ จึงได้จัดทําโครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรที่สนใจการเลี้ยงโคนมและปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น โคขุน แพะเนื้อ เพื่อเป็นอาชีพทางเลือกในการเพิ่มรายได้ และแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ที่มีราคาตกต่ํา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ แพะเนื้อ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรทั่วไป จากทุกอําเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 1,000 คน ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ผ่านฐานการเรียนรู้ 5 ฐาน ดังนี้ ฐานเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การจัดการฟาร์ม ฐานเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การปรับปรุงพันธุ์ และพันธุ์สัตว์ที่ตลาดต้องการ ฐานเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การจัดการอาหารสัตว์ และพืชอาหารสัตว์ที่สําคัญ ฐานเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การจัดการสุขภาพ มาตรฐานฟาร์ม และการเคลื่อนย้ายสัตว์ และฐานเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลิตภัณฑ์และการตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางการเลือกอาชีพที่มั่นคง เกิดการรวมของเครือข่ายกลุ่มอาชีพการเลี้ยงสัตว์ อันจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ kick off โครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
ก.เกษตรฯ kick off โครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย
เกษตรฯ kick off สร้างโคนมไทยเข้มแข็ง พร้อมผลักดันสู่การ แข่งขันในตลาดโลก
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกร ณ ศาลาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา รัชกาลที่ 9 วัดหนองตาแต้ม อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมด้วย นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ และประชาชนกว่า 1,000 คนให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้ได้มอบปัจจัยการผลิตให้แก่นัวแทนเกษตรกร และเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้ ทั้ง 5 ฐาน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า อาชีพการเลี้ยงโคนมซึ่งเป็นอาชีพพระราชทาน จําเป็นต้องมีการพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง สามารถผลิตน้ํานมดิบที่มีคุณภาพ และนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมเพื่อใช้เป็นอาหารเสริมสําหรับเด็กนักเรียน ตามโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ซึ่งจะช่วยให้เด็กนักเรียนมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ในขณะเดียวกันเกษตรกรที่ประกอบอาชีพอื่นก็สามารถใช้เป็นทางเลือกอาชีพ เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติและปัญหาด้านการเกษตรอื่นๆ ได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีนโยบายในการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรมีความอยู่ดี กินดี โดยยึดหลัก “ตลาดนําการผลิต” ผลผลิตมีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด ทําให้ราคาสินค้ามีความแน่นอน สามารถแข่งขันกับการเปิดเสรีทางการค้าได้ ทําให้อาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์มีความมั่นคง สร้างรายได้มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต อันจะเกิดความมั่นคงในอาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์ รวมทั้งเกิดการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายของกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ให้มีความเข้มแข็งและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างเกษตรกรด้วยกันเองและเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการประกอบอาชีพให้มั่นคงและมีอํานาจการต่อรองทางการตลาดได้
จากข้อมูลของกรมปศุสัตว์ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งประเทศ มีจํานวน 18,301 ราย โคนมจํานวน 661,741 ตัว ปริมาณน้ํานมดิบ 3,450 ตัน/วัน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีจํานวน 860,604 ราย โคเนื้อ จํานวน 5,838,118 ตัว สําหรับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จํานวน 958 ราย โคนมจํานวน 35,774 ตัว ปริมาณน้ํานมดิบ 195 ตัน/วัน และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ จํานวน 10,612 ราย โคเนื้อ จํานวน 134,460 ตัว
“จากจํานวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทําให้มั่นใจว่า พี่น้องในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่วนหนึ่งมีรายได้หลักจากการประกอบอาชีพด้านปศุสัตว์ จึงขอให้พวกเราได้ใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ จากฐานเรียนรู้ทั้ง 5 ฐานที่มีการจัดเตรียมไว้ ขอให้ทุกคนได้เข้าศึกษา สอบถาม แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และประเมินศักยภาพ ว่าอาชีพใดเหมาะสมที่จะเป็นอาชีพใหม่หรืออาชีพเสริมโดยปรับเปลี่ยนอาชีพให้เหมาะสมกับตนเอง หรือมีส่วนที่จะนําไปปรับปรุงอาชีพที่ทําอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น สําหรับปัจจัยการผลิตที่เกษตรกรได้รับมอบในวันนี้ ขอให้นําไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการประกอบอาชีพทางการเกษตรและเลี้ยงสัตว์” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ปัจจุบันการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนม ได้มุ่งเน้นให้เกษตรกร มีการจัดการเลี้ยงดูโคนม เพื่อผลิตน้ํานมที่มีคุณภาพ มีองค์ประกอบทางโภชนาการ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กําหนด ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน แต่ด้วยสภาพการจัดการฟาร์มโคนมของเกษตรกรในปัจจุบันยังต้องมีการพัฒนา เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ให้มากยิ่งขึ้น ภายใต้สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับในปี 2568 ประเทศไทยต้องเปิดเขตการค้าเสรีหรือข้อตกลงทางการค้าเสรี(FTA) ส่งผลให้น้ํานมดิบและผลิตภัณฑ์ของน้ํานมโคนมที่นําเข้ามีภาษีเป็นศูนย์ ทําให้เกษตรกรต้องมีการพัฒนาระบบการเลี้ยง การจัดการฟาร์ม เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและพัฒนาคุณภาพน้ํานม เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าเสรีได้
กรมปศุสัตว์ จึงได้จัดทําโครงการส่งเสริมและพัฒนาโคนมไทย กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรที่สนใจการเลี้ยงโคนมและปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น โคขุน แพะเนื้อ เพื่อเป็นอาชีพทางเลือกในการเพิ่มรายได้ และแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ที่มีราคาตกต่ํา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ แพะเนื้อ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรทั่วไป จากทุกอําเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 1,000 คน ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ผ่านฐานการเรียนรู้ 5 ฐาน ดังนี้ ฐานเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การจัดการฟาร์ม ฐานเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การปรับปรุงพันธุ์ และพันธุ์สัตว์ที่ตลาดต้องการ ฐานเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การจัดการอาหารสัตว์ และพืชอาหารสัตว์ที่สําคัญ ฐานเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การจัดการสุขภาพ มาตรฐานฟาร์ม และการเคลื่อนย้ายสัตว์ และฐานเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลิตภัณฑ์และการตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางการเลือกอาชีพที่มั่นคง เกิดการรวมของเครือข่ายกลุ่มอาชีพการเลี้ยงสัตว์ อันจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23440
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่
|
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่
เพื่อ่ยกระดับเกษตรกรไทย ให้ทันสมัย เพิ่มรายได้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ Young Smart Farmer ที่บริหารจัดการการเกษตรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ประกอบการและเป็นผู้นําทางการเกษตรในท้องถิ่นได้ โดยจะต้องมีอายุ 17 – 45 ปี เริ่มต้นทําการเกษตร มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเอง และขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ผ่านการพัฒนาแล้วกว่า 7,500 ราย และตั้งเป้าหมายพัฒนาเพิ่มอีก 3,280 รายในปีนี้ ทั้งนี้ เกษตรกรรุ่นใหม่จะได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ มีข้อมูลตัดสินใจ จัดการผลผลิตและตลาดได้ และจะต้องผ่านการประเมินศักยภาพด้วยการสร้างรายได้ไม่ต่ํากว่า 180,000 บาทต่อปี ผู้สนใจติดต่อได้ที่ สนง.เกษตรอําเภอทุกแห่งทั่วประเทศ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่
เพื่อ่ยกระดับเกษตรกรไทย ให้ทันสมัย เพิ่มรายได้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ Young Smart Farmer ที่บริหารจัดการการเกษตรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ประกอบการและเป็นผู้นําทางการเกษตรในท้องถิ่นได้ โดยจะต้องมีอายุ 17 – 45 ปี เริ่มต้นทําการเกษตร มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเอง และขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ผ่านการพัฒนาแล้วกว่า 7,500 ราย และตั้งเป้าหมายพัฒนาเพิ่มอีก 3,280 รายในปีนี้ ทั้งนี้ เกษตรกรรุ่นใหม่จะได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ มีข้อมูลตัดสินใจ จัดการผลผลิตและตลาดได้ และจะต้องผ่านการประเมินศักยภาพด้วยการสร้างรายได้ไม่ต่ํากว่า 180,000 บาทต่อปี ผู้สนใจติดต่อได้ที่ สนง.เกษตรอําเภอทุกแห่งทั่วประเทศ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10325
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมบันทึกเทป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อันหาที่สุดมิได้ ณ ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ และคณะผู้บริหารกระทรวง อว. ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมบันทึกเทป ถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อันหาที่สุดมิได้ ณ ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31846
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ ระบุนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัยเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกฯ ระบุนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัยเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ผู้ช่วยโฆษกฯ ระบุนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัยเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กําชับข้าราชการทุกภาคส่วนตั้งใจทําหน้าที่ของตนเองดูแลช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชน
วันนี้ ( 14 มี.ค. 60) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี แจ้งที่ประชุมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงได้มีการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดูแลป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กําลังจะมาถึงในเดือนเมษายนนี้ โดยเฉพาะการสร้างวัฒนธรรมที่ดีในการขับขี่รถไม่ว่าจะเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในการใช้รถใช้ถนน ความมีวินัยและการเคารพกฎจราจร รวมถึงเน้นย้ําผู้ขับขี่รถยนต์และรถโดยสารสาธารณะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงป้องกันโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่รถ เช่น โรคลมชัก ขณะเดียวกันขอให้บริษัทผู้ประกอบการมีการดูแลวินัยผู้ขับขี่รถโดยสารประจําทาง รวมทั้งการนําอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น GPS มาติดตั้งในรถเพื่อใช้ในการควบคุมการขับขี่รถซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่รถยนต์และรถโดยสารประจําทาง ตลอดจนประชาชนเกิดความรู้สึกปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กําชับเจ้าหน้าที่และข้าราชการทุกภาคส่วนให้ทุกคนตั้งใจทําหน้าที่ของตนเองให้ดีอย่างเต็มกําลังความรู้ความสามารถโดยไม่นิ่งดูดายและดูแลช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนให้ได้มากที่สุดเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ ระบุนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัยเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกฯ ระบุนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัยเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ผู้ช่วยโฆษกฯ ระบุนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัยเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กําชับข้าราชการทุกภาคส่วนตั้งใจทําหน้าที่ของตนเองดูแลช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชน
วันนี้ ( 14 มี.ค. 60) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี แจ้งที่ประชุมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงได้มีการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดูแลป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กําลังจะมาถึงในเดือนเมษายนนี้ โดยเฉพาะการสร้างวัฒนธรรมที่ดีในการขับขี่รถไม่ว่าจะเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในการใช้รถใช้ถนน ความมีวินัยและการเคารพกฎจราจร รวมถึงเน้นย้ําผู้ขับขี่รถยนต์และรถโดยสารสาธารณะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงป้องกันโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่รถ เช่น โรคลมชัก ขณะเดียวกันขอให้บริษัทผู้ประกอบการมีการดูแลวินัยผู้ขับขี่รถโดยสารประจําทาง รวมทั้งการนําอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น GPS มาติดตั้งในรถเพื่อใช้ในการควบคุมการขับขี่รถซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่รถยนต์และรถโดยสารประจําทาง ตลอดจนประชาชนเกิดความรู้สึกปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กําชับเจ้าหน้าที่และข้าราชการทุกภาคส่วนให้ทุกคนตั้งใจทําหน้าที่ของตนเองให้ดีอย่างเต็มกําลังความรู้ความสามารถโดยไม่นิ่งดูดายและดูแลช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนให้ได้มากที่สุดเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2383
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ช่วยเหลือเด็กสาววัย 15 ปี ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว 5 ชีวิต ที่ จ.สุโขทัย
|
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
พม. ช่วยเหลือเด็กสาววัย 15 ปี ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว 5 ชีวิต ที่ จ.สุโขทัย
พม. ช่วยเหลือเด็กสาววัย 15 ปี ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว 5 ชีวิต ที่ จ.สุโขทัย
วันนี้ (25 ก.ย. 61) เวลา 08.30 น. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 122/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายปรเมธี กล่าวว่า จากกรณีเด็กสาววัย 15 ปี ต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อมาเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว และเลี้ยงดูหลายชีวิต ทั้งตาอายุ 55 ปี ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ขาลีบ ยายอายุ 56 ปี ที่พิการตาบอด 1 ข้าง น้องชายฝาแฝด 2 คน วัย 13 ปี ซึ่งต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อมาช่วยทํางานหาเลี้ยงครอบครัว และน้องสาววัย 9 ขวบ ซึ่งครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จังหวัดสุโขทัย นั้น ตนขอชื่นชมเด็กสาวคนดังกล่าว ที่มีจิตใจเข้มแข็ง มีความกตัญญู ขยันหมั่นเพียร และมีความมุมานะอดทน มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุโขทัย (พมจ.สุโขทัย) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแล ในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กรณีหญิงชราวัย 61 ปี พิการเป็นอัมพาต นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอยู่กับน้องสาวที่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน อาศัยอยู่เพียงลําพังคนเดียวทั้งวัน ทําให้ต้องขับถ่ายบนเตียง เนื่องจากน้องสาวออกไปทํางาน ที่จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของ ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาอาการป่วยของหญิงชราอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการออกบัตรประจําตัวผู้พิการและสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
นายปรเมธี กล่าวต่ออีกว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีเด็กสาววัย 14 ปี พยายามจะกระโดดสะพานลอยเพื่อฆ่าตัวตาย ที่ จังหวัดชลบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมได้แนะนําการดูแลเด็กแก่ครอบครัว และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทํากิจกรรมบําบัดทั้งเด็กและผู้ปกครอง พร้อมประสานกับทางโรงเรียนเพื่อปรับความเข้าใจกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนและครู ให้สามารถอยู่ร่วมกันและทํากิจกรรมต่างๆได้ต่อไป 2) กรณีน้ําป่าไหลหลาก เกิดเหตุดินโคลนถล่มทับศูนย์อพยพที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตระเวนค้นหาผู้เสียหาย และปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างบ้านพักอาศัยให้ผู้ประสบภัย ทั้งนี้ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวของใช้ที่จําเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และหารือแนวทางให้การช่วยเหลือต่อไป
"ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป” นายปรเมธี กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ช่วยเหลือเด็กสาววัย 15 ปี ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว 5 ชีวิต ที่ จ.สุโขทัย
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
พม. ช่วยเหลือเด็กสาววัย 15 ปี ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว 5 ชีวิต ที่ จ.สุโขทัย
พม. ช่วยเหลือเด็กสาววัย 15 ปี ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว 5 ชีวิต ที่ จ.สุโขทัย
วันนี้ (25 ก.ย. 61) เวลา 08.30 น. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 122/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายปรเมธี กล่าวว่า จากกรณีเด็กสาววัย 15 ปี ต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อมาเก็บของเก่าขายหารายได้จุนเจือครอบครัว และเลี้ยงดูหลายชีวิต ทั้งตาอายุ 55 ปี ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ขาลีบ ยายอายุ 56 ปี ที่พิการตาบอด 1 ข้าง น้องชายฝาแฝด 2 คน วัย 13 ปี ซึ่งต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อมาช่วยทํางานหาเลี้ยงครอบครัว และน้องสาววัย 9 ขวบ ซึ่งครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จังหวัดสุโขทัย นั้น ตนขอชื่นชมเด็กสาวคนดังกล่าว ที่มีจิตใจเข้มแข็ง มีความกตัญญู ขยันหมั่นเพียร และมีความมุมานะอดทน มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุโขทัย (พมจ.สุโขทัย) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแล ในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กรณีหญิงชราวัย 61 ปี พิการเป็นอัมพาต นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอยู่กับน้องสาวที่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน อาศัยอยู่เพียงลําพังคนเดียวทั้งวัน ทําให้ต้องขับถ่ายบนเตียง เนื่องจากน้องสาวออกไปทํางาน ที่จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของ ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาอาการป่วยของหญิงชราอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการออกบัตรประจําตัวผู้พิการและสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
นายปรเมธี กล่าวต่ออีกว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีเด็กสาววัย 14 ปี พยายามจะกระโดดสะพานลอยเพื่อฆ่าตัวตาย ที่ จังหวัดชลบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมได้แนะนําการดูแลเด็กแก่ครอบครัว และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทํากิจกรรมบําบัดทั้งเด็กและผู้ปกครอง พร้อมประสานกับทางโรงเรียนเพื่อปรับความเข้าใจกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนและครู ให้สามารถอยู่ร่วมกันและทํากิจกรรมต่างๆได้ต่อไป 2) กรณีน้ําป่าไหลหลาก เกิดเหตุดินโคลนถล่มทับศูนย์อพยพที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตระเวนค้นหาผู้เสียหาย และปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างบ้านพักอาศัยให้ผู้ประสบภัย ทั้งนี้ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวของใช้ที่จําเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และหารือแนวทางให้การช่วยเหลือต่อไป
"ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป” นายปรเมธี กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15659
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด “Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน”
|
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560
ทส.จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด “Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน”
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด “Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน”
