title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เยี่ยมโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ฯ ช่วงที่ 2 โรงเรียนบ้านไหนหนัง จ.กระบี่
วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 สธ.เยี่ยมโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ฯ ช่วงที่ 2 โรงเรียนบ้านไหนหนัง จ.กระบี่ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงเรียนบ้านไหนหนัง จังหวัดกระบี่ วันนี้ (16 มกราคม 2562) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงเรียนบ้านไหนหนัง ต.เขาคราม อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ให้สัมภาษณ์ว่า ในระหว่างวันที่ 7 – 20 มกราคม 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล 878 อําเภอและกทม. ช่วงที่ 2 หลังจากช่วงแรกที่ดําเนินการระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 มีประชาชนเข้ารับบริการจํานวนมาก และมีความพึงพอใจที่มีโอกาสพบแพทย์โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล นายแพทย์ศุภกิจกล่าวต่อว่า สําหรับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ ที่โรงเรียนบ้านไหนหนัง ได้จัดกิจกรรมบริการประชาชนทั้ง 6 กิจกรรมหลัก บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป บริการตรวจสายตา บริการคัดกรองสุขภาพจิต และเน้นการประเมินและกระตุ้นพัฒนาการเด็กเล็ก บริการทันตกรรม สาธิตการแปรงฟันที่ถูกวิธี สาธิตทําลูกประคบด้วยสมุนไพร บริการคัดกรองความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง (CVD Risk) สาธิตและฝึกการช่วยฟื้นคืนชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่ให้บริการตามบริบทของพื้นที่ เช่น บริการข้อมูลด้านสินเชื่อและบัตรสวัสดิการของรัฐ แนะนําข้อมูลทางการเงิน บริการรถเคลื่อนที่ส่งเสริมการอ่านและแนะนําอาชีพ บริการแนะนําสิทธิประโยชน์ผู้พิการและด้อยโอกาส บริการตัดผม และจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ สํานักงานสาธารณสุขอําเภอเมืองกระบี่ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกระบี่ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โรงเรียนเสริมสวยเสริมสยาม อสม. และภาคเอกชนต่าง ๆ ในพื้นที่ ****************************16 มกราคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เยี่ยมโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ฯ ช่วงที่ 2 โรงเรียนบ้านไหนหนัง จ.กระบี่ วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 สธ.เยี่ยมโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ฯ ช่วงที่ 2 โรงเรียนบ้านไหนหนัง จ.กระบี่ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงเรียนบ้านไหนหนัง จังหวัดกระบี่ วันนี้ (16 มกราคม 2562) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงเรียนบ้านไหนหนัง ต.เขาคราม อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ให้สัมภาษณ์ว่า ในระหว่างวันที่ 7 – 20 มกราคม 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล 878 อําเภอและกทม. ช่วงที่ 2 หลังจากช่วงแรกที่ดําเนินการระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 มีประชาชนเข้ารับบริการจํานวนมาก และมีความพึงพอใจที่มีโอกาสพบแพทย์โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล นายแพทย์ศุภกิจกล่าวต่อว่า สําหรับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ ที่โรงเรียนบ้านไหนหนัง ได้จัดกิจกรรมบริการประชาชนทั้ง 6 กิจกรรมหลัก บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป บริการตรวจสายตา บริการคัดกรองสุขภาพจิต และเน้นการประเมินและกระตุ้นพัฒนาการเด็กเล็ก บริการทันตกรรม สาธิตการแปรงฟันที่ถูกวิธี สาธิตทําลูกประคบด้วยสมุนไพร บริการคัดกรองความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง (CVD Risk) สาธิตและฝึกการช่วยฟื้นคืนชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่ให้บริการตามบริบทของพื้นที่ เช่น บริการข้อมูลด้านสินเชื่อและบัตรสวัสดิการของรัฐ แนะนําข้อมูลทางการเงิน บริการรถเคลื่อนที่ส่งเสริมการอ่านและแนะนําอาชีพ บริการแนะนําสิทธิประโยชน์ผู้พิการและด้อยโอกาส บริการตัดผม และจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ สํานักงานสาธารณสุขอําเภอเมืองกระบี่ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกระบี่ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โรงเรียนเสริมสวยเสริมสยาม อสม. และภาคเอกชนต่าง ๆ ในพื้นที่ ****************************16 มกราคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 24 – 30 กรกฎาคม 2563
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 24 – 30 กรกฎาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 24 – 30 กรกฎาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 278 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.40 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 24 - 30 กรกฎาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 278 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.40 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 166 คดี ค่าปรับ 1.43 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 67 คดี ค่าปรับ 1.91 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 5 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 22 คดี ค่าปรับ 2.64 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 7 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.18 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 0.22 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,621.449 ลิตร ยาสูบ จํานวน 5,837 ซอง ไพ่ จํานวน 123 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 74,130.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จํานวน 7 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กรกฎาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 23,773 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 410.07 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 13,581 คดี ค่าปรับ 137.49 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 7,008 คดี ค่าปรับ 162.16 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 513 คดี ค่าปรับ 7.21 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,078 คดี ค่าปรับ 46.20 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 54 คดี ค่าปรับ 1.37 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,051 คดี ค่าปรับ จํานวน 26.05 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 488 คดี ค่าปรับ 29.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,780,555.954 ลิตร ยาสูบ จํานวน 440,113 ซอง ไพ่ จํานวน 61,879 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,678,009.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 43,064 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,182 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 24 – 30 กรกฎาคม 2563 วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 24 – 30 กรกฎาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 24 – 30 กรกฎาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 278 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.40 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 24 - 30 กรกฎาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 278 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.40 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 166 คดี ค่าปรับ 1.43 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 67 คดี ค่าปรับ 1.91 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 5 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 22 คดี ค่าปรับ 2.64 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 7 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.18 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 0.22 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,621.449 ลิตร ยาสูบ จํานวน 5,837 ซอง ไพ่ จํานวน 123 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 74,130.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จํานวน 7 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กรกฎาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 23,773 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 410.07 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 13,581 คดี ค่าปรับ 137.49 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 7,008 คดี ค่าปรับ 162.16 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 513 คดี ค่าปรับ 7.21 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,078 คดี ค่าปรับ 46.20 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 54 คดี ค่าปรับ 1.37 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,051 คดี ค่าปรับ จํานวน 26.05 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 488 คดี ค่าปรับ 29.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,780,555.954 ลิตร ยาสูบ จํานวน 440,113 ซอง ไพ่ จํานวน 61,879 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,678,009.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 43,064 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,182 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33824
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประกาศแจ้งเตือนประชาชนไม่ต้องกังวล ในการส่งรูปภาพข้อความคำกล่าวทักทาย ปรารถนาดี ผ่านทางไลน์ที่คิดกันว่าจะเป็นช่องให้นักล้วงเจาะข้อมูลส่วนตัว (hackers)
วันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ ประกาศแจ้งเตือนประชาชนไม่ต้องกังวล ในการส่งรูปภาพข้อความคํากล่าวทักทาย ปรารถนาดี ผ่านทางไลน์ที่คิดกันว่าจะเป็นช่องให้นักล้วงเจาะข้อมูลส่วนตัว (hackers) กระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า จากที่ได้รับแจ้งรายงานกรณีที่มีนักล้วงเจาะข้อมูล (hackers) หรือแฮกเกอร์ ได้ออกแบบรูปภาพ และภาพเคลื่อนไหว ที่ซ่อนรหัสขโมยข้อมูลไว้ โดยเมื่อนําภาพเหล่านั้นไปใช้ในการส่งต่อก็จะมีการขโมยข้อมูลส่วนตัวจากอุปกรณ์ของผู้รับ ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า เหยื่อที่ถูกหลอกลวง ต้มตุ๋นมากกว่า 500,000 ราย ได้ถูกหลอกทําธุรกรรม หรือถูกฉ้อโกงทางเน็ตไปแล้ว โดยในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ได้มีการส่งต่อข้อความแจ้งเตือนประชาชนผู้ที่ใช้แอปพลิเคชันไลน์ ว่าหากต้องการทักทายผู้อื่น ให้พิมพ์ข้อความด้วยตนเอง เพื่อปกป้องตัวเองรวมทั้งครอบครัวและเพื่อนจากการถูกขโมยข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีคําเตือนที่ระบุอีกว่า ให้ลบรูปภาพที่ถูกออกแบบสําเร็จมาเพื่อการทักทายที่เคยส่งไปก่อนหน้านี้และล่าสุดให้หมด เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและเพื่อน ๆ อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแฮกเกอร์มาหลอกลวง ล้วงข้อมูล (Phising) ซึ่งพวกนี้มักจะฝังโปรแกรมรหัสล้วงเจาะข้อมูลในไฟล์ภาพ รวมทั้งในไฟล์ภาพเคลื่อนไหว (GIFs) ที่เราใช้ด้วย โดยจะขโมยข้อมูลส่วนตัว หมายเลขบัตรเครดิต และรหัสลับส่วนตัวของผู้ใช้ และส่งต่อรูปภาพดังกล่าวไปอย่างง่ายดาย และย้ําว่าหากต้องการทักทายซึ่งกันและกัน ให้พิมพ์ถ้อยคําของตัวเอง หรือสร้างรูปภาพ วิดีโอ ที่ทําขึ้นมาเองดีกว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ปัจจุบันยังไม่พบรายงานการเจาะระบบ หรือการเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบจากการส่งภาพหรือภาพเคลื่อนไหวผ่านทางไลน์แต่อย่างใด ซึ่งในทางทฤษฎี หากไลน์มีช่องโหว่การฝังสคริปต์ในภาพอาจนําไปสู่การเจาะระบบได้ อย่างไรก็ตามไลน์ป้องกันปัญหากรณีของการส่งภาพต่างๆ ผ่านโปรแกรมไลน์ โดยระบบของไลน์ จะแปลงภาพนั้นเป็นไฟล์ภาพที่เป็นลักษณะเฉพาะของ LINE (Line version of image) ดังนั้นหากมีรหัสที่แฝงอยู่ ก็จะได้ถูกปรับไฟล์ใหม่ให้เป็นเพียงภาพเท่านั้น และภาพที่ส่งจะได้จากการดึงจากเซิร์ฟเวอร์ของไลน์ ไปยังผู้ใช้คนอื่น ไม่มีทางที่จะมีการเชื่อมต่อบุคคลที่ 3 ระหว่างแต่ละฝ่าย หรือจากผู้ส่งไปผู้รับโดยตรง ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประกาศแจ้งเตือนประชาชนไม่ต้องกังวล ในการส่งรูปภาพข้อความคำกล่าวทักทาย ปรารถนาดี ผ่านทางไลน์ที่คิดกันว่าจะเป็นช่องให้นักล้วงเจาะข้อมูลส่วนตัว (hackers) วันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ ประกาศแจ้งเตือนประชาชนไม่ต้องกังวล ในการส่งรูปภาพข้อความคํากล่าวทักทาย ปรารถนาดี ผ่านทางไลน์ที่คิดกันว่าจะเป็นช่องให้นักล้วงเจาะข้อมูลส่วนตัว (hackers) กระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 12.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า จากที่ได้รับแจ้งรายงานกรณีที่มีนักล้วงเจาะข้อมูล (hackers) หรือแฮกเกอร์ ได้ออกแบบรูปภาพ และภาพเคลื่อนไหว ที่ซ่อนรหัสขโมยข้อมูลไว้ โดยเมื่อนําภาพเหล่านั้นไปใช้ในการส่งต่อก็จะมีการขโมยข้อมูลส่วนตัวจากอุปกรณ์ของผู้รับ ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า เหยื่อที่ถูกหลอกลวง ต้มตุ๋นมากกว่า 500,000 ราย ได้ถูกหลอกทําธุรกรรม หรือถูกฉ้อโกงทางเน็ตไปแล้ว โดยในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ได้มีการส่งต่อข้อความแจ้งเตือนประชาชนผู้ที่ใช้แอปพลิเคชันไลน์ ว่าหากต้องการทักทายผู้อื่น ให้พิมพ์ข้อความด้วยตนเอง เพื่อปกป้องตัวเองรวมทั้งครอบครัวและเพื่อนจากการถูกขโมยข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีคําเตือนที่ระบุอีกว่า ให้ลบรูปภาพที่ถูกออกแบบสําเร็จมาเพื่อการทักทายที่เคยส่งไปก่อนหน้านี้และล่าสุดให้หมด เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและเพื่อน ๆ อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแฮกเกอร์มาหลอกลวง ล้วงข้อมูล (Phising) ซึ่งพวกนี้มักจะฝังโปรแกรมรหัสล้วงเจาะข้อมูลในไฟล์ภาพ รวมทั้งในไฟล์ภาพเคลื่อนไหว (GIFs) ที่เราใช้ด้วย โดยจะขโมยข้อมูลส่วนตัว หมายเลขบัตรเครดิต และรหัสลับส่วนตัวของผู้ใช้ และส่งต่อรูปภาพดังกล่าวไปอย่างง่ายดาย และย้ําว่าหากต้องการทักทายซึ่งกันและกัน ให้พิมพ์ถ้อยคําของตัวเอง หรือสร้างรูปภาพ วิดีโอ ที่ทําขึ้นมาเองดีกว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ปัจจุบันยังไม่พบรายงานการเจาะระบบ หรือการเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบจากการส่งภาพหรือภาพเคลื่อนไหวผ่านทางไลน์แต่อย่างใด ซึ่งในทางทฤษฎี หากไลน์มีช่องโหว่การฝังสคริปต์ในภาพอาจนําไปสู่การเจาะระบบได้ อย่างไรก็ตามไลน์ป้องกันปัญหากรณีของการส่งภาพต่างๆ ผ่านโปรแกรมไลน์ โดยระบบของไลน์ จะแปลงภาพนั้นเป็นไฟล์ภาพที่เป็นลักษณะเฉพาะของ LINE (Line version of image) ดังนั้นหากมีรหัสที่แฝงอยู่ ก็จะได้ถูกปรับไฟล์ใหม่ให้เป็นเพียงภาพเท่านั้น และภาพที่ส่งจะได้จากการดึงจากเซิร์ฟเวอร์ของไลน์ ไปยังผู้ใช้คนอื่น ไม่มีทางที่จะมีการเชื่อมต่อบุคคลที่ 3 ระหว่างแต่ละฝ่าย หรือจากผู้ส่งไปผู้รับโดยตรง ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17324
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สมชาย ร่วมคณะรองนายกสมคิด เยี่ยมชมผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards พร้อมชมการพัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน เพื่อชักชวนลงทุนในไทย
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 รมช.สมชาย ร่วมคณะรองนายกสมคิด เยี่ยมชมผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards พร้อมชมการพัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน เพื่อชักชวนลงทุนในไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี เยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อชักชวนนักลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในจีนมาร่วมลงทุนในประเทศไทย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี เยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อชักชวนนักลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในจีนมาร่วมลงทุนในประเทศไทย พร้อมเยี่ยมชมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards การพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์รายใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาตร์และแผน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมคณะ โดยเมื่อวันที่ (27 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะเดินทางกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมบริษัท Foxconn เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นผู้ผลิตและรับผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสํานักงานใหญ่อยู่ในประเทศไต้หวัน เป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีโรงงานขนาดใหญ่ 13 แห่งใน 9 เมืองใหญ่ในสาธารณรัฐจีน โดยบริษัท Foxconn เป็นบริษัทฯ ที่เริ่มผลิตตั้งแต่เครื่องมือไปจนถึงผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมบริษัท BGI (Beijing Genomics Institute) เมืองเซินเจิ้น เป็นบริษัทที่มีผู้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนําของโลกและเทคโนโลยีการแพทย์ชั้นนําของจีน พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยี Robotics และเป็นผู้ผลิตเครื่องมือสําหรับวิจัยลําดับเบสดีเอ็นเอ (DNA Sequencing) ราคาถูกแต่คุณภาพสูง เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ชั้นนําทั่วโลก โดยในปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนําจากทั่วโลกมาทําโครงการวิจัยร่วมกับ BGI ที่เซินเจิ้น ในเรื่องการถอดรหัสพันธุกรรมข้าวเพื่อพัฒนาการเกษตร หรือการถอดรหัสพันธุกรรมความฉลาดของมนุษย์ โดย BGO ได้เข้าซื้อ Complete Genomics ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือวิจัยทางพันธุกรรมชั้นนําของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ คณะรองนายกรัฐมนตรี ยังได้เยี่ยมชมบริษัท UBTECH ROBOTICS CORP เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีเทคโนโลยีสูงที่มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาการผลิตตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่หุ่นยนต์ทั่วโลก และยังเป็นบริษัทฯ แห่งแรกในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ผลิตหุ่นยนต์มนุษย์เชิงพาณิชย์ที่สามารถโต้ตอบช่วยเหลือและให้บริการประชาชนได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สมชาย ร่วมคณะรองนายกสมคิด เยี่ยมชมผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards พร้อมชมการพัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน เพื่อชักชวนลงทุนในไทย วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 รมช.สมชาย ร่วมคณะรองนายกสมคิด เยี่ยมชมผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards พร้อมชมการพัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน เพื่อชักชวนลงทุนในไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี เยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อชักชวนนักลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในจีนมาร่วมลงทุนในประเทศไทย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี เยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อชักชวนนักลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในจีนมาร่วมลงทุนในประเทศไทย พร้อมเยี่ยมชมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards การพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์รายใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาตร์และแผน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมคณะ โดยเมื่อวันที่ (27 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะเดินทางกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมบริษัท Foxconn เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นผู้ผลิตและรับผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสํานักงานใหญ่อยู่ในประเทศไต้หวัน เป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ Circuit boards ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีโรงงานขนาดใหญ่ 13 แห่งใน 9 เมืองใหญ่ในสาธารณรัฐจีน โดยบริษัท Foxconn เป็นบริษัทฯ ที่เริ่มผลิตตั้งแต่เครื่องมือไปจนถึงผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมบริษัท BGI (Beijing Genomics Institute) เมืองเซินเจิ้น เป็นบริษัทที่มีผู้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนําของโลกและเทคโนโลยีการแพทย์ชั้นนําของจีน พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยี Robotics และเป็นผู้ผลิตเครื่องมือสําหรับวิจัยลําดับเบสดีเอ็นเอ (DNA Sequencing) ราคาถูกแต่คุณภาพสูง เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ชั้นนําทั่วโลก โดยในปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนําจากทั่วโลกมาทําโครงการวิจัยร่วมกับ BGI ที่เซินเจิ้น ในเรื่องการถอดรหัสพันธุกรรมข้าวเพื่อพัฒนาการเกษตร หรือการถอดรหัสพันธุกรรมความฉลาดของมนุษย์ โดย BGO ได้เข้าซื้อ Complete Genomics ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือวิจัยทางพันธุกรรมชั้นนําของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ คณะรองนายกรัฐมนตรี ยังได้เยี่ยมชมบริษัท UBTECH ROBOTICS CORP เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีเทคโนโลยีสูงที่มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาการผลิตตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่หุ่นยนต์ทั่วโลก และยังเป็นบริษัทฯ แห่งแรกในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ผลิตหุ่นยนต์มนุษย์เชิงพาณิชย์ที่สามารถโต้ตอบช่วยเหลือและให้บริการประชาชนได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. สมคิดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561 รอง นรม. สมคิดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 1/2561 รอง นรม. สมคิดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีมติเห็นชอบในหลักการของกรอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างยั่งยืน วันนี้ (7 มิถุนายน 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 1/2561 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการของกรอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติมขั้นตอนการขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ดังนี้ 1) ส่วนราชการหน่วยงานที่จะขอรับสนับสนุนเงิน ต้องจัดทําโครงการแผนงานเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ อย่างน้อย 90 วัน ก่อนเริ่มต้นปีบัญชี 2) ผู้จัดการกองทุนรวมฯ จัดทําแผนการดําเนินงานประจําปีเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ อนุมัติอย่างน้อย 60 วัน ก่อนเริ่มต้นปีบัญชี และส่งให้กระทรวงการคลังอย่างน้อย 30 วัน ก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีก่อนการใช้เงิน 3) เมื่อคณะกรรมการ คชก. อนุมัติแผนการดําเนินงานประจําปี ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบโครงการ/แผนงาน จัดทํารายละเอียดเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ (คบท.) เพื่อขอรับจัดสรรเงินดําเนินการตามแผนที่ได้รับอนุมัติ และ 4) ส่วนราชการ หน่วยงาน ผู้รับผิดชอบโครงการ/แผนงานที่ได้รับอนุมัติดําเนินการได้ทันที โดยให้ดําเนินการดังต่อไปนี้ 1. เปิดบัญชีธนาคาร เพื่อขอเบิกเงิน 2. เตรียมแผนการดําเนินการตามโครงการเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้โดยเร็ว 3. จัดสรรและโอนเงินให้หน่วยงานระดับพื้นที่ ได้โดยเร็ว และ 4. กําหนดวิธีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ หลักเกณฑ์ วิธีการ รวมทั้งการจ่ายเงิน ก่อนการดําเนินการคัดเลือกและเบิกจ่ายเงิน ทั้งนี้ ในส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ที่ทําให้การบริหารกองทุนฯ มีความคล่องตัวและถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ โดยกรมการค้าภายในประสานกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลังโดยเร็วต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการ กรอบการขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีปัญหาเร่งด่วน และเป็นโครงการที่ไม่ปรากฎในแผนการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ 2561 และ 2. ค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตร ตามกรอบนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีกลุ่มสินค้าที่ สนับสนุนเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ ดังนี้ ผลไม้ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงและกระจายผลไม้ โดยการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเป็นทุนในการรับซื้อผลไม้ และค่าใช้จ่ายในการจัดการ รวมถึงการรวบรวมและคัดคุณภาพผลไม้ สุกร เพื่อใช้ลดต้นทุนการผลิตสุกรให้เกษตรกรผู้เลี้ยงรายกลางและรายย่อย โดยชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ไข่ไก่ เพื่อลดปริมาณการผลิตไข่ไก่ลงวันละ 1 ล้านฟอง โดยสนับสนุนเงินเพื่อซื้อไข่เชื้อเพื่อลดปริมาณการฟักไข่เชื้อจากฟาร์มพ่อแม่พันธุ์เป็นไก่สาวในช่วงหน้าร้อน ข้าว เพื่อส่งเสริมการเก็บรักษาข้าวเปลือกของเกษตกร โดยชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรในการสร้างยุ้งฉาง ไซโลเก็บข้าวเปลือก และ กุ้ง เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและการตลาดกุ้งทะเลเพื่อการบริโภคภายในประเทศ โดยสนับสนุนลูกพันธุ์กุ้งคุณภาพ ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อจัดหาอาหารและปัจจัยการเลี้ยงกุ้งทะเล และชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการระบายจําหน่ายกุ้งให้แก่ผู้บริโภคภายในประเทศต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปหารือในรายละเอียดอีกครั้งกับกระทรวงการคลัง ก่อนนําไปขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของเกษตรกรโดยรวมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป ................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. สมคิดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 1/2561 วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561 รอง นรม. สมคิดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 1/2561 รอง นรม. สมคิดฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีมติเห็นชอบในหลักการของกรอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างยั่งยืน วันนี้ (7 มิถุนายน 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 1/2561 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการของกรอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติมขั้นตอนการขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ดังนี้ 1) ส่วนราชการหน่วยงานที่จะขอรับสนับสนุนเงิน ต้องจัดทําโครงการแผนงานเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ อย่างน้อย 90 วัน ก่อนเริ่มต้นปีบัญชี 2) ผู้จัดการกองทุนรวมฯ จัดทําแผนการดําเนินงานประจําปีเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ อนุมัติอย่างน้อย 60 วัน ก่อนเริ่มต้นปีบัญชี และส่งให้กระทรวงการคลังอย่างน้อย 30 วัน ก่อนวันเริ่มต้นปีบัญชีก่อนการใช้เงิน 3) เมื่อคณะกรรมการ คชก. อนุมัติแผนการดําเนินงานประจําปี ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบโครงการ/แผนงาน จัดทํารายละเอียดเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ (คบท.) เพื่อขอรับจัดสรรเงินดําเนินการตามแผนที่ได้รับอนุมัติ และ 4) ส่วนราชการ หน่วยงาน ผู้รับผิดชอบโครงการ/แผนงานที่ได้รับอนุมัติดําเนินการได้ทันที โดยให้ดําเนินการดังต่อไปนี้ 1. เปิดบัญชีธนาคาร เพื่อขอเบิกเงิน 2. เตรียมแผนการดําเนินการตามโครงการเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้โดยเร็ว 3. จัดสรรและโอนเงินให้หน่วยงานระดับพื้นที่ ได้โดยเร็ว และ 4. กําหนดวิธีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ หลักเกณฑ์ วิธีการ รวมทั้งการจ่ายเงิน ก่อนการดําเนินการคัดเลือกและเบิกจ่ายเงิน ทั้งนี้ ในส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ที่ทําให้การบริหารกองทุนฯ มีความคล่องตัวและถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ โดยกรมการค้าภายในประสานกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลังโดยเร็วต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการ กรอบการขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีปัญหาเร่งด่วน และเป็นโครงการที่ไม่ปรากฎในแผนการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ 2561 และ 2. ค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตร ตามกรอบนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีกลุ่มสินค้าที่ สนับสนุนเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ ดังนี้ ผลไม้ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงและกระจายผลไม้ โดยการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเป็นทุนในการรับซื้อผลไม้ และค่าใช้จ่ายในการจัดการ รวมถึงการรวบรวมและคัดคุณภาพผลไม้ สุกร เพื่อใช้ลดต้นทุนการผลิตสุกรให้เกษตรกรผู้เลี้ยงรายกลางและรายย่อย โดยชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ไข่ไก่ เพื่อลดปริมาณการผลิตไข่ไก่ลงวันละ 1 ล้านฟอง โดยสนับสนุนเงินเพื่อซื้อไข่เชื้อเพื่อลดปริมาณการฟักไข่เชื้อจากฟาร์มพ่อแม่พันธุ์เป็นไก่สาวในช่วงหน้าร้อน ข้าว เพื่อส่งเสริมการเก็บรักษาข้าวเปลือกของเกษตกร โดยชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรในการสร้างยุ้งฉาง ไซโลเก็บข้าวเปลือก และ กุ้ง เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและการตลาดกุ้งทะเลเพื่อการบริโภคภายในประเทศ โดยสนับสนุนลูกพันธุ์กุ้งคุณภาพ ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อจัดหาอาหารและปัจจัยการเลี้ยงกุ้งทะเล และชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการระบายจําหน่ายกุ้งให้แก่ผู้บริโภคภายในประเทศต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปหารือในรายละเอียดอีกครั้งกับกระทรวงการคลัง ก่อนนําไปขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของเกษตรกรโดยรวมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป ................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงาน Meet the Press เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ DIGITAL
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงาน Meet the Press เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ DIGITAL รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงาน Meet the Press เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ DIGITAL กําหนดเป้าหมายเร่งดําเนินการ “เน็ตประชารัฐ” ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านภายในปีนี้ วันนี้ (18 ม.ค. 61) เวลา 14:00 - 15:00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชนในงาน Meet the Press หัวข้อ "2561 ปีแห่งดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย" โดย นางสาววรรณศิริ ศิริวรรณ เป็นพิธีกรดําเนินรายการ พร้อมถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ให้ประชาชนได้รับทราบอีกช่องทางหนึ่ง และสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมกันนี้ ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่เข้าร่วมฯ ซักถามในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการเตรียมความพร้อมของประชาชนรองรับการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการดําเนินโครงการที่สําคัญที่จะก้าวต่อไป เพื่อนําประเทศไทยไปสู่ยุคดิจิทัล เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาคน ธุรกิจ และเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการเตรียมระบบป้องกันความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ตและระบบไซเบอร์เมื่ออินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกหมู่บ้าน รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ Digital Thailand, Big Data กฎหมายดิจิทัล เพื่อรองรับธุรกรรมยุคใหม่ และไปรษณีย์ยุค 4.0 เป็นต้น สําหรับการเตรียมความพร้อมประชาชนรองรับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยเฉพาะการขยายอินเทอร์เข้าไปสู่ทุกหมู่บ้านและชุมชน “เน็ตประชารัฐ” เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลและใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเท่าเทียม พร้อมลดความเหลื่อมล้ํา นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวว่า การดําเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการกระจายความเจริญไปสู่ประชาชนทุกพื้นที่ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้วนําแสง เปรียบเช่นการสร้างถนนในสมัยก่อนที่มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมหรือถนนต่าง ๆ เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ประชาชนในพื้นที่ โดยปีนี้รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะวางระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้วนําแสงเข้าถึงทุกหมู่บ้านทั่วประเทศไทย ทั้งนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมาได้มีการดําเนินการโครงการ “เน็ตประชารัฐ” พร้อมจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ หมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายห่างไกล ที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงติดตั้งแล้วเสร็จ ครบจํานวน 24,700 หมู่บ้าน เมื่อนับรวมกับหมู่บ้านที่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงอยู่แล้วก็จะเหลือประมาณ 20 % ซึ่งภายในปีนี้จะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จครอบคลุมทุกหมู่บ้านตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ สําหรับการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และประชาชนในพื้นที่นั้น ได้ดําเนินกิจกรรมคู่ขยาย คือ การฝึกอบรมครู กศน. จํานวน 1,000 คน ให้เป็นวิทยากรแกนนํา สร้างการรับรู้ การใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ 5 ครั้ง ทั่วประเทศ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมปีที่แล้ว เช่นกัน ระยะต่อไป คือ การนําความรู้ไปพัฒนาขยายเครือข่ายสู่ผู้นําชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นผู้เชื่อมโยงขยายความรู้ไปสู่ประชาชนในหมู่บ้านเน็ตประชารัฐ ประมาณ 1,000,000 คน ภายในปีนี้ เพื่อนําไปสู่การซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการใช้ประโยชน์ อย่างคุ้มค่าในอนาคต ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ด้อยโอกาส เข้าถึงความรู้และบริการของรัฐ เช่น การรักษาพยาบาลทางไกล การเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เสริมสร้างความรู้พัฒนาฝีมือ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารทางการเกษตรได้มากขึ้น และการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพื่อให้สินค้าเกษตร เป็น Smart Farmer และเพิ่มศักยภาพศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ในส่วนด้านเศรษฐกิจ โอกาสการทําธุรกิจ เช่น การซื้อขายในรูปแบบ e-Commerce การค้าขายออนไลน์ ของร้านค้าประชารัฐรักสามัคคี ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน (OTOP) ทั่วประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ สามารถประกอบธุรกิจที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย รวมทั้ง ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการให้บริการ ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถเข้าถึงข้อมูลการเดินทาง ที่พัก ที่ช้อปปิ้ง และร้านค้า ร้านอาหาร ที่สําคัญ คือ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวย้ําถึงเรื่องที่จะต้องเร่งดําเนินการเตรียมวางระบบความปลอดภัยด้านไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศหลักภาคต่าง ๆ ที่คาดว่ามี ความเสี่ยง เช่น กลุ่มด้านพลังงาน การเงินการคลัง ไฟฟ้า ประปา สาธารณสุข ความมั่นคง และโทรคมนาคม เป็นต้น โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จะเป็นผู้ดําเนินการวางระบบให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเพื่อให้สามารถดูแลความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศหลักของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้มีการเตรียมการพัฒนากําลังคนทางด้านไซเบอร์และคอมพิวเตอร์รองรับการดําเนินการดังกล่าว เบื้องต้นกําหนดเป้าหมายเร่งพัฒนากําลังคนด้านไซเบอร์ จํานวน 1,000 คน โดยขณะนี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากประเทศอาเซียนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์พัฒนาบุคลากรทางด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ซึ่งศูนย์ดังกล่าวจะตั้งที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการดูแลเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนการพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานที่จะประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องกับงานด้านไซเบอร์ทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งการพัฒนากฎหมายไซเบอร์ เพื่อให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์เป็นไปด้วยความรวดเร็วทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนการดําเนินการในเรื่องของ Big Data เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน เช่น การอํานวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ โดยใช้ระบบดิจิทัลมาบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ ให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ Big Data ถือเป็นวาระสําคัญดิจิทัลไทยแลนด์ โดยจะดําเนินการจัดระบบข้อมูล Big Data ในภาครัฐให้เป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันอย่างครบวงจร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถนําข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ต่อและใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการบริหารในระดับต่าง ๆ ของประเทศ ตลอดจนการดูแลช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐ เช่น การเข้าถึงสาธารณสุขมูลฐาน เป็นต้น ................................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงาน Meet the Press เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ DIGITAL วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงาน Meet the Press เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ DIGITAL รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงาน Meet the Press เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ DIGITAL กําหนดเป้าหมายเร่งดําเนินการ “เน็ตประชารัฐ” ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านภายในปีนี้ วันนี้ (18 ม.