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2560) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด "Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน” โดยในโอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานการประชุม ได้ให้แนวทางในการดําเนินงาน ซึ่งการตอบแทนคุณระบบนิเวศ ต้องเริ่มต้นจากการสร้างจิตสํานึก ควบคู่กับการใช้หลักวิชาการ และคํานึงถึงผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม มากกว่าค่าเงิน อีกทั้งการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นจะต้องมีการถ่ายเทภารกิจอย่างสมดุล เหมาะสม เพราะทรัพยากรธรรมชาติ เป็นทรัพยากรอันมีค่าของแผ่นดิน เราต้องช่วยกันอนุรักษ์ และดูแลรักษา เพื่อคงความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ในการประชุมครั้งนี้ มีนาย พินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานราชการ และผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมพนมเบ็ญจา ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกระบี่ 9/10
การตอบแทนคุณระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem service หรือ PES) เป็นแนวคิดในการใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ หรือ ต้นทุนของบริการระบบนิเวศ มาส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการ หรือได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศต้อง "จ่าย หรือ ตอบแทนคุณระบบนิเวศในรูปแบบต่างๆ” ให้กับผู้ทําหน้าที่ดูแลรักษา อนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศ เพื่อให้คงไว้ซึ่งบริการหรือประโยชน์อย่างยั่งยืนที่ได้รับ และในขณะเดียวกันก็ทําให้ผู้ที่ดูแลรักษา ฟื้นฟูระบบนิเวศมีขวัญและกําลังใจในการดําเนินงาน มีศักยภาพการดําเนินงานที่สูงขึ้น และมีรายได้เสริมจากการทํากิจกรรมอนุรักษ์ได้ โดยเป้าหมายในการดําเนินงานมีทั้งระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้
1. ในระยะสั้น คือ การให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตระหนักรับรู้ ในเรื่องความยั่งยืนของการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และมีการดูแลอนุรักษ์ระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศและกิจการตนเอง
2. ในระยะยาว ต้องการให้เกิดการประเมินมูลค่าการให้บริการระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยว และมีการนําต้นทุนด้านมูลค่าความสวยงามของระบบนิเวศ และ ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มาคิดคํานวณเพื่อหาผลตอบแทนที่แท้จริงจากการท่องเที่ยว และเกิดแนวทางใหม่ๆ ที่จับต้องได้ในการดําเนินงานท่องเที่ยวยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดกระบี่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด “Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน”
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560
ทส.จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด “Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน”
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด “Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน”
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2560) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) จัดการประชุมจุดประกายขยายแนวคิด "Start up : PES เพื่อการท่องเที่ยวกระบี่ยั่งยืน” โดยในโอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานการประชุม ได้ให้แนวทางในการดําเนินงาน ซึ่งการตอบแทนคุณระบบนิเวศ ต้องเริ่มต้นจากการสร้างจิตสํานึก ควบคู่กับการใช้หลักวิชาการ และคํานึงถึงผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม มากกว่าค่าเงิน อีกทั้งการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นจะต้องมีการถ่ายเทภารกิจอย่างสมดุล เหมาะสม เพราะทรัพยากรธรรมชาติ เป็นทรัพยากรอันมีค่าของแผ่นดิน เราต้องช่วยกันอนุรักษ์ และดูแลรักษา เพื่อคงความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ในการประชุมครั้งนี้ มีนาย พินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานราชการ และผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมพนมเบ็ญจา ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกระบี่ 9/10
การตอบแทนคุณระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem service หรือ PES) เป็นแนวคิดในการใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ หรือ ต้นทุนของบริการระบบนิเวศ มาส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการ หรือได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศต้อง "จ่าย หรือ ตอบแทนคุณระบบนิเวศในรูปแบบต่างๆ” ให้กับผู้ทําหน้าที่ดูแลรักษา อนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศ เพื่อให้คงไว้ซึ่งบริการหรือประโยชน์อย่างยั่งยืนที่ได้รับ และในขณะเดียวกันก็ทําให้ผู้ที่ดูแลรักษา ฟื้นฟูระบบนิเวศมีขวัญและกําลังใจในการดําเนินงาน มีศักยภาพการดําเนินงานที่สูงขึ้น และมีรายได้เสริมจากการทํากิจกรรมอนุรักษ์ได้ โดยเป้าหมายในการดําเนินงานมีทั้งระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้
1. ในระยะสั้น คือ การให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตระหนักรับรู้ ในเรื่องความยั่งยืนของการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และมีการดูแลอนุรักษ์ระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศและกิจการตนเอง
2. ในระยะยาว ต้องการให้เกิดการประเมินมูลค่าการให้บริการระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยว และมีการนําต้นทุนด้านมูลค่าความสวยงามของระบบนิเวศ และ ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มาคิดคํานวณเพื่อหาผลตอบแทนที่แท้จริงจากการท่องเที่ยว และเกิดแนวทางใหม่ๆ ที่จับต้องได้ในการดําเนินงานท่องเที่ยวยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดกระบี่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวม ชี้คนไทยใส่ใจวัฒนธรรมมากขึ้น ขณะที่เหตุอาชญากรรมลดลง เตือนประชาชนรักษาสุขภาพ ย้ำเจ้าหน้าที่เข้มงวดดูแลความปลอดภัย
|
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2561
นายกฯ พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวม ชี้คนไทยใส่ใจวัฒนธรรมมากขึ้น ขณะที่เหตุอาชญากรรมลดลง เตือนประชาชนรักษาสุขภาพ ย้ําเจ้าหน้าที่เข้มงวดดูแลความปลอดภัย
นายกฯ พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวม ชี้คนไทยใส่ใจวัฒนธรรมมากขึ้น ขณะที่เหตุอาชญากรรมลดลง เตือนประชาชนรักษาสุขภาพ ย้ําเจ้าหน้าที่เข้มงวดดูแลความปลอดภัย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวมทั่วประเทศเป็นไปด้วยดี โดยประชาชนให้ความสําคัญกับกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยมากขึ้นตามการรณรงค์ของภาครัฐและกระแสของละครอิงประวัติศาสตร์
รวมทั้งยังได้รับรายงานด้วยว่าสถิติการเกิดอาชญากรรมลดลงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา เพราะมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของภาครัฐที่เข้มงวด และพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เช่น โครงการฝากบ้านไว้กับตํารวจ การเล่นน้ําด้วยความสุภาพตามแบบประเพณีไทย ไม่ใช่อุปกรณ์ที่รุนแรง และแต่งกายมิดชิด เป็นต้น
"วันนี้เป็นวันที่หลายพื้นที่กําหนดให้เล่นน้ําสงกรานต์อย่างเป็นทางการวันสุดท้าย จึงอยากให้ทุกคนร่วมกิจกรรมอย่างมีความสุขก่อนทยอยเดินทางกลับไปทํางานในวันพรุ่งนี้ โดยขอให้รักษาประเพณีอันดีงามและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เหมือนกับวันที่ผ่านมา"
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ออกไปเล่นน้ําติดต่อกันหลายวัน โดยฝากเตือนให้ระมัดระวังรักษาสุขภาพของตัวเอง ไม่ตากแดดหรือเล่นน้ําเป็นเวลานาน เพราะอาจเป็นโรคลมแดดหรือปอดบวมได้ ไม่สาดหรือฉีดน้ําใส่ใบหน้าของผู้อื่นโดยตรง เพราะเสี่ยงต่อโรคตาแดง และไม่ดื่มเครื่องดื่มแลกอฮอล์ในขณะเล่นน้ํา เพราะแอลกอฮอล์อาจทําให้หัวใจทํางานหนักในช่วงที่มีอากาศร้อน จนส่งผลให้ช็อกหรือเสียชีวิตได้
"นายกฯ กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจทุกพื้นที่ให้จัดกําลังทั้งในและนอกเครื่องแบบ ออกตรวจตราเฝ้าระวังในจุดที่มีประชาชนเล่นน้ําเป็นจํานวนมาก เพราะทราบว่าบางแห่งมีเหตุคนร้ายลอบตัดสายกระเป๋าคล้องคอ ซึ่งเป็นซองพลาสติกกันน้ํา เพื่อขโมยโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งป้องกันเหตุอนาจารหรือลวนลามผู้อื่น เพื่อให้เป็นเทศกาลสงกรานต์ที่ปลอดภัยและทุกคนมีความสุข สนุกสนาน อย่างแท้จริง"
.....................................
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวม ชี้คนไทยใส่ใจวัฒนธรรมมากขึ้น ขณะที่เหตุอาชญากรรมลดลง เตือนประชาชนรักษาสุขภาพ ย้ำเจ้าหน้าที่เข้มงวดดูแลความปลอดภัย
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2561
นายกฯ พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวม ชี้คนไทยใส่ใจวัฒนธรรมมากขึ้น ขณะที่เหตุอาชญากรรมลดลง เตือนประชาชนรักษาสุขภาพ ย้ําเจ้าหน้าที่เข้มงวดดูแลความปลอดภัย
นายกฯ พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวม ชี้คนไทยใส่ใจวัฒนธรรมมากขึ้น ขณะที่เหตุอาชญากรรมลดลง เตือนประชาชนรักษาสุขภาพ ย้ําเจ้าหน้าที่เข้มงวดดูแลความปลอดภัย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจบรรยากาศสงกรานต์โดยรวมทั่วประเทศเป็นไปด้วยดี โดยประชาชนให้ความสําคัญกับกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยมากขึ้นตามการรณรงค์ของภาครัฐและกระแสของละครอิงประวัติศาสตร์
รวมทั้งยังได้รับรายงานด้วยว่าสถิติการเกิดอาชญากรรมลดลงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา เพราะมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของภาครัฐที่เข้มงวด และพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เช่น โครงการฝากบ้านไว้กับตํารวจ การเล่นน้ําด้วยความสุภาพตามแบบประเพณีไทย ไม่ใช่อุปกรณ์ที่รุนแรง และแต่งกายมิดชิด เป็นต้น
"วันนี้เป็นวันที่หลายพื้นที่กําหนดให้เล่นน้ําสงกรานต์อย่างเป็นทางการวันสุดท้าย จึงอยากให้ทุกคนร่วมกิจกรรมอย่างมีความสุขก่อนทยอยเดินทางกลับไปทํางานในวันพรุ่งนี้ โดยขอให้รักษาประเพณีอันดีงามและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เหมือนกับวันที่ผ่านมา"
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ออกไปเล่นน้ําติดต่อกันหลายวัน โดยฝากเตือนให้ระมัดระวังรักษาสุขภาพของตัวเอง ไม่ตากแดดหรือเล่นน้ําเป็นเวลานาน เพราะอาจเป็นโรคลมแดดหรือปอดบวมได้ ไม่สาดหรือฉีดน้ําใส่ใบหน้าของผู้อื่นโดยตรง เพราะเสี่ยงต่อโรคตาแดง และไม่ดื่มเครื่องดื่มแลกอฮอล์ในขณะเล่นน้ํา เพราะแอลกอฮอล์อาจทําให้หัวใจทํางานหนักในช่วงที่มีอากาศร้อน จนส่งผลให้ช็อกหรือเสียชีวิตได้
"นายกฯ กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจทุกพื้นที่ให้จัดกําลังทั้งในและนอกเครื่องแบบ ออกตรวจตราเฝ้าระวังในจุดที่มีประชาชนเล่นน้ําเป็นจํานวนมาก เพราะทราบว่าบางแห่งมีเหตุคนร้ายลอบตัดสายกระเป๋าคล้องคอ ซึ่งเป็นซองพลาสติกกันน้ํา เพื่อขโมยโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งป้องกันเหตุอนาจารหรือลวนลามผู้อื่น เพื่อให้เป็นเทศกาลสงกรานต์ที่ปลอดภัยและทุกคนมีความสุข สนุกสนาน อย่างแท้จริง"
.....................................
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11500
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - เยอรมนี พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา
|
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561
ไทย - เยอรมนี พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา
ไทย - เยอรมนี พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา
วันนี้ (1 ส.ค. 2561) เวลา 14.30 น. นายเพเทอร์ พรือเกล (H.E. Mr. Peter Prügel) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่ออําลาเนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตเยอรมัน ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ดํารงตําแหน่ง โดยความสัมพันธ์ไทย – เยอรมนี ดําเนินไปอย่างราบรื่นและพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยเอกอัครราชทูตเยอรมนี ได้เห็นความสําคัญไทยในฐานะศูนย์กลางด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ของภูมิภาค ภาคธุรกิจเยอรมันยังให้ความสนใจในโครงการสําคัญของรัฐบาล อาทิ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนให้นักลงทุนชาวเยอรมันเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะในสาขาที่เยอรมนีมีความเชี่ยวชาญ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณที่เยอรมนีที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยเฉพาะอาชีวศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้ ไทยมีความสนใจพิเศษเกี่ยวกับโครงการปรับเปลี่ยนทักษะแรงงาน (Workforce Reskilling) เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานไทยที่กําลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายกล่าวสนับสนุนให้ไทยและเยอรมนียกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกในช่วงที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียน ในปี 2562 เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - เยอรมนี พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561
ไทย - เยอรมนี พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา
ไทย - เยอรมนี พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา
วันนี้ (1 ส.ค. 2561) เวลา 14.30 น. นายเพเทอร์ พรือเกล (H.E. Mr. Peter Prügel) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่ออําลาเนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตเยอรมัน ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ดํารงตําแหน่ง โดยความสัมพันธ์ไทย – เยอรมนี ดําเนินไปอย่างราบรื่นและพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยเอกอัครราชทูตเยอรมนี ได้เห็นความสําคัญไทยในฐานะศูนย์กลางด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ของภูมิภาค ภาคธุรกิจเยอรมันยังให้ความสนใจในโครงการสําคัญของรัฐบาล อาทิ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนให้นักลงทุนชาวเยอรมันเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะในสาขาที่เยอรมนีมีความเชี่ยวชาญ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณที่เยอรมนีที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยเฉพาะอาชีวศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้ ไทยมีความสนใจพิเศษเกี่ยวกับโครงการปรับเปลี่ยนทักษะแรงงาน (Workforce Reskilling) เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานไทยที่กําลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายกล่าวสนับสนุนให้ไทยและเยอรมนียกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกในช่วงที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียน ในปี 2562 เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี ด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14279
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์เปิด มหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ฝ่าทุกสถานการณ์
|
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563
จุรินทร์เปิด มหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ฝ่าทุกสถานการณ์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดงาน “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดนราธิวาส”ที่ สนามกีฬามหาราช อ. สุไหงโก-ลก จ. นราธิวาส
พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ พร้อมผู้ประกอบการทั้งฝั่งไทยและมาเลเซีย
นายจุรินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพื่อเป็นประตูเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นกลไกในการยกระดับรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคอย่างยั่งยืน และเป็นรูปธรรมสําหรับกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการส่งออกและเร่งรัดตัวเลขการส่งออกที่สามารถทําได้รวดเร็วที่สุดเป็นรูปธรรมที่สุดประการหนึ่ง คือการเร่งรัดการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนสําหรับมูลค่าในปี 2562 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.3 ล้านล้านบาท มีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ค้าชายแดนอันดับหนึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 514,066 ล้านบาท
การจัดงานมหกรรมการค้าชายแดนในอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ที่สอดรับกับนโยบายดังกล่าวโดยเฉพาะไทยและมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการไปมาหาสู่กันเป็นญาติมิตรพี่น้องและทําธุรกิจการค้าระหว่างกัน มายาวนานการจัดงานในครั้งนี้จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจของทั้งสอง ประเทศมีความเข้มแข็งและยกระดับการส่งออกสร้างเครือข่ายทางการค้าและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางธุรกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดนไทยมาเลเซียครั้งนี้นอกจากมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของอําเภอสุไหงโก-ลก ให้มีความคึกคักขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคนักธุรกิจทั้งฝั่งไทยและมาเลเซียมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าและนําเข้าสินค้าที่มีคุณภาพทั้งสินค้าที่ผลิตโดยกลุ่มมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งนํามาจัดเป็นครั้งแรก
"ขอขอบคุณหน่วยงานทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ที่ได้บูรณาการจัดงานในวันนี้ รวมทั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ให้เกียรติเข้าร่วมงาน และขออวยพรให้การจัดงานประสบความสําเร็จตามความมุ่งหมาย และขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสําเร็จในการเจรจาธุรกิจการค้าได้ ตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ บัดนี้ ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน “มหกรรม การค้าชายแดน ณ จังหวัดนราธิวาส” ณ บัดนี้ ขอบคุณครับ" นายจฺรินทร์ กล่าว
สําหรับบรรยากาศการจัดมหกรรมนั้นมีทั้งการจัดจําหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชนและการจัดแสดงสินค้าชายแดนภาคใต้ การจัดแสดงฟาร์มตัวอย่างการเพาะเห็ดนางฟ้า บูธผ้าบาติกต่างๆ นอกจากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือบูธของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และได้ซื้อแจกันลายนกเงือก ซึ่งเป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่า บาลาฮาลา จังหวัดนราธิวาสด้วย
นอกจากนั้นยังให้ความสนใจบูธของกลุ่มแม่บ้านบาติกจังหวัดนราธิวาสได้เพิ่มมูลค่าให้กับผ้าบาติกด้วยกันผลิตเป็นหน้ากากอนามัยผ้าแฟชั่นเพื่อใช้ในพื้นที่อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์เปิด มหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ฝ่าทุกสถานการณ์
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563
จุรินทร์เปิด มหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ฝ่าทุกสถานการณ์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดงาน “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดนราธิวาส”ที่ สนามกีฬามหาราช อ. สุไหงโก-ลก จ. นราธิวาส
พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ พร้อมผู้ประกอบการทั้งฝั่งไทยและมาเลเซีย
นายจุรินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพื่อเป็นประตูเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นกลไกในการยกระดับรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคอย่างยั่งยืน และเป็นรูปธรรมสําหรับกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการส่งออกและเร่งรัดตัวเลขการส่งออกที่สามารถทําได้รวดเร็วที่สุดเป็นรูปธรรมที่สุดประการหนึ่ง คือการเร่งรัดการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนสําหรับมูลค่าในปี 2562 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.3 ล้านล้านบาท มีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ค้าชายแดนอันดับหนึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 514,066 ล้านบาท
การจัดงานมหกรรมการค้าชายแดนในอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ที่สอดรับกับนโยบายดังกล่าวโดยเฉพาะไทยและมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการไปมาหาสู่กันเป็นญาติมิตรพี่น้องและทําธุรกิจการค้าระหว่างกัน มายาวนานการจัดงานในครั้งนี้จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจของทั้งสอง ประเทศมีความเข้มแข็งและยกระดับการส่งออกสร้างเครือข่ายทางการค้าและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางธุรกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดนไทยมาเลเซียครั้งนี้นอกจากมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของอําเภอสุไหงโก-ลก ให้มีความคึกคักขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคนักธุรกิจทั้งฝั่งไทยและมาเลเซียมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าและนําเข้าสินค้าที่มีคุณภาพทั้งสินค้าที่ผลิตโดยกลุ่มมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งนํามาจัดเป็นครั้งแรก
"ขอขอบคุณหน่วยงานทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ที่ได้บูรณาการจัดงานในวันนี้ รวมทั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ให้เกียรติเข้าร่วมงาน และขออวยพรให้การจัดงานประสบความสําเร็จตามความมุ่งหมาย และขออวยพรให้ทุกท่านประสบความสําเร็จในการเจรจาธุรกิจการค้าได้ ตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ บัดนี้ ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน “มหกรรม การค้าชายแดน ณ จังหวัดนราธิวาส” ณ บัดนี้ ขอบคุณครับ" นายจฺรินทร์ กล่าว
สําหรับบรรยากาศการจัดมหกรรมนั้นมีทั้งการจัดจําหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชนและการจัดแสดงสินค้าชายแดนภาคใต้ การจัดแสดงฟาร์มตัวอย่างการเพาะเห็ดนางฟ้า บูธผ้าบาติกต่างๆ นอกจากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือบูธของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และได้ซื้อแจกันลายนกเงือก ซึ่งเป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่า บาลาฮาลา จังหวัดนราธิวาสด้วย
นอกจากนั้นยังให้ความสนใจบูธของกลุ่มแม่บ้านบาติกจังหวัดนราธิวาสได้เพิ่มมูลค่าให้กับผ้าบาติกด้วยกันผลิตเป็นหน้ากากอนามัยผ้าแฟชั่นเพื่อใช้ในพื้นที่อีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26610
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี ศธ. ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน และแนวทางจัดการศึกษาเข้าสู่โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา โรงเรียนวัดเกาะ จ.ระยอง
|
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี ศธ. ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน และแนวทางจัดการศึกษาเข้าสู่โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา โรงเรียนวัดเกาะ จ.ระยอง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูง ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน
(4 กรกฎาคม 2561) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน ณ โรงเรียนวัดเกาะ (กริ่มกําพล) อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
ในการนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ ได้เยี่ยมชมแปลงผักแบบผสมผสานในพื้นที่ 800 ตารางเมตรของโรงเรียน โดยมีคณะครูและนักเรียนสาธิตวิธีการปลูกพร้อมเก็บเกี่ยวหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมสภาพแวดล้อมของโรงเรียน โรงอาหาร และตรวจสอบคุณภาพอาหารกลางวัน พร้อมทั้งร่วมรับประทานอาหารกับเด็กนักเรียน เพื่อเน้นย้ําถึงคุณภาพและโภชนาการที่ดีของอาหารที่นักเรียนได้รับประทานในแต่ละมื้อให้ครบตามหลักโภชนาการด้วยอาหารหลัก 5 หมู่
สําหรับโรงเรียนวัดเกาะ ต.หนองตะพาน จ.ระยองตั้งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรของ ต.หนองตะพาน มีพื้นที่รวม 7 ไร่ โดยมีครู 11 คน นักการภารโรง 1 คนแม่ครัว 1 คนและนักเรียน 177 คน รวมทั้งสิ้น 190 คน มี 8 ชั้นเรียน ได้แก่ ระดับอนุบาล 2-3 ชั้นละ 1 ห้องและระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 ชั้นละ 1 ห้องเรียน โดยได้เข้าร่วมโครงการ “พัฒนาคุณภาพชีวิตโดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง School–BIRD (Base Integrated Rural Development)” ซึ่งได้รับการสนับสนุนโครงการจาก 2 หน่วยงานคือบริษัทสยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จํากัด และมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 โดยเป็นความต้องการร่วมกันของคณะกรรมการผู้ปกครองนักเรียนและชุมชน
ซึ่งโครงการมีเป้าหมายสูงสุดคือ ให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนในชุมชน และเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชาธิปไตย ทักษะการใช้ชีวิตของนักเรียนและชุมชน โดยใช้โรงเรียนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนชุมชน นําไปสู่การมีส่วนร่วมการเสริมศักยภาพของชุมชนอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาภาครัฐ และลดการย้ายถิ่นฐานสู่เมืองใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงาน
ทั้งนี้ โรงเรียนได้มีการจัดตั้งโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันซึ่งมุ่งเน้นให้นักเรียน ครู และผู้ปกครองร่วมกันทําโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน พร้อมทั้งจัดทําระบบทุนหมุนเวียน ซึ่งทําให้นักเรียนได้รับความรู้ด้านโภชนาการและการเกษตรแผนใหม่และนําไปเป็นประกอบอาชีพเสริม อีกทั้งมีการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเพื่อสังคมในโรงเรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการสร้างรายได้ โดยการจัดทําสวนเกษตรเพื่อขจัดความยากจน และนําเทคนิคต่าง ๆ มาปฏิบัติจริงโดยมีการจําหน่ายสินค้าจากแปลงเกษตร เช่น เมล่อน มะเขือเทศราชินี ถั่วฝักยาว ฯลฯ อีกทั้งให้นักเรียนได้เรียนรู้การทําธุรกิจผลิตภัณฑ์จากสวนเกษตร เช่น การทําสลัดโรล จากผักสลัดที่นักเรียนได้ปลูกและนําไปจําหน่ายและมีการจัดตั้งกองทุนเงินกู้ในโรงเรียนและชุมชน เพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจ โดยผลกําไรจากการประกอบธุรกิจจะนําไปจัดสรรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้ยั่งยืนต่อไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีทั้งสองท่าน และเลขาธิการ กพฐ. ได้ตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอน รับฟังแนวทางบริหารจัดการศึกษา เพื่อให้โรงเรียนเข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ในปีการศึกษานี้
Written byประชาสัมพันธ์ สพฐ.