ค. 61) เวลา 14:00 - 15:00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชนในงาน Meet the Press หัวข้อ "2561 ปีแห่งดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย" โดย นางสาววรรณศิริ ศิริวรรณ เป็นพิธีกรดําเนินรายการ พร้อมถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ให้ประชาชนได้รับทราบอีกช่องทางหนึ่ง และสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมกันนี้ ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่เข้าร่วมฯ ซักถามในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการเตรียมความพร้อมของประชาชนรองรับการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการดําเนินโครงการที่สําคัญที่จะก้าวต่อไป เพื่อนําประเทศไทยไปสู่ยุคดิจิทัล เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาคน ธุรกิจ และเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการเตรียมระบบป้องกันความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ตและระบบไซเบอร์เมื่ออินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกหมู่บ้าน รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ Digital Thailand, Big Data กฎหมายดิจิทัล เพื่อรองรับธุรกรรมยุคใหม่ และไปรษณีย์ยุค 4.0 เป็นต้น สําหรับการเตรียมความพร้อมประชาชนรองรับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยเฉพาะการขยายอินเทอร์เข้าไปสู่ทุกหมู่บ้านและชุมชน “เน็ตประชารัฐ” เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลและใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเท่าเทียม พร้อมลดความเหลื่อมล้ํา นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวว่า การดําเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการกระจายความเจริญไปสู่ประชาชนทุกพื้นที่ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้วนําแสง เปรียบเช่นการสร้างถนนในสมัยก่อนที่มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมหรือถนนต่าง ๆ เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ประชาชนในพื้นที่ โดยปีนี้รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะวางระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้วนําแสงเข้าถึงทุกหมู่บ้านทั่วประเทศไทย ทั้งนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมาได้มีการดําเนินการโครงการ “เน็ตประชารัฐ” พร้อมจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ หมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายห่างไกล ที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงติดตั้งแล้วเสร็จ ครบจํานวน 24,700 หมู่บ้าน เมื่อนับรวมกับหมู่บ้านที่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงอยู่แล้วก็จะเหลือประมาณ 20 % ซึ่งภายในปีนี้จะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จครอบคลุมทุกหมู่บ้านตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ สําหรับการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และประชาชนในพื้นที่นั้น ได้ดําเนินกิจกรรมคู่ขยาย คือ การฝึกอบรมครู กศน. จํานวน 1,000 คน ให้เป็นวิทยากรแกนนํา สร้างการรับรู้ การใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ 5 ครั้ง ทั่วประเทศ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมปีที่แล้ว เช่นกัน ระยะต่อไป คือ การนําความรู้ไปพัฒนาขยายเครือข่ายสู่ผู้นําชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นผู้เชื่อมโยงขยายความรู้ไปสู่ประชาชนในหมู่บ้านเน็ตประชารัฐ ประมาณ 1,000,000 คน ภายในปีนี้ เพื่อนําไปสู่การซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการใช้ประโยชน์ อย่างคุ้มค่าในอนาคต ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ด้อยโอกาส เข้าถึงความรู้และบริการของรัฐ เช่น การรักษาพยาบาลทางไกล การเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เสริมสร้างความรู้พัฒนาฝีมือ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารทางการเกษตรได้มากขึ้น และการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพื่อให้สินค้าเกษตร เป็น Smart Farmer และเพิ่มศักยภาพศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ในส่วนด้านเศรษฐกิจ โอกาสการทําธุรกิจ เช่น การซื้อขายในรูปแบบ e-Commerce การค้าขายออนไลน์ ของร้านค้าประชารัฐรักสามัคคี ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน (OTOP) ทั่วประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ สามารถประกอบธุรกิจที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย รวมทั้ง ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการให้บริการ ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถเข้าถึงข้อมูลการเดินทาง ที่พัก ที่ช้อปปิ้ง และร้านค้า ร้านอาหาร ที่สําคัญ คือ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวย้ําถึงเรื่องที่จะต้องเร่งดําเนินการเตรียมวางระบบความปลอดภัยด้านไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศหลักภาคต่าง ๆ ที่คาดว่ามี ความเสี่ยง เช่น กลุ่มด้านพลังงาน การเงินการคลัง ไฟฟ้า ประปา สาธารณสุข ความมั่นคง และโทรคมนาคม เป็นต้น โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จะเป็นผู้ดําเนินการวางระบบให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเพื่อให้สามารถดูแลความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศหลักของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้มีการเตรียมการพัฒนากําลังคนทางด้านไซเบอร์และคอมพิวเตอร์รองรับการดําเนินการดังกล่าว เบื้องต้นกําหนดเป้าหมายเร่งพัฒนากําลังคนด้านไซเบอร์ จํานวน 1,000 คน โดยขณะนี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากประเทศอาเซียนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์พัฒนาบุคลากรทางด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ซึ่งศูนย์ดังกล่าวจะตั้งที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการดูแลเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนการพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานที่จะประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องกับงานด้านไซเบอร์ทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งการพัฒนากฎหมายไซเบอร์ เพื่อให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์เป็นไปด้วยความรวดเร็วทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนการดําเนินการในเรื่องของ Big Data เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน เช่น การอํานวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ โดยใช้ระบบดิจิทัลมาบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ ให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ Big Data ถือเป็นวาระสําคัญดิจิทัลไทยแลนด์ โดยจะดําเนินการจัดระบบข้อมูล Big Data ในภาครัฐให้เป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันอย่างครบวงจร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถนําข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ต่อและใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการบริหารในระดับต่าง ๆ ของประเทศ ตลอดจนการดูแลช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐ เช่น การเข้าถึงสาธารณสุขมูลฐาน เป็นต้น ................................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9474
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จัดอบรมนบร. รุ่นที่ 28 มุ่งสร้างข้าราชการมืออาชีพ
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 กสร. จัดอบรมนบร. รุ่นที่ 28 มุ่งสร้างข้าราชการมืออาชีพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง (นบร. รุ่นที่ 28) ระหว่างวันที่ 20 ก.พ. – 7 มี.ค. 62 มุ่งเสริมสร้างความรู้และทักษะในการปฏิบัติราชการ สมรรถนะที่จําเป็นต่อการปฏิบัติงาน ตั้งเ นายสมบูรณ์ ตรัยศิลานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง (นบร.) รุ่นที่ 28 ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงเรม เอสรัชดา เลเชอร์ โฮเต็ล กรุงเทพฯ ว่า กสร. ให้ความสําคัญในการพัฒนาบุคลากรของกรมให้มีความพร้อมในการปฏิบัติราชการอย่างมืออาชีพ มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติราชการ โดยเฉพาะนักบริหารระดับกลาง ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีความสําคัญในการขับเคลื่อนกลไกการบริหารจัดการองค์กรไปสู่ความสําเร็จในฐานะบุคคลกลางที่จะต้องเชื่อมโยงและถ่ายทอดนโยบาย จากผู้บริหารระดับสูงไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้น การฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง หรือ นบร. ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ – 7 มีนาคม 2562 รวม 16 วัน มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างให้ข้าราชการระดับชํานาญการที่จะก้าวไปสู่การเป็นนักบริหารระดับกลางต่อไป ในอนาคตเป็นผู้นํายุคใหม่ที่มีแนวคิดและประสบการณ์ทางด้านวิชาการและการบริหาร สามารถปรับตัวให้ทันต่อสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งเป็นผู้มีศักยภาพ มีทัศนคติ ค่านิยม และความรับผิดชอบโดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมและความโปร่งใส มุ่งผลสัมฤทธิ์ถึงประชาชน ตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จัดอบรมนบร. รุ่นที่ 28 มุ่งสร้างข้าราชการมืออาชีพ วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 กสร. จัดอบรมนบร. รุ่นที่ 28 มุ่งสร้างข้าราชการมืออาชีพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง (นบร. รุ่นที่ 28) ระหว่างวันที่ 20 ก.พ. – 7 มี.ค. 62 มุ่งเสริมสร้างความรู้และทักษะในการปฏิบัติราชการ สมรรถนะที่จําเป็นต่อการปฏิบัติงาน ตั้งเ นายสมบูรณ์ ตรัยศิลานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง (นบร.) รุ่นที่ 28 ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงเรม เอสรัชดา เลเชอร์ โฮเต็ล กรุงเทพฯ ว่า กสร. ให้ความสําคัญในการพัฒนาบุคลากรของกรมให้มีความพร้อมในการปฏิบัติราชการอย่างมืออาชีพ มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติราชการ โดยเฉพาะนักบริหารระดับกลาง ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีความสําคัญในการขับเคลื่อนกลไกการบริหารจัดการองค์กรไปสู่ความสําเร็จในฐานะบุคคลกลางที่จะต้องเชื่อมโยงและถ่ายทอดนโยบาย จากผู้บริหารระดับสูงไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้น การฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารแรงงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง หรือ นบร. ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ – 7 มีนาคม 2562 รวม 16 วัน มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างให้ข้าราชการระดับชํานาญการที่จะก้าวไปสู่การเป็นนักบริหารระดับกลางต่อไป ในอนาคตเป็นผู้นํายุคใหม่ที่มีแนวคิดและประสบการณ์ทางด้านวิชาการและการบริหาร สามารถปรับตัวให้ทันต่อสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งเป็นผู้มีศักยภาพ มีทัศนคติ ค่านิยม และความรับผิดชอบโดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมและความโปร่งใส มุ่งผลสัมฤทธิ์ถึงประชาชน ตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18894
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จัดโครงการ “ จิตอาสาปันน้ำใจเพื่อชุมชน ” มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว [กระทรวงคมนาคม]
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จัดโครงการ “ จิตอาสาปันน้ําใจเพื่อชุมชน ” มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว [กระทรวงคมนาคม] ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จัดโครงการ “ จิตอาสาปันน้ําใจเพื่อชุมชน ” มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ควบคุมการเดินรถ และโรงซ่อมบํารุง บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด จํานวน 200 กล่อง เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 63 ที่ผ่านมา นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด เปิดเผยว่า ด้วยตระหนักถึงนโยบายสําคัญของรัฐบาลและมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบและกําลังประสบความเดือดร้อนจากการขาดแคลนทุนทรัพย์ อาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้จัดโครงการ "จิตอาสาปันน้ําใจเพื่อชุมชน" มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ควบคุมการเดินรถ และโรงซ่อมบํารุง บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด จํานวน 200 กล่อง เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 63 ที่ผ่านมา หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จัดโครงการ “ จิตอาสาปันน้ำใจเพื่อชุมชน ” มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว [กระทรวงคมนาคม] วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จัดโครงการ “ จิตอาสาปันน้ําใจเพื่อชุมชน ” มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว [กระทรวงคมนาคม] ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จัดโครงการ “ จิตอาสาปันน้ําใจเพื่อชุมชน ” มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ควบคุมการเดินรถ และโรงซ่อมบํารุง บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด จํานวน 200 กล่อง เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 63 ที่ผ่านมา นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด เปิดเผยว่า ด้วยตระหนักถึงนโยบายสําคัญของรัฐบาลและมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบและกําลังประสบความเดือดร้อนจากการขาดแคลนทุนทรัพย์ อาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้จัดโครงการ "จิตอาสาปันน้ําใจเพื่อชุมชน" มอบอาหารกลางวันให้แก่ประชาชนในชุมชนทับแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ควบคุมการเดินรถ และโรงซ่อมบํารุง บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด จํานวน 200 กล่อง เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 63 ที่ผ่านมา หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31307
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดำเนินกิจกรรมนำร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 การประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดําเนินกิจกรรมนําร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ การประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดําเนินกิจกรรมนําร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (17 มิถุนายน 2563) กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดําเนินกิจกรรมนําร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ โดยมีนายธีรยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการฟู๊ดทรัค ผู้ประกอบการดิจิทัลแพลทฟอร์ม และสมาคมรถไฟฟ้า ร่วมประชุม ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดำเนินกิจกรรมนำร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 การประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดําเนินกิจกรรมนําร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ การประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดําเนินกิจกรรมนําร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (17 มิถุนายน 2563) กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการประชุมเตรียมการแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกิจกรรม Cloud Kitchen Food Truck และการดําเนินกิจกรรมนําร่องในช่วงปลายเดือน มิถุนายน 2563 นี้ โดยมีนายธีรยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการฟู๊ดทรัค ผู้ประกอบการดิจิทัลแพลทฟอร์ม และสมาคมรถไฟฟ้า ร่วมประชุม ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ออกอากาศสดทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อประชาสัมพันธ์งานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 รอง ลธน.ม.เรณูฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ออกอากาศสดทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อประชาสัมพันธ์งานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ซึ่งเป็นรายการสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในวันนี้ระหว่างเวลา 09.00 น. - 10.00 น. วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 9.30 น. ณ บริเวณสนามหญ้า หน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ซึ่งเป็นรายการสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในวันนี้ระหว่างเวลา 09.00 น. - 10.00 น. โดยให้สัมภาษณ์ประเด็นการจัดงาน “เมืองสุขภาพดีวิถีไทย” ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ซึ่งมีสาระสําคัญ ดังนี้ กระทรวงสาธารณสุขด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการจําหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพที่รัฐบาลได้ส่งเสริมเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์เด่นประจําชาติ เพื่อสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์และความรู้สมุนไพรให้เป็นที่จดจําและมีการนําไปใช้ประโยชน์ได้จริง ได้แก่ กลุ่มเวชสําอาง อาหารเสริม พร้อมเปิดตัว 4 สุดยอดผลิตภัณฑ์ (Product Champion) คือ ขมิ้นชัน แก้ท้องอืดจุกเสียดแน่นท้อง ปวดเข่า ไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อ แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ กระชายดํา บํารุงกําลัง บัวบก แก้ฟกช้ํา ช่วยบํารุงสมองเพิ่มความจํา เสริมเนื้อเยื่อในแผลเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนคอตีบบาดทะยัก ให้กับประชาชนฟรีทุกวันตลอดการจัดงานในวันและเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการแบ่งออกเป็น 7 โซน คือ 1.ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสาธิตหลากหลายรูปแบบระดับพรีเมี่ยมมาตรฐานส่งออกต่างประเทศในราคาพิเศษ 2.เวทีวิชาการ และนาทีทองสําหรับผู้มาเยี่ยมชม 3.บริการตรวจสุขภาพดวงตา และฉีดวัคซีนฟรี 4.เสน่ห์จากภูมิปัญญาไทย บริการจากหมอพื้นบ้านเครือข่ายทั่วประเทศ 5.จําหน่ายพืชพันธุ์ไม้สมุนไพร ไม้ดอก ไม้ประดับ 6.อาหารสะอาด รสชาติอร่อย เพื่อสุขภาพที่ดี 7.ตลาดริมคลองยามเย็นนั่งเล่นริมคลองส่งเสริมสัมพันธภาพในครอบครัว อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แพ็กเกจสปาน้ําพุร้อนจากภาคใต้ สาธิตผลิตภัณฑ์จากน้ําพุร้อน เลือกชื้อสินค้าภูมิปัญญาชาวบ้าน รับฟังเรื่องเล่าและทอผ้าจากคุณยายบุญมา ศรีจันทร์ จากจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ได้รับพระราชานุญาตให้ทอผ้าไหมลายอิริยาบถต่าง ๆ ของคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และการประกวดอาหารประเภทขนมแป้งดัดแปลงจากข้าวอีกด้วย สําหรับสัปดาห์นี้ มีผลิตภัณฑ์ทั้งเวชสําอางอาหารเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจ ได้แก่ผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี เช่น ลิปมัน ยาสีฟัน ยาดม อาหารเสริม ยาสระผม และสบู่สมุนไพรเป็นต้น ตลอดจนผลิตภัณฑ์ประทินผิวหน้าและผิวกายซึ่งทําจากข้าว อาหารเพื่อสุขภาพ ได้แก่ เบอร์เกอร์ ทอดมัน ไส้อั่วทอด ที่มีส่วนประกอบของปลาทูและปลาทูสามรส จากจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมกันนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ของสเต็มเซลล์ ซึ่งสกัดจากแอปเปิ้ลเขียว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เครื่องดื่มน้ําข้าวกล้องเพาะงอก และน้ําสมุนไพรพร้อมผลิตภัณฑ์กาแฟผสมสารสกัดแอปเปิ้ลเขียวและทับทิมช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและมีสารต้านอนุมูลอิสระ มะขามป้อมสมุนไพรซึ่งเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่น มีสรรพคุณช่วยระบายขจัดเสมหะ ชุ่มคอ ตลอดจน สมอหมักสมุนไพรผสมน้ําผึ้งและชะเอม มีสรรพคุณช่วยลดอาการหิว ขับเสมหะ และลดอาการวิงเวียนศีรษะ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีบริการนวดเพื่อสุขภาพตามแบบแพทย์แผนไทย เพื่อลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายช่วยให้เกิดความผ่อนคลายจากความตึงเครียดในชีวิตประจําวันได้เป็นอย่างดี จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาชม ชิม ช้อป ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลโรครับรองคุณภาพโดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ กระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 เปิดทุกวันระหว่างเวลา 10.00 – 19.00 น. ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ******************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ออกอากาศสดทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อประชาสัมพันธ์งานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 รอง ลธน.ม.เรณูฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ออกอากาศสดทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อประชาสัมพันธ์งานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ซึ่งเป็นรายการสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในวันนี้ระหว่างเวลา 09.00 น. - 10.00 น. วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 9.30 น. ณ บริเวณสนามหญ้า หน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นารีกระจ่าง” ซึ่งเป็นรายการสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในวันนี้ระหว่างเวลา 09.00 น. - 10.00 น. โดยให้สัมภาษณ์ประเด็นการจัดงาน “เมืองสุขภาพดีวิถีไทย” ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ซึ่งมีสาระสําคัญ ดังนี้ กระทรวงสาธารณสุขด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการจําหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพที่รัฐบาลได้ส่งเสริมเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์เด่นประจําชาติ เพื่อสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์และความรู้สมุนไพรให้เป็นที่จดจําและมีการนําไปใช้ประโยชน์ได้จริง ได้แก่ กลุ่มเวชสําอาง อาหารเสริม พร้อมเปิดตัว 4 สุดยอดผลิตภัณฑ์ (Product Champion) คือ ขมิ้นชัน แก้ท้องอืดจุกเสียดแน่นท้อง ปวดเข่า ไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อ แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ กระชายดํา บํารุงกําลัง บัวบก แก้ฟกช้ํา ช่วยบํารุงสมองเพิ่มความจํา เสริมเนื้อเยื่อในแผลเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนคอตีบบาดทะยัก ให้กับประชาชนฟรีทุกวันตลอดการจัดงานในวันและเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการแบ่งออกเป็น 7 โซน คือ 1.ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสาธิตหลากหลายรูปแบบระดับพรีเมี่ยมมาตรฐานส่งออกต่างประเทศในราคาพิเศษ 2.เวทีวิชาการ และนาทีทองสําหรับผู้มาเยี่ยมชม 3.บริการตรวจสุขภาพดวงตา และฉีดวัคซีนฟรี 4.เสน่ห์จากภูมิปัญญาไทย บริการจากหมอพื้นบ้านเครือข่ายทั่วประเทศ 5.จําหน่ายพืชพันธุ์ไม้สมุนไพร ไม้ดอก ไม้ประดับ 6.อาหารสะอาด รสชาติอร่อย เพื่อสุขภาพที่ดี 7.ตลาดริมคลองยามเย็นนั่งเล่นริมคลองส่งเสริมสัมพันธภาพในครอบครัว อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แพ็กเกจสปาน้ําพุร้อนจากภาคใต้ สาธิตผลิตภัณฑ์จากน้ําพุร้อน เลือกชื้อสินค้าภูมิปัญญาชาวบ้าน รับฟังเรื่องเล่าและทอผ้าจากคุณยายบุญมา ศรีจันทร์ จากจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ได้รับพระราชานุญาตให้ทอผ้าไหมลายอิริยาบถต่าง ๆ ของคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และการประกวดอาหารประเภทขนมแป้งดัดแปลงจากข้าวอีกด้วย สําหรับสัปดาห์นี้ มีผลิตภัณฑ์ทั้งเวชสําอางอาหารเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจ ได้แก่ผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี เช่น ลิปมัน ยาสีฟัน ยาดม อาหารเสริม ยาสระผม และสบู่สมุนไพรเป็นต้น ตลอดจนผลิตภัณฑ์ประทินผิวหน้าและผิวกายซึ่งทําจากข้าว อาหารเพื่อสุขภาพ ได้แก่ เบอร์เกอร์ ทอดมัน ไส้อั่วทอด ที่มีส่วนประกอบของปลาทูและปลาทูสามรส จากจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมกันนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ของสเต็มเซลล์ ซึ่งสกัดจากแอปเปิ้ลเขียว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เครื่องดื่มน้ําข้าวกล้องเพาะงอก และน้ําสมุนไพรพร้อมผลิตภัณฑ์กาแฟผสมสารสกัดแอปเปิ้ลเขียวและทับทิมช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและมีสารต้านอนุมูลอิสระ มะขามป้อมสมุนไพรซึ่งเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่น มีสรรพคุณช่วยระบายขจัดเสมหะ ชุ่มคอ ตลอดจน สมอหมักสมุนไพรผสมน้ําผึ้งและชะเอม มีสรรพคุณช่วยลดอาการหิว ขับเสมหะ และลดอาการวิงเวียนศีรษะ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีบริการนวดเพื่อสุขภาพตามแบบแพทย์แผนไทย เพื่อลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายช่วยให้เกิดความผ่อนคลายจากความตึงเครียดในชีวิตประจําวันได้เป็นอย่างดี จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาชม ชิม ช้อป ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลโรครับรองคุณภาพโดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ กระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 เปิดทุกวันระหว่างเวลา 10.00 – 19.00 น. ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ******************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ นายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก่อนการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ณ เรือนรับรอง Hyderabad House นายกรัฐมนตรียืนยัน ไทยและอาเซียน พร้อมส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนในเชิงสร้างสรรค์กับอินเดีย และไทยจะเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ในเดือนสิงหาคม 2018 นี้จะผลักดันความร่วมมือต่างๆอย่างเต็มที่ สําหรับความสัมพันธ์ไทย-อินเดียนั้น มีพัฒนาการเกิดผลรูปธรรมในความร่วมมือต่างๆ เช่น การค้าการลงทุน และการต่อต้านการก่อการร้าย ในการหารือ ผู้นําไทยและอินเดีย เห็นพ้องการผลักดันความร่วมมือทั้งในส่วนของความร่วมมือทวิภาคีและความร่วมมือในภูมิภาค ในส่วนของความร่วมมือไทย-อินเดีย จะร่วมส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล ซึ่งนโยบาย Smart Cities และ Digital India ของอินเดียมีความสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของไทย เช่น Thailand 4.0 EEC และ New S-Curve Industry ความร่วมมือด้านความมั่นคง อินเดียเห็นว่าไทยเป็นเพื่อนบ้านทางทะเลที่สําคัญ และจะแสวงหาความร่วมมือใหม่ๆในด้านความมั่นคงทางทะเล การสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้าย การทหาร และการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ให้ก้าวหน้า ใกล้ชิดและเข้มแข็งยิ่งขึ้น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว จะสนับสนุนเชื่อมเมืองท่องเที่ยวระหว่างกัน และสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการติดต่อระหว่างประชาชนไทยและอินเดีย หรือ People to People Contact นอกจากนี้ ไทยและอินเดียจะมีความร่วมมือในน้ํามันปาล์มและยางธรรมชาติ ด้วย ในความร่วมมือภูมิภาค ไทยและอินเดียเห็นพ้อง การส่งเสริมการเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะความเชื่อมโยงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จะควบคู่ไปกับความมั่นคงทางทะเล เพราะความมั่นคงทางทะเลนั้นจะเกี่ยวเนื่องกับด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเฉพาะการรักษาทรัพยากรทางทะเล ไทยสนับสนุนแนวคิด Indo -Pacific และส่งเสริมให้การเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมและเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริงเพื่อประโยชน์แก่ทุกฝ่ายในภูมิภาค เช่นเดียวกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ที่มุ่งหวังให้เป็นความตกลงที่ทันสมัยและให้ผลประโยชน์แก่ทุกประเทศอย่างสมดุล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอินเดีย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ นายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก่อนการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ณ เรือนรับรอง Hyderabad House นายกรัฐมนตรียืนยัน ไทยและอาเซียน พร้อมส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนในเชิงสร้างสรรค์กับอินเดีย และไทยจะเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ในเดือนสิงหาคม 2018 นี้จะผลักดันความร่วมมือต่างๆอย่างเต็มที่ สําหรับความสัมพันธ์ไทย-อินเดียนั้น มีพัฒนาการเกิดผลรูปธรรมในความร่วมมือต่างๆ เช่น การค้าการลงทุน และการต่อต้านการก่อการร้าย ในการหารือ ผู้นําไทยและอินเดีย เห็นพ้องการผลักดันความร่วมมือทั้งในส่วนของความร่วมมือทวิภาคีและความร่วมมือในภูมิภาค ในส่วนของความร่วมมือไทย-อินเดีย จะร่วมส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล ซึ่งนโยบาย Smart Cities และ Digital India ของอินเดียมีความสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของไทย เช่น Thailand 4.0 EEC และ New S-Curve Industry ความร่วมมือด้านความมั่นคง อินเดียเห็นว่าไทยเป็นเพื่อนบ้านทางทะเลที่สําคัญ และจะแสวงหาความร่วมมือใหม่ๆในด้านความมั่นคงทางทะเล การสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้าย การทหาร และการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ให้ก้าวหน้า ใกล้ชิดและเข้มแข็งยิ่งขึ้น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว จะสนับสนุนเชื่อมเมืองท่องเที่ยวระหว่างกัน และสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการติดต่อระหว่างประชาชนไทยและอินเดีย หรือ People to People Contact นอกจากนี้ ไทยและอินเดียจะมีความร่วมมือในน้ํามันปาล์มและยางธรรมชาติ ด้วย ในความร่วมมือภูมิภาค ไทยและอินเดียเห็นพ้อง การส่งเสริมการเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะความเชื่อมโยงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จะควบคู่ไปกับความมั่นคงทางทะเล เพราะความมั่นคงทางทะเลนั้นจะเกี่ยวเนื่องกับด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเฉพาะการรักษาทรัพยากรทางทะเล ไทยสนับสนุนแนวคิด Indo -Pacific และส่งเสริมให้การเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมและเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริงเพื่อประโยชน์แก่ทุกฝ่ายในภูมิภาค เช่นเดียวกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ที่มุ่งหวังให้เป็นความตกลงที่ทันสมัยและให้ผลประโยชน์แก่ทุกประเทศอย่างสมดุล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’หารือ สธ. เร่งรัดระบบตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ‘หม่อมเต่า’หารือ สธ. เร่งรัดระบบตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมเร่งรัดจัดระบบการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว เผย สถานพยาบาลของรัฐและเอกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครแต่ละแห่งยังสามารถรองรับการให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวเพื่อขอใบอนุญาตทํางานได้อีกเป็นจํานวนมาก เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือกับผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคิวตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวซึ่งใช้เวลานานและมีหลายขั้นตอนจนทําให้เกิดความล่าช้า ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย จากข้อมูลรายงานของกรมการจัดหางานเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า ปัจจุบันมีนายจ้างมาขอรับบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว Name List แล้วจํานวน 845,544 คน ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทํางานแล้ว 453,581 คน ออกใบอนุญาตทํางานแล้วจํานวน 300,115 คน สําหรับสถานพยาบาลที่ให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวครอบคลุมทั้ง 4 แห่งในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ศูนย์ที่ 1 ไอทีสแควร์ หลักสี่ มีโรงพยาบาลราชวิถี ให้บริการตรวจวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 1,200 คนต่อวัน วันเสาร์ – อาทิตย์ จํานวน 3,000 คนต่อวัน และโรงพยาบาลเลิดสิน ให้บริการตรวจวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 1,600 คนต่อวัน วันเสาร์ – อาทิตย์ ได้จํานวน 1,600 คนต่อวัน ศูนย์ที่ 2 ยู อมูเลท พลาซ่า (บิ๊กซีเพชรเกษม) มีโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ให้บริการตรวจวันจันทร์ – ศุกร์วันละ 2,000 คน และโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร อุทิศ ให้บริการได้วันละ 700 คน ศูนย์ที่ 3 นัมเบอร์วัน พลาซ่า เขตบางนา มีโรงพยาบาลลาดกระบัง ให้บริการตรวจเสาร์ – อาทิตย์ได้จํานวน 600 คนต่อวัน โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ให้บริการจันทร์ – ศุกร์ จํานวน 600 คนต่อวัน โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 400 คนต่อวัน และวันเสาร์ – อาทิตย์ บริการได้จํานวน 1,000 คนต่อวัน และศูนย์ที่ 4 ตลาดสดสี่แยกหนองจอก มีโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ ให้บริการจันทร์ – ศุกร์ได้จํานวน 150 คนต่อวัน และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 400 คนต่อวัน และวันเสาร์ – อาทิตย์จํานวน 1,000 คนต่อวัน ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ ยังได้สั่งการให้ผู้แทนกรมกรมการจัดหางานลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยภายในศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) แต่ละแห่งเป็นประจําต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่มาใช้บริการ พร้อมทั้งให้สถานพยาบาลส่งลําดับคิวที่สามารถให้บริการได้ในแต่ละวัน มายังศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมการจัดหางาน เพื่อดําเนินการแจ้งให้นายจ้างและบริษัทนําเข้าทราบโดยทั่วกันบนเว็บไซต์ รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านทางช่องทางต่างๆ เพื่อข้อมูลในการนําต่างด้าวเข้ารับบริการตรวจสุขภาพต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพ ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว 21 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’หารือ สธ. เร่งรัดระบบตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ‘หม่อมเต่า’หารือ สธ. เร่งรัดระบบตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมเร่งรัดจัดระบบการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว เผย สถานพยาบาลของรัฐและเอกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครแต่ละแห่งยังสามารถรองรับการให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวเพื่อขอใบอนุญาตทํางานได้อีกเป็นจํานวนมาก เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือกับผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคิวตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวซึ่งใช้เวลานานและมีหลายขั้นตอนจนทําให้เกิดความล่าช้า ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย จากข้อมูลรายงานของกรมการจัดหางานเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า ปัจจุบันมีนายจ้างมาขอรับบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว Name List แล้วจํานวน 845,544 คน ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทํางานแล้ว 453,581 คน ออกใบอนุญาตทํางานแล้วจํานวน 300,115 คน สําหรับสถานพยาบาลที่ให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวครอบคลุมทั้ง 4 แห่งในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ศูนย์ที่ 1 ไอทีสแควร์ หลักสี่ มีโรงพยาบาลราชวิถี ให้บริการตรวจวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 1,200 คนต่อวัน วันเสาร์ – อาทิตย์ จํานวน 3,000 คนต่อวัน และโรงพยาบาลเลิดสิน ให้บริการตรวจวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 1,600 คนต่อวัน วันเสาร์ – อาทิตย์ ได้จํานวน 1,600 คนต่อวัน ศูนย์ที่ 2 ยู อมูเลท พลาซ่า (บิ๊กซีเพชรเกษม) มีโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ให้บริการตรวจวันจันทร์ – ศุกร์วันละ 2,000 คน และโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร อุทิศ ให้บริการได้วันละ 700 คน ศูนย์ที่ 3 นัมเบอร์วัน พลาซ่า เขตบางนา มีโรงพยาบาลลาดกระบัง ให้บริการตรวจเสาร์ – อาทิตย์ได้จํานวน 600 คนต่อวัน โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ให้บริการจันทร์ – ศุกร์ จํานวน 600 คนต่อวัน โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 400 คนต่อวัน และวันเสาร์ – อาทิตย์ บริการได้จํานวน 1,000 คนต่อวัน และศูนย์ที่ 4 ตลาดสดสี่แยกหนองจอก มีโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ ให้บริการจันทร์ – ศุกร์ได้จํานวน 150 คนต่อวัน และโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ ได้จํานวน 400 คนต่อวัน และวันเสาร์ – อาทิตย์จํานวน 1,000 คนต่อวัน ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ ยังได้สั่งการให้ผู้แทนกรมกรมการจัดหางานลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยภายในศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) แต่ละแห่งเป็นประจําต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่มาใช้บริการ พร้อมทั้งให้สถานพยาบาลส่งลําดับคิวที่สามารถให้บริการได้ในแต่ละวัน มายังศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมการจัดหางาน เพื่อดําเนินการแจ้งให้นายจ้างและบริษัทนําเข้าทราบโดยทั่วกันบนเว็บไซต์ รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านทางช่องทางต่างๆ เพื่อข้อมูลในการนําต่างด้าวเข้ารับบริการตรวจสุขภาพต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพ ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว 21 กุมภาพันธ์ 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26675