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี,ประชาสัมพันธ์ สพฐ.
Rewriter
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี ศธ. ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน และแนวทางจัดการศึกษาเข้าสู่โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา โรงเรียนวัดเกาะ จ.ระยอง
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี ศธ. ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน และแนวทางจัดการศึกษาเข้าสู่โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา โรงเรียนวัดเกาะ จ.ระยอง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูง ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน
(4 กรกฎาคม 2561) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามโครงการอาหารกลางวัน ณ โรงเรียนวัดเกาะ (กริ่มกําพล) อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
ในการนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ ได้เยี่ยมชมแปลงผักแบบผสมผสานในพื้นที่ 800 ตารางเมตรของโรงเรียน โดยมีคณะครูและนักเรียนสาธิตวิธีการปลูกพร้อมเก็บเกี่ยวหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมสภาพแวดล้อมของโรงเรียน โรงอาหาร และตรวจสอบคุณภาพอาหารกลางวัน พร้อมทั้งร่วมรับประทานอาหารกับเด็กนักเรียน เพื่อเน้นย้ําถึงคุณภาพและโภชนาการที่ดีของอาหารที่นักเรียนได้รับประทานในแต่ละมื้อให้ครบตามหลักโภชนาการด้วยอาหารหลัก 5 หมู่
สําหรับโรงเรียนวัดเกาะ ต.หนองตะพาน จ.ระยองตั้งอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรของ ต.หนองตะพาน มีพื้นที่รวม 7 ไร่ โดยมีครู 11 คน นักการภารโรง 1 คนแม่ครัว 1 คนและนักเรียน 177 คน รวมทั้งสิ้น 190 คน มี 8 ชั้นเรียน ได้แก่ ระดับอนุบาล 2-3 ชั้นละ 1 ห้องและระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 ชั้นละ 1 ห้องเรียน โดยได้เข้าร่วมโครงการ “พัฒนาคุณภาพชีวิตโดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง School–BIRD (Base Integrated Rural Development)” ซึ่งได้รับการสนับสนุนโครงการจาก 2 หน่วยงานคือบริษัทสยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จํากัด และมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 โดยเป็นความต้องการร่วมกันของคณะกรรมการผู้ปกครองนักเรียนและชุมชน
ซึ่งโครงการมีเป้าหมายสูงสุดคือ ให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนในชุมชน และเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชาธิปไตย ทักษะการใช้ชีวิตของนักเรียนและชุมชน โดยใช้โรงเรียนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนชุมชน นําไปสู่การมีส่วนร่วมการเสริมศักยภาพของชุมชนอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาภาครัฐ และลดการย้ายถิ่นฐานสู่เมืองใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงาน
ทั้งนี้ โรงเรียนได้มีการจัดตั้งโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันซึ่งมุ่งเน้นให้นักเรียน ครู และผู้ปกครองร่วมกันทําโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน พร้อมทั้งจัดทําระบบทุนหมุนเวียน ซึ่งทําให้นักเรียนได้รับความรู้ด้านโภชนาการและการเกษตรแผนใหม่และนําไปเป็นประกอบอาชีพเสริม อีกทั้งมีการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเพื่อสังคมในโรงเรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการสร้างรายได้ โดยการจัดทําสวนเกษตรเพื่อขจัดความยากจน และนําเทคนิคต่าง ๆ มาปฏิบัติจริงโดยมีการจําหน่ายสินค้าจากแปลงเกษตร เช่น เมล่อน มะเขือเทศราชินี ถั่วฝักยาว ฯลฯ อีกทั้งให้นักเรียนได้เรียนรู้การทําธุรกิจผลิตภัณฑ์จากสวนเกษตร เช่น การทําสลัดโรล จากผักสลัดที่นักเรียนได้ปลูกและนําไปจําหน่ายและมีการจัดตั้งกองทุนเงินกู้ในโรงเรียนและชุมชน เพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจ โดยผลกําไรจากการประกอบธุรกิจจะนําไปจัดสรรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้ยั่งยืนต่อไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีทั้งสองท่าน และเลขาธิการ กพฐ. ได้ตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอน รับฟังแนวทางบริหารจัดการศึกษา เพื่อให้โรงเรียนเข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ในปีการศึกษานี้
Written byประชาสัมพันธ์ สพฐ.
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี,ประชาสัมพันธ์ สพฐ.
Rewriter
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13626
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียว ธพว.ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกค้า-ผู้ประกอบการ SMEs น้ำท่วมทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “สินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ”วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
|
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560
ครม.ไฟเขียว ธพว.ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกค้า-ผู้ประกอบการ SMEs น้ําท่วมทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “สินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ”วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2560 เห็นชอบให้ธนาคารขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 วงเงิน 5,000 ล้านบาท
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2560 เห็นชอบให้ธนาคารขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 วงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีวงเงินเหลือ 3,500 ล้านบาทที่จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7ส.ค. 2560 นี้ออกไปอีก 6 เดือนนับจากวันที่มติครม. ออกเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและภัยพิบัติทั่วประเทศให้สามารถปรับปรุง ฟื้นฟู และมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยครอบคลุมพื้นที่ประสบเหตุในปัจจุบัน รวมทั้งอาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ
ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท เพื่อผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคล บุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย วงเงินกู้สูงสุดต่อรายที่ 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้ยืมตลอดโครงการไม่เกิน 7 ปี โดยปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยที่ 3% และปีที่ 4-7 เป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด โดย 3 ปีแรก รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารในอัตรา 3% คิดเป็นวงเงิน 450 ล้านบาท โดยวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย สามารถใช้ บสย.ค้ําประกัน
นายมงคล คาดว่ามาตรการช่วยเหลือครั้งนี้จะสามารถช่วยเหลือเอสเอ็มอีและผู้ประสบความเดือดร้อนได้ถึง 1,000 ราย เป็นการค้ําประกันเฉลี่ยรายละ 5 ล้านบาท ทําให้เกิดสินเชื่อหมุนเวียนในระบบของธนาคาร 5,000 ล้านบาทและเกิดทุนหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 22,900 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ธนาคาร ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบ 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการพักชําระหนี้สําหรับวงเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) พักชําระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนและ 2.สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการกรณีเป็นลูกค้าเดิมของธนาคารระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี หากเป็นลูกหนี้วงเงินอนุมัติรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท หากเป็นลูกหนี้วงเงินรวม 1-5 ล้านบาทให้กู้สูงสุดไม่เกิน 1ล้านบาท และหากวงเงินกู้มากกว่า 5 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 2ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4.99% ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม 085-980-7861
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียว ธพว.ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกค้า-ผู้ประกอบการ SMEs น้ำท่วมทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “สินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ”วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560
ครม.ไฟเขียว ธพว.ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกค้า-ผู้ประกอบการ SMEs น้ําท่วมทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “สินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ”วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2560 เห็นชอบให้ธนาคารขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 วงเงิน 5,000 ล้านบาท
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2560 เห็นชอบให้ธนาคารขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 วงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีวงเงินเหลือ 3,500 ล้านบาทที่จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7ส.ค. 2560 นี้ออกไปอีก 6 เดือนนับจากวันที่มติครม. ออกเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและภัยพิบัติทั่วประเทศให้สามารถปรับปรุง ฟื้นฟู และมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยครอบคลุมพื้นที่ประสบเหตุในปัจจุบัน รวมทั้งอาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ
ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท เพื่อผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคล บุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย วงเงินกู้สูงสุดต่อรายที่ 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้ยืมตลอดโครงการไม่เกิน 7 ปี โดยปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยที่ 3% และปีที่ 4-7 เป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด โดย 3 ปีแรก รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารในอัตรา 3% คิดเป็นวงเงิน 450 ล้านบาท โดยวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย สามารถใช้ บสย.ค้ําประกัน
นายมงคล คาดว่ามาตรการช่วยเหลือครั้งนี้จะสามารถช่วยเหลือเอสเอ็มอีและผู้ประสบความเดือดร้อนได้ถึง 1,000 ราย เป็นการค้ําประกันเฉลี่ยรายละ 5 ล้านบาท ทําให้เกิดสินเชื่อหมุนเวียนในระบบของธนาคาร 5,000 ล้านบาทและเกิดทุนหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 22,900 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ธนาคาร ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบ 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการพักชําระหนี้สําหรับวงเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) พักชําระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนและ 2.สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการกรณีเป็นลูกค้าเดิมของธนาคารระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี หากเป็นลูกหนี้วงเงินอนุมัติรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท หากเป็นลูกหนี้วงเงินรวม 1-5 ล้านบาทให้กู้สูงสุดไม่เกิน 1ล้านบาท และหากวงเงินกู้มากกว่า 5 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 2ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4.99% ต่อปี
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม 085-980-7861
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5631
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลแจง เรือ Seabourn แวะจอดภูเก็ต 10 ชม. ตามเส้นทางเดิม แตกต่างเรือ “เวสเตอร์ดาม” ขอจอดนอกเหนือเส้นทาง ย้ำดูแลความปลอดภัยคนไทยอันดับแรก
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563
รองโฆษกรัฐบาลแจง เรือ Seabourn แวะจอดภูเก็ต 10 ชม. ตามเส้นทางเดิม แตกต่างเรือ “เวสเตอร์ดาม” ขอจอดนอกเหนือเส้นทาง ย้ําดูแลความปลอดภัยคนไทยอันดับแรก
รองโฆษกรัฐบาลแจง เรือ Seabourn แวะจอดภูเก็ต 10 ชม. ตามเส้นทางเดิม แตกต่างเรือ “เวสเตอร์ดาม” ขอจอดนอกเหนือเส้นทาง ย้ําดูแลความปลอดภัยคนไทยอันดับแรก
วันที่ 13 ก.พ. 63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่เรือ Seabourn Ovation จะเทียบท่าที่จังหวัดภูเก็ตนั้น เป็นเรือที่มีเส้นทางการเดินเรือปกติที่กําหนดผ่านจังหวัดภูเก็ต โดยมีกําหนดแวะพักประมาณ 10 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือเป็นชาวยุโรป ที่ผ่านมาเรือลํานี้ได้รับอนุญาตให้จอดเทียบท่า ที่ฮ่องกง เวียดนาม แหลมฉบัง เกาะกูด กัวลาลัมเปอร์ ลังกาวี ขณะที่แพทย์ประจําเรือได้แจ้งมาว่า ไม่มีผู้ป่วยใดเข้าเกณฑ์ตามนิยาม รวมถึงสามารถติดตามผู้โดยสารและลูกเรือทุกราย เนื่องจากเป็นเพียงจุดแวะพัก 10 ชั่วโมงเท่านั้น
“ประเทศไทยไม่ได้มีมาตรการห้ามการเดินทางหรือห้ามชาติใดชาติหนึ่งเข้าประเทศ อีกทั้งไทยยังมีมาตรการควบคุมโรค ซึ่งคํานึงถึงความมั่นใจและปลอดภัยของคนไทยเป็นลําดับแรก ทั้งทางบก เรือ และอากาศ แต่เรือลํานี้จะต่างจากการขอเทียบท่าของเรือเวสเตอร์ดาม เพราะเรือเวสเตอร์ดาม เป็นการขอจอดเรือฉุกเฉินนอกเหนือเส้นทางเดินเรือ และได้ถูกปฏิเสธการเทียบท่าจาก ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อีกทั้งยังเป็นการจอดเทียบท่าเพื่อกระจายผู้โดยสารออกเส้นทางอื่น เช่น โดยสารทางเครื่องบินกลับประเทศ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลแจง เรือ Seabourn แวะจอดภูเก็ต 10 ชม. ตามเส้นทางเดิม แตกต่างเรือ “เวสเตอร์ดาม” ขอจอดนอกเหนือเส้นทาง ย้ำดูแลความปลอดภัยคนไทยอันดับแรก
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563
รองโฆษกรัฐบาลแจง เรือ Seabourn แวะจอดภูเก็ต 10 ชม. ตามเส้นทางเดิม แตกต่างเรือ “เวสเตอร์ดาม” ขอจอดนอกเหนือเส้นทาง ย้ําดูแลความปลอดภัยคนไทยอันดับแรก
รองโฆษกรัฐบาลแจง เรือ Seabourn แวะจอดภูเก็ต 10 ชม. ตามเส้นทางเดิม แตกต่างเรือ “เวสเตอร์ดาม” ขอจอดนอกเหนือเส้นทาง ย้ําดูแลความปลอดภัยคนไทยอันดับแรก
วันที่ 13 ก.พ. 63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่เรือ Seabourn Ovation จะเทียบท่าที่จังหวัดภูเก็ตนั้น เป็นเรือที่มีเส้นทางการเดินเรือปกติที่กําหนดผ่านจังหวัดภูเก็ต โดยมีกําหนดแวะพักประมาณ 10 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือเป็นชาวยุโรป ที่ผ่านมาเรือลํานี้ได้รับอนุญาตให้จอดเทียบท่า ที่ฮ่องกง เวียดนาม แหลมฉบัง เกาะกูด กัวลาลัมเปอร์ ลังกาวี ขณะที่แพทย์ประจําเรือได้แจ้งมาว่า ไม่มีผู้ป่วยใดเข้าเกณฑ์ตามนิยาม รวมถึงสามารถติดตามผู้โดยสารและลูกเรือทุกราย เนื่องจากเป็นเพียงจุดแวะพัก 10 ชั่วโมงเท่านั้น
“ประเทศไทยไม่ได้มีมาตรการห้ามการเดินทางหรือห้ามชาติใดชาติหนึ่งเข้าประเทศ อีกทั้งไทยยังมีมาตรการควบคุมโรค ซึ่งคํานึงถึงความมั่นใจและปลอดภัยของคนไทยเป็นลําดับแรก ทั้งทางบก เรือ และอากาศ แต่เรือลํานี้จะต่างจากการขอเทียบท่าของเรือเวสเตอร์ดาม เพราะเรือเวสเตอร์ดาม เป็นการขอจอดเรือฉุกเฉินนอกเหนือเส้นทางเดินเรือ และได้ถูกปฏิเสธการเทียบท่าจาก ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อีกทั้งยังเป็นการจอดเทียบท่าเพื่อกระจายผู้โดยสารออกเส้นทางอื่น เช่น โดยสารทางเครื่องบินกลับประเทศ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26480
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC) ครั้งที่ 18 ประจำปี 2019
|
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC) ครั้งที่ 18 ประจําปี 2019
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC) ครั้งที่ 18 ประจําปี 2019
วานนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC)ครั้งที่ 18 ประจําปี 2019 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในประเด็นความท้าทายใหม่สําหรับการบริหารจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับองค์กรให้สอดคล้องกับกฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยกล่าวถึงแนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนไทยในยุคดิจิทัลที่มีมากถึง 100% บนอุปกรณ์พกพา จึงย่อมก่อให้เกิดช่องทางหรือแรงกระตุ้นให้อาชญากรไซเบอร์พุ่งเป้าโจมตีอุปกรณ์พกพามากขึ้นดังนั้น ผู้ให้บริการจึงควรตระหนักและให้ความสําคัญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และยังได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์สําคัญของการออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
นอกจากนี้ นางสาวอัจฉรินทร์ฯ ยังได้กล่าวถึงภารกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ยุค Thailand 4.0 อันได้แก่ 1) National Broadbandการวางโครงข่ายอินทอร์เน็ตไปยังทุกหมู่บ้านทั่วไทย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสําคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง รวมไปถึงสอนชาวบ้านให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและตระหนักถึงภัยคุกคามไซเบอร์ 2) การพัฒนาบุคลากรสร้าง Digital Workforce ให้รองรับความต้องการของตลาดดิจิทัล 3) Digital Parkสร้างเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน และ 4) Anti-Fake News Center การจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 200 แห่ง รวมไปถึงสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย โดยเน้นการแก้ไขข่าวที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เช่น ภัยพิบัติ สุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคง
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC) ครั้งที่ 18 ประจำปี 2019
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC) ครั้งที่ 18 ประจําปี 2019
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC) ครั้งที่ 18 ประจําปี 2019
วานนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน Cyber Defense Initiative Conference (CDIC)ครั้งที่ 18 ประจําปี 2019 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในประเด็นความท้าทายใหม่สําหรับการบริหารจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับองค์กรให้สอดคล้องกับกฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยกล่าวถึงแนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนไทยในยุคดิจิทัลที่มีมากถึง 100% บนอุปกรณ์พกพา จึงย่อมก่อให้เกิดช่องทางหรือแรงกระตุ้นให้อาชญากรไซเบอร์พุ่งเป้าโจมตีอุปกรณ์พกพามากขึ้นดังนั้น ผู้ให้บริการจึงควรตระหนักและให้ความสําคัญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และยังได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์สําคัญของการออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
นอกจากนี้ นางสาวอัจฉรินทร์ฯ ยังได้กล่าวถึงภารกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ยุค Thailand 4.0 อันได้แก่ 1) National Broadbandการวางโครงข่ายอินทอร์เน็ตไปยังทุกหมู่บ้านทั่วไทย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสําคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง รวมไปถึงสอนชาวบ้านให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและตระหนักถึงภัยคุกคามไซเบอร์ 2) การพัฒนาบุคลากรสร้าง Digital Workforce ให้รองรับความต้องการของตลาดดิจิทัล 3) Digital Parkสร้างเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน และ 4) Anti-Fake News Center การจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 200 แห่ง รวมไปถึงสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย โดยเน้นการแก้ไขข่าวที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เช่น ภัยพิบัติ สุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคง
*****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24859
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ก.อุตฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับพัฒนาทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่จะไม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน!
|
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560
โฆษก ก.อุตฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับพัฒนาทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่จะไม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน!