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และผู้แทนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เดินทางไปจังหวัดนครราชสีมา เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และได้พบปะกับพี่น้องประชาชนชาวนครราชสีมา ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพด และสินค้า OTOP ณ สหกรณ์การเกษตรพิมาย จํากัด อําเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ได้ให้การต้อนรับผมและคณะอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง สําหรับวัตถุประสงค์หลักของการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ก็เพื่อติดตามความคืบหน้าและประเมินผลการดําเนินงานของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเกษตร หรือปัญหาปากท้องทั่วไป ทําให้รัฐบาลจะได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย โดยข้อมูลทั้งหมดนั้น รัฐบาลจะนํามาพิจารณา ดําเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ในการปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในโอกาสต่อไป การวางรากฐานให้กับประเทศของเรา จําเป็นต้องมีการพัฒนา และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความมั่นคงและยั่งยืน โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาคประชาชนจะมีความเข้มแข็งก็ต้องได้รับการดูแลและสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน การดําเนินการต่าง ๆ นั้น รัฐบาลได้มอบหมายไปแล้ว ล้วนมุ่งเป้าหมายไปสู่วิทัศน์ที่รัฐบาลได้กําหนดไว้แล้วทั้งสิ้น คือการที่จะทําให้ประเทศไทยและพี่น้องชาวไทยทุกคนมีความมั่งคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา มีความจําเป็นอย่างยิ่งเป็นสิ่งสําคัญ ในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีอยู่หลายหน่วยงานที่เป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนา เช่น สํานักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรือ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รวมถึงองค์กรวิจัยอิสระ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) หรือ สํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แต่วันนี้เราต้องการให้มีการบูรณาการร่วมกัน ทั้งในส่วนของแผนงาน ในส่วนของวัตถุประสงค์ที่ร่วมกัน และนํางานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยมีการบริหารในเรื่องกองทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสม ทั้งของภาครัฐและเอกชน วันนี้เรายังขาดการลงทุนและการพัฒนาในด้านนี้อีกหลายด้าน ที่จะนําไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการ ดังนั้น ภาครัฐจะเร่งผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาวิจัยที่ร่วมกันกับภาคเอกชนที่จะร่วมมือกัน ในการสร้างนวัตกรรมที่เราต้องการ เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ต่าง ๆ สามารถทําการแข่งขันได้ ในตลาดในอนาคต ส่งเสริมต่อยอดในการสร้างกลุ่มคลัสเตอร์ ผูก ห่วงโซ่ เพิ่มการลงทุนในประเทศ ในธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ให้ได้ ปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มจาก 200% เป็น 300% เพื่อจะส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ลดต้นทุน รวมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ การส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานั้น เป็นสิ่งสําคัญ รัฐบาลได้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยรวมให้ได้ 1% ของ GDP และ เพิ่มสัดส่วนการวิจัยและพัฒนาของเอกชนเป็น 70% ต่อ 30% ให้ได้ ขณะนี้ภาพรวมของการลงทุนวิจัยภาคเอกชน ได้เพิ่มมากขึ้นถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาทในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังไม่เพียงพอกับสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้น ดังนั้น เมื่อเรามีมาตรการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมนั้น ก็อาจจะช่วยเป็นแรงจูงใจให้กับภาคเอกชน ได้เพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นตามลําดับ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะนําไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน เพราะว่าถ้าหากเราสามารถศึกษาวิจัยพัฒนาสินค้าได้ เราก็จะใช้วัตถุดิบทางการเกษตร มีการรับรองคุณภาพ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับพืชผลทางการเกษตรของเรา ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องราคาที่ตกต่ําได้ด้วย ในเรื่องนี้อยากจะฝากให้สถาบันการศึกษาทุกส่วน ทุกระดับที่มีส่วนสําคัญ มีสถาบันวิจัย หรือมีเรื่องที่วิจัยอยู่แล้วในขณะนี้ ในสถานศึกษาทั่วทุกภูมิภาค ได้มีการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น ภาคเอกชนในพื้นที่ช่วยกันวิจัย และพัฒนาสินค้าท้องถิ่นด้วย ในส่วนของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อจะรองรับกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการค้าการลงทุน เป็นสิ่งที่รัฐดําเนินการมาโดยตลอด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 8 เดือน วันนี้ การเร่งรัดการอนุมัติโครงการของBOI และการให้ใบอนุญาตการจัดตั้งโรงงาน หรือเรียกว่า รง. 4 (ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน) นั้น ก็ได้สั่งการให้รีบดําเนินการอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในส่วนของ BOI นั้น รัฐบาลได้มีการอนุมัติโครงการไปแล้วกว่า 1,050 โครงการ เป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 680,000 ล้านบาท ในช่วงธันวาคมที่ผ่านมานั้น ได้มีโครงการที่มาขอรับการส่งเสริมจาก BOI อีกกว่า 2,000 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะเร่งพิจารณาส่งเสริมโครงการที่มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจ และช่วยในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเร่งดําเนินการวางโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับการค้าการลงทุน ทั้งในด้านการวางรากฐานเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพบุคลลากร การฝึกทักษะฝีมือแรงงาน รวมไปถึงระบบโลจิสตกส์ต่าง ๆ เพื่อจะให้เอื้อต่อการค้าการลงทุนในประเทศไทย เป็นการวางรากฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมต่อไป การสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร เราจําเป็นต้องเร่งดําเนินการวางรากฐาน ให้เป็นชุมชนเกษตรกรที่เข้มแข็ง หลังจากวันนั้นที่ผมได้พบปะพูดคุยกับพี่น้องชาวเกษตรกร ผมเข้าใจว่าปัญหาในหลาย ๆ พื้นที่นั้น เกิดขึ้นอาจจะมาจากการปลูกฝังอุดมการณ์ที่ผิด ไม่เข้าใจ หลายท่านก็เข้ามาคุยกับผมและบอกว่า เงินที่รัฐบาลได้ดําเนินการให้การสนับสนุนไปนั้น ก็สามารถจะช่วยเหลือพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบันนั้น ให้มีการสนับสนุนแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย นอกจากการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเหมือนเช่นที่ผ่านมา สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือให้ชาวเกษตรกรมีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ ซึ่งที่ผ่านมานั้น เขาก็บอกว่าทุกรัฐบาลก็ยังไม่มีใครทําได้ เพราะฉะนั้นเราก็พยายามทําให้ดีที่สุด การรวมกลุ่มกันของสหกรณ์นั้น ผมว่ามีความสําคัญที่สุด เราจะได้สามารถช่วยได้ตรงช่วยให้เกษตรกรมีอํานาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้ ช่วยในเรื่องการจัดหาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่าย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งพี่น้องเกษตรกรก็จําเป็นต้องสร้างให้ชุมชนตนเองเข้มแข็งด้วย เป็นชุมชนที่พึ่งตนเองให้ได้ นําหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ ผ่านการทําเกษตรอินทรีย์ การลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดการใช้ยาฆ่าแมลง เป็นพืชที่เป็นออร์แกนิค ที่ปลอดภัย ก็จะช่วยทั้งในเรื่องลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร มีตัวอย่างหลายพืชที่ที่ชาวเกษตรกรหันมาทําเกษตรอินทรีย์และประสบความสําเร็จในหลายจังหวัด หลายอําเภอ ไม่ว่าจะเป็นอยุธยา นครปฐม อ่างทอง พิจิตร นครราชสีมา และอีกในหลาย ๆ จังหวัด ทุกคนก็ยินดีที่จะให้คําปรึกษาและช่วยเหลือเกษตรกรที่สนใจ หากจะหันมาทําเกษตรอินทรีย์แทน เพราะว่ามีรายได้สูงขึ้น มากกว่าการทํานาด้วยซ้ําไป ทั้งหมดนี้จะทําให้รัฐบาลสามารถช่วยเหลือ หรือสนับสนุนพี่น้องชาวเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านระบบสหกรณ์ที่เป็นเครือข่ายกัน หลายท่านก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แล้วก็สัญญาว่าจะนําไปพูดคุยหารือกันระหว่างกันในชุมชนต่อไป ช่วยกันขึ้นทะเบียนกันให้เรียบร้อย ก็จะได้มีส่วนราชการเข้าไปดูแลได้อย่างใกล้ชิดขึ้น สําหรับตัวอย่างชุมชนที่เข้มแข็ง และผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม ที่จังหวัดนครราชสีมา คือการจัดการ “คลัสเตอร์มันโคราช”(Korat Tapioca Cluster: KOTAC) ซึ่งถือเป็นการทําการเกษตรแบบบูรณาการที่มีการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างภาครัฐในระดับจังหวัด กลุ่มเกษตรชุมชนและผู้ผลิตภาคเอกชนที่เข้มแข็ง มีการรวมตัวกันของกลุ่มสหกรณ์ภายในจังหวัด เพื่อบริหารจัดการผลผลิต มันสําปะหลัง และเป็นต้นทางในการจัดหาช่องทางการจัดจําหน่าย จัดการระบบการตลาด มีกลุ่มอุตสาหกรรมภาคเอกชนที่ร่วมกันรับซื้อผลิตผลมันสําปะหลังเพื่อนําไปแปรรูป จัดจําหน่ายเป็นกลุ่มปลายทาง ในขณะที่ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานเอกชนอีกหลายแห่งในจังหวัดนครราชสีมา ก็ได้สนับสนุนในการค้นคว้าวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ เพื่อให้การผลิตและการแปรรูปมันสําปะหลังนั้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทํางานเป็นระบบและเป็นทีมอย่างนี้ ก็ทําให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ อันนี้ก็จะเป็นการช่วยกันร่วมมือกันในทุกภาคส่วน และปัจจุบันได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา หาทางแก้ไข รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสําปะหลังให้แก่เกษตรกร ผ่านการจัดทําแปลงต้นแบบที่มีการนําเทคโนโลยี 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การจัดการน้ํา การจัดการดินดาน การจัดหาพันธุ์มันสําปะหลังที่เหมาะสมกับพื้นที่ รวมถึงการป้องกันการกําจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ซึ่งเกษตรกรที่จะต้องเข้าร่วมโครงการนั้น จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หลาย ๆ คนก็ทําให้เกิดผลผลิตที่มีรายได้ ที่มีราคาดี มีคุณภาพ นอกจากนั้น ในกลุ่มเกษตรกร ก็มีการสร้างความสัมพันธ์ สร้างเครือข่าย มีกิจกรรมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในการลดต้นทุน มีการศึกษาดูงานและบูรณาการอย่างสม่ําเสมอ ผมอยากให้ชุมชน เกษตรกร และผู้ประกอบการในจังหวัดต่าง ๆ ทํางานร่วมกันเช่นนี้ ก็ได้ให้ทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกันบูรณาการลงพื้นที่ เข้าไปดูแลช่วยเหลือเกษตรกร และสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ในทุกจังหวัดให้เข้มแข็งให้ได้ จะได้เป็นตัวกลางในการติดต่อกับภาครัฐ และภาคเอกชนในการบริหารจัดการ รวมทั้งการรับซื้อผลผลิตในพื้นที่ ซึ่งอาจจะทําให้ราคาสูงขึ้น เท่าที่รับทราบนั้น การซื้อขายในพื้นที่ตั้งตลาดชุมชนต่าง ๆ นั้น ทําให้ราคาข้าวก็สูงขึ้น ผลผลิตอื่นก็สูงขึ้นตามลําดับ แตกต่างจากการซื้อขายให้กับพ่อค้าคนกลางในช่วงที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ เราสามารถดําเนินการได้ทันที ทุกคนต้องช่วยกันแล้วก็เป็นสิ่งจําเป็นด้วยทุกคนต้องปรับตัว สร้างความเข้มแข็งให้ได้ ถ้ารอการช่วยเหลืออย่างเดียวก็ไปไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นแค่เราร่วมมือกัน ประสานกัน สร้างพลังขึ้นมาก็จะมีประสิทธิภาพ ปัญหาหลายอย่างก็จะไม่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในเรื่องของราคาตกต่ํา ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งกดราคาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นรัฐก็จะดูแลให้มากขึ้นในส่วนตรงนี้ แต่ขอให้เป็นสหกรณ์ให้ได้ ที่เข้มแข็งด้วย เล็ก ๆ ก็รวมเป็นสหกรณ์ใหญ่ขึ้นมาเหมือนกับที่จังหวัดนครราชสีมาเขาทํากัน เรื่องของการจัดที่ดินทํากินเพื่อป้องกันการบุกรุกป่า ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สําคัญของชาตินั้น ปัจจุบันได้ดําเนินการไปแล้ว 2.71 ล้านรายครอบคลุมพื้นที่ 35.34 ล้านไร่ ซึ่งในลําดับต่อไปนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทยก็จะเดินหน้าจัดพื้นที่ป่าสงวนอีก จํานวน 53,872 ไร่ รวมไปถึงการจัดที่ดินในเขตสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) อีก 4,683 ไร่ เรื่องนี้รัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการจัดที่ดินทํากินนี้บ้าง ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าพื้นที่ป่านั้นเป็นพื้นที่สงวนที่จําเป็นต้องมีการปกป้องดูแลเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง หรืออุทกภัยทั้งหมดนั้น เกิดจากการตัดไม้ทําลายป่าทั้งสิ้น เพราะบ้านเราเป็นป่าฝน ในปัจจุบันนั้น ปัญหาภัยแล้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ปีนี้ก็จะมากกว่าปีที่ผ่าน แล้วในอนาคตอาจจะแห้งแล้งมากขึ้น ฝนตกน้อยลงหรือฝนนอกพื้นที่อะไรเหล่านี้ เพราะโลกเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็อาจจะมีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้จากการทําการเกษตรอาจจะมีผลกระทบกับเกษตรกรเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ที่ปลูกข้าว หรือพืชอื่น ๆ ที่ใช้น้ํา ผมได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สํารวจที่ตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรต่าง ๆ ในประเทศ เพื่อจะนํามา matching กับแผนที่ zoning เพื่อให้เกิดการทําพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสม จะได้บริหารจัดการได้เกี่ยวกับเรื่องบริหารจัดการน้ํา ระบบชลประทาน ถือมาได้เท่าไรก็คงเท่านั้น มากกว่านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ําต้นทุนนะครับแต่ปัจจุบันถ้าเราสามารถจัดระบบชลประทานได้น้อยจนเกินไป เก็บกักน้ําได้ไม่ดีนัก ปริมาณน้ําที่ตกมาบางทีที่ตกมาบางทีก็ตกไม่ลงเขื่อน ตกนอกเขื่อน ตกท้ายเขื่อน อะไรเหล่านี้ต้องแก้ไข ต้องแก้ไขทั้งหมดต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณมาก แต่ปีนี้ก็มีงบประมาณจํานวนหนึ่งที่ต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเร่งด่วนเรื่องแล้งซ้ําซาก หรือพื้นที่ที่มีผลกระทบต่อการทํานาปรังอาจจะทําไม่ได้ เพราะว่าน้ําน้อยทําไปก็เสียหายก็จะนําข้อมูลเหล่านี้ ให้ชาวนาได้รับทราบแล้วก็ให้หาทาง หาความร่วมมือในการที่จะปลูกพืชทางเลือกชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติม มีหลายอย่างด้วยกัน มีราคาดีกว่าด้วยถ้าปลูกข้าวแล้วเสียหายก็ไปไม่ไหว เป็นหนี้เป็นสินมากขึ้น เพราะฉะนั้นอาจจะต้องปรับเปลี่ยนในการปลูกข้าวเป็นพืชชนิดอื่น ๆ ก็ต้องดูราคาตลาดด้วย ความต้องการตลาดด้วย วันนี้ที่ดูท่าทางน่าจะดีก็เช่น พริกไทยดํา ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง แล้วก็อยากจะให้ทุกคน ให้ความสนใจติดตามความรู้ที่ออกตามโทรทัศน์ หนังสือ สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการปลูกพืชทดแทนเหล่านี้ รวมความไปถึงในการประมง การเลี้ยงปศุสัตว์ ให้สามารถที่จะลดต้นทุนการผลิตได้ การเลี้ยงได้ก็จะทําให้เรามีรายได้มากขึ้น ปัจจุบันรัฐบาลได้ทําการสนับสนุนพันธ์พืชตระกูลถั่ว แล้วก็พืชปุ๋ยสดไปแล้วรวม 300,000 ไร่ ก็ยังไม่เพียงพอ ได้มีการส่งเสริมประมง ปศุสัตว์ไปแล้วเกือบ 17,000 ราย นอกจากนั้นเราก็ได้แบ่งเบาภาระของเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภัยแล้งซ้ําซาก เราก็สนับสนุนการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว จํานวน 3,052 ตําบล ตําบลละ 1 ล้านบาทอีกด้วย ก็ขอให้ใช้อย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง อย่าไปทําในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อจะช่วยเหลือพี่น้องชาวนา ชาวสวนยาง ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการเร่งรัดตรวจสอบสิทธิ์แล้วก็จ่ายเงินที่ค้างอยู่ เป็นจํานวนไม่มาก แต่ปัญหาอยู่ที่การลงทะเบียน ก็จะทําควบคู่ไปกับการปรับปรุงทะเบียนเหล่านั้น ให้มีความสมบูรณ์ทันสมัย ใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ในระหว่างกระทรวง ระหว่างแผนงานโครงการต่าง ๆ จะได้สะดวกรวดเร็ว ทันเวลา และทําให้เกิดความทันสมัยอย่างต่อเนื่องในการดําเนินการต่อไปในอนาคต ก็คงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องเกษตรกรและเจ้าหน้าที่รัฐช่วยกันสํารวจ ช่วยกันจัดทําบัญชีให้เรียบร้อย ขณะนี้ก็อยู่ในห้วงการดําเนินการ ขอให้ความร่วมมือด้วย ขอให้เป็นเรื่องจริงจังในการจัดทําทะเบียนนี้ก็ต้องมีการรับรองกันอย่างชัดเจน จะได้ไม่เสียเวลาในการช่วยเหลือของรัฐต่อไป สําหรับปัจจัยสําคัญอีกปัจจัยหนึ่งของการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ ก็คือการให้ความรู้ ให้การศึกษาแก่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ปัจจุบันรัฐบาลได้ดําเนินอย่างต่อเนื่องในการที่จะถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรอินทรีย์ เกษตรทางเลือก และข้อมูลอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกร เรามีศูนย์ถ่ายทอดความรู้ จํานวน 822 ศูนย์ และปัจจุบันรัฐบาลได้มีการขยายลงไปสู่ชุมชน ไปสู่บ้านของเกษตรกรด้วย เป็นตัวอย่างได้ แล้วเราก็ได้ให้การสนับสนุนการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์ จํานวน 8,898 แห่ง สมาชิกรวม 11.28 ล้านคน เพื่อเพิ่มบทบาทของสหกรณ์ในการซื้อ การแปรรูป การส่งออก และเพิ่มสภาพคล่องก็ขอให้ดูแลเรื่องความรู้ด้วย ให้กับสหกรณ์การเกษตรด้วย ที่เราให้งบประมาณไปแล้วหรือจะให้ต่อไป ต้องไปดูทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น เราจะให้สภาพคล่องมากขึ้น สําหรับสหกรณ์การเกษตรต้องจดทะเบียน ทั้งนี้ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการปรับปรุงกฎระเบียบการค้าต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งมีการพัฒนาความเชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศต่อไปด้วย สําหรับในเรื่องการสร้างระบบชลประทานขนาดเล็ก ซึ่งเราสามารถจะเร่งรัดได้ในปีนี้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งน้ําในไร่นา รัฐบาลดําเนินการไปแล้วกว่า 16,000 โครงการ แหล่งน้ําในไร่นา จํานวน 290,862 บ่อ มีพื้นที่รับประโยชน์รวม 581,724 ไร่ ซึ่งในอนาคตรัฐบาลจะมีโครงการอนุรักษ์ดินและน้ําอีก 91 แห่ง ยังมีอีกหลายโครงการที่รัฐบาลกําลังดําเนินการอยู่ อย่างเช่น โครงการเกษตร สีเขียวในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี พัทลุง และหนองคาย และโครงการพระราชดําริ โครงการหลวงอีก 97,343 โครงการ และงานต่าง ๆ ที่อยู่ในแผน เราจะเร่งดําเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ผมก็จะมาเล่าความก้าวหน้าต่าง ๆ ให้พี่น้องประชาชนได้ รับทราบต่อไป ในขณะเดียวกันนั้น รัฐบาลจะเร่งให้การสนับสนุนในด้านอื่น ๆ ในระยะสั้นเร่งด่วนหลาย ๆ ด้าน เช่น การให้เงินช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิต การจัดหาแหล่งเงินทุน การพัฒนาแหล่งน้ําเพิ่มเติม สําหรับในส่วนของระยะยาวนั้น ก็จะเร่งให้ความรู้ในเรื่องของเกษตรอินทรีย์ การปลูกพืชผสมผสาน ธนาคารปุ๋ย ธนาคารเมล็ดพันธุ์ในท้องที่ รวมไปถึงการจัดการพื้นที่โซนนิ่ง ที่จะต้องคํานึงถึงตลาดและการรับซื้อด้วย ทั้งต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา ที่ผมกล่าวไปแล้วในช่วงแรก ภาคเกษตรนั้น ถือเป็นภาคการผลิตสําคัญมากในไทย เพราะฉะนั้น ทําอย่างไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง มีราคา คุณภาพด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ขอให้ทําความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องยาก เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เป็นแค่นโยบาย หรือใช้จ่ายงบประมาณเท่านั้น ช่วยเหลือไม่ตรงจุด งบประมาณที่ได้ก็จะไม่เกิดประโยชน์ ต้องตรง ต้องทันเวลา รวดเร็วทันเวลาแล้วก็ทั่วถึง สําหรับการเสนอของบประมาณมานั้น ต้องมีรายละเอียดโครงการรองรับมาด้วย ในการพัฒนาให้ยั่งยืนนั้น บางเรื่องเราอาจไม่จําเป็นที่จะต้องใช้เงิน หรือสิ่งของอื่น ๆ เลยเพียงแค่เรามีความจริงใจให้กัน ลงแรงให้ความรู้ ลงพื้นที่ทําความเข้าใจ ก็จะเป็นส่วนสําคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย ก็ฝากภาคเอกชนด้วยก็ร่วมมือกัน ทั้งปราชญ์ชาวบ้าน ทั้งนักวิชาการอะไรต่าง ๆ ต้องลงไปช่วยประชาชนด้วยกับเรา สําหรับในกรณีที่ราคาน้ํามันตลาดโลกที่มีความผันผวนในช่วงนี้ ก็มีหลายฝ่ายร้องเรียนว่า ราคาสินค้าทั่วไปนั้นแพงขึ้น รัฐบาลก็ไม่นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ก็ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์แล้วก็หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปควบคุม เข้มงวด รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยด้วย ช่วยกันลงตรวจพื้นที่ไม่ให้มีการขายสินค้าเกินราคา ซึ่งวันนี้ก็ได้รับข้อมูลว่า ราคาสินค้าส่วนประกอบนั้นไม่ค่อยขึ้นหรือขึ้นน้อย แต่เมื่อมาปรุงสําเร็จแล้วไปบวกราคากันมาก เพราะเกรงว่าจะขายได้น้อยลง รายได้ก็ลดลงก็ต้องไปเพิ่มราคาในแต่ละจาน แต่ละประเภทมากขึ้น อันนี้ก็ไม่เป็นธรรม ก็จะต้องขอร้องกัน พูดคุยกับพ่อค้าคนกลางหรือผู้ประกอบการ เกี่ยวกับร้านค้าอาหารจานเดียวสําเร็จรูปพวกนี้ด้วย จะต้องดูแลในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ก็เห็นใจกัน วันนี้ยามยากต้องช่วยกัน ถ้าทุกคนจะเอาตัวรอดกันหมดก็ไปไม่ได้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจ เรื่องของราคาก๊าซนั้น ก็ขึ้นตามท้องตลาดซึ่งก็คนละส่วนกับน้ํามัน เพราะเราแยกออกจากกัน ในขณะนี้ ก็จะดูแลคนที่มีรายได้น้อยเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็อย่าเรียกร้องให้มากจนเกินไป เราก็ให้ได้เท่าที่ทําได้ ถ้าเราปรับลงมามากก็เป็นปัญหาอีกในอนาคต จะกลับไปแบบที่เก่าไม่ได้ ก็ต้องใช้อย่างประหยัด ช่วงที่ผ่านนั้น มีการบิดเบือนโครงสร้างราคาพลังงานมานาน ไปชดเชยกันไปกันมา ผมก็อยากชดเชย เฉพาะในส่วนของผู้มีรายได้น้อยของแต่ละประเภทไปแล้วก็ต้องไม่มีปัญหาเรื่องของการที่จะต้องผลิตจากพลังงานทดแทนมาด้วยในอนาคต เราต้องแก้ไขให้ได้ ราคาพลังงานต่าง ๆ เหล่านี้ต้องคํานึงถึงความเพียงพอ ความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตด้วย และในท้องตลาดเขาว่ายังไงก็ควรจะเป็นไปอย่างนั้น ทุกประเทศในโลกก็เป็นอย่างนั้นอยู่ ก็จะดูแลเฉพาะผู้มีรายได้น้อย มากน้อย ไปตามงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งนี้ก็จะให้โครงการพลังงานเข้าสู่ความสมดุล ก็ขอให้พี่น้องทําความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย ช่วยกันดูแลประเทศชาติในส่วนนี้จะได้นําไปทําอย่างอื่นได้มากขึ้นกว่าเดิม รายได้รัฐก็จะมีมากขึ้น ไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น และก็จะมีการดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่ม ๆ ตอนนี้ก็มีการเจรจามากมายหลายขณะ หลายกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องพลังงานราคาพิเศษ เฉพาะกลุ่ม ก็กําลังให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาดู ก็พูดจากันให้เรียบร้อย สําหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น วันนี้รัฐบาลก็มีการดําเนินการพูดคุยอย่างแน่นแฟ้นกับทุกประเทศ ผมถือว่าทุกคนเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ไม่เป็นศัตรูกัน วันนี้อาจจะมีปัญหากันอยู่บ้าง วันหน้าก็ต้องดีกันอยู่แล้ว การค้าการลงทุนก็ยังลงทุนอยู่ หลาย ๆ ประเทศที่อยู่ในประเทศไทย คนไทยก็ลงทุนที่ต่างประเทศ การเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นการค้าการลงทุนหรือเศรษฐกิจนั้น ได้มีผลต่อประชาชนทุกประเทศ ความขัดแย้งทําให้ประชาชนอดอยากยากจน ก็ไม่น่าจะดี เพราะฉะนั้น เราต้องลดความกดดันในเรื่องนี้ให้ได้ ใจเย็น ๆ อดทนกัน ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทุกประเทศที่มีมาอย่างยาวนานหลายประเทศ สําหรับในการประชุมร่วมกับภาคธุรกิจก็มีหลาย ๆ ประเทศทั้งใกล้ไกลก็มาร่วมประชุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับคณะทํางาน ระดับรัฐมนตรี หรือระดับผู้แทนของนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเข้า มาพบ ซึ่งในสัปดาห์หน้า ผมก็จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อจะเชื่อมความสัมพันธ์ในด้านการค้าการลงทุนต่าง ๆ เราให้ความสําคัญทุกประเทศ สําหรับประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศแรกที่ผมเดินทางไปในฐานะที่เป็นประเทศประชาธิปไตยของอาเซียนในตะวันตก ก็เดินทางไปเป็นประเทศแรก ผมก็จะนําผลข้อสรุปต่าง ๆ มาพูดถึงในสัปดาห์หน้า เพื่อให้พวกเราได้รับทราบความคืบหน้าของเรา เราก็เจรจาบนพื้นฐานของความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และผลประโยชน์ที่ทัดเทียมกัน เรื่องสําคัญอีกหนึ่งเรื่องคือ เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น วันนี้รัฐบาลได้ออกประกาศกําหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างเป็นทางการแล้ว โดยครอบคลุมพื้นที่ 36 ตําบล 10 อําเภอของ 5 จังหวัดติดแนวชายแดน ซึ่งจะรวมเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 1.83 ล้านไร่ ได้แก่ 1. จังหวัดตากประกอบด้วย 14 ตําบล ใน อ.แม่สอด อ.พบพระ อ.แม่ระมาด อ.ระมาด 2. มุกดาหาร ประกอบด้วย 11 ตําบล ใน อ.เมือง อ.หว้านใหญ่ อ.ดอนตาล 3. สระแก้ว ประกอบด้วย 4 ตําบล ใน อ.อรัญประเทศ อ.วัฒนานคร 4. ตราด ประกอบด้วย 3 ตําบล ของ อ.คลองใหญ่ (ทั้งอําเภอ) 5. สงขลา ประกอบด้วย 4 ตําบล ใน อ.สะเดา ที่ผ่านมารัฐบาลนั้น รัฐบาลก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เพื่อจะขับเคลื่อนโครงการดูแลในเรื่องขอบเขตพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน ด่านศุลกากร นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ด้านแรงงาน แรงงานต่างด้าว ด้านสาธารณสุข ด้านความมั่นคง รวมทั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน ก็ได้พิจารณาอนุมัติแนวทางในการกําหนดสิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สําคัญ เช่น 1. กรณีกิจการทั่วไป จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 3 ปี แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี ส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษีฯ เป็นเวลา 8 ปีอยู่แล้ว ก็จะได้รับการลดหย่อนภาษีฯ ร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปี โดยในการคํานวณภาษีฯ นั้น สามารถหักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ได้ 2 เท่า เป็นเวลา 10 ปี รวมทั้งหักค่าติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกได้ ร้อยละ 25 และการยกเว้นอากรขาเข้า สําหรับเครื่องจักร วัตถุดิบและวัสดุจําเป็นสําหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกอีกด้วย 2. ในกรณีที่เป็นกิจการเป้าหมาย สําหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เรามีเป้าหมายของรัฐบาล เช่น ในเรื่องของการอุตสาหกรรมที่เป็นการเพิ่มเทคโนโลยีที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 100 และการลดหย่อนภาษีฯ ร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปีเช่นกัน 3. กิจกรรมที่ไม่ได้รับการส่งเสริมตามประกาศ BOI จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 10 เป็นระยะเวลา 10 รอบบัญชี ทั้งนี้ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในพื้นที่ การวางผังเมือง ต้องมีการออกกฎหมายเพิ่มเติม ระบบสาธารณูปโภคต้องลงทุนอีกหลาย แสนล้านบาท และการออกกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนในพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งสานสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน (Connectivity) ให้เขาได้พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมต่อให้ควบคู่กันไป ก็ต้องเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนของแต่ละจังหวัดด้วย ก่อนที่จะไปเขตเศรษฐกิจพิเศษ และก็ไปถึงเขตเศรษฐกิจชายแดน และไปประชาคมโลกอื่น ๆ ขอขอบคุณทางภาคเอกชนที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัดเป้าหมายเป็นอันดับแรก ทราบมาว่ามีภาคเอกชนหลายแห่งให้ความสนใจที่จะไปลงทุนในเรื่องของการพัฒนา โลจิสติกส์ ศูนย์การกระจายสินค้า/ศูนย์การค้า ศูนย์การแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร การพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ การท่องเที่ยว และการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ในระยะต่อไปรัฐบาลก็มีแผนจะผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมอีกใน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย หนองคาย กาญจนบุรี นครพนม และนราธิวาส เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ ล้วนเป็นพื้นที่ชายแดน ที่ตั้งอยู่บนแนว “ระเบียงเศรษฐกิจ” เพื่อจะเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เราสามารถที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งการค้า การลงทุน และช่วยทั้งในเรื่องการกระจายสินค้า และเปลี่ยนสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสินค้าการเกษตร การท่องเที่ยว และการบริการ ซึ่งธุรกิจต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะเป็นกลไกสําคัญที่จะเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคงต่อไปในระยะยาว เรื่องของอาชญากรรมและความรุนแรงต่าง ๆ ในสังคม ขณะนี้ ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยให้ความสนใจมีมาตรการที่เข้มข้นในการกวดขันคดีทุกคดี ให้เร่งดําเนินการสืบสวนหา คนร้ายมาดําเนินคดีให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่มีผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีผลกระทบต่อการบริหารราชการหรือประเทศชาติในการพัฒนา ต้องเร่งดําเนินการให้ได้ เจ้าหน้าที่ต้องทํางานอย่างเต็มที่ ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ให้ความเป็นธรรม ไม่ปล่อยปละละเลย ประชาชนก็ขอให้ความร่วมมือด้วย เป็นผู้เฝ้าระวัง แจ้งความ เพราะว่าเป็นการดูแลพื้นที่ตัวเองให้ปลอดภัย การท่องเที่ยวจะได้ดีขึ้น ช่วยกันเป็นหูเป็นตาอย่าให้ใครเข้ามาสร้างสถานการณ์ จะทําให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไปไม่ได้ คนเหล่านี้ไม่ดีเลย ไม่ทราบว่าคิดอะไรกันอยู่ ในเรื่องคดีที่เกี่ยวกับสถาบันและการเมืองนั้น ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณด้วย ถ้าเป็นคดีที่มีความผิดเราก็ละเว้นไม่ได้ต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย และขอความร่วมมือด้วย ทุกคนต้องช่วยกันลดความเกลียดชังกันลงไปด้วย ทั้งในสื่อ ในโซเชียลมีเดีย ช่วยกันลดลง วันนี้ได้มีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นจํานวนมาก ใช้โทรศัพท์ ใช้อะไรต่าง ๆ ซึ่งมีการส่งข้อความถึงกันตลอดเวลา อาจจะมากเป็นลําดับต้น ๆ ของโลกหรือของอาเซียนเลยด้วยซ้ําไป วันนี้ต้องดูแลกันให้ดี รัฐบาลไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าไปแทรกแซง เข้าไปดูในส่วนที่เป็นความลับของท่าน เว้นแต่ว่าท่านช่วยกันดูแลเอง ว่าไม่แพร่กระจาย ไม่ช่วยกันแพร่ในส่วนที่ไม่เหมาะสมออกไป ถึงเวลาก็ถูกดําเนินคดี ก็หาว่าเป็นคดีการเมืองหรือการรังแกของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่เลย เรามองทุกคนเป็นประชาชนทั้งสิ้น บางคนก็รู้ก็ทํา บางคนก็อาจจะทําทั้งที่ไม่รู้ ก็ต้องสอบสวนกันออกมาให้ได้ข้อชัดเจน เพราะฉะนั้นระมัดระวัง ประชาชนอาจจะตกเป็นเหยื่อของคนไม่ดีเหล่านั้น ที่อาจจะมุ่งหวังจะทําลายชาติ ทําลายสถาบันฯ ทําลายความมั่นคงของรัฐในปัจจุบัน เรากําลังปฏิรูปอยู่ รัฐบาลสัญญาว่าจะทําอย่างเต็มที่ในการดําเนินคดีไม่ให้เกิดขึ้นอีก วันนี้ก็ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งตํารวจ ทหาร ฝ่ายข้าราชการพลเรือนต่าง ๆ ที่มีหน้าที่เหล่านี้ ต้องดูแลพื้นที่ของท่านให้ปลอดภัย ให้ประชาชนมีความสุข หลายๆ เรื่องผมได้สั่งการไปแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังดําเนินการอยู่ ต้องจริงจังในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน และรับฟังปัญหา ความคิดเห็นด้วย ผมเองก็ลงตรวจเยี่ยมพี่น้องประชาชนเพื่อจะรับฟังปัญหาต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นตามลําดับ มากบ้างน้อยบ้างผมรับได้ทั้งหมด เพราะเป็นความทุกข์ของประชาชน เป็นหน้าที่ของผู้นําประเทศ หน้าที่ของรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีทั้งหมดต้องนํามาแก้ไขด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเหมาะสมและจริงจัง เพื่อจะให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ประเทศเดินหน้าได้ประชาชนต้องเข้มแข็งมีรายได้ที่เพียงพอ สําหรับวันทหารผ่านศึกที่ผ่านไปนั้น ผมได้อ่านข่าวเกี่ยวกับ พ.อ.พิชิตพล บุญดา อายุ 81 ปี อดีตทหารผ่านศึกที่มีจิตอาสาได้ไปช่วยกวาดถนนรอบ ๆ ชุมชนทํามากว่า 10 ปีแล้ว จนเพื่อนบ้านยกย่องให้เป็น “คนดีศรีชุมชน” ท่านกล่าวไว้ว่า จิตอาสานั้นเป็นมุมมองของแต่ละบุคคล บังคับกันไม่ได้ ก็อยากให้ทุกคนมีจิตอาสา เสียสละ ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อจะทําให้สังคมน่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยเลือกทําในสิ่งที่ชอบ ทําแล้วสนุก ไม่เดือดร้อนคนอื่น สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับบางคนที่ชอบทําเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่น จะทําอย่างไรกัน ก็ขอฝากไว้เป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องด้วย ให้เห็นว่าถ้าเราทุกคนนั้นสามารถช่วยเหลือสังคมได้ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ มีอะไรมากก็เผื่อแผ่แบ่งปัน ก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ต้องช่วยดูแลกัน ทั้งผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ผู้เข้าไม่ถึงทรัพยากรของรัฐ ความเท่าเทียมกัน ความเหลื่อมล้ําอะไรเหล่านี้ต้องช่วยรัฐบาล ช่วยในการแก้ปัญหา ทุกคนช่วยได้หมด มากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุข สวัสดีครับ
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และผู้แทนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เดินทางไปจังหวัดนครราชสีมา เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และได้พบปะกับพี่น้องประชาชนชาวนครราชสีมา ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพด และสินค้า OTOP ณ สหกรณ์การเกษตรพิมาย จํากัด อําเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ได้ให้การต้อนรับผมและคณะอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง สําหรับวัตถุประสงค์หลักของการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ก็เพื่อติดตามความคืบหน้าและประเมินผลการดําเนินงานของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเกษตร หรือปัญหาปากท้องทั่วไป ทําให้รัฐบาลจะได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย โดยข้อมูลทั้งหมดนั้น รัฐบาลจะนํามาพิจารณา ดําเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ในการปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในโอกาสต่อไป การวางรากฐานให้กับประเทศของเรา จําเป็นต้องมีการพัฒนา และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความมั่นคงและยั่งยืน โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาคประชาชนจะมีความเข้มแข็งก็ต้องได้รับการดูแลและสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน การดําเนินการต่าง ๆ นั้น รัฐบาลได้มอบหมายไปแล้ว ล้วนมุ่งเป้าหมายไปสู่วิทัศน์ที่รัฐบาลได้กําหนดไว้แล้วทั้งสิ้น คือการที่จะทําให้ประเทศไทยและพี่น้องชาวไทยทุกคนมีความมั่งคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา มีความจําเป็นอย่างยิ่งเป็นสิ่งสําคัญ ในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีอยู่หลายหน่วยงานที่เป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนา เช่น สํานักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรือ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รวมถึงองค์กรวิจัยอิสระ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) หรือ สํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แต่วันนี้เราต้องการให้มีการบูรณาการร่วมกัน ทั้งในส่วนของแผนงาน ในส่วนของวัตถุประสงค์ที่ร่วมกัน และนํางานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยมีการบริหารในเรื่องกองทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสม ทั้งของภาครัฐและเอกชน วันนี้เรายังขาดการลงทุนและการพัฒนาในด้านนี้อีกหลายด้าน ที่จะนําไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการ ดังนั้น ภาครัฐจะเร่งผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาวิจัยที่ร่วมกันกับภาคเอกชนที่จะร่วมมือกัน ในการสร้างนวัตกรรมที่เราต้องการ เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ต่าง ๆ สามารถทําการแข่งขันได้ ในตลาดในอนาคต ส่งเสริมต่อยอดในการสร้างกลุ่มคลัสเตอร์ ผูก ห่วงโซ่ เพิ่มการลงทุนในประเทศ ในธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ให้ได้ ปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มจาก 200% เป็น 300% เพื่อจะส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ลดต้นทุน รวมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ การส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานั้น เป็นสิ่งสําคัญ รัฐบาลได้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยรวมให้ได้ 1% ของ GDP และ เพิ่มสัดส่วนการวิจัยและพัฒนาของเอกชนเป็น 70% ต่อ 30% ให้ได้ ขณะนี้ภาพรวมของการลงทุนวิจัยภาคเอกชน ได้เพิ่มมากขึ้นถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาทในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังไม่เพียงพอกับสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้น ดังนั้น เมื่อเรามีมาตรการยกเว้นภาษีเพิ่มเติมนั้น ก็อาจจะช่วยเป็นแรงจูงใจให้กับภาคเอกชน ได้เพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นตามลําดับ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะนําไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน เพราะว่าถ้าหากเราสามารถศึกษาวิจัยพัฒนาสินค้าได้ เราก็จะใช้วัตถุดิบทางการเกษตร มีการรับรองคุณภาพ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับพืชผลทางการเกษตรของเรา ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องราคาที่ตกต่ําได้ด้วย ในเรื่องนี้อยากจะฝากให้สถาบันการศึกษาทุกส่วน ทุกระดับที่มีส่วนสําคัญ มีสถาบันวิจัย หรือมีเรื่องที่วิจัยอยู่แล้วในขณะนี้ ในสถานศึกษาทั่วทุกภูมิภาค ได้มีการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น ภาคเอกชนในพื้นที่ช่วยกันวิจัย และพัฒนาสินค้าท้องถิ่นด้วย ในส่วนของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อจะรองรับกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการค้าการลงทุน เป็นสิ่งที่รัฐดําเนินการมาโดยตลอด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 8 เดือน วันนี้ การเร่งรัดการอนุมัติโครงการของBOI และการให้ใบอนุญาตการจัดตั้งโรงงาน หรือเรียกว่า รง. 4 (ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน) นั้น ก็ได้สั่งการให้รีบดําเนินการอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในส่วนของ BOI นั้น รัฐบาลได้มีการอนุมัติโครงการไปแล้วกว่า 1,050 โครงการ เป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 680,000 ล้านบาท ในช่วงธันวาคมที่ผ่านมานั้น ได้มีโครงการที่มาขอรับการส่งเสริมจาก BOI อีกกว่า 2,000 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะเร่งพิจารณาส่งเสริมโครงการที่มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจ และช่วยในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเร่งดําเนินการวางโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับการค้าการลงทุน ทั้งในด้านการวางรากฐานเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพบุคลลากร การฝึกทักษะฝีมือแรงงาน รวมไปถึงระบบโลจิสตกส์ต่าง ๆ เพื่อจะให้เอื้อต่อการค้าการลงทุนในประเทศไทย เป็นการวางรากฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมต่อไป การสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร เราจําเป็นต้องเร่งดําเนินการวางรากฐาน ให้เป็นชุมชนเกษตรกรที่เข้มแข็ง หลังจากวันนั้นที่ผมได้พบปะพูดคุยกับพี่น้องชาวเกษตรกร ผมเข้าใจว่าปัญหาในหลาย ๆ พื้นที่นั้น เกิดขึ้นอาจจะมาจากการปลูกฝังอุดมการณ์ที่ผิด ไม่เข้าใจ หลายท่านก็เข้ามาคุยกับผมและบอกว่า เงินที่รัฐบาลได้ดําเนินการให้การสนับสนุนไปนั้น ก็สามารถจะช่วยเหลือพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบันนั้น ให้มีการสนับสนุนแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย นอกจากการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเหมือนเช่นที่ผ่านมา สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือให้ชาวเกษตรกรมีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ ซึ่งที่ผ่านมานั้น เขาก็บอกว่าทุกรัฐบาลก็ยังไม่มีใครทําได้ เพราะฉะนั้นเราก็พยายามทําให้ดีที่สุด การรวมกลุ่มกันของสหกรณ์นั้น ผมว่ามีความสําคัญที่สุด เราจะได้สามารถช่วยได้ตรงช่วยให้เกษตรกรมีอํานาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้ ช่วยในเรื่องการจัดหาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่าย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งพี่น้องเกษตรกรก็จําเป็นต้องสร้างให้ชุมชนตนเองเข้มแข็งด้วย เป็นชุมชนที่พึ่งตนเองให้ได้ นําหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ ผ่านการทําเกษตรอินทรีย์ การลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดการใช้ยาฆ่าแมลง เป็นพืชที่เป็นออร์แกนิค ที่ปลอดภัย ก็จะช่วยทั้งในเรื่องลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร มีตัวอย่างหลายพืชที่ที่ชาวเกษตรกรหันมาทําเกษตรอินทรีย์และประสบความสําเร็จในหลายจังหวัด หลายอําเภอ ไม่ว่าจะเป็นอยุธยา นครปฐม อ่างทอง พิจิตร นครราชสีมา และอีกในหลาย ๆ จังหวัด ทุกคนก็ยินดีที่จะให้คําปรึกษาและช่วยเหลือเกษตรกรที่สนใจ หากจะหันมาทําเกษตรอินทรีย์แทน เพราะว่ามีรายได้สูงขึ้น มากกว่าการทํานาด้วยซ้ําไป ทั้งหมดนี้จะทําให้รัฐบาลสามารถช่วยเหลือ หรือสนับสนุนพี่น้องชาวเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านระบบสหกรณ์ที่เป็นเครือข่ายกัน หลายท่านก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แล้วก็สัญญาว่าจะนําไปพูดคุยหารือกันระหว่างกันในชุมชนต่อไป ช่วยกันขึ้นทะเบียนกันให้เรียบร้อย ก็จะได้มีส่วนราชการเข้าไปดูแลได้อย่างใกล้ชิดขึ้น สําหรับตัวอย่างชุมชนที่เข้มแข็ง และผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม ที่จังหวัดนครราชสีมา คือการจัดการ “คลัสเตอร์มันโคราช”(Korat Tapioca Cluster: KOTAC) ซึ่งถือเป็นการทําการเกษตรแบบบูรณาการที่มีการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างภาครัฐในระดับจังหวัด กลุ่มเกษตรชุมชนและผู้ผลิตภาคเอกชนที่เข้มแข็ง มีการรวมตัวกันของกลุ่มสหกรณ์ภายในจังหวัด เพื่อบริหารจัดการผลผลิต มันสําปะหลัง และเป็นต้นทางในการจัดหาช่องทางการจัดจําหน่าย จัดการระบบการตลาด มีกลุ่มอุตสาหกรรมภาคเอกชนที่ร่วมกันรับซื้อผลิตผลมันสําปะหลังเพื่อนําไปแปรรูป จัดจําหน่ายเป็นกลุ่มปลายทาง ในขณะที่ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานเอกชนอีกหลายแห่งในจังหวัดนครราชสีมา ก็ได้สนับสนุนในการค้นคว้าวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ เพื่อให้การผลิตและการแปรรูปมันสําปะหลังนั้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทํางานเป็นระบบและเป็นทีมอย่างนี้ ก็ทําให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ อันนี้ก็จะเป็นการช่วยกันร่วมมือกันในทุกภาคส่วน และปัจจุบันได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา หาทางแก้ไข รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสําปะหลังให้แก่เกษตรกร ผ่านการจัดทําแปลงต้นแบบที่มีการนําเทคโนโลยี 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การจัดการน้ํา การจัดการดินดาน การจัดหาพันธุ์มันสําปะหลังที่เหมาะสมกับพื้นที่ รวมถึงการป้องกันการกําจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ซึ่งเกษตรกรที่จะต้องเข้าร่วมโครงการนั้น จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หลาย ๆ คนก็ทําให้เกิดผลผลิตที่มีรายได้ ที่มีราคาดี มีคุณภาพ นอกจากนั้น ในกลุ่มเกษตรกร ก็มีการสร้างความสัมพันธ์ สร้างเครือข่าย มีกิจกรรมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในการลดต้นทุน มีการศึกษาดูงานและบูรณาการอย่างสม่ําเสมอ ผมอยากให้ชุมชน เกษตรกร และผู้ประกอบการในจังหวัดต่าง ๆ ทํางานร่วมกันเช่นนี้ ก็ได้ให้ทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกันบูรณาการลงพื้นที่ เข้าไปดูแลช่วยเหลือเกษตรกร และสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ในทุกจังหวัดให้เข้มแข็งให้ได้ จะได้เป็นตัวกลางในการติดต่อกับภาครัฐ และภาคเอกชนในการบริหารจัดการ รวมทั้งการรับซื้อผลผลิตในพื้นที่ ซึ่งอาจจะทําให้ราคาสูงขึ้น เท่าที่รับทราบนั้น การซื้อขายในพื้นที่ตั้งตลาดชุมชนต่าง ๆ นั้น ทําให้ราคาข้าวก็สูงขึ้น ผลผลิตอื่นก็สูงขึ้นตามลําดับ แตกต่างจากการซื้อขายให้กับพ่อค้าคนกลางในช่วงที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ เราสามารถดําเนินการได้ทันที ทุกคนต้องช่วยกันแล้วก็เป็นสิ่งจําเป็นด้วยทุกคนต้องปรับตัว สร้างความเข้มแข็งให้ได้ ถ้ารอการช่วยเหลืออย่างเดียวก็ไปไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นแค่เราร่วมมือกัน ประสานกัน สร้างพลังขึ้นมาก็จะมีประสิทธิภาพ ปัญหาหลายอย่างก็จะไม่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในเรื่องของราคาตกต่ํา ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งกดราคาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นรัฐก็จะดูแลให้มากขึ้นในส่วนตรงนี้ แต่ขอให้เป็นสหกรณ์ให้ได้ ที่เข้มแข็งด้วย เล็ก ๆ ก็รวมเป็นสหกรณ์ใหญ่ขึ้นมาเหมือนกับที่จังหวัดนครราชสีมาเขาทํากัน เรื่องของการจัดที่ดินทํากินเพื่อป้องกันการบุกรุกป่า ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สําคัญของชาตินั้น ปัจจุบันได้ดําเนินการไปแล้ว 2.71 ล้านรายครอบคลุมพื้นที่ 35.34 ล้านไร่ ซึ่งในลําดับต่อไปนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทยก็จะเดินหน้าจัดพื้นที่ป่าสงวนอีก จํานวน 53,872 ไร่ รวมไปถึงการจัดที่ดินในเขตสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) อีก 4,683 ไร่ เรื่องนี้รัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการจัดที่ดินทํากินนี้บ้าง ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าพื้นที่ป่านั้นเป็นพื้นที่สงวนที่จําเป็นต้องมีการปกป้องดูแลเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง หรืออุทกภัยทั้งหมดนั้น เกิดจากการตัดไม้ทําลายป่าทั้งสิ้น เพราะบ้านเราเป็นป่าฝน ในปัจจุบันนั้น ปัญหาภัยแล้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ปีนี้ก็จะมากกว่าปีที่ผ่าน แล้วในอนาคตอาจจะแห้งแล้งมากขึ้น ฝนตกน้อยลงหรือฝนนอกพื้นที่อะไรเหล่านี้ เพราะโลกเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็อาจจะมีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้จากการทําการเกษตรอาจจะมีผลกระทบกับเกษตรกรเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ที่ปลูกข้าว หรือพืชอื่น ๆ ที่ใช้น้ํา ผมได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สํารวจที่ตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรต่าง ๆ ในประเทศ เพื่อจะนํามา matching กับแผนที่ zoning เพื่อให้เกิดการทําพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสม จะได้บริหารจัดการได้เกี่ยวกับเรื่องบริหารจัดการน้ํา ระบบชลประทาน ถือมาได้เท่าไรก็คงเท่านั้น มากกว่านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ําต้นทุนนะครับแต่ปัจจุบันถ้าเราสามารถจัดระบบชลประทานได้น้อยจนเกินไป เก็บกักน้ําได้ไม่ดีนัก ปริมาณน้ําที่ตกมาบางทีที่ตกมาบางทีก็ตกไม่ลงเขื่อน ตกนอกเขื่อน ตกท้ายเขื่อน อะไรเหล่านี้ต้องแก้ไข ต้องแก้ไขทั้งหมดต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณมาก แต่ปีนี้ก็มีงบประมาณจํานวนหนึ่งที่ต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเร่งด่วนเรื่องแล้งซ้ําซาก หรือพื้นที่ที่มีผลกระทบต่อการทํานาปรังอาจจะทําไม่ได้ เพราะว่าน้ําน้อยทําไปก็เสียหายก็จะนําข้อมูลเหล่านี้ ให้ชาวนาได้รับทราบแล้วก็ให้หาทาง หาความร่วมมือในการที่จะปลูกพืชทางเลือกชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติม มีหลายอย่างด้วยกัน มีราคาดีกว่าด้วยถ้าปลูกข้าวแล้วเสียหายก็ไปไม่ไหว เป็นหนี้เป็นสินมากขึ้น เพราะฉะนั้นอาจจะต้องปรับเปลี่ยนในการปลูกข้าวเป็นพืชชนิดอื่น ๆ ก็ต้องดูราคาตลาดด้วย ความต้องการตลาดด้วย วันนี้ที่ดูท่าทางน่าจะดีก็เช่น พริกไทยดํา ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง แล้วก็อยากจะให้ทุกคน ให้ความสนใจติดตามความรู้ที่ออกตามโทรทัศน์ หนังสือ สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการปลูกพืชทดแทนเหล่านี้ รวมความไปถึงในการประมง การเลี้ยงปศุสัตว์ ให้สามารถที่จะลดต้นทุนการผลิตได้ การเลี้ยงได้ก็จะทําให้เรามีรายได้มากขึ้น ปัจจุบันรัฐบาลได้ทําการสนับสนุนพันธ์พืชตระกูลถั่ว แล้วก็พืชปุ๋ยสดไปแล้วรวม 300,000 ไร่ ก็ยังไม่เพียงพอ ได้มีการส่งเสริมประมง ปศุสัตว์ไปแล้วเกือบ 17,000 ราย นอกจากนั้นเราก็ได้แบ่งเบาภาระของเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภัยแล้งซ้ําซาก เราก็สนับสนุนการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว จํานวน 3,052 ตําบล ตําบลละ 1 ล้านบาทอีกด้วย ก็ขอให้ใช้อย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง อย่าไปทําในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อจะช่วยเหลือพี่น้องชาวนา ชาวสวนยาง ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการเร่งรัดตรวจสอบสิทธิ์แล้วก็จ่ายเงินที่ค้างอยู่ เป็นจํานวนไม่มาก แต่ปัญหาอยู่ที่การลงทะเบียน ก็จะทําควบคู่ไปกับการปรับปรุงทะเบียนเหล่านั้น ให้มีความสมบูรณ์ทันสมัย ใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ในระหว่างกระทรวง ระหว่างแผนงานโครงการต่าง ๆ จะได้สะดวกรวดเร็ว ทันเวลา และทําให้เกิดความทันสมัยอย่างต่อเนื่องในการดําเนินการต่อไปในอนาคต ก็คงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องเกษตรกรและเจ้าหน้าที่รัฐช่วยกันสํารวจ ช่วยกันจัดทําบัญชีให้เรียบร้อย ขณะนี้ก็อยู่ในห้วงการดําเนินการ ขอให้ความร่วมมือด้วย ขอให้เป็นเรื่องจริงจังในการจัดทําทะเบียนนี้ก็ต้องมีการรับรองกันอย่างชัดเจน จะได้ไม่เสียเวลาในการช่วยเหลือของรัฐต่อไป สําหรับปัจจัยสําคัญอีกปัจจัยหนึ่งของการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ ก็คือการให้ความรู้ ให้การศึกษาแก่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ปัจจุบันรัฐบาลได้ดําเนินอย่างต่อเนื่องในการที่จะถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรอินทรีย์ เกษตรทางเลือก และข้อมูลอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกร เรามีศูนย์ถ่ายทอดความรู้ จํานวน 822 ศูนย์ และปัจจุบันรัฐบาลได้มีการขยายลงไปสู่ชุมชน ไปสู่บ้านของเกษตรกรด้วย เป็นตัวอย่างได้ แล้วเราก็ได้ให้การสนับสนุนการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์ จํานวน 8,898 แห่ง สมาชิกรวม 11.28 ล้านคน เพื่อเพิ่มบทบาทของสหกรณ์ในการซื้อ การแปรรูป การส่งออก และเพิ่มสภาพคล่องก็ขอให้ดูแลเรื่องความรู้ด้วย ให้กับสหกรณ์การเกษตรด้วย ที่เราให้งบประมาณไปแล้วหรือจะให้ต่อไป ต้องไปดูทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น เราจะให้สภาพคล่องมากขึ้น สําหรับสหกรณ์การเกษตรต้องจดทะเบียน ทั้งนี้ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการปรับปรุงกฎระเบียบการค้าต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งมีการพัฒนาความเชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศต่อไปด้วย สําหรับในเรื่องการสร้างระบบชลประทานขนาดเล็ก ซึ่งเราสามารถจะเร่งรัดได้ในปีนี้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งน้ําในไร่นา รัฐบาลดําเนินการไปแล้วกว่า 16,000 โครงการ แหล่งน้ําในไร่นา จํานวน 290,862 บ่อ มีพื้นที่รับประโยชน์รวม 581,724 ไร่ ซึ่งในอนาคตรัฐบาลจะมีโครงการอนุรักษ์ดินและน้ําอีก 91 แห่ง ยังมีอีกหลายโครงการที่รัฐบาลกําลังดําเนินการอยู่ อย่างเช่น โครงการเกษตร สีเขียวในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี พัทลุง และหนองคาย และโครงการพระราชดําริ โครงการหลวงอีก 97,343 โครงการ และงานต่าง ๆ ที่อยู่ในแผน เราจะเร่งดําเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ผมก็จะมาเล่าความก้าวหน้าต่าง ๆ ให้พี่น้องประชาชนได้ รับทราบต่อไป ในขณะเดียวกันนั้น รัฐบาลจะเร่งให้การสนับสนุนในด้านอื่น ๆ ในระยะสั้นเร่งด่วนหลาย ๆ ด้าน เช่น การให้เงินช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิต การจัดหาแหล่งเงินทุน การพัฒนาแหล่งน้ําเพิ่มเติม สําหรับในส่วนของระยะยาวนั้น ก็จะเร่งให้ความรู้ในเรื่องของเกษตรอินทรีย์ การปลูกพืชผสมผสาน ธนาคารปุ๋ย ธนาคารเมล็ดพันธุ์ในท้องที่ รวมไปถึงการจัดการพื้นที่โซนนิ่ง ที่จะต้องคํานึงถึงตลาดและการรับซื้อด้วย ทั้งต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา ที่ผมกล่าวไปแล้วในช่วงแรก ภาคเกษตรนั้น ถือเป็นภาคการผลิตสําคัญมากในไทย เพราะฉะนั้น ทําอย่างไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง มีราคา คุณภาพด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ขอให้ทําความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องยาก เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เป็นแค่นโยบาย หรือใช้จ่ายงบประมาณเท่านั้น ช่วยเหลือไม่ตรงจุด งบประมาณที่ได้ก็จะไม่เกิดประโยชน์ ต้องตรง ต้องทันเวลา รวดเร็วทันเวลาแล้วก็ทั่วถึง สําหรับการเสนอของบประมาณมานั้น ต้องมีรายละเอียดโครงการรองรับมาด้วย ในการพัฒนาให้ยั่งยืนนั้น บางเรื่องเราอาจไม่จําเป็นที่จะต้องใช้เงิน หรือสิ่งของอื่น ๆ เลยเพียงแค่เรามีความจริงใจให้กัน ลงแรงให้ความรู้ ลงพื้นที่ทําความเข้าใจ ก็จะเป็นส่วนสําคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย ก็ฝากภาคเอกชนด้วยก็ร่วมมือกัน ทั้งปราชญ์ชาวบ้าน ทั้งนักวิชาการอะไรต่าง ๆ ต้องลงไปช่วยประชาชนด้วยกับเรา สําหรับในกรณีที่ราคาน้ํามันตลาดโลกที่มีความผันผวนในช่วงนี้ ก็มีหลายฝ่ายร้องเรียนว่า ราคาสินค้าทั่วไปนั้นแพงขึ้น รัฐบาลก็ไม่นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ก็ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์แล้วก็หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปควบคุม เข้มงวด รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยด้วย ช่วยกันลงตรวจพื้นที่ไม่ให้มีการขายสินค้าเกินราคา ซึ่งวันนี้ก็ได้รับข้อมูลว่า ราคาสินค้าส่วนประกอบนั้นไม่ค่อยขึ้นหรือขึ้นน้อย แต่เมื่อมาปรุงสําเร็จแล้วไปบวกราคากันมาก เพราะเกรงว่าจะขายได้น้อยลง รายได้ก็ลดลงก็ต้องไปเพิ่มราคาในแต่ละจาน แต่ละประเภทมากขึ้น อันนี้ก็ไม่เป็นธรรม ก็จะต้องขอร้องกัน พูดคุยกับพ่อค้าคนกลางหรือผู้ประกอบการ เกี่ยวกับร้านค้าอาหารจานเดียวสําเร็จรูปพวกนี้ด้วย จะต้องดูแลในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ก็เห็นใจกัน วันนี้ยามยากต้องช่วยกัน ถ้าทุกคนจะเอาตัวรอดกันหมดก็ไปไม่ได้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจ เรื่องของราคาก๊าซนั้น ก็ขึ้นตามท้องตลาดซึ่งก็คนละส่วนกับน้ํามัน เพราะเราแยกออกจากกัน ในขณะนี้ ก็จะดูแลคนที่มีรายได้น้อยเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็อย่าเรียกร้องให้มากจนเกินไป เราก็ให้ได้เท่าที่ทําได้ ถ้าเราปรับลงมามากก็เป็นปัญหาอีกในอนาคต จะกลับไปแบบที่เก่าไม่ได้ ก็ต้องใช้อย่างประหยัด ช่วงที่ผ่านนั้น มีการบิดเบือนโครงสร้างราคาพลังงานมานาน ไปชดเชยกันไปกันมา ผมก็อยากชดเชย เฉพาะในส่วนของผู้มีรายได้น้อยของแต่ละประเภทไปแล้วก็ต้องไม่มีปัญหาเรื่องของการที่จะต้องผลิตจากพลังงานทดแทนมาด้วยในอนาคต เราต้องแก้ไขให้ได้ ราคาพลังงานต่าง ๆ เหล่านี้ต้องคํานึงถึงความเพียงพอ ความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตด้วย และในท้องตลาดเขาว่ายังไงก็ควรจะเป็นไปอย่างนั้น ทุกประเทศในโลกก็เป็นอย่างนั้นอยู่ ก็จะดูแลเฉพาะผู้มีรายได้น้อย มากน้อย ไปตามงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งนี้ก็จะให้โครงการพลังงานเข้าสู่ความสมดุล ก็ขอให้พี่น้องทําความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย ช่วยกันดูแลประเทศชาติในส่วนนี้จะได้นําไปทําอย่างอื่นได้มากขึ้นกว่าเดิม รายได้รัฐก็จะมีมากขึ้น ไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น และก็จะมีการดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่ม ๆ ตอนนี้ก็มีการเจรจามากมายหลายขณะ หลายกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องพลังงานราคาพิเศษ เฉพาะกลุ่ม ก็กําลังให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาดู ก็พูดจากันให้เรียบร้อย สําหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น วันนี้รัฐบาลก็มีการดําเนินการพูดคุยอย่างแน่นแฟ้นกับทุกประเทศ ผมถือว่าทุกคนเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ไม่เป็นศัตรูกัน วันนี้อาจจะมีปัญหากันอยู่บ้าง วันหน้าก็ต้องดีกันอยู่แล้ว การค้าการลงทุนก็ยังลงทุนอยู่ หลาย ๆ ประเทศที่อยู่ในประเทศไทย คนไทยก็ลงทุนที่ต่างประเทศ การเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นการค้าการลงทุนหรือเศรษฐกิจนั้น ได้มีผลต่อประชาชนทุกประเทศ ความขัดแย้งทําให้ประชาชนอดอยากยากจน ก็ไม่น่าจะดี เพราะฉะนั้น เราต้องลดความกดดันในเรื่องนี้ให้ได้ ใจเย็น ๆ อดทนกัน ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทุกประเทศที่มีมาอย่างยาวนานหลายประเทศ สําหรับในการประชุมร่วมกับภาคธุรกิจก็มีหลาย ๆ ประเทศทั้งใกล้ไกลก็มาร่วมประชุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับคณะทํางาน ระดับรัฐมนตรี หรือระดับผู้แทนของนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเข้า มาพบ ซึ่งในสัปดาห์หน้า ผมก็จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อจะเชื่อมความสัมพันธ์ในด้านการค้าการลงทุนต่าง ๆ เราให้ความสําคัญทุกประเทศ สําหรับประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศแรกที่ผมเดินทางไปในฐานะที่เป็นประเทศประชาธิปไตยของอาเซียนในตะวันตก ก็เดินทางไปเป็นประเทศแรก ผมก็จะนําผลข้อสรุปต่าง ๆ มาพูดถึงในสัปดาห์หน้า เพื่อให้พวกเราได้รับทราบความคืบหน้าของเรา เราก็เจรจาบนพื้นฐานของความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และผลประโยชน์ที่ทัดเทียมกัน เรื่องสําคัญอีกหนึ่งเรื่องคือ เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น วันนี้รัฐบาลได้ออกประกาศกําหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างเป็นทางการแล้ว โดยครอบคลุมพื้นที่ 36 ตําบล 10 อําเภอของ 5 จังหวัดติดแนวชายแดน ซึ่งจะรวมเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 1.83 ล้านไร่ ได้แก่ 1. จังหวัดตากประกอบด้วย 14 ตําบล ใน อ.แม่สอด อ.พบพระ อ.แม่ระมาด อ.ระมาด 2. มุกดาหาร ประกอบด้วย 11 ตําบล ใน อ.เมือง อ.หว้านใหญ่ อ.ดอนตาล 3. สระแก้ว ประกอบด้วย 4 ตําบล ใน อ.อรัญประเทศ อ.วัฒนานคร 4. ตราด ประกอบด้วย 3 ตําบล ของ อ.คลองใหญ่ (ทั้งอําเภอ) 5. สงขลา ประกอบด้วย 4 ตําบล ใน อ.สะเดา ที่ผ่านมารัฐบาลนั้น รัฐบาลก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เพื่อจะขับเคลื่อนโครงการดูแลในเรื่องขอบเขตพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน ด่านศุลกากร นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ด้านแรงงาน แรงงานต่างด้าว ด้านสาธารณสุข ด้านความมั่นคง รวมทั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน ก็ได้พิจารณาอนุมัติแนวทางในการกําหนดสิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สําคัญ เช่น 1. กรณีกิจการทั่วไป จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 3 ปี แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี ส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษีฯ เป็นเวลา 8 ปีอยู่แล้ว ก็จะได้รับการลดหย่อนภาษีฯ ร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปี โดยในการคํานวณภาษีฯ นั้น สามารถหักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ได้ 2 เท่า เป็นเวลา 10 ปี รวมทั้งหักค่าติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกได้ ร้อยละ 25 และการยกเว้นอากรขาเข้า สําหรับเครื่องจักร วัตถุดิบและวัสดุจําเป็นสําหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกอีกด้วย 2. ในกรณีที่เป็นกิจการเป้าหมาย สําหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เรามีเป้าหมายของรัฐบาล เช่น ในเรื่องของการอุตสาหกรรมที่เป็นการเพิ่มเทคโนโลยีที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 100 และการลดหย่อนภาษีฯ ร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปีเช่นกัน 3. กิจกรรมที่ไม่ได้รับการส่งเสริมตามประกาศ BOI จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 10 เป็นระยะเวลา 10 รอบบัญชี ทั้งนี้ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในพื้นที่ การวางผังเมือง ต้องมีการออกกฎหมายเพิ่มเติม ระบบสาธารณูปโภคต้องลงทุนอีกหลาย แสนล้านบาท และการออกกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนในพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งสานสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน (Connectivity) ให้เขาได้พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมต่อให้ควบคู่กันไป ก็ต้องเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนของแต่ละจังหวัดด้วย ก่อนที่จะไปเขตเศรษฐกิจพิเศษ และก็ไปถึงเขตเศรษฐกิจชายแดน และไปประชาคมโลกอื่น ๆ ขอขอบคุณทางภาคเอกชนที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัดเป้าหมายเป็นอันดับแรก ทราบมาว่ามีภาคเอกชนหลายแห่งให้ความสนใจที่จะไปลงทุนในเรื่องของการพัฒนา โลจิสติกส์ ศูนย์การกระจายสินค้า/ศูนย์การค้า ศูนย์การแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร การพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ การท่องเที่ยว และการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ในระยะต่อไปรัฐบาลก็มีแผนจะผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมอีกใน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย หนองคาย กาญจนบุรี นครพนม และนราธิวาส เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ ล้วนเป็นพื้นที่ชายแดน ที่ตั้งอยู่บนแนว “ระเบียงเศรษฐกิจ” เพื่อจะเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เราสามารถที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งการค้า การลงทุน และช่วยทั้งในเรื่องการกระจายสินค้า และเปลี่ยนสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสินค้าการเกษตร การท่องเที่ยว และการบริการ ซึ่งธุรกิจต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะเป็นกลไกสําคัญที่จะเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคงต่อไปในระยะยาว เรื่องของอาชญากรรมและความรุนแรงต่าง ๆ ในสังคม ขณะนี้ ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยให้ความสนใจมีมาตรการที่เข้มข้นในการกวดขันคดีทุกคดี ให้เร่งดําเนินการสืบสวนหา คนร้ายมาดําเนินคดีให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่มีผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีผลกระทบต่อการบริหารราชการหรือประเทศชาติในการพัฒนา ต้องเร่งดําเนินการให้ได้ เจ้าหน้าที่ต้องทํางานอย่างเต็มที่ ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ให้ความเป็นธรรม ไม่ปล่อยปละละเลย ประชาชนก็ขอให้ความร่วมมือด้วย เป็นผู้เฝ้าระวัง แจ้งความ เพราะว่าเป็นการดูแลพื้นที่ตัวเองให้ปลอดภัย การท่องเที่ยวจะได้ดีขึ้น ช่วยกันเป็นหูเป็นตาอย่าให้ใครเข้ามาสร้างสถานการณ์ จะทําให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไปไม่ได้ คนเหล่านี้ไม่ดีเลย ไม่ทราบว่าคิดอะไรกันอยู่ ในเรื่องคดีที่เกี่ยวกับสถาบันและการเมืองนั้น ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณด้วย ถ้าเป็นคดีที่มีความผิดเราก็ละเว้นไม่ได้ต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย และขอความร่วมมือด้วย ทุกคนต้องช่วยกันลดความเกลียดชังกันลงไปด้วย ทั้งในสื่อ ในโซเชียลมีเดีย ช่วยกันลดลง วันนี้ได้มีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นจํานวนมาก ใช้โทรศัพท์ ใช้อะไรต่าง ๆ ซึ่งมีการส่งข้อความถึงกันตลอดเวลา อาจจะมากเป็นลําดับต้น ๆ ของโลกหรือของอาเซียนเลยด้วยซ้ําไป วันนี้ต้องดูแลกันให้ดี รัฐบาลไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าไปแทรกแซง เข้าไปดูในส่วนที่เป็นความลับของท่าน เว้นแต่ว่าท่านช่วยกันดูแลเอง ว่าไม่แพร่กระจาย ไม่ช่วยกันแพร่ในส่วนที่ไม่เหมาะสมออกไป ถึงเวลาก็ถูกดําเนินคดี ก็หาว่าเป็นคดีการเมืองหรือการรังแกของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่เลย เรามองทุกคนเป็นประชาชนทั้งสิ้น บางคนก็รู้ก็ทํา บางคนก็อาจจะทําทั้งที่ไม่รู้ ก็ต้องสอบสวนกันออกมาให้ได้ข้อชัดเจน เพราะฉะนั้นระมัดระวัง ประชาชนอาจจะตกเป็นเหยื่อของคนไม่ดีเหล่านั้น ที่อาจจะมุ่งหวังจะทําลายชาติ ทําลายสถาบันฯ ทําลายความมั่นคงของรัฐในปัจจุบัน เรากําลังปฏิรูปอยู่ รัฐบาลสัญญาว่าจะทําอย่างเต็มที่ในการดําเนินคดีไม่ให้เกิดขึ้นอีก วันนี้ก็ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งตํารวจ ทหาร ฝ่ายข้าราชการพลเรือนต่าง ๆ ที่มีหน้าที่เหล่านี้ ต้องดูแลพื้นที่ของท่านให้ปลอดภัย ให้ประชาชนมีความสุข หลายๆ เรื่องผมได้สั่งการไปแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังดําเนินการอยู่ ต้องจริงจังในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน และรับฟังปัญหา ความคิดเห็นด้วย ผมเองก็ลงตรวจเยี่ยมพี่น้องประชาชนเพื่อจะรับฟังปัญหาต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นตามลําดับ มากบ้างน้อยบ้างผมรับได้ทั้งหมด เพราะเป็นความทุกข์ของประชาชน เป็นหน้าที่ของผู้นําประเทศ หน้าที่ของรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีทั้งหมดต้องนํามาแก้ไขด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเหมาะสมและจริงจัง เพื่อจะให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ประเทศเดินหน้าได้ประชาชนต้องเข้มแข็งมีรายได้ที่เพียงพอ สําหรับวันทหารผ่านศึกที่ผ่านไปนั้น ผมได้อ่านข่าวเกี่ยวกับ พ.อ.พิชิตพล บุญดา อายุ 81 ปี อดีตทหารผ่านศึกที่มีจิตอาสาได้ไปช่วยกวาดถนนรอบ ๆ ชุมชนทํามากว่า 10 ปีแล้ว จนเพื่อนบ้านยกย่องให้เป็น “คนดีศรีชุมชน” ท่านกล่าวไว้ว่า จิตอาสานั้นเป็นมุมมองของแต่ละบุคคล บังคับกันไม่ได้ ก็อยากให้ทุกคนมีจิตอาสา เสียสละ ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อจะทําให้สังคมน่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยเลือกทําในสิ่งที่ชอบ ทําแล้วสนุก ไม่เดือดร้อนคนอื่น สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับบางคนที่ชอบทําเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่น จะทําอย่างไรกัน ก็ขอฝากไว้เป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องด้วย ให้เห็นว่าถ้าเราทุกคนนั้นสามารถช่วยเหลือสังคมได้ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ มีอะไรมากก็เผื่อแผ่แบ่งปัน ก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ต้องช่วยดูแลกัน ทั้งผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ผู้เข้าไม่ถึงทรัพยากรของรัฐ ความเท่าเทียมกัน ความเหลื่อมล้ําอะไรเหล่านี้ต้องช่วยรัฐบาล ช่วยในการแก้ปัญหา ทุกคนช่วยได้หมด มากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุข สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดประชุมนานาชาติพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ให้ได้มาตรฐาน ยั่งยืน รองรับสังคมผู้สูงอายุ
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 สธ.จัดประชุมนานาชาติพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ให้ได้มาตรฐาน ยั่งยืน รองรับสังคมผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข จัดสัมมนานานาชาติแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ให้ได้มาตรฐาน ยั่งยืนและมีประสิทธิผลรองรับสังคมผู้สูงอายุ วันนี้ (7มิถุนายน2560)ที่ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมสัมมนาระดับชาติ ในประเด็นการดูแลระยะยาว(Regional Seminar on Long-term Care)เพื่อเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการดําเนินงานบริการผู้สูงอายุของประเทศต่างๆโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 320 คน ได้แก่ผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น นักวิชาการ และหน่วยงานภาคเอกชน จากประเทศต่างๆ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ญี่ปุ่น ศรีลังกา มองโกเลีย และไทย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงอายุที่เร็วมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่นฝรั่งเศสใช้เวลาในการเข้าสู่สังคมสูงอายุที่สมบูรณ์ (Aged Society)115 ปี สวีเดน 85 ปี สหรัฐอเมริกา 72 ปี อิตาลี 63 ปี ญี่ปุ่น 26 ปี แต่ในกลุ่มประเทศที่กําลังพัฒนาจะใช้ระยะเวลาในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่สมบูรณ์สั้นกว่า เช่น เกาหลี ใช้เวลา 20 ปี สิงคโปร์ 17 ปี จีน 25 ปี และประเทศไทยใช้ระยะเวลาเพียง20ปี(2553-2573)ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ10.7ล้านคน ส่งผลให้มีเวลาในการเตรียมความพร้อมคนและระบบได้ในระยะเวลาสั้น นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประเทศญี่ปุ่น โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(JICA)มีความร่วมมือด้านวิชาการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551ได้แก่1.โครงการพัฒนารูปแบบบริหารจัดการระบบบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมเชิงบูรณาการสําหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย หรือเรียกย่อๆ ว่า“CTOP”และ2.โครงการพัฒนารูปแบบบริการระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงรวมทั้งกลุ่มอายุอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือในชีวิตประจําวันซึ่งเรียกสั้นๆว่า“LTOP”มีระยะเวลาดําเนินงาน5ปี ตั้งแต่ปี2556–ปี2560ในพื้นที่นําร่อง6แห่ง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนการดําเนินงานประสบความสําเร็จด้วยดี นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า ผลลัพธ์ของการดําเนินงานถือได้ว่า บรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประการ คือ 1. ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลเรื่องการดูแลระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุ 2.“รูปแบบบริการ”ได้รับการพัฒนาและนําไปใช้ในพื้นที่โครงการนําร่องอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิผลดังที่ปรากฏในการนําเสนอผลการดําเนินงานของพื้นที่นําร่องทั้ง 6 แห่ง และ3.มีการพัฒนา “หลักสูตรการอบรมสําหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้ประสานงาน” ปัจจุบันได้มี การอบรมCare Managerไปกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ โดยผู้ที่ได้รับทุนไปอบรมที่ญี่ปุ่นในโครงการได้กลับมาจัดทําหลักสูตร และพัฒนาต่อยอดโดยกรมอนามัยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สปสช.ในการจัดการอบรมดังกล่าว และยังเป็นแนวคิดการพัฒนาบุคลากรกลุ่มนี้ คือ ทั้งCare ManagerและCaregiverให้มากขึ้นเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยที่กําลังจะมาถึง **************************7มิถุนายน2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดประชุมนานาชาติพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ให้ได้มาตรฐาน ยั่งยืน รองรับสังคมผู้สูงอายุ วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 สธ.จัดประชุมนานาชาติพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ให้ได้มาตรฐาน ยั่งยืน รองรับสังคมผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข จัดสัมมนานานาชาติแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ให้ได้มาตรฐาน ยั่งยืนและมีประสิทธิผลรองรับสังคมผู้สูงอายุ วันนี้ (7มิถุนายน2560)ที่ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมสัมมนาระดับชาติ ในประเด็นการดูแลระยะยาว(Regional Seminar on Long-term Care)เพื่อเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการดําเนินงานบริการผู้สูงอายุของประเทศต่างๆโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 320 คน ได้แก่ผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น นักวิชาการ และหน่วยงานภาคเอกชน จากประเทศต่างๆ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ญี่ปุ่น ศรีลังกา มองโกเลีย และไทย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงอายุที่เร็วมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่นฝรั่งเศสใช้เวลาในการเข้าสู่สังคมสูงอายุที่สมบูรณ์ (Aged Society)115 ปี สวีเดน 85 ปี สหรัฐอเมริกา 72 ปี อิตาลี 63 ปี ญี่ปุ่น 26 ปี แต่ในกลุ่มประเทศที่กําลังพัฒนาจะใช้ระยะเวลาในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่สมบูรณ์สั้นกว่า เช่น เกาหลี ใช้เวลา 20 ปี สิงคโปร์ 17 ปี จีน 25 ปี และประเทศไทยใช้ระยะเวลาเพียง20ปี(2553-2573)ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ10.7ล้านคน ส่งผลให้มีเวลาในการเตรียมความพร้อมคนและระบบได้ในระยะเวลาสั้น นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประเทศญี่ปุ่น โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(JICA)มีความร่วมมือด้านวิชาการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551ได้แก่1.โครงการพัฒนารูปแบบบริหารจัดการระบบบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมเชิงบูรณาการสําหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย หรือเรียกย่อๆ ว่า“CTOP”และ2.โครงการพัฒนารูปแบบบริการระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงรวมทั้งกลุ่มอายุอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือในชีวิตประจําวันซึ่งเรียกสั้นๆว่า“LTOP”มีระยะเวลาดําเนินงาน5ปี ตั้งแต่ปี2556–ปี2560ในพื้นที่นําร่อง6แห่ง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนการดําเนินงานประสบความสําเร็จด้วยดี นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า ผลลัพธ์ของการดําเนินงานถือได้ว่า บรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประการ คือ 1. ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลเรื่องการดูแลระยะยาวสําหรับผู้สูงอายุ 2.“รูปแบบบริการ”ได้รับการพัฒนาและนําไปใช้ในพื้นที่โครงการนําร่องอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิผลดังที่ปรากฏในการนําเสนอผลการดําเนินงานของพื้นที่นําร่องทั้ง 6 แห่ง และ3.มีการพัฒนา “หลักสูตรการอบรมสําหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้ประสานงาน” ปัจจุบันได้มี การอบรมCare Managerไปกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ โดยผู้ที่ได้รับทุนไปอบรมที่ญี่ปุ่นในโครงการได้กลับมาจัดทําหลักสูตร และพัฒนาต่อยอดโดยกรมอนามัยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สปสช.ในการจัดการอบรมดังกล่าว และยังเป็นแนวคิดการพัฒนาบุคลากรกลุ่มนี้ คือ ทั้งCare ManagerและCaregiverให้มากขึ้นเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยที่กําลังจะมาถึง **************************7มิถุนายน2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม กช. 1/2562
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 ผลประชุม กช. 1/2562 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ ชั้น 2 อาคารสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมศึกษาเอกชน (สช.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ ชั้น 2 อาคารสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมศึกษาเอกชน(สช.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าที่ประชุมได้เห็นชอบการแก้ไขระเบียบและประกาศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาเอกชนที่มีความคล่องตัว ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทํางานมากขึ้น รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนว่าด้วย รางวัลพระราชทานแก่โรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่ง สช. ได้ดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยมีสาระสําคัญของการปรับปรุงแก้ไข อาทิ คํานิยามของโรงเรียน ครู และนักเรียน, องค์ประกอบของคณะกรรมการประเมินในระดับจังหวัด และระดับภาค ตลอดจนจํานวนรางวัลพระราชทาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขประกาศและระเบียบการดําเนินงานของกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบประกอบด้วย ร่างประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน จากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ...., ร่างประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน จากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ สําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการบริหารกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ พ.ศ. .... อาทิ การเพิ่มเติมผู้ประเมินราคากลางค่าก่อสร้าง การปรับปรุงการกําหนดองค์ประกอบและอํานาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบริหาร เป็นต้น ในส่วนของการอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันสําหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ประชุมได้รับทราบการทบทวนแนวทางการดําเนินโครงการอาหารกลางวันสําหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชน โดยได้นําความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยที่กระทรวงศึกษาธิการต้องการจะเสริมสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้เข้าถึงอาหารและโภชนาการที่มีคุณภาพ สร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม พร้อมนําข้อสังเกตเกี่ยวกับความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและภารกิจของหน่วยงาน มาปรับลดความซ้ําซ้อนและภาระงบประมาณ ดังนั้น สช.จึงได้เสนอเรื่อง “การอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันสําหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชน ที่รับเงินอุดหนุนรายบุคคลระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษา” ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป เพิ่มเติมอีกจํานวน 1,119,142 คน เป็นเงินงบประมาณ 4,476,568,000 บาทต่อปี พร้อมจะได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จํานวน 9 คณะได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชนฝ่ายกฎหมายโดยมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นที่ปรึกษา, นายศิลปะชัย หอมทรัพย์ เป็นประธานอนุกรรมการ และมีหัวหน้ากลุ่มนิติการ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองและให้ข้อเสนอแนะด้านกฎหมายต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พิจารณาร่างกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และแนวปฏิบัติ ตลอดจนวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการโรงเรียนเอกชน 2) คณะอนุกรรมการการพัฒนาและทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนโดยมีนายอํานาจ วิชยานุวัติ และนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางสาวพรพิมล เจริญ เป็นประธานอนุกรรมการ และหัวหน้ากลุ่มนิติการ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นเลขานุการ โดยมีอํานาจหน้าที่วิเคราะห์ระเบียบและกฎหมายที่จําเป็นต้องมีการปรับปรุงและกําหนดเป็นแผนปฏิบัติการ, พัฒนาและทบทวนความเหมาะสมของระเบียบและกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ตลอดจนแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาโดยมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นที่ปรึกษา, นายพิพัตน์ เสนาพิทักษ์กุล เป็นประธานอนุกรรมการ และนางภัทราพรรณ เล็งวัฒนากิจ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรอง เสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการส่งเสริมสถานศึกษา การกําหนดมาตรการช่วยเหลือ และการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาเอกชน ตลอดจนการประกันคุณภาพการศึกษา สื่อและนวัตกรรม และการส่งเสริมสนับสนุนด้านวิชาการในโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา พร้อมทั้งแต่งตั้งทํางานเพื่อพิจารณา 4) คณะอนุกรรมการส่งเสริมโรงเรียนเอกชนประเภทนานาชาติโดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางภัทราดา ยมนาค เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสุมิตรา ทองแสง เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอความเห็นในการส่งเสริมสถานศึกษาเอกชนประเภทนานาชาติ, การกําหนดมาตรฐานและการพัฒนาหลักสูตร, แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาวิเคราะห์ และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการและงานด้านวิชาการ 5) คณะอนุกรรมการส่งเสริมโรงเรียนเอกชนนอกระบบโดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางวัชรี ปรัชญานุสรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสาววราภรณ์ สุวรรณศิริ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมสถานศึกษา การจัดตั้งและจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ตลอดจนพิจารณากลั่นกรอง เสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร การประกันคุณภาพการศึกษา และด้านวิชาการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 6) คณะอนุกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาเอกชนโดยมีนายพีระ รัตนวิจิตร และนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางสันธยา ดารารัตน์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสาวปริยาพร ญาณะชัย เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกําหนดแนวทางและแผนการพัฒนา ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการ, ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการในการพัฒนาผู้บริหาร ครู และบุคลากรการศึกษาเอกชน ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้า สวัสดิการ สวัสดิภาพ และแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 7) คณะอนุกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษโดยมีเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นที่ปรึกษา, นายพะโยม ชิณวงศ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสาวนภลภัส รัตนกิจ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรอง เสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อผู้มีความสามารถพิเศษ ผู้พิการ ผู้ยากไร้และด้อยโอกาส ตลอดจนการกําหนดมาตรการ ช่วยเหลือและสนับสนุน และแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาวิเคราะห์และเสนอความเห็น 8) คณะอนุกรรมการการพัฒนานโยบายส่งเสริมการศึกษาเอกชนโดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางเพชรชุดา เกษประยูร เป็นประธานอนุกรรมการ และนางอาภรณ์ วงศ์อนันต์กิจ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการจัดทําข้อเสนอแนะนโยบายส่งเสริมการศึกษาเอกชน รองรับการเปลี่ยนแปลงและทิศทางการพัฒนาประเทศ แนวทางการจัดสรรทรัพยากรเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมการจัดการศึกษา การพัฒนาคุณภาพ โอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาของผู้เรียน ตลอดจนแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 9) คณะอนุกรรมการพัฒนาการศึกษาเอกชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นายปราโมทย์ แก้วสุข เป็นประธานอนุกรรมการ และนายเกรียงไกร ศิลารังษี เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์สภาพปัญหา และอุปสรรค การจัดการศึกษาเอกชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้, จัดทําข้อเสนอแนวทางการพัฒนาและการแก้ไขปัญหา และพิจารณากลั่นกรอง เสนอความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะในการบริหารการศึกษา ตลอดจนแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา Writtenbyทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม กช. 1/2562 วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 ผลประชุม กช. 1/2562 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ ชั้น 2 อาคารสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมศึกษาเอกชน (สช.