โฆษก ก.อุตฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับพัฒนาทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่จะไม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน!
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่มีสื่อมวลชนบางฉบับได้วิจารณ์การทํางานของรัฐบาล โดยระบุว่า รัฐบาลมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ อุตสาหกรรม 4.0 โดยหลงลืมการพัฒนาภาคเกษตรกรรมนั้น ขอเรียนชี้แจงว่า การพัฒนาตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 เป็นโมเดลเศรษฐกิจที่จะนําพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ํา และกับดักความไม่สมดุล พร้อม ๆ กับเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยสิ่งที่คนไทยจะได้รับจาก Thailand 4.0 จะมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม
“เกษตรกรในยุค 4.0 จะหลุดพ้นจากกับดักความยากจนและจะเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตรสมัยใหม่(Smart Farmers) ที่มีการบริหารจัดการดีขึ้น ต้นทุนการผลิตต่ํา และเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรจากการแปรรูปได้ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมได้กําหนดแนวทางการพัฒนาให้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิม (First S-Curves) ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และการสร้าง 5 อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curves ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมดิจิทัล” นางสาวนิสากร กล่าว
โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวย้ําด้วยว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวทาง Thailand 4.0 ให้ความสําคัญกับภาคการเกษตร เห็นได้จากการกําหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร คือ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เพื่อนําผลผลิตทางการเกษตรมาต่อยอดและพัฒนาในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะทําให้ผลผลิตทางการเกษตร เช่น อ้อย มันสําปะหลัง ปาล์ม ข้าว และข้าวโพด มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ทําให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงจากความหลากหลายทางชีวภาพ และการที่รัฐบาลให้การส่งเสริมการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ถือเป็นการต่อยอดพัฒนาจาก Eastern Sea Board เดิม โดยในพื้นที่ EEC จะเป็นแหล่งริเริ่มโมเดลการสะสมทุนความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้ลูกหลานคนไทย สามารถเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกัน และจะเป็นต้นแบบสําหรับขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆของประเทศไทย นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงงบประมาณด้านการเกษตรในปี 2560 และปี 2561 แล้วจะพบว่าในปี 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับงบประมาณจํานวน 94,417 ล้านบาท ในปี 2561 ได้รับงบประมาณในเบื้องต้นจํานวน 102,559 ล้านบาท
“เห็นได้ว่าในปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก และในอนาคตก็ยังยังให้ความสําคัญกับภาคการเกษตรด้วยเช่นกัน เพื่อเป็น“สังคมที่เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ก.อุตฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับพัฒนาทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่จะไม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน!
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560
โฆษก ก.อุตฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับพัฒนาทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่จะไม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน!
โฆษก ก.อุตฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับพัฒนาทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่จะไม่ทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน!
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่มีสื่อมวลชนบางฉบับได้วิจารณ์การทํางานของรัฐบาล โดยระบุว่า รัฐบาลมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ อุตสาหกรรม 4.0 โดยหลงลืมการพัฒนาภาคเกษตรกรรมนั้น ขอเรียนชี้แจงว่า การพัฒนาตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 เป็นโมเดลเศรษฐกิจที่จะนําพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ํา และกับดักความไม่สมดุล พร้อม ๆ กับเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยสิ่งที่คนไทยจะได้รับจาก Thailand 4.0 จะมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม
“เกษตรกรในยุค 4.0 จะหลุดพ้นจากกับดักความยากจนและจะเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตรสมัยใหม่(Smart Farmers) ที่มีการบริหารจัดการดีขึ้น ต้นทุนการผลิตต่ํา และเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรจากการแปรรูปได้ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมได้กําหนดแนวทางการพัฒนาให้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิม (First S-Curves) ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และการสร้าง 5 อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curves ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมดิจิทัล” นางสาวนิสากร กล่าว
โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวย้ําด้วยว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวทาง Thailand 4.0 ให้ความสําคัญกับภาคการเกษตร เห็นได้จากการกําหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร คือ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เพื่อนําผลผลิตทางการเกษตรมาต่อยอดและพัฒนาในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะทําให้ผลผลิตทางการเกษตร เช่น อ้อย มันสําปะหลัง ปาล์ม ข้าว และข้าวโพด มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ทําให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงจากความหลากหลายทางชีวภาพ และการที่รัฐบาลให้การส่งเสริมการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ถือเป็นการต่อยอดพัฒนาจาก Eastern Sea Board เดิม โดยในพื้นที่ EEC จะเป็นแหล่งริเริ่มโมเดลการสะสมทุนความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้ลูกหลานคนไทย สามารถเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกัน และจะเป็นต้นแบบสําหรับขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆของประเทศไทย นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงงบประมาณด้านการเกษตรในปี 2560 และปี 2561 แล้วจะพบว่าในปี 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับงบประมาณจํานวน 94,417 ล้านบาท ในปี 2561 ได้รับงบประมาณในเบื้องต้นจํานวน 102,559 ล้านบาท
“เห็นได้ว่าในปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก และในอนาคตก็ยังยังให้ความสําคัญกับภาคการเกษตรด้วยเช่นกัน เพื่อเป็น“สังคมที่เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5022
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ”
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ”
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น
“กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ แต่คนร้ายยังลอยนวล”
ซึ่งกําหนดออกอากาศผ่านทางรายการ “ข่าวเด่นช่อง ๘”
ตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น. เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๘
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ”
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ”
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น
“กรณี ๒๐ ปี คดีฆาตกรรมสามีนางสง่า แสนประเสริฐ ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ หมดอายุความ
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ แต่คนร้ายยังลอยนวล”
ซึ่งกําหนดออกอากาศผ่านทางรายการ “ข่าวเด่นช่อง ๘”
ตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น. เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๘
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4890
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรอ คกก.จราจรเสนอแนวทางแก้ปัญหาการใช้รถ ใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ ระบุออกกฏหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
|
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562
นายกรัฐมนตรีเผยรอ คกก.จราจรเสนอแนวทางแก้ปัญหาการใช้รถ ใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ ระบุออกกฏหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
นายกรัฐมนตรีเผยรอ คกก.จราจรเสนอแนวทางแก้ปัญหาการใช้รถ ใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ ระบุออกกฏหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการระมัดระวังเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุ และการใช้รถใช้ถนนว่า มีการพิจารณาออกมาทั้งในและต่างประเทศ และมีข้อเสนอว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการดื่มสุรา การขับรถประมาท ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือเมื่อมีการกระทําผิดแล้ว มักมีการเจรจาสมยอมกัน และเมื่อชดใช้แล้วเรื่องก็จบ ซึ่งก็คงต้องรอให้คณะกรรมการจราจรเสนอขึ้นมาว่าจะทําอย่างไร จากนั้นรัฐบาลพิจารณาอีกครั้งเพื่อเกิดความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ว่าจะออกกฎหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ถ้าเราไม่อยากเดือดร้อน ก็ต้องทําให้ถูกกฎหมาย ที่ผ่านมาก็บ่นว่าไม่ปลอดภัย ในการใช้รถ ใช้ถนน แล้วจะแก้ด้วยอะไร ทุกอย่างต้องช่วยกันทําทั้งหมด ช่วยรัฐบาล ช่วยผม ช่วยหน่วยงานต่าง ๆ อย่าทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
----------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรอ คกก.จราจรเสนอแนวทางแก้ปัญหาการใช้รถ ใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ ระบุออกกฏหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562
นายกรัฐมนตรีเผยรอ คกก.จราจรเสนอแนวทางแก้ปัญหาการใช้รถ ใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ ระบุออกกฏหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
นายกรัฐมนตรีเผยรอ คกก.จราจรเสนอแนวทางแก้ปัญหาการใช้รถ ใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ ระบุออกกฏหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการระมัดระวังเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุ และการใช้รถใช้ถนนว่า มีการพิจารณาออกมาทั้งในและต่างประเทศ และมีข้อเสนอว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการดื่มสุรา การขับรถประมาท ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือเมื่อมีการกระทําผิดแล้ว มักมีการเจรจาสมยอมกัน และเมื่อชดใช้แล้วเรื่องก็จบ ซึ่งก็คงต้องรอให้คณะกรรมการจราจรเสนอขึ้นมาว่าจะทําอย่างไร จากนั้นรัฐบาลพิจารณาอีกครั้งเพื่อเกิดความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ว่าจะออกกฎหมายอะไรออกมา ต้องมีคนเดือดร้อน แต่ถ้าเราไม่อยากเดือดร้อน ก็ต้องทําให้ถูกกฎหมาย ที่ผ่านมาก็บ่นว่าไม่ปลอดภัย ในการใช้รถ ใช้ถนน แล้วจะแก้ด้วยอะไร ทุกอย่างต้องช่วยกันทําทั้งหมด ช่วยรัฐบาล ช่วยผม ช่วยหน่วยงานต่าง ๆ อย่าทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
----------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18862
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีประเด็นดังนี้
1. รัฐบาลนี้บริหารประเทศเข้าสู่ปีที่ 5 โดยมีการจัดงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน รวมตัวเลข ขาดดุลเกือบ 2 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ํากว่าหลายประเทศในอาเซียน ประเทศมีผู้ยากจน เกือบ 15 ล้านคน และจากการสํารวจความเห็นของโพลสํานักต่าง ๆ พบว่าประชาชนกําลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กําลังซื้อในประเทศหดตัว ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา
2. เห็นว่าผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ควรได้รับการช่วยเหลือ แต่รู้สึกประหลาดใจที่สาเหตุใดรัฐบาลเพิ่งออกมาตรการดังกล่าว หลังจากบริหารประเทศมา 4 ปีแล้ว และเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียง 3 เดือน จึงมีคําถามว่ามาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝงหรือไม่
3. พรรคเพื่อไทย เคยคัดค้านการจํากัดการใช้เงินตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซื้อสินค้าจากร้านในโครงการเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แต่เสมือนเป็นการส่งเงินผ่านมือผู้มีรายได้น้อยให้บริษัทขนาดใหญ่หรือไม่ การใช้จ่ายดังกล่าวจึงไม่ได้ช่วยสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและกระจายรายได้ที่ถูกต้องและยั่งยืน
4. ผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุควรได้รับการเอาใจใส่และช่วยเหลือ โดยการช่วยเหลือต้องกระทําด้วยยุทธศาสตร์ งบประมาณต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องไม่ใช่การกู้เงินมาแจกและสร้างหนี้ให้แก่ลูกหลาน
ข้อเท็จจริง: กระทรวงการคลังขอชี้แจง ดังนี้
1. เนื่องจากช่วงที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในปี 2557 เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะตกต่ําสะท้อนได้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 0.9 ต่อปี ทําให้รัฐบาลมีความจําเป็นต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ การดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าวเป็นการขาดดุลสําหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลในลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง (ในปี 2558 2559 และ 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.9 3.2 3.9 ตามลําดับ) โดยในปี 2561 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ใกล้เคียงร้อยละ 4.5 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ เดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.7 (ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กําหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลจะสามารถลดการขาดดุลงบประมาณ และให้ภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดทํางบประมาณสมดุล พร้อมทั้งยังมีการจัดทําแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และสามารถรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. กระทรวงการคลังจัดทําโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 และมีผู้มีรายได้น้อยผ่านคุณสมบัติจํานวน 11.4 ล้านคน และต่อมาได้เปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติม และมีผู้ผ่านคุณสมบัติ 3.1 ล้านคน นอกจากนี้ จากผลการสํารวจของรัฐบาล เมื่อเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2560 ซึ่งสํารวจความช่วยเหลือจากรัฐที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการยังพบว่า ผู้มีรายได้น้อยต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน ได้แก่ ค่าน้ํา ค่าไฟ เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ช่วยเหลือค่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นที่มาของการออกมาตรการเพิ่มเติม 4 มาตรการดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
3. ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของเพื่อการอุปโภคบริโภคในร้านธงฟ้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นร้านค้ารายย่อยในชุมชน นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการยังสามารถซื้อของผ่านร้านค้ารายย่อยใดก็ได้ผ่านแอปพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” และยังสามารถกดเงินสดจากช่อง e-wallet มาใช้จ่ายได้อย่างอิสระ จึงไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์แก่บริษัทใหญ่ นอกจากนี้ การให้วงเงินผ่านบัตรสวัสดิการยังถือเป็นช่องทางในการให้สวัสดิการแก่ผู้รับโดยตรงซึ่งสามารถป้องกันการรั่วไหลของเงินซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้อีกทางหนึ่ง
4. ในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําของคนในสังคม ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาเห็นว่า ประชาชนกลุ่มดังกล่าวอยู่ในภาวะยากลําบากในการดํารงชีพ และสมควรได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างเร่งด่วนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุดังกล่าว ได้คํานึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณให้อยู่ในวิสัยที่ภาครัฐสามารถบริหารจัดการได้ และเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ โดยให้สวัสดิการกับกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง อีกทั้งโดยได้กําหนดวงเงินและระยะเวลาของมาตรการที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการคลังในระยะยาว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีประเด็นดังนี้
1. รัฐบาลนี้บริหารประเทศเข้าสู่ปีที่ 5 โดยมีการจัดงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน รวมตัวเลข ขาดดุลเกือบ 2 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ํากว่าหลายประเทศในอาเซียน ประเทศมีผู้ยากจน เกือบ 15 ล้านคน และจากการสํารวจความเห็นของโพลสํานักต่าง ๆ พบว่าประชาชนกําลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กําลังซื้อในประเทศหดตัว ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา
2. เห็นว่าผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ควรได้รับการช่วยเหลือ แต่รู้สึกประหลาดใจที่สาเหตุใดรัฐบาลเพิ่งออกมาตรการดังกล่าว หลังจากบริหารประเทศมา 4 ปีแล้ว และเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียง 3 เดือน จึงมีคําถามว่ามาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝงหรือไม่
3. พรรคเพื่อไทย เคยคัดค้านการจํากัดการใช้เงินตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซื้อสินค้าจากร้านในโครงการเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แต่เสมือนเป็นการส่งเงินผ่านมือผู้มีรายได้น้อยให้บริษัทขนาดใหญ่หรือไม่ การใช้จ่ายดังกล่าวจึงไม่ได้ช่วยสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและกระจายรายได้ที่ถูกต้องและยั่งยืน
4. ผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุควรได้รับการเอาใจใส่และช่วยเหลือ โดยการช่วยเหลือต้องกระทําด้วยยุทธศาสตร์ งบประมาณต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องไม่ใช่การกู้เงินมาแจกและสร้างหนี้ให้แก่ลูกหลาน
ข้อเท็จจริง: กระทรวงการคลังขอชี้แจง ดังนี้
1. เนื่องจากช่วงที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในปี 2557 เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะตกต่ําสะท้อนได้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 0.9 ต่อปี ทําให้รัฐบาลมีความจําเป็นต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ การดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าวเป็นการขาดดุลสําหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลในลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง (ในปี 2558 2559 และ 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.9 3.2 3.9 ตามลําดับ) โดยในปี 2561 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ใกล้เคียงร้อยละ 4.5 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ เดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.7 (ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กําหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลจะสามารถลดการขาดดุลงบประมาณ และให้ภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดทํางบประมาณสมดุล พร้อมทั้งยังมีการจัดทําแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และสามารถรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. กระทรวงการคลังจัดทําโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 และมีผู้มีรายได้น้อยผ่านคุณสมบัติจํานวน 11.4 ล้านคน และต่อมาได้เปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติม และมีผู้ผ่านคุณสมบัติ 3.1 ล้านคน นอกจากนี้ จากผลการสํารวจของรัฐบาล เมื่อเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2560 ซึ่งสํารวจความช่วยเหลือจากรัฐที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการยังพบว่า ผู้มีรายได้น้อยต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน ได้แก่ ค่าน้ํา ค่าไฟ เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ช่วยเหลือค่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นที่มาของการออกมาตรการเพิ่มเติม 4 มาตรการดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
3. ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของเพื่อการอุปโภคบริโภคในร้านธงฟ้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นร้านค้ารายย่อยในชุมชน นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการยังสามารถซื้อของผ่านร้านค้ารายย่อยใดก็ได้ผ่านแอปพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” และยังสามารถกดเงินสดจากช่อง e-wallet มาใช้จ่ายได้อย่างอิสระ จึงไม่ถือเป็นการให้ประโยชน์แก่บริษัทใหญ่ นอกจากนี้ การให้วงเงินผ่านบัตรสวัสดิการยังถือเป็นช่องทางในการให้สวัสดิการแก่ผู้รับโดยตรงซึ่งสามารถป้องกันการรั่วไหลของเงินซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้อีกทางหนึ่ง
4. ในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําของคนในสังคม ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาเห็นว่า ประชาชนกลุ่มดังกล่าวอยู่ในภาวะยากลําบากในการดํารงชีพ และสมควรได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างเร่งด่วนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุดังกล่าว ได้คํานึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณให้อยู่ในวิสัยที่ภาครัฐสามารถบริหารจัดการได้ และเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ โดยให้สวัสดิการกับกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง อีกทั้งโดยได้กําหนดวงเงินและระยะเวลาของมาตรการที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการคลังในระยะยาว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17058
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
|
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม
วันนี้ (7 ส.ค. 60) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม จํานวน 2 ราย ดังนี้ 1.ตัวแทนนักศึกษาหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะ (ผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า) จํานวน 123,456.78 บาท2.พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย – เนปาล จํานวน 223,470 บาท
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความขอบคุณผู้บริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวให้กับศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม โดยเบื้องต้นมียอดบริจาครวมกว่า 264 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบความชัดเจน ของตัวเลขที่ยังไม่นิ่ง และคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่เป็นทางการเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเงินที่ได้รับจากการบริจาคจะนําไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ําท่วม โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับอุทกภัยทางภาคใต้ พร้อมเชิญชวนประชาชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้ที่กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านบัญชี 067-0-06895-0 ธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล
สําหรับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนําเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนําเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกําไรสุทธิ
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม
วันนี้ (7 ส.ค. 60) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม จํานวน 2 ราย ดังนี้ 1.ตัวแทนนักศึกษาหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะ (ผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า) จํานวน 123,456.78 บาท2.พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย – เนปาล จํานวน 223,470 บาท
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความขอบคุณผู้บริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวให้กับศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม โดยเบื้องต้นมียอดบริจาครวมกว่า 264 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบความชัดเจน ของตัวเลขที่ยังไม่นิ่ง และคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่เป็นทางการเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเงินที่ได้รับจากการบริจาคจะนําไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ําท่วม โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับอุทกภัยทางภาคใต้ พร้อมเชิญชวนประชาชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้ที่กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านบัญชี 067-0-06895-0 ธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล
สําหรับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนําเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนําเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกําไรสุทธิ
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5766
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.