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ ชั้น 2 อาคารสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมศึกษาเอกชน(สช.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าที่ประชุมได้เห็นชอบการแก้ไขระเบียบและประกาศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาเอกชนที่มีความคล่องตัว ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทํางานมากขึ้น รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนว่าด้วย รางวัลพระราชทานแก่โรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่ง สช. ได้ดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยมีสาระสําคัญของการปรับปรุงแก้ไข อาทิ คํานิยามของโรงเรียน ครู และนักเรียน, องค์ประกอบของคณะกรรมการประเมินในระดับจังหวัด และระดับภาค ตลอดจนจํานวนรางวัลพระราชทาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขประกาศและระเบียบการดําเนินงานของกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบประกอบด้วย ร่างประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน จากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ...., ร่างประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน จากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ สําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการบริหารกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ พ.ศ. .... อาทิ การเพิ่มเติมผู้ประเมินราคากลางค่าก่อสร้าง การปรับปรุงการกําหนดองค์ประกอบและอํานาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบริหาร เป็นต้น ในส่วนของการอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันสําหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ประชุมได้รับทราบการทบทวนแนวทางการดําเนินโครงการอาหารกลางวันสําหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชน โดยได้นําความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยที่กระทรวงศึกษาธิการต้องการจะเสริมสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้เข้าถึงอาหารและโภชนาการที่มีคุณภาพ สร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม พร้อมนําข้อสังเกตเกี่ยวกับความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและภารกิจของหน่วยงาน มาปรับลดความซ้ําซ้อนและภาระงบประมาณ ดังนั้น สช.จึงได้เสนอเรื่อง “การอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันสําหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชน ที่รับเงินอุดหนุนรายบุคคลระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษา” ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป เพิ่มเติมอีกจํานวน 1,119,142 คน เป็นเงินงบประมาณ 4,476,568,000 บาทต่อปี พร้อมจะได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จํานวน 9 คณะได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชนฝ่ายกฎหมายโดยมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นที่ปรึกษา, นายศิลปะชัย หอมทรัพย์ เป็นประธานอนุกรรมการ และมีหัวหน้ากลุ่มนิติการ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองและให้ข้อเสนอแนะด้านกฎหมายต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พิจารณาร่างกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และแนวปฏิบัติ ตลอดจนวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการโรงเรียนเอกชน 2) คณะอนุกรรมการการพัฒนาและทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนโดยมีนายอํานาจ วิชยานุวัติ และนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางสาวพรพิมล เจริญ เป็นประธานอนุกรรมการ และหัวหน้ากลุ่มนิติการ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นเลขานุการ โดยมีอํานาจหน้าที่วิเคราะห์ระเบียบและกฎหมายที่จําเป็นต้องมีการปรับปรุงและกําหนดเป็นแผนปฏิบัติการ, พัฒนาและทบทวนความเหมาะสมของระเบียบและกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ตลอดจนแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาโดยมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นที่ปรึกษา, นายพิพัตน์ เสนาพิทักษ์กุล เป็นประธานอนุกรรมการ และนางภัทราพรรณ เล็งวัฒนากิจ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรอง เสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการส่งเสริมสถานศึกษา การกําหนดมาตรการช่วยเหลือ และการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาเอกชน ตลอดจนการประกันคุณภาพการศึกษา สื่อและนวัตกรรม และการส่งเสริมสนับสนุนด้านวิชาการในโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา พร้อมทั้งแต่งตั้งทํางานเพื่อพิจารณา 4) คณะอนุกรรมการส่งเสริมโรงเรียนเอกชนประเภทนานาชาติโดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางภัทราดา ยมนาค เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสุมิตรา ทองแสง เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอความเห็นในการส่งเสริมสถานศึกษาเอกชนประเภทนานาชาติ, การกําหนดมาตรฐานและการพัฒนาหลักสูตร, แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาวิเคราะห์ และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการและงานด้านวิชาการ 5) คณะอนุกรรมการส่งเสริมโรงเรียนเอกชนนอกระบบโดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางวัชรี ปรัชญานุสรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสาววราภรณ์ สุวรรณศิริ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมสถานศึกษา การจัดตั้งและจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ตลอดจนพิจารณากลั่นกรอง เสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร การประกันคุณภาพการศึกษา และด้านวิชาการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 6) คณะอนุกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาเอกชนโดยมีนายพีระ รัตนวิจิตร และนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางสันธยา ดารารัตน์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสาวปริยาพร ญาณะชัย เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกําหนดแนวทางและแผนการพัฒนา ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการ, ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการในการพัฒนาผู้บริหาร ครู และบุคลากรการศึกษาเอกชน ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้า สวัสดิการ สวัสดิภาพ และแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 7) คณะอนุกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษโดยมีเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นที่ปรึกษา, นายพะโยม ชิณวงศ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนางสาวนภลภัส รัตนกิจ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรอง เสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อผู้มีความสามารถพิเศษ ผู้พิการ ผู้ยากไร้และด้อยโอกาส ตลอดจนการกําหนดมาตรการ ช่วยเหลือและสนับสนุน และแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาวิเคราะห์และเสนอความเห็น 8) คณะอนุกรรมการการพัฒนานโยบายส่งเสริมการศึกษาเอกชนโดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นางเพชรชุดา เกษประยูร เป็นประธานอนุกรรมการ และนางอาภรณ์ วงศ์อนันต์กิจ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการจัดทําข้อเสนอแนะนโยบายส่งเสริมการศึกษาเอกชน รองรับการเปลี่ยนแปลงและทิศทางการพัฒนาประเทศ แนวทางการจัดสรรทรัพยากรเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมการจัดการศึกษา การพัฒนาคุณภาพ โอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาของผู้เรียน ตลอดจนแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา 9) คณะอนุกรรมการพัฒนาการศึกษาเอกชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีนายชลํา อรรถธรรม เป็นที่ปรึกษา, นายปราโมทย์ แก้วสุข เป็นประธานอนุกรรมการ และนายเกรียงไกร ศิลารังษี เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์สภาพปัญหา และอุปสรรค การจัดการศึกษาเอกชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้, จัดทําข้อเสนอแนวทางการพัฒนาและการแก้ไขปัญหา และพิจารณากลั่นกรอง เสนอความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะในการบริหารการศึกษา ตลอดจนแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณา Writtenbyทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” จับมือ รมว.แรงงานกัมพูชา เร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติ
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 “บิ๊กอู๋” จับมือ รมว.แรงงานกัมพูชา เร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติ รมว.แรงงาน หารือ รมว.แรงงานกัมพูชา ร่วมดําเนินการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติ พร้อมแก้ปัญหาและวางระบบการทํางานร่วมกัน พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ H.E. Mr.ITH Samheng รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและฝึกอาชีพ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น ๖ อาคารกระทรวงแรงงาน (วันนี้ ๒๒ ธ.ค. 60) โดยเปิดเผยหลังการหารือว่า ได้หารือร่วมกับ H.E. Mr.ITH Samheng เกี่ยวกับความร่วมมือในการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติแรงงานกัมพูชา ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาได้เสนอขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติออกไปอีก ๖ เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับจํานวนแรงงานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติ ทั้งนี้ ทางกัมพูชามีความยินดีที่จะจัดชุดรถโมบายเคลื่อนที่ (Mobile Team) ร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานของประเทศไทย เพื่อดําเนินการพิสูจน์สัญชาติในจังหวัดที่มีแรงงานกัมพูชาอยู่เป็นจํานวนมาก โดยฝ่ายรัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนและอํานวยความสะดวกอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ H.E. Mr.ITH Samheng ยังได้ขอให้กระทรวงแรงงานรับรองมาตรฐานฝีมือแก่แรงงานกัมพูชาที่มีผ่านการทํางานในประเทศไทย “การพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล โดยจะบูรณาการการทํางานร่วมกับทางการกัมพูชา ในการแก้ปัญหาและวางระบบการทํางานร่วมกัน เพื่อให้สามารถดําเนินการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ทันเวลา ถ้าทําสําเร็จจะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศ แรงงานต่างด้าวที่มาจากประเทศกัมพูชาก็จะได้รับการคุ้มครอง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อแรงงานอย่างแท้จริง” พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด +++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” จับมือ รมว.แรงงานกัมพูชา เร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 “บิ๊กอู๋” จับมือ รมว.แรงงานกัมพูชา เร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติ รมว.แรงงาน หารือ รมว.แรงงานกัมพูชา ร่วมดําเนินการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติ พร้อมแก้ปัญหาและวางระบบการทํางานร่วมกัน พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ H.E. Mr.ITH Samheng รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและฝึกอาชีพ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น ๖ อาคารกระทรวงแรงงาน (วันนี้ ๒๒ ธ.ค. 60) โดยเปิดเผยหลังการหารือว่า ได้หารือร่วมกับ H.E. Mr.ITH Samheng เกี่ยวกับความร่วมมือในการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติแรงงานกัมพูชา ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาได้เสนอขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติออกไปอีก ๖ เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับจํานวนแรงงานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติ ทั้งนี้ ทางกัมพูชามีความยินดีที่จะจัดชุดรถโมบายเคลื่อนที่ (Mobile Team) ร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานของประเทศไทย เพื่อดําเนินการพิสูจน์สัญชาติในจังหวัดที่มีแรงงานกัมพูชาอยู่เป็นจํานวนมาก โดยฝ่ายรัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนและอํานวยความสะดวกอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ H.E. Mr.ITH Samheng ยังได้ขอให้กระทรวงแรงงานรับรองมาตรฐานฝีมือแก่แรงงานกัมพูชาที่มีผ่านการทํางานในประเทศไทย “การพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล โดยจะบูรณาการการทํางานร่วมกับทางการกัมพูชา ในการแก้ปัญหาและวางระบบการทํางานร่วมกัน เพื่อให้สามารถดําเนินการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ทันเวลา ถ้าทําสําเร็จจะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศ แรงงานต่างด้าวที่มาจากประเทศกัมพูชาก็จะได้รับการคุ้มครอง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อแรงงานอย่างแท้จริง” พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด +++++++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันคุ้มครองเงินฝากจัดงานครบรอบ 10 ปี ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 แห่งความท้าทาย บนเทรนด์เศรษฐกิจยุคดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 สถาบันคุ้มครองเงินฝากจัดงานครบรอบ 10 ปี ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 แห่งความท้าทาย บนเทรนด์เศรษฐกิจยุคดิจิทัล สถาบันคุ้มครองเงินฝาก หรือ สคฝ. จัดงานครบรอบ 10 ปี “Deposit Insurance Trends and Challenges in The Digital Era” มุ่งสู่องค์กรดิจิทัล พร้อมเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ของความท้าทายบนกระแสความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเงินยุคดิจิทัล นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กล่าวว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ ปี 2551 ตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากในสถาบันการเงิน ในกรณีที่สถาบันการเงินซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองถูกปิดกิจการ โดยผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากอย่างรวดเร็วภายในวงเงินและระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ฝากเงิน และรักษาเสถียรภาพในระบบสถาบันการเงินไทย ในโอกาสครบรอบการดําเนินงาน 10 ปี และก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 สคฝ.จึงได้จัดงานครบรอบ 10 ปี สถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้น ภายใต้แนวความคิด “Deposit Insurance Trends and Challenges in The Digital Era” โดยได้รับเกียรติจาก นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ก้าวสู่ทศวรรษแห่งความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเงินไทย” นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการเสวนาใน 2 หัวข้อ ได้แก่ “จับตาเทรนด์การเงินยุคดิจิทัล” ซึ่งเป็นการเสวนาการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการเงิน สถานการณ์ FinTech โอกาสและความท้าทายในโลกการเงินยุคดิจิทัล โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน และหัวข้อ “Deposit Insurance Trends and Challenges in Digital Era: Why, how, and for whom?” ซึ่งจะเสวนาในประเด็นที่สําคัญเกี่ยวกับแนวโน้ม และการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของโครงสร้าง และมาตรฐานการกํากับดูแลระบบสถาบันการเงินและระบบคุ้มครอง เงินฝากในระดับสากล โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากสมาคมสถาบันประกันเงินฝากนานาชาติ (IADI) และสถาบันประกันเงินฝากต่างประเทศ ตลอดช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สคฝ.ตระหนักดีว่าความเชื่อมั่นของผู้ฝากถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสําเร็จ จึงได้มีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การจ่ายคืนผู้ฝากให้ สคฝ.จ่ายเงินฝากคืนภายใน 30 วัน โดยผู้ฝากไม่ต้องมายื่นคําขอ การพัฒนาระบบข้อมูลรายผู้ฝาก และการพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก “ทศวรรษที่ 2 ของ สคฝ. ถือเป็นภารกิจแห่งความท้าทาย เพราะเป็นยุคของการเปลี่ยนผ่านรูปแบบการเงินและระบบเศรษฐกิจที่จะอิงฐานข้อมูลดิจิทัล จึงเป็นเรื่องสําคัญเร่งด่วนของผู้เกี่ยวข้องกับระบบการเงินของไทย ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ ภาคการเงินที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งกําลังเกิดขึ้นในทั่วโลก ดังนั้น การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการฝากเงิน และใช้บริการสถาบันการเงิน ยังเป็นพันธกิจที่ สคฝ. ยึดมั่น เพื่อรักษาเสถียรภาพให้แก่ระบบสถาบันการเงินไทย” นายกฤษฎากล่าว ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองเงินฝาก ได้ทางศูนย์บริการข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร.1158 และศึกษาข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.dpa.or.th, Facebook / Youtube : DPAThailand, Line : @DPAThailand “สถาบันคุ้มครองเงินฝาก คุ้มครองเพื่อคุณ” สถาบันคุ้มครองเงินฝาก อาคารเอสเจ อินฟินิท วัน บิสซิเนสคอมเพล็กซ์ ชั้น 25-27 เลขที่ 349 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันคุ้มครองเงินฝากจัดงานครบรอบ 10 ปี ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 แห่งความท้าทาย บนเทรนด์เศรษฐกิจยุคดิจิทัล วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 สถาบันคุ้มครองเงินฝากจัดงานครบรอบ 10 ปี ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 แห่งความท้าทาย บนเทรนด์เศรษฐกิจยุคดิจิทัล สถาบันคุ้มครองเงินฝาก หรือ สคฝ. จัดงานครบรอบ 10 ปี “Deposit Insurance Trends and Challenges in The Digital Era” มุ่งสู่องค์กรดิจิทัล พร้อมเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ของความท้าทายบนกระแสความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเงินยุคดิจิทัล นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กล่าวว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ ปี 2551 ตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากในสถาบันการเงิน ในกรณีที่สถาบันการเงินซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองถูกปิดกิจการ โดยผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากอย่างรวดเร็วภายในวงเงินและระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ฝากเงิน และรักษาเสถียรภาพในระบบสถาบันการเงินไทย ในโอกาสครบรอบการดําเนินงาน 10 ปี และก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 สคฝ.จึงได้จัดงานครบรอบ 10 ปี สถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้น ภายใต้แนวความคิด “Deposit Insurance Trends and Challenges in The Digital Era” โดยได้รับเกียรติจาก นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ก้าวสู่ทศวรรษแห่งความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเงินไทย” นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการเสวนาใน 2 หัวข้อ ได้แก่ “จับตาเทรนด์การเงินยุคดิจิทัล” ซึ่งเป็นการเสวนาการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการเงิน สถานการณ์ FinTech โอกาสและความท้าทายในโลกการเงินยุคดิจิทัล โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน และหัวข้อ “Deposit Insurance Trends and Challenges in Digital Era: Why, how, and for whom?” ซึ่งจะเสวนาในประเด็นที่สําคัญเกี่ยวกับแนวโน้ม และการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของโครงสร้าง และมาตรฐานการกํากับดูแลระบบสถาบันการเงินและระบบคุ้มครอง เงินฝากในระดับสากล โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากสมาคมสถาบันประกันเงินฝากนานาชาติ (IADI) และสถาบันประกันเงินฝากต่างประเทศ ตลอดช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สคฝ.ตระหนักดีว่าความเชื่อมั่นของผู้ฝากถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสําเร็จ จึงได้มีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การจ่ายคืนผู้ฝากให้ สคฝ.จ่ายเงินฝากคืนภายใน 30 วัน โดยผู้ฝากไม่ต้องมายื่นคําขอ การพัฒนาระบบข้อมูลรายผู้ฝาก และการพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก “ทศวรรษที่ 2 ของ สคฝ. ถือเป็นภารกิจแห่งความท้าทาย เพราะเป็นยุคของการเปลี่ยนผ่านรูปแบบการเงินและระบบเศรษฐกิจที่จะอิงฐานข้อมูลดิจิทัล จึงเป็นเรื่องสําคัญเร่งด่วนของผู้เกี่ยวข้องกับระบบการเงินของไทย ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ ภาคการเงินที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งกําลังเกิดขึ้นในทั่วโลก ดังนั้น การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการฝากเงิน และใช้บริการสถาบันการเงิน ยังเป็นพันธกิจที่ สคฝ. ยึดมั่น เพื่อรักษาเสถียรภาพให้แก่ระบบสถาบันการเงินไทย” นายกฤษฎากล่าว ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองเงินฝาก ได้ทางศูนย์บริการข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร.1158 และศึกษาข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.dpa.or.th, Facebook / Youtube : DPAThailand, Line : @DPAThailand “สถาบันคุ้มครองเงินฝาก คุ้มครองเพื่อคุณ” สถาบันคุ้มครองเงินฝาก อาคารเอสเจ อินฟินิท วัน บิสซิเนสคอมเพล็กซ์ ชั้น 25-27 เลขที่ 349 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ แก้ไขให้ปรับเพดานการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนจากร้อยละ 15 ของเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ แก้ไขให้ปรับเพดานการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนจากร้อยละ 15 ของเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 เพื่อให้สมาชิกสมทบเงินเอาไว้ใช้ในระยะยาวเพิ่มขึ้น และเปิดทางให้ตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เพื่อหาผลประโยชน์ตอบแทนให้กับกองทุน กบข. นายพรชัย หาญยืนยงสกุล รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ยกร่างแก้ไขในหลายประเด็น คือ (1) การให้ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพอื่นๆ สามารถโอนเงินจากกองทุนดังกล่าวให้ กบข. บริหารต่อได้ (2) เปิดทางให้ กบข. สามารถจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจํากัดได้ (3) ปรับเพดานการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนจากร้อยละ 15 ของเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 เพื่อให้สมาชิกสมทบเงินเอาไว้ใช้ในระยะยาวเพิ่มขึ้น (4) ให้ข้าราชการบางประเภทที่กฎหมายบัญญัติให้เกษียณอายุราชการ ภายหลังจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เช่น ข้าราชการตุลาการ หรือข้าราชการอัยการ เป็นเหตุให้ข้าราชการบางประเภทได้รับเงินจาก กบข. ล่าช้ากว่าหน่วยงานอื่น สามารถขอรับเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมทั้งผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวได้ (5) ให้สมาชิกที่สิ้นสุดสมาชิกภาพแล้ว แต่เลือกที่จะยังไม่ขอรับเงินสะสม เงินสมทบ เงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนของเงินดังกล่าวคืน หรือเลือกทยอยรับเงินคืน โดยให้ กบข. บริหารเงินดังกล่าวต่อไปได้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนสําหรับเงินดังกล่าว และ (6) ปรับปรุงแก้ไขการบริหารเงินของ กบข. บางประเด็น คือ (1) ขยายขอบเขตการนําเงินสํารองและเงินกองกลางของกองทุนฯ ไปลงทุนได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น (2) ให้สมาชิกเลือกแผนการลงทุนสําหรับ เงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนของเงินดังกล่าว และ (3) กําหนดให้ในกรณีที่สมาชิกไม่ได้เลือกแผนการลงทุนใด ให้ถือว่าสมาชิกยินยอมให้กองทุนจัดแผนการลงทุนที่กําหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารงานของกองทุน กบข. รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) ในครั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มสิทธิให้แก่สมาชิก เพื่อให้สมาชิกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเงินของตนเองที่อยู่ในความดูแลของ กบข. ให้มากขึ้น พร้อมทั้งการปรับปรุงแก้ไขอํานาจในการบริหารของ กบข. ให้ทันสมัย มีความคล่องตัว เพิ่มโอกาสในการลงทุน และสอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมบัญชีกลาง โทร. 0 2127 7000 ต่อ 4708กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ แก้ไขให้ปรับเพดานการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนจากร้อยละ 15 ของเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ แก้ไขให้ปรับเพดานการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนจากร้อยละ 15 ของเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 เพื่อให้สมาชิกสมทบเงินเอาไว้ใช้ในระยะยาวเพิ่มขึ้น และเปิดทางให้ตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เพื่อหาผลประโยชน์ตอบแทนให้กับกองทุน กบข. นายพรชัย หาญยืนยงสกุล รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ยกร่างแก้ไขในหลายประเด็น คือ (1) การให้ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพอื่นๆ สามารถโอนเงินจากกองทุนดังกล่าวให้ กบข. บริหารต่อได้ (2) เปิดทางให้ กบข. สามารถจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจํากัดได้ (3) ปรับเพดานการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนจากร้อยละ 15 ของเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 เพื่อให้สมาชิกสมทบเงินเอาไว้ใช้ในระยะยาวเพิ่มขึ้น (4) ให้ข้าราชการบางประเภทที่กฎหมายบัญญัติให้เกษียณอายุราชการ ภายหลังจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เช่น ข้าราชการตุลาการ หรือข้าราชการอัยการ เป็นเหตุให้ข้าราชการบางประเภทได้รับเงินจาก กบข. ล่าช้ากว่าหน่วยงานอื่น สามารถขอรับเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมทั้งผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวได้ (5) ให้สมาชิกที่สิ้นสุดสมาชิกภาพแล้ว แต่เลือกที่จะยังไม่ขอรับเงินสะสม เงินสมทบ เงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนของเงินดังกล่าวคืน หรือเลือกทยอยรับเงินคืน โดยให้ กบข. บริหารเงินดังกล่าวต่อไปได้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนสําหรับเงินดังกล่าว และ (6) ปรับปรุงแก้ไขการบริหารเงินของ กบข. บางประเด็น คือ (1) ขยายขอบเขตการนําเงินสํารองและเงินกองกลางของกองทุนฯ ไปลงทุนได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น (2) ให้สมาชิกเลือกแผนการลงทุนสําหรับ เงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนของเงินดังกล่าว และ (3) กําหนดให้ในกรณีที่สมาชิกไม่ได้เลือกแผนการลงทุนใด ให้ถือว่าสมาชิกยินยอมให้กองทุนจัดแผนการลงทุนที่กําหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารงานของกองทุน กบข. รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) ในครั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มสิทธิให้แก่สมาชิก เพื่อให้สมาชิกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเงินของตนเองที่อยู่ในความดูแลของ กบข. ให้มากขึ้น พร้อมทั้งการปรับปรุงแก้ไขอํานาจในการบริหารของ กบข. ให้ทันสมัย มีความคล่องตัว เพิ่มโอกาสในการลงทุน และสอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมบัญชีกลาง โทร. 0 2127 7000 ต่อ 4708กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว United as One” พร้อมขอบคุณผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว United as One” พร้อมขอบคุณผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน นายกรัฐมนตรีน้อมนําพระราชกระแสรับสั่งให้กําลังใจแก่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ขอให้รักษาสติ สมาธิ ปัญญาในการปฏิบัติภารกิจ โดยภารกิจจะสําเร็จเรียบร้อยก็ต่อเมื่อทุกคนออกมาและกลับสู่ครอบครัวด้วยความปลอดภัย วันนี้ ( 6 กันยายน 2561) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว United as One” ขอบคุณผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วนอุทยานถ้ําหลวง – ขุนน้ํานางนอน โดยมี รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ประธานองค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หัวหน้าส่วนราชการ เอกอัครราชทูต ผู้ช่วยทูตทหาร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ผู้สนับสนุนจากต่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนจิตอาสาที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ นักฟุตบอลทีมเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางถึง พระลานพระราชวังดุสิต ได้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้น นายกรัฐมนตรีขึ้นบนเวที ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ จบแล้ว ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและกล่าวยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่ ต่อด้วยผู้แทนแต่ละกลุ่มขึ้นรับสําเนาพระราชกระแสทรงขอบใจเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลขอบคุณน้ําใจและความเสียสละของทุกฝ่าย ที่ช่วยให้ภารกิจสําเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงการรวมพลังทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่พร้อมช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน ตลอดระยะเวลา 18 วัน ในการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่า อะคาเดมี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงห่วงใย และทรงติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด และมีพระราชกระแสรับสั่งให้กําลังใจแก่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ขอให้รักษาสติ สมาธิ ปัญญาในการปฏิบัติภารกิจ โดยภารกิจจะสําเร็จเรียบร้อยก็ต่อเมื่อทุกคนออกมาและกลับสู่ครอบครัวด้วยความปลอดภัย พร้อมทั้งพระราชทานความช่วยเหลือทั้งพระราชทรัพย์ อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ เสบียงอาหาร ตลอดจนพระราชทานแนวทางในการทํางานและแก้ไขปัญหา ทําให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พร้อมกันนี้ ขอสดุดีแด่ความกล้าหาญของนาวาตรี สมาน กุนัน ผู้เสียสละชีวิตอย่างสมเกียรติของวีรบุรุษ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความกล้าหาญและคุณความดีของนาวาตรีสมานนั้น จะประทับติดตรึงอยู่ในใจของพวกเราทุกคนตลอดไป ต่อจากนั้น นักฟุตบอลทีมเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี่ ขึ้นบนเวทีกล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและขอบคุณคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ ใจความหนึ่งว่า ขอบคุณทุกคนที่เสียสละ ทุ่มเทกายใจช่วยให้พวกเราออกมาจากถ้าได้อย่างปลอดภัย และซาบซึ้งถึงความห่วงใยและน้ําใจทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ ดังนั้นจะตอบแทนพระคุณทุกท่านด้วยการดําเนินชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด บนพื้นฐานการเป็นคนดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ และเป็นลูกศิษย์ที่ดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเป็นพลเมืองที่ดี ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทักทายผู้ปฏิบัติหน้าที่ฯ ที่มาร่วมงานและเยี่ยมชมร้านอาหารพระราชทาน ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและภริยาจะร่วมรับประทานอาหารพร้อมกับผู้ร่วมงาน อีกทั้ง ชมการแสดงบนเวที ซึ่งเมื่อจบการแสดง นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยผู้ร่วมงานร่วมร้องเพลงสามัคคีชุมนุม จบแล้ว ดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเสร็จภารกิจนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางกลับ .......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว United as One” พร้อมขอบคุณผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว United as One” พร้อมขอบคุณผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน นายกรัฐมนตรีน้อมนําพระราชกระแสรับสั่งให้กําลังใจแก่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ขอให้รักษาสติ สมาธิ ปัญญาในการปฏิบัติภารกิจ โดยภารกิจจะสําเร็จเรียบร้อยก็ต่อเมื่อทุกคนออกมาและกลับสู่ครอบครัวด้วยความปลอดภัย วันนี้ ( 6 กันยายน 2561) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว United as One” ขอบคุณผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วนอุทยานถ้ําหลวง – ขุนน้ํานางนอน โดยมี รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ประธานองค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หัวหน้าส่วนราชการ เอกอัครราชทูต ผู้ช่วยทูตทหาร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ผู้สนับสนุนจากต่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนจิตอาสาที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ นักฟุตบอลทีมเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางถึง พระลานพระราชวังดุสิต ได้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้น นายกรัฐมนตรีขึ้นบนเวที ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ จบแล้ว ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและกล่าวยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่ ต่อด้วยผู้แทนแต่ละกลุ่มขึ้นรับสําเนาพระราชกระแสทรงขอบใจเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลขอบคุณน้ําใจและความเสียสละของทุกฝ่าย ที่ช่วยให้ภารกิจสําเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงการรวมพลังทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่พร้อมช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน ตลอดระยะเวลา 18 วัน ในการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่า อะคาเดมี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงห่วงใย และทรงติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด และมีพระราชกระแสรับสั่งให้กําลังใจแก่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ขอให้รักษาสติ สมาธิ ปัญญาในการปฏิบัติภารกิจ โดยภารกิจจะสําเร็จเรียบร้อยก็ต่อเมื่อทุกคนออกมาและกลับสู่ครอบครัวด้วยความปลอดภัย พร้อมทั้งพระราชทานความช่วยเหลือทั้งพระราชทรัพย์ อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ เสบียงอาหาร ตลอดจนพระราชทานแนวทางในการทํางานและแก้ไขปัญหา ทําให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พร้อมกันนี้ ขอสดุดีแด่ความกล้าหาญของนาวาตรี สมาน กุนัน ผู้เสียสละชีวิตอย่างสมเกียรติของวีรบุรุษ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความกล้าหาญและคุณความดีของนาวาตรีสมานนั้น จะประทับติดตรึงอยู่ในใจของพวกเราทุกคนตลอดไป ต่อจากนั้น นักฟุตบอลทีมเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี่ ขึ้นบนเวทีกล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและขอบคุณคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ ใจความหนึ่งว่า ขอบคุณทุกคนที่เสียสละ ทุ่มเทกายใจช่วยให้พวกเราออกมาจากถ้าได้อย่างปลอดภัย และซาบซึ้งถึงความห่วงใยและน้ําใจทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ ดังนั้นจะตอบแทนพระคุณทุกท่านด้วยการดําเนินชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด บนพื้นฐานการเป็นคนดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ และเป็นลูกศิษย์ที่ดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเป็นพลเมืองที่ดี ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทักทายผู้ปฏิบัติหน้าที่ฯ ที่มาร่วมงานและเยี่ยมชมร้านอาหารพระราชทาน ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและภริยาจะร่วมรับประทานอาหารพร้อมกับผู้ร่วมงาน อีกทั้ง ชมการแสดงบนเวที ซึ่งเมื่อจบการแสดง นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยผู้ร่วมงานร่วมร้องเพลงสามัคคีชุมนุม จบแล้ว ดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเสร็จภารกิจนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางกลับ .......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ในพื้นที่ชายแดนใต้
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 การประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ในพื้นที่ชายแดนใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 5/2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 5/2561เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดนราธิวาสเพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานและโครงการที่สําคัญในรอบ 6 เดือน (เมษายน-กันยายน 2561) พร้อมรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากผู้นําศาสนา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การประชุมนี้เกิดจากแนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมคิด ร่วมทํา และร่วมแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมประสานงานกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ตามกลไกประชารัฐ โดยมอบหมายให้หัวหน้าและผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ อีก 12 ท่าน ทําหน้าที่ประสานเชื่อมโยงการทํางานไปยังคณะรัฐมนตรีและการบริหารราชการส่วนกลาง เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาและประสานงานให้เกิดความสําเร็จในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นสังคมสันติสุขและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สําหรับการประชุมครั้งนี้ มีความก้าวหน้าการปฏิบัติภารกิจและบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 7 กลุ่มภารกิจที่สําคัญในรอบ 6 เดือน (เมษายน-กันยายน 2561) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มงาน ดังนี้ 1) งานพัฒนาประกอบด้วย งานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม และงานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ - การจัดทําหลักสูตรแกนกลางของสถาบันศึกษาปอเนาะโดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมกับหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ โดยความเห็นชอบของสํานักจุฬาราชมนตรี ในการจัดทําร่างหลักสูตรอิสลามศึกษา เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในสถาบันศึกษาปอเนาะให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผู้เรียนได้รับวุฒิการศึกษาเพื่อใช้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ตลอดจนช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการสอนของโต๊ะครู ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและเหมาะสมกับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยได้จัดพิธีมอบหลักสูตรแกนกลางแก่สถาบันศึกษาปอเนาะใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมอบรมชี้แจงแนวทางการใช้หลักสูตรแกนกลาง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา - การแก้ปัญหาเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาโดยกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดและตําบล ได้ติดตามเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีอยู่จํานวน 45,289 คน จากจํานวนประชากรวัยเรียน (3-18 ปี) ทั้งหมด 730,727 คน เพื่อนํากลับเข้ามาในระบบการศึกษา โดยสามารถนําเด็กกลับมาเรียนได้จํานวน 25,093 คน ซึ่งในจํานวนนี้เป็นเด็กพิการและเด็กที่จบชั้น ม.3 แล้วไม่ได้เรียนต่อ มากที่สุด และสามารถแบ่งออกเป็นรายจังหวัดได้ดังนี้ สงขลา 2,809 คน, สตูล 2,448 คน, ปัตตานี 6,082 คน, ยะลา 5,203 คน และนราธิวาส 8,551 คน - ทุนการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้สําหรับเด็กในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จํานวน 19,903 ทุน ภายใต้การดําเนินโครงการหลัก 5 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้4,634 คน สําหรับนักเรียนที่ครอบครัวมีรายได้น้อย พร้อมที่พัก อาหาร และอุปกรณ์การเรียน 2) ทุนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้1,314 ทุน สําหรับนักเรียนที่มีความถนัดด้านกีฬา 10 ประเภท พร้อมที่พัก อาหาร และอุปกรณ์การเรียนและกีฬา 3) ทุนโครงการภูมิทายาท13,401 ทุน สําหรับนักเรียนที่ครอบครัวมีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม มีความประพฤติดี เรียนดี มีความสามารถพิเศษ หรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 4) ทุนโครงการโรงเรียนอุปถัมภ์ (ครอบครัวอุปถัมภ์)ปีการศึกษา 2561 จํานวน 154 ทุน แก่นักเรียนที่มีภูมิลําเนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และเรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐ โดยมีผลการเรียนไม่ต่ํากว่า 2.75 ให้ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย 35,000 บาทต่อคนต่อปี 5) ทุนโครงการอาชีวศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ปีการศึกษา 2561 จํานวน 400 ทุน แก่นักเรียนนักศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส. ที่มีภูมิลําเนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ - โครงการเสริมสร้างชุมชนชาวพุทธเข้มแข้งได้มีการพบปะ ให้กําลังใจ พร้อมประชุมหารือร่วมกับอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) เพื่อรับฟังความคิดเห็นและรับทราบปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านชุมชนไทยพุทธ - โครงการเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมอําเภอและเจ้าหน้าที่พระพุทธศาสนาอําเภอโดยได้ดําเนินการขอเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมอําเภอและเจ้าหน้าที่พระพุทธศาสนาอําเภอ จํานวน 74 คนใน 37 อําเภอ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อนําเสนอให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) พิจารณาในเดือนกรกฎาคม 2561 - โครงการวัฒนธรรมเชื่อมชายแดนใต้สันติสุขหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้จัดกิจกรรมทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทิ โครงเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม โครงการถนนสายวัฒนธรรม โครงการวิถีถิ่นตานีวิถีอาเซียน งานแสดงสินค้าวัฒนธรรมของดีเมืองตานี และงานกาชาดจังหวัดปัตตานี ประจําปี 2561 เป็นต้น - การเดินสํารวจที่ดินเพื่อแก้ปัญหาที่ดินทํากินและคุณภาพชีวิตประชาชนโดยได้สํารวจที่ดินและรับรองสิทธิ์ในการทํากินของประชาชนครอบคลุม 9 อําเภอ ในปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พร้อมดําเนินโครงการส่งเสริมด้านอาชีพเพื่อพัฒนาประชาชนในหมู่บ้านต่าง ๆ พร้อมติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2) งานความมั่นคงประกอบด้วย งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน, งานอํานวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ, งานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบายฯ และงานแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ - การจัดเวทีชาวบ้านในโครงการชุมชนศรัทธากัมปงตักวาใน 1,800 หมู่บ้านจากหมู่บ้านเป้าหมายกว่า 2,000 แห่ง โดยได้รับความสนใจจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ และได้รับความร่วมมือจากอิหม่าม โต๊ะครู กํานันผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนนายกองค์การบริหารส่วนตําบลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ได้จัดวิทยากรบรรยายสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง จนสามารถต่อยอดสู่โครงการขยายผลการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชนเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งให้การสนับสนุนงบประมาณสําหรับพัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมที่ดีและมีคุณภาพด้วยคนในชุมชนเอง โดยในปี 2560 มีหมู่บ้านผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการกว่า 40 หมู่บ้าน และอีก 80 หมู่บ้านในปี 2561 นี้ด้วย - การจัดชุดคุ้มครองตําบลจํานวน 60 ชุด เพื่อลงปฏิบัติงานใน 60 ตําบล โดยใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของประชาชน - การป้องกันและบําบัดยาเสพติดให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยสร้างจิตอาสาในหมู่บ้านเป้าหมาย พร้อมวางระบบใช้สถาบันศึกษาปอเนาะเป็นศูนย์ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด เพื่อให้ชุมชนและประชาชนดูแลคนในชุมชนเอง - การจัดตั้งสถานีตํารวจเพิ่มเติม 3 แห่ง เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง - การดําเนินโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้อย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เปิดโลกทัศน์และได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม - การจัดระบบการช่วยเหลือเยียวยาในจังหวัดชายแดนภาคใต้และปรับปรุงกฎหมายเยียวยากลาง เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ - การแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิของคนไทยที่ตกหล่นทางทะเบียนราษฎร์เพื่อดําเนินการให้ผู้ไม่มีบัตรประชาชนได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการของรัฐ 3) งานเผยแพร่และสร้างความเข้าใจซึ่งครอบคลุมงานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ - การสร้างความเข้าใจในนโยบายของรัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ที่ยึดหลักกฎหมายตามแนวทางสันติวิธีและการเคารพสิทธิมนุษยชน ตลอดจนหลักความโปร่งใส เพื่อสร้างความสงบสุขในหมู่บ้าน ชุมชน และสังคม โดยกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้อบรมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายผลสู่การเป็นวิทยากรประจําหน่วยต่อไป - การจัดพิธีมอบบันทึกความเข้าใจในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรมและการพัฒนามนุษย์ (Southern Universities' Networking for Multicultural Societies and Human Development) เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาเพื่อการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม ระดับอุดมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โดยความร่วมมือร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี และสถานศึกษาอาชีวศึกษา 18 แห่งในสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 3 ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษาในพื้นที่ พร้อมจัดกิจกรรมอบรม “โครงการค่ายพัฒนาเพื่อการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม ระดับมัธยมศึกษา” ภายใต้ผลการวิจัย เรื่องชาติพันธุ์และชาตินิยมมลายู กับการสร้างทัศนคติเชิงบวกของชาวมลายูมุสลิมรุ่นใหม่ ในสถาบันอุดมศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ และวัดความรู้ความเข้าใจพหุวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม - การสร้างเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ 3 อําเภอ ได้แก่ อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี, อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส, อําเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้เป็นเมืองต้นแบบที่มีการพัฒนาในลักษณะพิเศษ โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนที่สามารถสร้างงาน และสร้างรายได้ไปยังพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนเพิ่มพื้นที่ปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้น - การสร้างชุมชนต้นแบบอนุรักษ์ป่าต้นน้ําตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา โดยการสร้างจิตสํานึกร่วมกันของชุมชนเพื่อร่วมแรงร่วมใจรักษาผืนป่า ตระหนักถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติระหว่างคนกับป่าและคนกับต้นน้ํา การจัดการน้ํา การจัดวิสาหกิจชุมชน การใช้พลังงานน้ําเพื่อความเป็นอยู่ของคนในชุมชน โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีแผนที่จะขยายผลสร้างชุมชนต้นแบบด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติครอบคลุมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากที่สุด เพื่อให้คนอยู่ร่วมธรรมชาติได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน - การสร้างความรู้ความเข้าใจกับองค์กรพัฒนาเอกชน(Non-Governmental Organisations: NGOs) และองค์การภาคเอกชนระหว่างประเทศ (International Governmental Organisations: IGOs) เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล การดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อขยายผลสู่ความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่จะสร้างผลดีแก่พื้นที่ สู่สาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดในการประชุมองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Cooperation) หรือ OIC เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทยที่ให้การส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามวิถีชีวิตของชาวมุสลิมเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือร่วมกันถึงข้อมูลสุขภาวะอนามัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งอยู่ในความดูแลของสํานักงานเขตสุขภาพที่ 12 กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดูแล ป้องกัน และแก้ไขปัญหาสุขภาวะอนามัยของประชากรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กและเยาวชนวัยเรียน คนวัยทํางาน แรงงาน และประชาชน ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา อาทิ ทันตกรรม สภาวะโลหิตจาง ทุพโภชนาการ สุขภาวะของเด็กแรกเกิด ยาเสพติด การดูแลรักษาสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมป้องกันในหลายประการ อาทิ การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาวะอนามัยที่ถูกต้องแก่ประชาชน, การสร้างความตระหนักรู้ถึงความสําคัญของการดูแลรักษาสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว ตลอดจนการให้ผู้นําชุมชนเป็นต้นแบบในการดูแลและรักษาสุขภาพของประชาชน, ความสะดวกในการเข้าถึงบริการภาครัฐ, ความเพียงพอของจํานวนแพทย์และสถานพยาบาลในชุมชนและหมู่บ้าน, การร่วมมือและบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดําเนินงานให้มีความสําเร็จก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมรับทราบความก้าวหน้าที่จะสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยในห้วงของเดือนมหามงคล เดือนแห่งการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 66 พรรษา ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561ขอเชิญชวนให้ช่วยกันรณรงค์การทําความดีตลอดเดือนมหามงคลนี้พร้อมกับประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ โดยการน้อมนําศาสตร์พระราชา ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เป็นหลักชัยในการดําเนินงาน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานพระบรมราชปณิธาน และทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระราชบิดา ต่อจากนั้นขอให้ร่วมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา ในวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561 ซึ่งพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งที่ผ่านมาเชื่อว่าทุกคนได้ทําความดีผ่านโครงการต่าง ๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน, โครงการถนนวัฒนธรรม, การจัดงานแสดงสินค้าและของดีประจําถิ่น (OTOP) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสุขและความสามัคคีให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการจัดงานตามประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเพณีสงกรานต์, การถือศีลอดของชาวมุสลิมในเดือนรอมฎอน, การจัดงานวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมด้วยความร่มเย็นเป็นสุข บนพื้นฐานความดีงามของการสร้างบุญกุศลร่วมกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบผลการดําเนินงานของคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 7 งานตามภารกิจ พร้อมกล่าวฝากความรัก ความปรารถนาดี และความระลึกถึงทุกคน และขอให้ช่วยกันทํางานและสร้างคุณความดีด้วยความรู้รักสามัคคีตามวิถี “คนไทยไม่ทิ้งกัน” เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน โอกาสเดียวกันนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้นําคณะผู้เข้าร่วมประชุมเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ตําบลกะลุวอ อําเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดําริให้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2525 เพื่อเป็นศูนย์ศึกษาในการนําไปพัฒนาพื้นที่พรุ (Peatlands หรือพื้นที่ชุ่มน้ํา) ในจังหวัดนราธิวาสกว่า 300,000 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ํา มีน้ําขังตลอดปี และดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ํา เพราะมีสารไพไรท์ทําให้เกิดกรดกํามะถันที่จะทําให้ดินเปรี้ยวด้วย ทําให้ประชากรจํานวนมากไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรให้ได้ผลผลิตได้ จึงมอบให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาดําเนินการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุร่วมกันแบบผสมผสาน และนําผลสําเร็จของโครงการไปเป็นแบบอย่างในการที่จะพัฒนาพื้นที่พรุในโอกาสต่อไป "ปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ดําเนินการในพื้นที่ดินพรุ 261,860 ไร่ แบ่งเป็น เขตพัฒนา 95,015 ไร่ เขตอนุรักษ์ 109,938 ไร่ เขตสงวน 56,907 ไร่ และหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ อีก 8 หมู่บ้านในพื้นที่ 23,068 ไร่ และมีศูนย์สาขา 3 แห่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ได้แก่ โครงการสวนยางเขาต้นหยง อําเภอเมือง, โครงการพัฒนาหมู่บ้านปิแดมูดอ อําเภอระแงะ และโครงการหมู่บ้านปศุสัตว์-เกษตรมูโนะ อําเภอตากใบ โดยมีกิจกรรมที่สําคัญ อาทิ การศึกษาพัฒนาดินอินทรีย์และดินเปรี้ยวจัด, การศึกษาปัญหาระบบการปลูกพืช การปลูกพืชร่วมกับยางพารา เช่น ระกํา ไม้ดอก, การเกษตรยั่งยืนตามแนวทฤษฎีใหม่, การปลูกไม้ดอกเมืองหนาว, การฝึกอบรมและส่งเสริมงานศิลปาชีพพิเศษ และอื่น ๆ" Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ในพื้นที่ชายแดนใต้ วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 การประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ในพื้นที่ชายแดนใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 5/2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 5/2561เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดนราธิวาสเพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานและโครงการที่สําคัญในรอบ 6 เดือน (เมษายน-กันยายน 2561) พร้อมรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากผู้นําศาสนา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การประชุมนี้เกิดจากแนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมคิด ร่วมทํา และร่วมแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมประสานงานกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ตามกลไกประชารัฐ โดยมอบหมายให้หัวหน้าและผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ อีก 12 ท่าน ทําหน้าที่ประสานเชื่อมโยงการทํางานไปยังคณะรัฐมนตรีและการบริหารราชการส่วนกลาง เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาและประสานงานให้เกิดความสําเร็จในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นสังคมสันติสุขและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สําหรับการประชุมครั้งนี้ มีความก้าวหน้าการปฏิบัติภารกิจและบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 7 กลุ่มภารกิจที่สําคัญในรอบ 6 เดือน (เมษายน-กันยายน 2561) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มงาน ดังนี้ 1) งานพัฒนาประกอบด้วย งานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม และงานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ - การจัดทําหลักสูตรแกนกลางของสถาบันศึกษาปอเนาะโดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมกับหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ โดยความเห็นชอบของสํานักจุฬาราชมนตรี ในการจัดทําร่างหลักสูตรอิสลามศึกษา เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในสถาบันศึกษาปอเนาะให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผู้เรียนได้รับวุฒิการศึกษาเพื่อใช้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ตลอดจนช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการสอนของโต๊ะครู ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและเหมาะสมกับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยได้จัดพิธีมอบหลักสูตรแกนกลางแก่สถาบันศึกษาปอเนาะใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมอบรมชี้แจงแนวทางการใช้หลักสูตรแกนกลาง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา - การแก้ปัญหาเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาโดยกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดและตําบล ได้ติดตามเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีอยู่จํานวน 45,289 คน จากจํานวนประชากรวัยเรียน (3-18 ปี) ทั้งหมด 730,727 คน เพื่อนํากลับเข้ามาในระบบการศึกษา โดยสามารถนําเด็กกลับมาเรียนได้จํานวน 25,093 คน ซึ่งในจํานวนนี้เป็นเด็กพิการและเด็กที่จบชั้น ม.3 แล้วไม่ได้เรียนต่อ มากที่สุด และสามารถแบ่งออกเป็นรายจังหวัดได้ดังนี้ สงขลา 2,809 คน, สตูล 2,448 คน, ปัตตานี 6,082 คน, ยะลา 5,203 คน และนราธิวาส 8,551 คน - ทุนการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้สําหรับเด็กในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จํานวน 19,903 ทุน ภายใต้การดําเนินโครงการหลัก 5 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้4,634 คน สําหรับนักเรียนที่ครอบครัวมีรายได้น้อย พร้อมที่พัก อาหาร และอุปกรณ์การเรียน 2) ทุนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้1,314 ทุน สําหรับนักเรียนที่มีความถนัดด้านกีฬา 10 ประเภท พร้อมที่พัก อาหาร และอุปกรณ์การเรียนและกีฬา 3) ทุนโครงการภูมิทายาท13,401 ทุน สําหรับนักเรียนที่ครอบครัวมีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม มีความประพฤติดี เรียนดี มีความสามารถพิเศษ หรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 4) ทุนโครงการโรงเรียนอุปถัมภ์ (ครอบครัวอุปถัมภ์)ปีการศึกษา 2561 จํานวน 154 ทุน แก่นักเรียนที่มีภูมิลําเนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และเรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐ โดยมีผลการเรียนไม่ต่ํากว่า 2.75 ให้ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย 35,000 บาทต่อคนต่อปี 5) ทุนโครงการอาชีวศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ปีการศึกษา 2561 จํานวน 400 ทุน แก่นักเรียนนักศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส. ที่มีภูมิลําเนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ - โครงการเสริมสร้างชุมชนชาวพุทธเข้มแข้งได้มีการพบปะ ให้กําลังใจ พร้อมประชุมหารือร่วมกับอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) เพื่อรับฟังความคิดเห็นและรับทราบปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านชุมชนไทยพุทธ - โครงการเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมอําเภอและเจ้าหน้าที่พระพุทธศาสนาอําเภอโดยได้ดําเนินการขอเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมอําเภอและเจ้าหน้าที่พระพุทธศาสนาอําเภอ จํานวน 74 คนใน 37 อําเภอ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อนําเสนอให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) พิจารณาในเดือนกรกฎาคม 2561 - โครงการวัฒนธรรมเชื่อมชายแดนใต้สันติสุขหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้จัดกิจกรรมทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทิ โครงเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม โครงการถนนสายวัฒนธรรม โครงการวิถีถิ่นตานีวิถีอาเซียน งานแสดงสินค้าวัฒนธรรมของดีเมืองตานี และงานกาชาดจังหวัดปัตตานี ประจําปี 2561 เป็นต้น - การเดินสํารวจที่ดินเพื่อแก้ปัญหาที่ดินทํากินและคุณภาพชีวิตประชาชนโดยได้สํารวจที่ดินและรับรองสิทธิ์ในการทํากินของประชาชนครอบคลุม 9 อําเภอ ในปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พร้อมดําเนินโครงการส่งเสริมด้านอาชีพเพื่อพัฒนาประชาชนในหมู่บ้านต่าง ๆ พร้อมติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2) งานความมั่นคงประกอบด้วย งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน, งานอํานวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ, งานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบายฯ และงานแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ - การจัดเวทีชาวบ้านในโครงการชุมชนศรัทธากัมปงตักวาใน 1,800 หมู่บ้านจากหมู่บ้านเป้าหมายกว่า 2,000 แห่ง โดยได้รับความสนใจจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ และได้รับความร่วมมือจากอิหม่าม โต๊ะครู กํานันผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนนายกองค์การบริหารส่วนตําบลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ได้จัดวิทยากรบรรยายสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง จนสามารถต่อยอดสู่โครงการขยายผลการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชนเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งให้การสนับสนุนงบประมาณสําหรับพัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมที่ดีและมีคุณภาพด้วยคนในชุมชนเอง โดยในปี 2560 มีหมู่บ้านผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการกว่า 40 หมู่บ้าน และอีก 80 หมู่บ้านในปี 2561 นี้ด้วย - การจัดชุดคุ้มครองตําบลจํานวน 60 ชุด เพื่อลงปฏิบัติงานใน 60 ตําบล โดยใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของประชาชน - การป้องกันและบําบัดยาเสพติดให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยสร้างจิตอาสาในหมู่บ้านเป้าหมาย พร้อมวางระบบใช้สถาบันศึกษาปอเนาะเป็นศูนย์ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด เพื่อให้ชุมชนและประชาชนดูแลคนในชุมชนเอง - การจัดตั้งสถานีตํารวจเพิ่มเติม 3 แห่ง เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง - การดําเนินโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้อย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เปิดโลกทัศน์และได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม - การจัดระบบการช่วยเหลือเยียวยาในจังหวัดชายแดนภาคใต้และปรับปรุงกฎหมายเยียวยากลาง เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ - การแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิของคนไทยที่ตกหล่นทางทะเบียนราษฎร์เพื่อดําเนินการให้ผู้ไม่มีบัตรประชาชนได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการของรัฐ 3) งานเผยแพร่และสร้างความเข้าใจซึ่งครอบคลุมงานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ - การสร้างความเข้าใจในนโยบายของรัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ที่ยึดหลักกฎหมายตามแนวทางสันติวิธีและการเคารพสิทธิมนุษยชน ตลอดจนหลักความโปร่งใส เพื่อสร้างความสงบสุขในหมู่บ้าน ชุมชน และสังคม โดยกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้อบรมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายผลสู่การเป็นวิทยากรประจําหน่วยต่อไป - การจัดพิธีมอบบันทึกความเข้าใจในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรมและการพัฒนามนุษย์ (Southern Universities' Networking for Multicultural Societies and Human Development) เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาเพื่อการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม ระดับอุดมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โดยความร่วมมือร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี และสถานศึกษาอาชีวศึกษา 18 แห่งในสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 3 ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษาในพื้นที่ พร้อมจัดกิจกรรมอบรม “โครงการค่ายพัฒนาเพื่อการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม ระดับมัธยมศึกษา” ภายใต้ผลการวิจัย เรื่องชาติพันธุ์และชาตินิยมมลายู กับการสร้างทัศนคติเชิงบวกของชาวมลายูมุสลิมรุ่นใหม่ ในสถาบันอุดมศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ และวัดความรู้ความเข้าใจพหุวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม - การสร้างเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ 3 อําเภอ ได้แก่ อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี, อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส, อําเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้เป็นเมืองต้นแบบที่มีการพัฒนาในลักษณะพิเศษ โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนที่สามารถสร้างงาน และสร้างรายได้ไปยังพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนเพิ่มพื้นที่ปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้น - การสร้างชุมชนต้นแบบอนุรักษ์ป่าต้นน้ําตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา โดยการสร้างจิตสํานึกร่วมกันของชุมชนเพื่อร่วมแรงร่วมใจรักษาผืนป่า ตระหนักถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติระหว่างคนกับป่าและคนกับต้นน้ํา การจัดการน้ํา การจัดวิสาหกิจชุมชน การใช้พลังงานน้ําเพื่อความเป็นอยู่ของคนในชุมชน โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีแผนที่จะขยายผลสร้างชุมชนต้นแบบด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติครอบคลุมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากที่สุด เพื่อให้คนอยู่ร่วมธรรมชาติได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน - การสร้างความรู้ความเข้าใจกับองค์กรพัฒนาเอกชน(Non-Governmental Organisations: NGOs) และองค์การภาคเอกชนระหว่างประเทศ (International Governmental Organisations: IGOs) เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล การดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อขยายผลสู่ความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่จะสร้างผลดีแก่พื้นที่ สู่สาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดในการประชุมองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Cooperation) หรือ OIC เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทยที่ให้การส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามวิถีชีวิตของชาวมุสลิมเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือร่วมกันถึงข้อมูลสุขภาวะอนามัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งอยู่ในความดูแลของสํานักงานเขตสุขภาพที่ 12 กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดูแล ป้องกัน และแก้ไขปัญหาสุขภาวะอนามัยของประชากรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กและเยาวชนวัยเรียน คนวัยทํางาน แรงงาน และประชาชน ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา อาทิ ทันตกรรม สภาวะโลหิตจาง ทุพโภชนาการ สุขภาวะของเด็กแรกเกิด ยาเสพติด การดูแลรักษาสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมป้องกันในหลายประการ อาทิ การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาวะอนามัยที่ถูกต้องแก่ประชาชน, การสร้างความตระหนักรู้ถึงความสําคัญของการดูแลรักษาสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว ตลอดจนการให้ผู้นําชุมชนเป็นต้นแบบในการดูแลและรักษาสุขภาพของประชาชน, ความสะดวกในการเข้าถึงบริการภาครัฐ, ความเพียงพอของจํานวนแพทย์และสถานพยาบาลในชุมชนและหมู่บ้าน, การร่วมมือและบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดําเนินงานให้มีความสําเร็จก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมรับทราบความก้าวหน้าที่จะสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยในห้วงของเดือนมหามงคล เดือนแห่งการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 66 พรรษา ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561ขอเชิญชวนให้ช่วยกันรณรงค์การทําความดีตลอดเดือนมหามงคลนี้พร้อมกับประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ โดยการน้อมนําศาสตร์พระราชา ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เป็นหลักชัยในการดําเนินงาน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานพระบรมราชปณิธาน และทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระราชบิดา ต่อจากนั้นขอให้ร่วมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา ในวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2561 ซึ่งพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งที่ผ่านมาเชื่อว่าทุกคนได้ทําความดีผ่านโครงการต่าง ๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน, โครงการถนนวัฒนธรรม, การจัดงานแสดงสินค้าและของดีประจําถิ่น (OTOP) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสุขและความสามัคคีให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการจัดงานตามประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเพณีสงกรานต์, การถือศีลอดของชาวมุสลิมในเดือนรอมฎอน, การจัดงานวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมด้วยความร่มเย็นเป็นสุข บนพื้นฐานความดีงามของการสร้างบุญกุศลร่วมกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบผลการดําเนินงานของคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 7 งานตามภารกิจ พร้อมกล่าวฝากความรัก ความปรารถนาดี และความระลึกถึงทุกคน และขอให้ช่วยกันทํางานและสร้างคุณความดีด้วยความรู้รักสามัคคีตามวิถี “คนไทยไม่ทิ้งกัน” เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน โอกาสเดียวกันนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้นําคณะผู้เข้าร่วมประชุมเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ตําบลกะลุวอ อําเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดําริให้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2525 เพื่อเป็นศูนย์ศึกษาในการนําไปพัฒนาพื้นที่พรุ (Peatlands หรือพื้นที่ชุ่มน้ํา) ในจังหวัดนราธิวาสกว่า 300,000 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ํา มีน้ําขังตลอดปี และดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ํา เพราะมีสารไพไรท์ทําให้เกิดกรดกํามะถันที่จะทําให้ดินเปรี้ยวด้วย ทําให้ประชากรจํานวนมากไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรให้ได้ผลผลิตได้ จึงมอบให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาดําเนินการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุร่วมกันแบบผสมผสาน และนําผลสําเร็จของโครงการไปเป็นแบบอย่างในการที่จะพัฒนาพื้นที่พรุในโอกาสต่อไป "ปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ดําเนินการในพื้นที่ดินพรุ 261,860 ไร่ แบ่งเป็น เขตพัฒนา 95,015 ไร่ เขตอนุรักษ์ 109,938 ไร่ เขตสงวน 56,907 ไร่ และหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ อีก 8 หมู่บ้านในพื้นที่ 23,068 ไร่ และมีศูนย์สาขา 3 แห่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ได้แก่ โครงการสวนยางเขาต้นหยง อําเภอเมือง, โครงการพัฒนาหมู่บ้านปิแดมูดอ อําเภอระแงะ และโครงการหมู่บ้านปศุสัตว์-เกษตรมูโนะ อําเภอตากใบ โดยมีกิจกรรมที่สําคัญ อาทิ การศึกษาพัฒนาดินอินทรีย์และดินเปรี้ยวจัด, การศึกษาปัญหาระบบการปลูกพืช การปลูกพืชร่วมกับยางพารา เช่น ระกํา ไม้ดอก, การเกษตรยั่งยืนตามแนวทฤษฎีใหม่, การปลูกไม้ดอกเมืองหนาว, การฝึกอบรมและส่งเสริมงานศิลปาชีพพิเศษ และอื่น ๆ" Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล หารือ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ แห่งไอร์แลนด์ สร้างความร่วมมือด้าน ICT และการศึกษา
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560 รมว.ดิจิทัล หารือ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ แห่งไอร์แลนด์ สร้างความร่วมมือด้าน ICT และการศึกษา รมว.ดิจิทัล ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมหารือกับนายจอห์น ฮัลลิแกน (H.E. Mr. John Halligan T.D.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสําหรับการฝึกอบรมทักษะนวัตกรรม การวิจัย และพัฒนา สาธารณรัฐไอร์แลนด์ พร้อมด้วย นายเบร็นดัน รอเจอรส์ (H.E. Mr.Brendan Rogers) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐไอร์แลนด์ประจําประเทศไทย และคณะผู้แทน โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และแผนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงความเป็นไปได้และโอกาสในการจัดทําความร่วมมือด้าน IT และทักษะที่เกี่ยวข้องในขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ในโอกาสนี้ ฝ่ายไอร์แลนด์ ได้นําเสนอความก้าวหน้าและความเชี่ยวชาญในการจัดการระบบการศึกษา ซึ่งไอร์แลนด์มีสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยี และการวิจัยและนวัตกรรม ที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อพัฒนาและสนับสนุนการดําเนินงานของ SMEs ของประเทศ พร้อมทั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญและท้าทาย ทั้งนี้ ไอร์แลนด์ยินดีที่จะสนับสนุนและจัดทําความร่วมมือด้าน ICT เทคโนโลยีดิจิทัล และด้านการศึกษากับประเทศไทยในอนาคต เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องประชุมสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ ถนนรางน้ํา กรุงเทพฯ ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล หารือ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ แห่งไอร์แลนด์ สร้างความร่วมมือด้าน ICT และการศึกษา วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560 รมว.ดิจิทัล หารือ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ แห่งไอร์แลนด์ สร้างความร่วมมือด้าน ICT และการศึกษา รมว.ดิจิทัล ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมหารือกับนายจอห์น ฮัลลิแกน (H.E. Mr. John Halligan T.D.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสําหรับการฝึกอบรมทักษะนวัตกรรม การวิจัย และพัฒนา สาธารณรัฐไอร์แลนด์ พร้อมด้วย นายเบร็นดัน รอเจอรส์ (H.E. Mr.Brendan Rogers) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐไอร์แลนด์ประจําประเทศไทย และคณะผู้แทน โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และแผนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงความเป็นไปได้และโอกาสในการจัดทําความร่วมมือด้าน IT และทักษะที่เกี่ยวข้องในขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ในโอกาสนี้ ฝ่ายไอร์แลนด์ ได้นําเสนอความก้าวหน้าและความเชี่ยวชาญในการจัดการระบบการศึกษา ซึ่งไอร์แลนด์มีสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยี และการวิจัยและนวัตกรรม ที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อพัฒนาและสนับสนุนการดําเนินงานของ SMEs ของประเทศ พร้อมทั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญและท้าทาย ทั้งนี้ ไอร์แลนด์ยินดีที่จะสนับสนุนและจัดทําความร่วมมือด้าน ICT เทคโนโลยีดิจิทัล และด้านการศึกษากับประเทศไทยในอนาคต เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องประชุมสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ ถนนรางน้ํา กรุงเทพฯ ***********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7940
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำเอสเอ็มอีไทยบุกญี่ปุ่น สร้างเครือข่ายอุตฯ อาหาร - อุปกรณ์การแพทย์
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 บีโอไอนําเอสเอ็มอีไทยบุกญี่ปุ่น สร้างเครือข่ายอุตฯ อาหาร - อุปกรณ์การแพทย์ บีโอไอสงขลา จับมือบีโอไอพิษณุโลก นําคณะเอสเอ็มอีไทยจากภาคใต้และภาคเหนือเดินทางไปเยือนโตเกียว และโอซากา ประเทศญี่ปุ่น หวังสร้างเครือข่ายและขยายโอกาสทางธุรกิจในกลุ่ม อุตสาหกรรมอาหารและอุปกรณ์ทางการแพทย์ นายภนธร วงศ์พรหม ผู้อํานวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 5 (จังหวัดสงขลา) สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน ร่วมกับศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 7 (พิษณุโลก) และบีโอไอสงขลา จะจัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายการลงทุน โดยจะนําคณะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดินทางไปกรุงโตเกียว และนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 4 – 8 มีนาคม 2562 โดยกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ เข้าร่วมชมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม FOODEX JAPAN 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านานาชาติที่มีมากกว่า 3,700 บูธจาก 80 ประเทศทั่วโลก และจะเป็นตลาดสําหรับเอสเอ็มอีไทยในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มในอนาคต เพราะญี่ปุ่นนําเข้าอาหารจากทั่วโลกปีละกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉพาะอาหารสําเร็จรูป อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประเทศไทยมีศักยภาพและมีความหลากหลายในด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พืช ผัก สมุนไพร และยังเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะและขยายความร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าอาหารและเครื่องดื่มชั้นนําจากทั่วโลกไปสู่การสร้างความร่วมมือกันในอนาคตด้วย นอกจากนี้ คณะของเอสเอ็มอีไทยจะได้เดินทางไปเยี่ยมชมกิจการผลิตอาหารชั้นนําของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท Morinaga Milk Industry ผู้ผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และบริษัท Nipro Corporation ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ของญี่ปุ่น และถือเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญการคิดค้นและสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ และบีโอไอยังจะพาคณะเอสเอ็มอีไทยไปเยี่ยมชมกิจการผลิตรถเข็นและอุปกรณ์สําหรับผู้พิการของ Kawamura Gishi และกิจการผลิตอาหารแปรรูปจากบุกและผัก ของ Tsuda Food Industry ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทยที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 5 (บีโอไอสงขลา) โทร 074 584506 หรือ 074 584504 ************************************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำเอสเอ็มอีไทยบุกญี่ปุ่น สร้างเครือข่ายอุตฯ อาหาร - อุปกรณ์การแพทย์ วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 บีโอไอนําเอสเอ็มอีไทยบุกญี่ปุ่น สร้างเครือข่ายอุตฯ อาหาร - อุปกรณ์การแพทย์ บีโอไอสงขลา จับมือบีโอไอพิษณุโลก นําคณะเอสเอ็มอีไทยจากภาคใต้และภาคเหนือเดินทางไปเยือนโตเกียว และโอซากา ประเทศญี่ปุ่น หวังสร้างเครือข่ายและขยายโอกาสทางธุรกิจในกลุ่ม อุตสาหกรรมอาหารและอุปกรณ์ทางการแพทย์ นายภนธร วงศ์พรหม ผู้อํานวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 5 (จังหวัดสงขลา) สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน ร่วมกับศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 7 (พิษณุโลก) และบีโอไอสงขลา จะจัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายการลงทุน โดยจะนําคณะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดินทางไปกรุงโตเกียว และนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 4 – 8 มีนาคม 2562 โดยกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ เข้าร่วมชมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม FOODEX JAPAN 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านานาชาติที่มีมากกว่า 3,700 บูธจาก 80 ประเทศทั่วโลก และจะเป็นตลาดสําหรับเอสเอ็มอีไทยในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มในอนาคต เพราะญี่ปุ่นนําเข้าอาหารจากทั่วโลกปีละกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉพาะอาหารสําเร็จรูป อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประเทศไทยมีศักยภาพและมีความหลากหลายในด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พืช ผัก สมุนไพร และยังเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะและขยายความร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าอาหารและเครื่องดื่มชั้นนําจากทั่วโลกไปสู่การสร้างความร่วมมือกันในอนาคตด้วย นอกจากนี้ คณะของเอสเอ็มอีไทยจะได้เดินทางไปเยี่ยมชมกิจการผลิตอาหารชั้นนําของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท Morinaga Milk Industry ผู้ผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และบริษัท Nipro Corporation ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ของญี่ปุ่น และถือเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญการคิดค้นและสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ และบีโอไอยังจะพาคณะเอสเอ็มอีไทยไปเยี่ยมชมกิจการผลิตรถเข็นและอุปกรณ์สําหรับผู้พิการของ Kawamura Gishi และกิจการผลิตอาหารแปรรูปจากบุกและผัก ของ Tsuda Food Industry ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทยที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 5 (บีโอไอสงขลา) โทร 074 584506 หรือ 074 584504 ************************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งตรวจสอบหาต้นตอราคาไข่ไก่แพงห่วงประชาชนเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ระบาด
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 นายกฯ สั่งตรวจสอบหาต้นตอราคาไข่ไก่แพงห่วงประชาชนเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ระบาด นายกฯ สั่งตรวจสอบหาต้นตอราคาไข่ไก่แพงห่วงประชาชนเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ระบาด วันที่ 28 มีนาคม 2563 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบราคาไข่ไก่แพง สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องคือ กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบหาสาเหตุตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงการตรวจสอบทุกขั้นตอน กลางทาง จนถึงปลายทางที่ประชาชน ซึ่งการไล่จับผู้ค้ารายย่อย อาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด จึงต้องติดตามทุกขั้นตอน เตือนกลุ่มฉวยโอกาสขึ้นราคาต้องเห็นใจประชาชนในสถานการณ์ หลังจากรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.-30 เม.ย. 2563 ส่งผลให้พี่น้องประชาชนเป็นกังวลแห่ซื้อไข่ไก่จนขาดตลาดในบางพื้นที่ จนทําให้เกิดการฉวยโอกาสขายไข่ไก่ราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นและไม่ต้องการให้พ่อค้าแม่ค้ารู้สึกว่ารัฐบาลไปตามไล่จับ คนกลุ่มนี้ แต่ให้ดูว่าราคาที่พ่อค้าแม่ค้ารับมาราคาเป็นธรรมหรือไม่ โดยการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง จะสร้างความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมถึงการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบหรือเกิดการฉวยโอกาสขึ้นราคาขาย ในสถานการณ์ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่แล้ว รัฐบาลหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ขออย่าใช้จังหวะแบบนี้เอาเปรียบซึ่งกันและกันแต่มาร่วมช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันให้ผ่านวิกฤตไปได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งตรวจสอบหาต้นตอราคาไข่ไก่แพงห่วงประชาชนเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ระบาด วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 นายกฯ สั่งตรวจสอบหาต้นตอราคาไข่ไก่แพงห่วงประชาชนเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ระบาด นายกฯ สั่งตรวจสอบหาต้นตอราคาไข่ไก่แพงห่วงประชาชนเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ระบาด วันที่ 28 มีนาคม 2563 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบราคาไข่ไก่แพง สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องคือ กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบหาสาเหตุตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงการตรวจสอบทุกขั้นตอน กลางทาง จนถึงปลายทางที่ประชาชน ซึ่งการไล่จับผู้ค้ารายย่อย อาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด จึงต้องติดตามทุกขั้นตอน เตือนกลุ่มฉวยโอกาสขึ้นราคาต้องเห็นใจประชาชนในสถานการณ์ หลังจากรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.-30 เม.ย. 2563 ส่งผลให้พี่น้องประชาชนเป็นกังวลแห่ซื้อไข่ไก่จนขาดตลาดในบางพื้นที่ จนทําให้เกิดการฉวยโอกาสขายไข่ไก่ราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นและไม่ต้องการให้พ่อค้าแม่ค้ารู้สึกว่ารัฐบาลไปตามไล่จับ คนกลุ่มนี้ แต่ให้ดูว่าราคาที่พ่อค้าแม่ค้ารับมาราคาเป็นธรรมหรือไม่ โดยการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง จะสร้างความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมถึงการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบหรือเกิดการฉวยโอกาสขึ้นราคาขาย ในสถานการณ์ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่แล้ว รัฐบาลหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ขออย่าใช้จังหวะแบบนี้เอาเปรียบซึ่งกันและกันแต่มาร่วมช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันให้ผ่านวิกฤตไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28027
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงิน 4 เดือนแรกปี 63 ใช้จ่ายแล้ว 9.59 แสนล้านบาท พร้อมเร่งรัดส่วนราชการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงิน 4 เดือนแรกปี 63 ใช้จ่ายแล้ว 9.59 แสนล้านบาท พร้อมเร่งรัดส่วนราชการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที กรมบัญชีกลางรายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2563 (1 ต.ค.62 - 31 ม.ค.63) ใช้จ่ายแล้ว 959,941 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 และเร่งรัดส่วนราชการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที กรมบัญชีกลาง รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ปี 2563 (1 ต.ค. 62 - 31 ม.ค. 63) ใช้จ่ายแล้ว 959,941 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 และได้เร่งรัดให้ส่วนราชการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที เมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 - 31 ม.ค. 63) ซึ่งเป็นการใช้จ่ายงบประมาณปี 62 ไปพลางก่อน โดยงบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว จํานวน 959,941 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,000,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 32 จําแนกเป็น 1) รายจ่ายลงทุนมีการใช้จ่าย จํานวน 60,001 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 593,871 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.10 2) รายจ่ายประจํามีการใช้จ่าย จํานวน 899,940 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,406,129 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.40 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการใช้จ่าย จํานวน 257,039 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 263,268 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97.63 “ สําหรับโครงการที่ต้องดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างในปี 63 มีจํานวน 646,161 โครงการ เป็นเงินจํานวน237,589.8 ล้านบาท จําแนกเป็น 1) โครงการที่จัดทําสัญญาแล้ว จํานวน 561,747 โครงการ วงเงินงบประมาณ 76,602.10 ล้านบาท 2) โครงการที่อยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญา จํานวน 50,767 โครงการ วงเงินงบประมาณ 26,258.43 ล้านบาท 3) โครงการที่อยู่ระหว่างจัดหาคู่สัญญา จํานวน 33,647 โครงการ วงเงินงบประมาณ 134,729.27 ล้านบาท กรมบัญชีกลางได้เร่งรัดหน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้พร้อมรองรับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศใช้ โดยได้มอบนโยบายให้คลังเขต/คลังจังหวัดเร่งประสานงานทําความเข้าใจกับทุกหน่วยงานของรัฐให้เตรียมความพร้อมเร่งดําเนินการจัดทําสัญญาโครงการจัดซื้อจัดจ้างให้สามารถลงนามได้ทันที เมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ ” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐสามารถดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนได้ แต่จะลงนามในสัญญาต่อเมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสํานักงบประมาณแล้ว เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้โดยเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยทําให้มีเม็ดเงินกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจส่งผลดีในการพัฒนาประเทศในภาพรวมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงิน 4 เดือนแรกปี 63 ใช้จ่ายแล้ว 9.59 แสนล้านบาท พร้อมเร่งรัดส่วนราชการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงิน 4 เดือนแรกปี 63 ใช้จ่ายแล้ว 9.59 แสนล้านบาท พร้อมเร่งรัดส่วนราชการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที กรมบัญชีกลางรายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2563 (1 ต.ค.62 - 31 ม.ค.63) ใช้จ่ายแล้ว 959,941 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 และเร่งรัดส่วนราชการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที กรมบัญชีกลาง รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ปี 2563 (1 ต.ค. 62 - 31 ม.ค. 63) ใช้จ่ายแล้ว 959,941 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 และได้เร่งรัดให้ส่วนราชการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้พร้อมลงนามในสัญญาได้ทันที เมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 - 31 ม.ค. 63) ซึ่งเป็นการใช้จ่ายงบประมาณปี 62 ไปพลางก่อน โดยงบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว จํานวน 959,941 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,000,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 32 จําแนกเป็น 1) รายจ่ายลงทุนมีการใช้จ่าย จํานวน 60,001 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 593,871 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.10 2) รายจ่ายประจํามีการใช้จ่าย จํานวน 899,940 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,406,129 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.40 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการใช้จ่าย จํานวน 257,039 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 263,268 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97.63 “ สําหรับโครงการที่ต้องดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างในปี 63 มีจํานวน 646,161 โครงการ เป็นเงินจํานวน237,589.8 ล้านบาท จําแนกเป็น 1) โครงการที่จัดทําสัญญาแล้ว จํานวน 561,747 โครงการ วงเงินงบประมาณ 76,602.10 ล้านบาท 2) โครงการที่อยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญา จํานวน 50,767 โครงการ วงเงินงบประมาณ 26,258.43 ล้านบาท 3) โครงการที่อยู่ระหว่างจัดหาคู่สัญญา จํานวน 33,647 โครงการ วงเงินงบประมาณ 134,729.27 ล้านบาท กรมบัญชีกลางได้เร่งรัดหน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้พร้อมรองรับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศใช้ โดยได้มอบนโยบายให้คลังเขต/คลังจังหวัดเร่งประสานงานทําความเข้าใจกับทุกหน่วยงานของรัฐให้เตรียมความพร้อมเร่งดําเนินการจัดทําสัญญาโครงการจัดซื้อจัดจ้างให้สามารถลงนามได้ทันที เมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ ” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐสามารถดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนได้ แต่จะลงนามในสัญญาต่อเมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสํานักงบประมาณแล้ว เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้โดยเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยทําให้มีเม็ดเงินกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจส่งผลดีในการพัฒนาประเทศในภาพรวมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุม คกก. ดูแล และติดตามการดำเนินการศูนย์บริการร่วม
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 ก.แรงงาน ประชุม คกก. ดูแล และติดตามการดําเนินการศูนย์บริการร่วม วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น. นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับ ดูแล และติดตามการดําเนินการศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 3/2561 วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น. นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับ ดูแล และติดตามการดําเนินการศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องการสร้างแรงจูงใจและขวัญกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน และวีดีทัศน์การนําเสนอศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงานต่อที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน ----------------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 25 พฤษภาคม 2561 ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุม คกก. ดูแล และติดตามการดำเนินการศูนย์บริการร่วม วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 ก.แรงงาน ประชุม คกก. ดูแล และติดตามการดําเนินการศูนย์บริการร่วม วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น. นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับ ดูแล และติดตามการดําเนินการศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 3/2561 วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น. นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับ ดูแล และติดตามการดําเนินการศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องการสร้างแรงจูงใจและขวัญกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน และวีดีทัศน์การนําเสนอศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงานต่อที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน ----------------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 25 พฤษภาคม 2561 ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลใช้มาตรการภาษีจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลก ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 รัฐบาลใช้มาตรการภาษีจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลก ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รัฐบาลอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลกทั้งผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลกทั้งผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ ให้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาทํางานในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ที่รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดการลงทุนรอบใหม่ โดยจะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร้อยละ 17 หรือใช้หลักเกณฑ์หักลดหย่อนตามปกติ ไม่กระทบต่อค่าตอบแทนที่เคยได้รับในต่างประเทศ และไม่เกิดความเหลื่อมล้ํากับคนไทยหรือชาวต่างชาติที่ทํางานอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะทําให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และช่วยยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของไทยให้มากขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลใช้มาตรการภาษีจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลก ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 รัฐบาลใช้มาตรการภาษีจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลก ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รัฐบาลอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลกทั้งผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลกทั้งผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ ให้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาทํางานในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ที่รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดการลงทุนรอบใหม่ โดยจะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร้อยละ 17 หรือใช้หลักเกณฑ์หักลดหย่อนตามปกติ ไม่กระทบต่อค่าตอบแทนที่เคยได้รับในต่างประเทศ และไม่เกิดความเหลื่อมล้ํากับคนไทยหรือชาวต่างชาติที่ทํางานอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะทําให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และช่วยยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของไทยให้มากขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2458
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมชูอินดัสตรีบับเบิลเชื่อมนิวซีแลนด์เสริมแกร่งเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมชูอินดัสตรีบับเบิลเชื่อมนิวซีแลนด์เสริมแกร่งเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมชูอินดัสตรีบับเบิลเชื่อมนิวซีแลนด์เสริมแกร่งเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ กรุงเทพฯ 7 กรกฎาคม 2563 – กระทรวงอุตสาหกรรม หารือ นิวซีแลนด์ ผนึกกรอบความร่วมมือ อินดัสตรีบับเบิล (Industry Bubble)เสริมศักยภาพเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกษตรยั่งยืนและเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในสองภูมิภาค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่ากระทรวงอุตสาหกรรม มีแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเกษตรผ่านการดําเนินงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยได้หารือกรอบความร่วมมือกับประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อการเป็นพันธมิตรในด้านอุตสาหกรรมเกษตร หรือ อินดัสตรีบับเบิล (Industry Bubble) ซึ่งถือได้ว่า นิวซีแลนด์มีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกเช่นเดียวกับไทยทั้งในด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) และการทําเกษตรกรรมยั่งยืน (SustainableAgriculture) โดยกรอบความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมหรือ อินดัสตรีบับเบิล (IndustryBubble) ประเทศไทยจะนําเสนอองค์ความรู้ในการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือ บ้านบึงโมเดล ซึ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่าแม้ในภาวะวิกฤตก็ยังสามารถดําเนินกิจการได้อย่างมั่นคงขณะเดียวกันจะเร่งดําเนินการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านการพัฒนานวัตกรรมระหว่างสองประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมเกษตรเพราะไทยและนิวซีแลนด์ ถือได้ว่าเป็นประเทศศูนย์กลางที่มีศักยภาพด้านการเกษตรของแต่ละภูมิภาคของตน สําหรับประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยยาวนานกว่า64 ปีเป็นประเทศคู่ค้าลําดับที่ 31 ของไทย ซึ่งไทยเป็นประเทศคู่ค้าลําดับที่8 ของนิวซีแลนด์ โดยได้นําเข้าสินค้าทางการเกษตรมากที่สุดคือผลผลิตกลุ่มเครื่องเทศและสมุนไพร ซึ่งเป็นการสั่งซื้อจากร้านอาหารไทยที่มีอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์เป็นจํานวนมาก นายสุริยะ กล่าว ทั้งนี้นิวซีแลนด์เผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 จึงอยากสร้างความร่วมมือ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการทําเกษตรปลอดภัยและการบริหารจัดการความเสี่ยงอีกทั้ง จากมาตรการทางสาธารณสุขที่ผ่านมา พบว่า ทั้งสองประเทศมีการดําเนินการที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันจึงมั่นใจในความปลอดภัยของสินค้าเกษตรแปรรูปไทย ในการส่งออกไปยังประเทศในแถบยุโรป โดยเชื่อว่าจะสามารถยกระดับความร่วมมืออินดัสตรีบับเบิล (Industry Bubble)กับไทยในภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะเริ่มต้นจากความร่วมมือในด้านเกษตรอุตสาหกรรมที่นิวซีแลนด์มีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานรากนายสุริยะ กล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมชูอินดัสตรีบับเบิลเชื่อมนิวซีแลนด์เสริมแกร่งเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมชูอินดัสตรีบับเบิลเชื่อมนิวซีแลนด์เสริมแกร่งเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมชูอินดัสตรีบับเบิลเชื่อมนิวซีแลนด์เสริมแกร่งเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ กรุงเทพฯ 7 กรกฎาคม 2563 – กระทรวงอุตสาหกรรม หารือ นิวซีแลนด์ ผนึกกรอบความร่วมมือ อินดัสตรีบับเบิล (Industry Bubble)เสริมศักยภาพเกษตรอุตสาหกรรมสองประเทศ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกษตรยั่งยืนและเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในสองภูมิภาค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่ากระทรวงอุตสาหกรรม มีแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเกษตรผ่านการดําเนินงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยได้หารือกรอบความร่วมมือกับประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อการเป็นพันธมิตรในด้านอุตสาหกรรมเกษตร หรือ อินดัสตรีบับเบิล (Industry Bubble) ซึ่งถือได้ว่า นิวซีแลนด์มีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกเช่นเดียวกับไทยทั้งในด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) และการทําเกษตรกรรมยั่งยืน (SustainableAgriculture) โดยกรอบความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมหรือ อินดัสตรีบับเบิล (IndustryBubble) ประเทศไทยจะนําเสนอองค์ความรู้ในการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือ บ้านบึงโมเดล ซึ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่าแม้ในภาวะวิกฤตก็ยังสามารถดําเนินกิจการได้อย่างมั่นคงขณะเดียวกันจะเร่งดําเนินการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านการพัฒนานวัตกรรมระหว่างสองประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมเกษตรเพราะไทยและนิวซีแลนด์ ถือได้ว่าเป็นประเทศศูนย์กลางที่มีศักยภาพด้านการเกษตรของแต่ละภูมิภาคของตน สําหรับประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยยาวนานกว่า64 ปีเป็นประเทศคู่ค้าลําดับที่ 31 ของไทย ซึ่งไทยเป็นประเทศคู่ค้าลําดับที่8 ของนิวซีแลนด์ โดยได้นําเข้าสินค้าทางการเกษตรมากที่สุดคือผลผลิตกลุ่มเครื่องเทศและสมุนไพร ซึ่งเป็นการสั่งซื้อจากร้านอาหารไทยที่มีอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์เป็นจํานวนมาก นายสุริยะ กล่าว ทั้งนี้นิวซีแลนด์เผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 จึงอยากสร้างความร่วมมือ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการทําเกษตรปลอดภัยและการบริหารจัดการความเสี่ยงอีกทั้ง จากมาตรการทางสาธารณสุขที่ผ่านมา พบว่า ทั้งสองประเทศมีการดําเนินการที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันจึงมั่นใจในความปลอดภัยของสินค้าเกษตรแปรรูปไทย ในการส่งออกไปยังประเทศในแถบยุโรป โดยเชื่อว่าจะสามารถยกระดับความร่วมมืออินดัสตรีบับเบิล (Industry Bubble)กับไทยในภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะเริ่มต้นจากความร่วมมือในด้านเกษตรอุตสาหกรรมที่นิวซีแลนด์มีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานรากนายสุริยะ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ วางแผนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ สำหรับใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือการเกษตร และบรรเทาอุทกภัย
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ วางแผนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ํา สําหรับใช้เป็นแหล่งน้ําต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือการเกษตร และบรรเทาอุทกภัย กระทรวงเกษตรฯ วางแผนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ํา สําหรับใช้เป็นแหล่งน้ําต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือการเกษตร และบรรเทาอุทกภัย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําคลองหิน ต.คลองหิน อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ โดยอ่างเก็บน้ําดังกล่าวมีความจุที่ระดับน้ําเก็บกัก 13.37 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน มีแผนดําเนินการก่อสร้างภายในปี 2564 - 2566 "หากดําเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําคลองหินแล้วเสร็จ จะช่วยเป็นแหล่งน้ําต้นทุนสําหรับการอุปโภค-บริโภค และช่วยเหลือการเกษตรในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นการช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตําบลคลองหินและบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ํา เพื่อให้ราษฎรได้สามารถทําประโยชน์หรือมีอาชีพทํากินอีกทางหนึ่งด้วย” นายเฉลิมชัย กล่าว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (PR) อ่างเก็บน้ําแล้วเสร็จ ตั้งแต่ปี 2560 และมีแผนดําเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการระบบส่งน้ํา ในปี 2564 บริเวณพื้นที่การเกษตรตําบลคลองหิน ด้านเหนืออ่างเก็บน้ํา และจะพิจารณาก่อสร้างระบบส่งน้ําด้วยการสูบน้ํา (PUMPING) และวิธีแรงโน้มถ่วง (GRAVITY) ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ วางแผนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ สำหรับใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือการเกษตร และบรรเทาอุทกภัย วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ วางแผนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ํา สําหรับใช้เป็นแหล่งน้ําต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือการเกษตร และบรรเทาอุทกภัย กระทรวงเกษตรฯ วางแผนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ํา สําหรับใช้เป็นแหล่งน้ําต้นทุนเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือการเกษตร และบรรเทาอุทกภัย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําคลองหิน ต.คลองหิน อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ โดยอ่างเก็บน้ําดังกล่าวมีความจุที่ระดับน้ําเก็บกัก 13.37 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน มีแผนดําเนินการก่อสร้างภายในปี 2564 - 2566 "หากดําเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําคลองหินแล้วเสร็จ จะช่วยเป็นแหล่งน้ําต้นทุนสําหรับการอุปโภค-บริโภค และช่วยเหลือการเกษตรในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นการช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตําบลคลองหินและบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ํา เพื่อให้ราษฎรได้สามารถทําประโยชน์หรือมีอาชีพทํากินอีกทางหนึ่งด้วย” นายเฉลิมชัย กล่าว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (PR) อ่างเก็บน้ําแล้วเสร็จ ตั้งแต่ปี 2560 และมีแผนดําเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการระบบส่งน้ํา ในปี 2564 บริเวณพื้นที่การเกษตรตําบลคลองหิน ด้านเหนืออ่างเก็บน้ํา และจะพิจารณาก่อสร้างระบบส่งน้ําด้วยการสูบน้ํา (PUMPING) และวิธีแรงโน้มถ่วง (GRAVITY) ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33140
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต เปิดคลินิกกัญชา และโครงการรับยาใกล้บ้าน โรงพยาบาลระยอง
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 ดร.สาธิต เปิดคลินิกกัญชา และโครงการรับยาใกล้บ้าน โรงพยาบาลระยอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ และโครงการรับยาใกล้บ้าน โรงพยาบาลระยอง เพื่อการเข้าถึงการรักษาด้วยสารสกัดน้ํามันกัญชา เพิ่มความสะดวกในการรับยา ลดแออัด วันนี้ (5 กันยายน 2562) ที่โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ และเปิดโครงการรับยาใกล้บ้าน ว่า โรงพยาบาลระยอง มีศักยภาพและมีความพร้อมในการให้บริการประชาชน เป็น 1 ในโรงพยาบาลศูนย์ 13 แห่ง ที่เปิดบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โดยเริ่มให้คําปรึกษาเบื้องต้นตั้งแต่วันที่19 สิงหาคม 2562 ทําให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาด้วยสารสกัดน้ํามันกัญชาทางการแพทย์ ที่มีบุคลากรที่ผ่านการอบรม มีแนวทางดําเนินงานและคู่มือการปฏิบัติในการดูแลรักษา การส่งต่อผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลจะคัดกรองโรคและอาการตามเกณฑ์ข้อบ่งใช้ เมื่อเข้าเกณฑ์จะส่งต่อเข้ารับการรักษาในคลินิกกัญชาเพื่อการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งมีผู้เข้ารับบริการจนถึงวันที่ 4 กันยายน 2562 จํานวน 32 คน ในหลายกลุ่มโรค เช่น มะเร็งต่างๆ ปวดประสาท โรคพากินสัน อื่นๆ โดยเปิดให้บริการทุกวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือน และมีแผนจะเปิดเพิ่มขึ้นเป็น สัปดาห์ละ 1 วัน นอกจากนี้ ยังได้เร่งดําเนินการตามนโยบายลดแออัด เพิ่มความสะดวกให้ประชาชน โดยจัดทําโครงการรับยาใกล้บ้าน และเป็นโรงพยาบาลนําร่องกับผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเป็นผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมอาการได้ดี หรือผู้ป่วยโรคศัลยกรรมกระดูก ที่ไม่ใช้ยาอินซูลิน/วาร์ฟาริน หรือยาเสพติด และยังมียาเหลือพอใช้อย่างน้อย 7 วัน สามารถเลือกรับยาได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลในเครือข่าย 18 แห่ง และมีร้านขายยาเข้าร่วมโครงการจํานวน 8 แห่ง เพิ่มความสะดวก และเป็นทางเลือกให้กับผู้รับบริการ ************************************** 5 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต เปิดคลินิกกัญชา และโครงการรับยาใกล้บ้าน โรงพยาบาลระยอง วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 ดร.สาธิต เปิดคลินิกกัญชา และโครงการรับยาใกล้บ้าน โรงพยาบาลระยอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ และโครงการรับยาใกล้บ้าน โรงพยาบาลระยอง เพื่อการเข้าถึงการรักษาด้วยสารสกัดน้ํามันกัญชา เพิ่มความสะดวกในการรับยา ลดแออัด วันนี้ (5 กันยายน 2562) ที่โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ และเปิดโครงการรับยาใกล้บ้าน ว่า โรงพยาบาลระยอง มีศักยภาพและมีความพร้อมในการให้บริการประชาชน เป็น 1 ในโรงพยาบาลศูนย์ 13 แห่ง ที่เปิดบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โดยเริ่มให้คําปรึกษาเบื้องต้นตั้งแต่วันที่19 สิงหาคม 2562 ทําให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาด้วยสารสกัดน้ํามันกัญชาทางการแพทย์ ที่มีบุคลากรที่ผ่านการอบรม มีแนวทางดําเนินงานและคู่มือการปฏิบัติในการดูแลรักษา การส่งต่อผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลจะคัดกรองโรคและอาการตามเกณฑ์ข้อบ่งใช้ เมื่อเข้าเกณฑ์จะส่งต่อเข้ารับการรักษาในคลินิกกัญชาเพื่อการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งมีผู้เข้ารับบริการจนถึงวันที่ 4 กันยายน 2562 จํานวน 32 คน ในหลายกลุ่มโรค เช่น มะเร็งต่างๆ ปวดประสาท โรคพากินสัน อื่นๆ โดยเปิดให้บริการทุกวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือน และมีแผนจะเปิดเพิ่มขึ้นเป็น สัปดาห์ละ 1 วัน นอกจากนี้ ยังได้เร่งดําเนินการตามนโยบายลดแออัด เพิ่มความสะดวกให้ประชาชน โดยจัดทําโครงการรับยาใกล้บ้าน และเป็นโรงพยาบาลนําร่องกับผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเป็นผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมอาการได้ดี หรือผู้ป่วยโรคศัลยกรรมกระดูก ที่ไม่ใช้ยาอินซูลิน/วาร์ฟาริน หรือยาเสพติด และยังมียาเหลือพอใช้อย่างน้อย 7 วัน สามารถเลือกรับยาได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลในเครือข่าย 18 แห่ง และมีร้านขายยาเข้าร่วมโครงการจํานวน 8 แห่ง เพิ่มความสะดวก และเป็นทางเลือกให้กับผู้รับบริการ ************************************** 5 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22852
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจําทั้งปรับ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ภายในมีไฟล์แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 65 แห่ง ทั่วประเทศ เครื่องปริ๊นเตอร์ 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และสติ๊กเกอร์ EMS ไปรษณีย์ไทย 2 เล่ม เพื่อจัดทําใบรับรองแพทย์ปลอม นําไปใช้ทําธุรกรรมทางราชการต่าง ๆ ในราคาใบละ 1,000 บาท และใบรับรองแพทย์ปลอม ในกรณีลูกค้าต้องการลางาน รวมถึงใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ราคาใบละ 800 บาท ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจสอบพบว่ามีการทําใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยได้ส่งไปให้ลูกค้าแล้วจํานวน 4 ใบ และอยู่ระหว่างการส่งให้ลูกค้าอีก 6 ใบ นั้น เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทีมเฉพาะกิจ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เร่งตรวจสอบข้อมูลและบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการกระทําของบุคคลดังกล่าว นอกจากอาจเข้าข่ายกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว ยังอาจเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย ตามมาตรา 114/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 และมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริตหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหากพิสูจน์ได้ว่า ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือบุคคลใด เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยทุจริต มีการนําใบรับรองแพทย์ปลอมไปใช้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ อันเข้าลักษณะเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย จะมีความผิดต้องรับโทษตามบทบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้หากปรากฏว่า ผู้ทําใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ส่งใบรับรองแพทย์ดังกล่าวให้ผู้อื่นนําไปเคลมเงินเอาประกันภัยก็จะมีความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยทุจริต ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับเช่นกัน ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ.ได้กําชับให้บริษัทประกันภัยตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะความถูกต้องของใบรับรองแพทย์ตามข่าว รวมถึงได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์บูรณาการร่วมกับสายกฎหมายและคดี ติดตามและตรวจสอบขบวนการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องตามสัญญาประกันภัย “การเจตนา จงใจ ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพื่อหวังเงินประกันภัยโควิด-19 ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนอกจากบริษัทประกันภัยจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินเอาประกันภัยแล้ว หากการกระทําดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย ผู้กระทําความผิดต้องรับโทษทางอาญาทั้งจําคุกและ/หรือปรับอีกด้วย จึงขอเตือนไม่ให้มีการกระทําผิดดังกล่าว แต่สําหรับผู้ที่ใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสํานักงาน คปภ.จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยของท่านอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจําทั้งปรับ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ภายในมีไฟล์แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 65 แห่ง ทั่วประเทศ เครื่องปริ๊นเตอร์ 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และสติ๊กเกอร์ EMS ไปรษณีย์ไทย 2 เล่ม เพื่อจัดทําใบรับรองแพทย์ปลอม นําไปใช้ทําธุรกรรมทางราชการต่าง ๆ ในราคาใบละ 1,000 บาท และใบรับรองแพทย์ปลอม ในกรณีลูกค้าต้องการลางาน รวมถึงใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ราคาใบละ 800 บาท ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจสอบพบว่ามีการทําใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยได้ส่งไปให้ลูกค้าแล้วจํานวน 4 ใบ และอยู่ระหว่างการส่งให้ลูกค้าอีก 6 ใบ นั้น เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทีมเฉพาะกิจ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เร่งตรวจสอบข้อมูลและบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการกระทําของบุคคลดังกล่าว นอกจากอาจเข้าข่ายกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว ยังอาจเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย ตามมาตรา 114/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 และมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริตหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหากพิสูจน์ได้ว่า ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือบุคคลใด เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยทุจริต มีการนําใบรับรองแพทย์ปลอมไปใช้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ อันเข้าลักษณะเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย จะมีความผิดต้องรับโทษตามบทบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้หากปรากฏว่า ผู้ทําใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ส่งใบรับรองแพทย์ดังกล่าวให้ผู้อื่นนําไปเคลมเงินเอาประกันภัยก็จะมีความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยทุจริต ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับเช่นกัน ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ.ได้กําชับให้บริษัทประกันภัยตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะความถูกต้องของใบรับรองแพทย์ตามข่าว รวมถึงได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์บูรณาการร่วมกับสายกฎหมายและคดี ติดตามและตรวจสอบขบวนการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องตามสัญญาประกันภัย “การเจตนา จงใจ ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพื่อหวังเงินประกันภัยโควิด-19 ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนอกจากบริษัทประกันภัยจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินเอาประกันภัยแล้ว หากการกระทําดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย ผู้กระทําความผิดต้องรับโทษทางอาญาทั้งจําคุกและ/หรือปรับอีกด้วย จึงขอเตือนไม่ให้มีการกระทําผิดดังกล่าว แต่สําหรับผู้ที่ใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสํานักงาน คปภ.จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยของท่านอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.รง.ลงพื้นที่อุดรธานี ติดตามงาน 5 จว.อีสาน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2560 รมว.รง.ลงพื้นที่อุดรธานี ติดตามงาน 5 จว.อีสาน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รมว.แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ติดตามผลการดําเนินงานส่งเสริมคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานนอกระบบและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ พัฒนาศักยภาพแรงงานเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน รมว.แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ติดตามผลการดําเนินงานส่งเสริมคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานนอกระบบและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ พัฒนาศักยภาพแรงงานเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบนโยบายหัวหน้าส่วน 5 จังหวัดอีสาน เน้นทํางานเชิงรุก บูรณาการ ติดตามสถานการณ์ และโปร่งใสไร้ทุจริต สนับสนุนสถานประกอบการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วันนี้ (18 ส.ค.60)พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมติดตามผลการดําเนินงานด้านแรงงานตามนโยบายรัฐบาล พร้อมรับฟังประเด็นปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยเผยว่า การประชุมในวันนี้เพื่อติดตามและผลักดันงานด้านแรงงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงแรงงานให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในปี ๒๕๖๐ กระทรวงจะปรับบทบาทภารกิจกว้างขึ้น โดยดูแลพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวม จึงได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนโดยตรง เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการเป็นแนวทางในการพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานด้านแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ต่อไป การประชุมครั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบแนวทางการปฏิบัติราชการแก่หัวหน้าส่วนราชการภูมิภาคในสังกัดกระทรวงแรงงาน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานน้อมนํา“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักนําในการปฏิบัติราชการ บูรณาการการทํางานร่วมกันตามแนวประชารัฐให้มีความเข้มข้นมากขึ้น บูรณการแผนงานระดับจังหวัด Labour Team และแผนงานระดับพื้นที่ Labour Group ให้สอดคล้องกันโดยยึดแผนแรงงานระดับชาติ Labour Community เป็นหลัก พร้อมกับให้ติดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทั้งระดับโลกและระดับประเทศ เพื่อนํามากําหนดแผนพัฒนากําลังแรงงานและพัฒนาทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการของพื้นที่ ตลอดจนเน้นย้ําให้เป็นนักประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เรื่องกฎหมายแรงงานแก่ประชาชน ยึดนโยบาย Zero Tolerance โดยปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย นอกจากนี้ ขอให้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อย่างทันเหตุการณ์ จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะยังได้พบปะกลุ่มแรงงานนอกระบบ และผู้สูงอายุ ณ องค์การบริหารส่วนตําบลนาพู่ อําเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี เพื่อพัฒนาแรงงานนอกระบบและผู้มีรายได้น้อยให้มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานรองรับการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ตรวจเยี่ยมการให้บริการต่างๆ ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยม บริษัท ไทยนํามันสําปะหลัง จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่ดําเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Geen Job) อีกด้วย -------------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 18 สิงหาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.รง.ลงพื้นที่อุดรธานี ติดตามงาน 5 จว.อีสาน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2560 รมว.รง.ลงพื้นที่อุดรธานี ติดตามงาน 5 จว.อีสาน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รมว.แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ติดตามผลการดําเนินงานส่งเสริมคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานนอกระบบและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ พัฒนาศักยภาพแรงงานเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน รมว.แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ติดตามผลการดําเนินงานส่งเสริมคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานนอกระบบและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ พัฒนาศักยภาพแรงงานเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบนโยบายหัวหน้าส่วน 5 จังหวัดอีสาน เน้นทํางานเชิงรุก บูรณาการ ติดตามสถานการณ์ และโปร่งใสไร้ทุจริต สนับสนุนสถานประกอบการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วันนี้ (18 ส.ค.60)พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมติดตามผลการดําเนินงานด้านแรงงานตามนโยบายรัฐบาล พร้อมรับฟังประเด็นปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยเผยว่า การประชุมในวันนี้เพื่อติดตามและผลักดันงานด้านแรงงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงแรงงานให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในปี ๒๕๖๐ กระทรวงจะปรับบทบาทภารกิจกว้างขึ้น โดยดูแลพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวม จึงได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนโดยตรง เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการเป็นแนวทางในการพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานด้านแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ต่อไป การประชุมครั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบแนวทางการปฏิบัติราชการแก่หัวหน้าส่วนราชการภูมิภาคในสังกัดกระทรวงแรงงาน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานน้อมนํา“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักนําในการปฏิบัติราชการ บูรณาการการทํางานร่วมกันตามแนวประชารัฐให้มีความเข้มข้นมากขึ้น บูรณการแผนงานระดับจังหวัด Labour Team และแผนงานระดับพื้นที่ Labour Group ให้สอดคล้องกันโดยยึดแผนแรงงานระดับชาติ Labour Community เป็นหลัก พร้อมกับให้ติดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทั้งระดับโลกและระดับประเทศ เพื่อนํามากําหนดแผนพัฒนากําลังแรงงานและพัฒนาทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการของพื้นที่ ตลอดจนเน้นย้ําให้เป็นนักประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เรื่องกฎหมายแรงงานแก่ประชาชน ยึดนโยบาย Zero Tolerance โดยปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย นอกจากนี้ ขอให้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อย่างทันเหตุการณ์ จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะยังได้พบปะกลุ่มแรงงานนอกระบบ และผู้สูงอายุ ณ องค์การบริหารส่วนตําบลนาพู่ อําเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี เพื่อพัฒนาแรงงานนอกระบบและผู้มีรายได้น้อยให้มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานรองรับการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ตรวจเยี่ยมการให้บริการต่างๆ ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยม บริษัท ไทยนํามันสําปะหลัง จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่ดําเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Geen Job) อีกด้วย -------------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 18 สิงหาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน”
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วันพุธทืี่ 15 กรกฎาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้เกิดการบริโภค จับจ่ายใช้สอย หลังจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าโรงแรมที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยว ในลักษณะร่วมจ่าย ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมใช้สิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. นี้ ที่ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com โดยคาดการณ์ว่าโครงการนี้ จะช่วยให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นประมาณ 41,000 ล้านบาท และช่วยประคองเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ให้เดินหน้าต่อไปได้ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วันพุธทืี่ 15 กรกฎาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้เกิดการบริโภค จับจ่ายใช้สอย หลังจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าโรงแรมที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยว ในลักษณะร่วมจ่าย ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมใช้สิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. นี้ ที่ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com โดยคาดการณ์ว่าโครงการนี้ จะช่วยให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นประมาณ 41,000 ล้านบาท และช่วยประคองเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ให้เดินหน้าต่อไปได้ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ำ ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ํา ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ํา ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ พร้อมตั้งจุดบริการพักรถ ฟรีค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเปิดพื้นที่ให้เป็นจุดจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพ ช่วยกระจายรายได้ “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ํา ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ พร้อมตั้งจุดบริการพักรถ ฟรีค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเปิดพื้นที่ให้เป็นจุดจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพ ช่วยกระจายรายได้สู่เกษตรกรช่วงปีใหม่ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมจัดกิจกรรม “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” โดยทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมบูรณาการกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ แสดงออกถึงไมตรีจิต ความสัมพันธ์ และความร่วมมืออันดี ในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรไปพร้อมกัน ทั้งภาคประชาชน เกษตรกร ภาครัฐและเอกชน โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2559 - 12 มกราคม 2560 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ กิจกรรมส่งเสริมแหล่งบริการท่องเที่ยวเชิงเกษตร กิจกรรมบริการประชาชน และกิจกรรมมอบความรู้ พัฒนาอาชีพ และกิจกรรมลดรายจ่ายในครัวเรือน ด้าน นายสุรพงษ์ เจียสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรม “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่จะมอบให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย กิจกรรมส่งเสริมแหล่งบริการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีตามแหล่งท่องเที่ยวของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ กว่า 125 แห่งทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเชียงราย ดอยวาวี ขุนวางและเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น กิจกรรมบริการประชาชนโดยให้หน่วยงานในสังกัดที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลัก และสายรองที่สําคัญตั้งจุดบริการพักรถที่ปลอดภัย ห้องน้ําสะอาด ไว้บริการประชาชนที่สัญจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ กว่า 400 จุดพร้อมทั้งจัดพื้นที่ให้เกษตรกรสามารถนําสินค้าเกษตรคุณภาพมาจําหน่ายได้ ด้านกรมปศุสัตว์ เตรียมให้บริการทําหมัน ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยงฟรี ณ สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศ กิจกรรมมอบความรู้ พัฒนาอาชีพ และสาธิตสร้างการเรียนรู้ ที่จะให้บริการข้อมูลวิชาการ อาทิ ระบบชลประทานน้ําหยด การสหกรณ์ อาหารปลอดภัย เป็นต้น และกิจกรรมลดรายจ่ายในครัวเรือน อาทิ การจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของสหกรณ์ ลดราคา 10 % ณ จุดจําหน่ายสํานักงานสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ การจําหน่ายผลิตภัณฑ์นม อ.ส.ค. และแบรนด์อื่นๆ ในราคาพิเศษ ลดราคา 2 – 10 % ตามช่องทางจําหน่ายที่ร่วมรายการ และ ณ ร้านค้าของ อ.ส.ค. เป็นต้น รวมทั้ง กระทรวงเกษตรฯ จะส่งมอบแหล่งน้ําในไร่นา จํานวน 1,000 บ่อ ฝาย ถนน และหนังสือแสดงสิทธิ์ในพื้นที่เกษตรกรรมจัดรูปที่ดิน กว่า 100 ฉบับ เพื่อเป็นของขวัญแก่เกษตรกรและประชาชน พร้อมทั้งการปล่อยหอยลาย ปล่อยพันธุ์ปลา 8.9 ล้านตัว คืนสู่แหล่งน้ําธรรมชาติ เพื่อรักษาสมดุลทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความมั่นคงด้านอาหารด้วย นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังให้บริการจัดกระเช้าปีใหม่ ด้วยสินค้าสหกรณ์คุณภาพในราคาพิเศษ ซึ่งจัดงานระหว่างวันที่ 25 พ.ย. 59 – 15 ม.ค. 60 บริเวณกรมส่งเสริมสหกรณ์ อาคาร 3 ชั้น 1 อีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ำ ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ํา ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ํา ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ พร้อมตั้งจุดบริการพักรถ ฟรีค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเปิดพื้นที่ให้เป็นจุดจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพ ช่วยกระจายรายได้ “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เตรียมส่งมอบแหล่งน้ํา ฝาย หนังสือแสดงสิทธิ์ฯ แด่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ พร้อมตั้งจุดบริการพักรถ ฟรีค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเปิดพื้นที่ให้เป็นจุดจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพ ช่วยกระจายรายได้สู่เกษตรกรช่วงปีใหม่ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมจัดกิจกรรม “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” โดยทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมบูรณาการกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ แสดงออกถึงไมตรีจิต ความสัมพันธ์ และความร่วมมืออันดี ในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรไปพร้อมกัน ทั้งภาคประชาชน เกษตรกร ภาครัฐและเอกชน โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2559 - 12 มกราคม 2560 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ กิจกรรมส่งเสริมแหล่งบริการท่องเที่ยวเชิงเกษตร กิจกรรมบริการประชาชน และกิจกรรมมอบความรู้ พัฒนาอาชีพ และกิจกรรมลดรายจ่ายในครัวเรือน ด้าน นายสุรพงษ์ เจียสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรม “ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่จะมอบให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย กิจกรรมส่งเสริมแหล่งบริการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีตามแหล่งท่องเที่ยวของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ กว่า 125 แห่งทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเชียงราย ดอยวาวี ขุนวางและเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น กิจกรรมบริการประชาชนโดยให้หน่วยงานในสังกัดที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลัก และสายรองที่สําคัญตั้งจุดบริการพักรถที่ปลอดภัย ห้องน้ําสะอาด ไว้บริการประชาชนที่สัญจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ กว่า 400 จุดพร้อมทั้งจัดพื้นที่ให้เกษตรกรสามารถนําสินค้าเกษตรคุณภาพมาจําหน่ายได้ ด้านกรมปศุสัตว์ เตรียมให้บริการทําหมัน ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยงฟรี ณ สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศ กิจกรรมมอบความรู้ พัฒนาอาชีพ และสาธิตสร้างการเรียนรู้ ที่จะให้บริการข้อมูลวิชาการ อาทิ ระบบชลประทานน้ําหยด การสหกรณ์ อาหารปลอดภัย เป็นต้น และกิจกรรมลดรายจ่ายในครัวเรือน อาทิ การจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของสหกรณ์ ลดราคา 10 % ณ จุดจําหน่ายสํานักงานสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ การจําหน่ายผลิตภัณฑ์นม อ.ส.ค. และแบรนด์อื่นๆ ในราคาพิเศษ ลดราคา 2 – 10 % ตามช่องทางจําหน่ายที่ร่วมรายการ และ ณ ร้านค้าของ อ.ส.ค. เป็นต้น รวมทั้ง กระทรวงเกษตรฯ จะส่งมอบแหล่งน้ําในไร่นา จํานวน 1,000 บ่อ ฝาย ถนน และหนังสือแสดงสิทธิ์ในพื้นที่เกษตรกรรมจัดรูปที่ดิน กว่า 100 ฉบับ เพื่อเป็นของขวัญแก่เกษตรกรและประชาชน พร้อมทั้งการปล่อยหอยลาย ปล่อยพันธุ์ปลา 8.9 ล้านตัว คืนสู่แหล่งน้ําธรรมชาติ เพื่อรักษาสมดุลทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความมั่นคงด้านอาหารด้วย นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังให้บริการจัดกระเช้าปีใหม่ ด้วยสินค้าสหกรณ์คุณภาพในราคาพิเศษ ซึ่งจัดงานระหว่างวันที่ 25 พ.ย. 59 – 15 ม.ค. 60 บริเวณกรมส่งเสริมสหกรณ์ อาคาร 3 ชั้น 1 อีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งสำรวจพื้นที่การเกษตรประเมินความเสียหาย ‘ชลประทาน-ประมง-ปศุสัตว์’ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เร่งสํารวจพื้นที่การเกษตรประเมินความเสียหาย ‘ชลประทาน-ประมง-ปศุสัตว์’ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กระทรวงเกษตรฯ เร่งสํารวจพื้นที่การเกษตรประเมินความเสียหาย ‘ชลประทาน-ประมง-ปศุสัตว์’ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คาด 7 มค. สถานการณ์จะดีขึ้นฝนลดลง นายสุรจิตต์ อินทรชิต รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการและบัญชาการณ์สถานการณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ศอบ.กษ.) พายุโซนร้อนปาบึก เปิดเผยว่า ตามที่พายุโซนร้อน ปาบึก ได้เคลื่อนลงสู่ทะเลอันดามันแล้วนั้น ทําให้จะเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และมีลมกรรโชกแรงมีความเสี่ยงที่จะมีมวลน้ําสะสมจากที่สูง น้ําท่วม น้ําหลาก ดินโคลนถล่ม และคลื่นซัดฝั่งรุนแรง ส่งผลให้บ้านเรือน ทรัพย์สินทางการเกษตร (สวนยางพารา สวนปาล์ม โดยเฉพาะสวน ที่มีต้นไม้ขนาดเล็ก นาข้าว สวนผัก เรือประมงและเครื่องมือประมง บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําชายฝั่งตลอดจนสัตว์เล็ก ได้รับเสียหายเล็กน้อย จนถึงเสียหายสิ้นเชิง ดังนั้น จึงขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการ อาทิ 1) เฝ้าระวัง/เตือนภัย พื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดจากน้ําป่าไหลหลาก และเกิดน้ําท่วมฉับพลัน พื้นที่เกษตรลุ่มต่ํา พื้นที่ริมเชิงเขา ริมแม่น้ําลําคลอง ซึ่งมีความเสี่ยง 2) จัดเจ้าหน้าที่วิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ นายสัตวแพทย์ วิศวะกรชลประทาน แบ่งกําลัง ประเมินความเสียหายเบื้องต้น ให้คําแนะนําการดูแลพืช ปศุสัตว์ ประมง รวมทั้งแจ้งสิทธิการรับการช่วยเหลือจากรัฐตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง 3) จัดทรัพยากร อาทิ ยานพาหนะที่เหมาะสม วัสดุอุปกรณ์การช่วยเหลือฟื้นฟู เอกสารคําแนะนํา ฯลฯ 4) เร่งประเมินความเสียหายเบื้องต้นและเร่งจัดเครื่องสูบน้ํา การขุดเปิดทางระบายน้ําโดยทันที 6) หากจังหวัดใดต้องการสนับสนุนกําลังพล และทรัพยากรเพิ่มเติม ให้ร้องขอมาที่ ศอบ.กษ. โดยทันที 7) ให้ประมงจังหวัด เฝ้าระวังคลื่นซัดฝั่งซึ่งจะกระทบต่อเรือประมง บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําตามแนวชายฝั่ง และ 8) ให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจการเกษตรเบื้องต้น เพื่อนําไปสู่การวางแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูต่อไป สําหรับการช่วยเหลือ ด้านชลประทาน เร่งระบายน้ําในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช 26 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 26 เครื่อง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี 3 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 2 เครื่อง ด้านปศุสัตว์ จัดส่งหญ้าพระราชทานจากชัยนาทลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จํานวน 400 ฟ่อน แจกจ่ายเสบียงสัตว์ 3,000 กิโลกรัม และถุงยังชีพ สัตว์ 436 ชุดในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส นครศรีธรรมราช และปัตตานี ด้านประมง เตรียมเรือท้องแบน จํานวน 67 ลํา เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งนี้ แนวโน้มสถานการณ์ ฝนจะลดลงในช่วงวันที่ 7 ม.ค. 62 แต่ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องในภาคฝั่งตะวันออก คลื่นลมชายฝั่งแรง และน้ําทะเลหนุนสูง ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม นอกจากนี้ได้รับรายงานผลกระทบด้านการเกษตรในพื้นที่ แบ่งเป็น ด้านพืช 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี เกษตรกร 129,073 ราย พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 89,969 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 20,406 ไร่ พืชไร่ 4,530 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 65,033 ไร่ ด้านปศุสัตว์ 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เกษตรกร 2,763 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 4,006 ตัว แบ่งเป็น โค-กระบือ 3,271 ตัว แพะ-แกะ 185 ตัว สัตว์ปีก 550 ตัว ด้านประมง 1 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช เกษตรกร 5,600 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําได้รับผลกระทบ 20,800 ไร่ แบ่งเป็น บ่อปลา 11,600 ไร่ บ่อกุ้ง/ปู/หอย ทะเล 9,200 ไร่ ตลอดจนเรือประมงพื้นบ้านที่จอดเทียบบริเวณชายหาด ได้รับความเสียหาย จากการเกิดเหตุการณ์คลื่นลมแรง และน้ําขึ้นสูงท่วมชายฝั่ง ตลอดแนวชายฝั่งทะเลจังหวัดระยอง ในพื้นที่อําเภอเมืองระยอง อําเภอบ้านฉาง และอําเภอแกลง รวม 50 ลํา ในขณะนี้หน่วยงานกรมประมง ร่วมบูรณาการตรวจสอบความเสียหาย และจะรายงานให้ทราบเป็นระยะต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งสำรวจพื้นที่การเกษตรประเมินความเสียหาย ‘ชลประทาน-ประมง-ปศุสัตว์’ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เร่งสํารวจพื้นที่การเกษตรประเมินความเสียหาย ‘ชลประทาน-ประมง-ปศุสัตว์’ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กระทรวงเกษตรฯ เร่งสํารวจพื้นที่การเกษตรประเมินความเสียหาย ‘ชลประทาน-ประมง-ปศุสัตว์’ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คาด 7 มค. สถานการณ์จะดีขึ้นฝนลดลง นายสุรจิตต์ อินทรชิต รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการและบัญชาการณ์สถานการณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ศอบ.กษ.) พายุโซนร้อนปาบึก เปิดเผยว่า ตามที่พายุโซนร้อน ปาบึก ได้เคลื่อนลงสู่ทะเลอันดามันแล้วนั้น ทําให้จะเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และมีลมกรรโชกแรงมีความเสี่ยงที่จะมีมวลน้ําสะสมจากที่สูง น้ําท่วม น้ําหลาก ดินโคลนถล่ม และคลื่นซัดฝั่งรุนแรง ส่งผลให้บ้านเรือน ทรัพย์สินทางการเกษตร (สวนยางพารา สวนปาล์ม โดยเฉพาะสวน ที่มีต้นไม้ขนาดเล็ก นาข้าว สวนผัก เรือประมงและเครื่องมือประมง บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําชายฝั่งตลอดจนสัตว์เล็ก ได้รับเสียหายเล็กน้อย จนถึงเสียหายสิ้นเชิง ดังนั้น จึงขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการ อาทิ 1) เฝ้าระวัง/เตือนภัย พื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดจากน้ําป่าไหลหลาก และเกิดน้ําท่วมฉับพลัน พื้นที่เกษตรลุ่มต่ํา พื้นที่ริมเชิงเขา ริมแม่น้ําลําคลอง ซึ่งมีความเสี่ยง 2) จัดเจ้าหน้าที่วิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ นายสัตวแพทย์ วิศวะกรชลประทาน แบ่งกําลัง ประเมินความเสียหายเบื้องต้น ให้คําแนะนําการดูแลพืช ปศุสัตว์ ประมง รวมทั้งแจ้งสิทธิการรับการช่วยเหลือจากรัฐตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง 3) จัดทรัพยากร อาทิ ยานพาหนะที่เหมาะสม วัสดุอุปกรณ์การช่วยเหลือฟื้นฟู เอกสารคําแนะนํา ฯลฯ 4) เร่งประเมินความเสียหายเบื้องต้นและเร่งจัดเครื่องสูบน้ํา การขุดเปิดทางระบายน้ําโดยทันที 6) หากจังหวัดใดต้องการสนับสนุนกําลังพล และทรัพยากรเพิ่มเติม ให้ร้องขอมาที่ ศอบ.กษ. โดยทันที 7) ให้ประมงจังหวัด เฝ้าระวังคลื่นซัดฝั่งซึ่งจะกระทบต่อเรือประมง บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําตามแนวชายฝั่ง และ 8) ให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจการเกษตรเบื้องต้น เพื่อนําไปสู่การวางแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูต่อไป สําหรับการช่วยเหลือ ด้านชลประทาน เร่งระบายน้ําในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช 26 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 26 เครื่อง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี 3 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 2 เครื่อง ด้านปศุสัตว์ จัดส่งหญ้าพระราชทานจากชัยนาทลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จํานวน 400 ฟ่อน แจกจ่ายเสบียงสัตว์ 3,000 กิโลกรัม และถุงยังชีพ สัตว์ 436 ชุดในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส นครศรีธรรมราช และปัตตานี ด้านประมง เตรียมเรือท้องแบน จํานวน 67 ลํา เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งนี้ แนวโน้มสถานการณ์ ฝนจะลดลงในช่วงวันที่ 7 ม.ค. 62 แต่ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องในภาคฝั่งตะวันออก คลื่นลมชายฝั่งแรง และน้ําทะเลหนุนสูง ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม นอกจากนี้ได้รับรายงานผลกระทบด้านการเกษตรในพื้นที่ แบ่งเป็น ด้านพืช 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี เกษตรกร 129,073 ราย พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 89,969 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 20,406 ไร่ พืชไร่ 4,530 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 65,033 ไร่ ด้านปศุสัตว์ 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เกษตรกร 2,763 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 4,006 ตัว แบ่งเป็น โค-กระบือ 3,271 ตัว แพะ-แกะ 185 ตัว สัตว์ปีก 550 ตัว ด้านประมง 1 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช เกษตรกร 5,600 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําได้รับผลกระทบ 20,800 ไร่ แบ่งเป็น บ่อปลา 11,600 ไร่ บ่อกุ้ง/ปู/หอย ทะเล 9,200 ไร่ ตลอดจนเรือประมงพื้นบ้านที่จอดเทียบบริเวณชายหาด ได้รับความเสียหาย จากการเกิดเหตุการณ์คลื่นลมแรง และน้ําขึ้นสูงท่วมชายฝั่ง ตลอดแนวชายฝั่งทะเลจังหวัดระยอง ในพื้นที่อําเภอเมืองระยอง อําเภอบ้านฉาง และอําเภอแกลง รวม 50 ลํา ในขณะนี้หน่วยงานกรมประมง ร่วมบูรณาการตรวจสอบความเสียหาย และจะรายงานให้ทราบเป็นระยะต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. เผย มีสถานศึกษาผ่านการประเมินความปลอดภัย การลดการแพร่เชื้อโรค จากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 คาดสถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 ก่อนเปิดภาคเรียน
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ศธ. เผย มีสถานศึกษาผ่านการประเมินความปลอดภัย การลดการแพร่เชื้อโรค จากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 คาดสถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 ก่อนเปิดภาคเรียน ศธ. เผย มีสถานศึกษาผ่านการประเมินความปลอดภัย การลดการแพร่เชื้อโรค จากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 คาดสถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 ก่อนเปิดภาคเรียน วันนี้ (22 มิ.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวราวิช กําภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เผยถึงมาตรการด้านการศึกษา ในกรณีที่จะมีการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีแคมเปญ Back to Healthy School โรงเรียนสุขภาพดี นักเรียนมีความสุข ที่ได้เลื่อนการเปิดเทอมจากเดิม ที่มีการเปิดเทอมในวันที่ 16 พ.ค. - 10 ต.ค. และวันที่ 1 พ.ย. - 31 มี.ค. เป็นวันที่ 1 ก.ค. - 14 พ.ย. และ 1 ธ.ค. - 10 เม.ย. ซึ่งภาคเรียนใหม่จะมีวันเรียนประมาณ 180 วัน และจะมีวันหยุดที่น้อยกว่าเดิม โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ให้โรงเรียนมีอิสระในการสอนเพิ่ม อาจจะสอนเพิ่มในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือสอนเพิ่มตอนเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนจะได้รับความรู้ที่ครบถ้วน นายวราวิชกล่าวว่า กรมอนามัยและกระทรวงศึกษาธิการได้ออกคู่มือการปฏิบัติของสถานศึกษา ซึ่งได้มีการแจกจ่ายและทําความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในคู่มือได้แบ่งออกเป็น 6 มิติ ในมิติที่ 1 เป็นเรื่องความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรค จํานวน 20 ข้อ เป็นมิติสําคัญที่สถานศึกษาทุกแห่งจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน ห้ามขาด จึงจะสามารถเปิดเรียนได้ ส่วนที่เหลือ มิติที่ 2-6 รวม 24 ข้อ จะเป็นมิติเพิ่มเติมที่โรงเรียนจะต้องปฏิบัติต่อไป โดยกรมอนามัยจะประเมินจากแบบประเมินที่เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศ จนถึงวันนี้ได้มีสถานศึกษาที่ผ่านการประเมินจากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา ที่สถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ 20 ข้อนี้ทั้งหมดร้อยละ 100 ก่อนการเปิดภาคเรียน โดยมาตรการหลักที่ใช้ในการตรวจสถานศึกษา ได้แก่ ตรวจอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากาก ล้างมือจัดเตรียมสบู่ แอลกอฮอล์ ลดแออัด เว้นระยะห่าง และทําความสะอาดพื้นผิว ซึ่งประเด็นที่คาดว่าปฏิบัติได้ยากที่สุดคือการเว้นระยะห่างในห้องเรียน 1.5 เมตร ได้ข้อสรุปว่า จํานวนโรงเรียนที่สามารถเว้นระยะห่างได้ และสามารถจัดเรียนได้ปกติ มี 31,000 โรงเรียน ส่วนโรงเรียนที่มาเรียนพร้อมกันไม่ได้ ต้องสลับกันมาเรียนมีจํานวน 4,500 โรงเรียน สําหรับนักเรียนที่ไม่ได้มาเรียน ทางกระทรวงศึกษาธิการได้จัดการเรียนการสอนแบบออนแอร์ และออนไลน์ เพื่อดูแลนักเรียนที่ไม่ได้มาเรียน โดยได้มีการประชุมหารือโดยครู และผู้ปกครองที่เป็นกรรมการของสถานศึกษา เพื่อหาวิธีที่จะสลับการเรียนการสอนในโรงเรียนที่จะต้องสลับกันมาเรียน สรุปได้ 5 วิธี ได้แก่ 1. เรียน 5 วัน หยุด 9 วัน (อาทิตย์เว้นอาทิตย์) 2. สลับเรียนเช้า-บ่าย 3. สลับวันคี่/วันคู่ 4. สลับเรียน และ 5. เรียนผสม สําหรับประเด็นอื่น ๆ กรณีรถโรงเรียน ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการดูแล หรือที่โรงเรียนเหมามาเอง จะต้องนั่งตามที่กําหนดและสวมหน้ากาก หากที่นั่งตามที่กําหนดไม่พอ ให้เพิ่มจํานวนรถ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้มอบงบประมาณในส่วนนี้ให้กับโรงเรียนแล้ว กรณีเด็กเล็ก ในเรื่องการนอน จะต้องนอนห่างกัน 1.5 เมตร หันเท้าชนกัน และไม่ต้องสวมหน้ากาก ส่วนอาหารกลางวัน จะผลัดกันรับประทาน แบ่งให้มี 3-4 ผลัด ระยะเวลาเหลื่อมกัน 30 นาที แล้วแต่จํานวนนักเรียน ส่วนกรณีการสอบวัดผล กระทรวงศึกษาธิการจะประกาศอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ โดยนักเรียน ม.6 จะต้องสอบ ส่วนนักเรียนชั้นอื่น หากมีการสอบ จะต้องมีการปรับตัวชี้วัดในปีที่ประสบปัญหาการติดเชื้อของโควิด-19 เพื่อให้นักเรียนถูกวัดผลได้อย่างยุติธรรม ในกรณีที่ร้ายที่สุด หากพบผู้ต้องสงสัยหรือมีเกณฑ์ติดเชื้อภายในโรงเรียน จะมีการคัดแยกผู้มีอาการ แจ้งผู้ปกครอง แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากตรวจพบเชื้อจะทําการปิดโรงเรียน 3 วันเพื่อทําความสะอาด และผู้ใกล้ชิดกักตัว 14 วัน โดยทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อต้องการให้ใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ โดยเด็กโตสามารถปฏิบัติได้เอง ในส่วนเด็กเล็ก ให้คุณครูเป็นผู้รวมรายชื่อ เพื่อกระทรวงสาธารณสุขสามารถตรวจสอบได้ในอนาคต และกรณีโรงเรียนชายขอบ ไม่อนุญาตให้นักเรียนเดินทางเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเรียนในประเทศ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หากต้องการเรียนจริง ๆ ให้เดินทางเข้าประเทศเพื่อรับการกักตัว 14 วัน และห้ามกลับออกนอกประเทศระหว่างนั้น จึงจะสามารถเข้าเรียนได้ โดยจะมีการเรียนการสอนผ่านทีวี และให้ครูส่งและเก็บใบงานผ่านกล่องทุกวัน เพื่อลดการสัมผัสโดยตรง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. เผย มีสถานศึกษาผ่านการประเมินความปลอดภัย การลดการแพร่เชื้อโรค จากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 คาดสถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 ก่อนเปิดภาคเรียน วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ศธ. เผย มีสถานศึกษาผ่านการประเมินความปลอดภัย การลดการแพร่เชื้อโรค จากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 คาดสถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 ก่อนเปิดภาคเรียน ศธ. เผย มีสถานศึกษาผ่านการประเมินความปลอดภัย การลดการแพร่เชื้อโรค จากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 คาดสถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 ก่อนเปิดภาคเรียน วันนี้ (22 มิ.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวราวิช กําภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เผยถึงมาตรการด้านการศึกษา ในกรณีที่จะมีการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีแคมเปญ Back to Healthy School โรงเรียนสุขภาพดี นักเรียนมีความสุข ที่ได้เลื่อนการเปิดเทอมจากเดิม ที่มีการเปิดเทอมในวันที่ 16 พ.ค. - 10 ต.ค. และวันที่ 1 พ.ย. - 31 มี.ค. เป็นวันที่ 1 ก.ค. - 14 พ.ย. และ 1 ธ.ค. - 10 เม.ย. ซึ่งภาคเรียนใหม่จะมีวันเรียนประมาณ 180 วัน และจะมีวันหยุดที่น้อยกว่าเดิม โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ให้โรงเรียนมีอิสระในการสอนเพิ่ม อาจจะสอนเพิ่มในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือสอนเพิ่มตอนเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนจะได้รับความรู้ที่ครบถ้วน นายวราวิชกล่าวว่า กรมอนามัยและกระทรวงศึกษาธิการได้ออกคู่มือการปฏิบัติของสถานศึกษา ซึ่งได้มีการแจกจ่ายและทําความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในคู่มือได้แบ่งออกเป็น 6 มิติ ในมิติที่ 1 เป็นเรื่องความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรค จํานวน 20 ข้อ เป็นมิติสําคัญที่สถานศึกษาทุกแห่งจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน ห้ามขาด จึงจะสามารถเปิดเรียนได้ ส่วนที่เหลือ มิติที่ 2-6 รวม 24 ข้อ จะเป็นมิติเพิ่มเติมที่โรงเรียนจะต้องปฏิบัติต่อไป โดยกรมอนามัยจะประเมินจากแบบประเมินที่เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศ จนถึงวันนี้ได้มีสถานศึกษาที่ผ่านการประเมินจากกรมอนามัยแล้วร้อยละ 90 ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา ที่สถานศึกษาทั้งหมดจะผ่านเกณฑ์ 20 ข้อนี้ทั้งหมดร้อยละ 100 ก่อนการเปิดภาคเรียน โดยมาตรการหลักที่ใช้ในการตรวจสถานศึกษา ได้แก่ ตรวจอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากาก ล้างมือจัดเตรียมสบู่ แอลกอฮอล์ ลดแออัด เว้นระยะห่าง และทําความสะอาดพื้นผิว ซึ่งประเด็นที่คาดว่าปฏิบัติได้ยากที่สุดคือการเว้นระยะห่างในห้องเรียน 1.5 เมตร ได้ข้อสรุปว่า จํานวนโรงเรียนที่สามารถเว้นระยะห่างได้ และสามารถจัดเรียนได้ปกติ มี 31,000 โรงเรียน ส่วนโรงเรียนที่มาเรียนพร้อมกันไม่ได้ ต้องสลับกันมาเรียนมีจํานวน 4,500 โรงเรียน สําหรับนักเรียนที่ไม่ได้มาเรียน ทางกระทรวงศึกษาธิการได้จัดการเรียนการสอนแบบออนแอร์ และออนไลน์ เพื่อดูแลนักเรียนที่ไม่ได้มาเรียน โดยได้มีการประชุมหารือโดยครู และผู้ปกครองที่เป็นกรรมการของสถานศึกษา เพื่อหาวิธีที่จะสลับการเรียนการสอนในโรงเรียนที่จะต้องสลับกันมาเรียน สรุปได้ 5 วิธี ได้แก่ 1. เรียน 5 วัน หยุด 9 วัน (อาทิตย์เว้นอาทิตย์) 2. สลับเรียนเช้า-บ่าย 3. สลับวันคี่/วันคู่ 4. สลับเรียน และ 5. เรียนผสม สําหรับประเด็นอื่น ๆ กรณีรถโรงเรียน ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการดูแล หรือที่โรงเรียนเหมามาเอง จะต้องนั่งตามที่กําหนดและสวมหน้ากาก หากที่นั่งตามที่กําหนดไม่พอ ให้เพิ่มจํานวนรถ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้มอบงบประมาณในส่วนนี้ให้กับโรงเรียนแล้ว กรณีเด็กเล็ก ในเรื่องการนอน จะต้องนอนห่างกัน 1.5 เมตร หันเท้าชนกัน และไม่ต้องสวมหน้ากาก ส่วนอาหารกลางวัน จะผลัดกันรับประทาน แบ่งให้มี 3-4 ผลัด ระยะเวลาเหลื่อมกัน 30 นาที แล้วแต่จํานวนนักเรียน ส่วนกรณีการสอบวัดผล กระทรวงศึกษาธิการจะประกาศอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ โดยนักเรียน ม.6 จะต้องสอบ ส่วนนักเรียนชั้นอื่น หากมีการสอบ จะต้องมีการปรับตัวชี้วัดในปีที่ประสบปัญหาการติดเชื้อของโควิด-19 เพื่อให้นักเรียนถูกวัดผลได้อย่างยุติธรรม ในกรณีที่ร้ายที่สุด หากพบผู้ต้องสงสัยหรือมีเกณฑ์ติดเชื้อภายในโรงเรียน จะมีการคัดแยกผู้มีอาการ แจ้งผู้ปกครอง แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากตรวจพบเชื้อจะทําการปิดโรงเรียน 3 วันเพื่อทําความสะอาด และผู้ใกล้ชิดกักตัว 14 วัน โดยทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อต้องการให้ใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ โดยเด็กโตสามารถปฏิบัติได้เอง ในส่วนเด็กเล็ก ให้คุณครูเป็นผู้รวมรายชื่อ เพื่อกระทรวงสาธารณสุขสามารถตรวจสอบได้ในอนาคต และกรณีโรงเรียนชายขอบ ไม่อนุญาตให้นักเรียนเดินทางเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเรียนในประเทศ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หากต้องการเรียนจริง ๆ ให้เดินทางเข้าประเทศเพื่อรับการกักตัว 14 วัน และห้ามกลับออกนอกประเทศระหว่างนั้น จึงจะสามารถเข้าเรียนได้ โดยจะมีการเรียนการสอนผ่านทีวี และให้ครูส่งและเก็บใบงานผ่านกล่องทุกวัน เพื่อลดการสัมผัสโดยตรง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมประกาศรายชื่อโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ศธ.เตรียมประกาศรายชื่อโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partnership School ครั้งที่ 4/2561 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เตรียมประกาศรายชื่อโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)กว่า40แห่งปลายเดือนเมษายนนี้พร้อมลงนามความร่วมมือโครงการกลางเดือนพฤษภาคมและเริ่มเปิดเรียนได้ทันช่วงเปิดเทอมปีการศึกษา 2561 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partnership School ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือร่วมกันในหลากหลายประเด็นที่สําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ให้ความเห็นชอบแต่งตั้งคณะทํางาน เพื่อให้งานเดินหน้าตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ อาทิ เห็นชอบ (ร่าง) การจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การจัดทําข้อตกลงความร่วมมือ การประชาสัมพันธ์ การติดตามประเมินผลและวิจัยโครงการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โดยมี รมช.ศึกษาธิการ (ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) เป็นที่ปรึกษามีประธานคณะทํางานด้านต่าง ๆประกอบด้วยพล.อ.วุฒินันท์ ลีลายุทธ เป็นประธานคณะทํางานด้านการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan), เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานคณะทํางานด้านการจัดทําข้อตกลงความร่วมมือ, นายมีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานคณะทํางานด้านการประชาสัมพันธ์ และ รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ เป็นประธานคณะทํางานด้านการติดตามประเมินผลและวิจัย นอกจากนี้ ได้เห็นชอบ (ร่าง) คําสั่งแต่งตั้งคณะทํางาน Task Force โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา Partnership School โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นประธาน เพื่อทําหน้าที่ปลดล็อคกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล ตลอดจนหลักสูตรและงานด้านวิชาการ พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และวางระบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงด้วย ในส่วนของการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ในระยะเริ่มต้นโครงการก็มีความสําคัญ จึงได้จัดทําคลิปวีดิทัศน์เปิดตัวและแนะนําโครงการความยาวประมาณ 2 นาที เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 30 เมษายน 2561 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก่อนที่จะนําคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่เพื่อประชาสัมพันธ์ในสื่อทุกช่องทางต่อไป เช่นเดียวกับ “ข้อตกลงความร่วมมือโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา Partnership School Project” ซึ่งที่ประชุมได้หารือและเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดอย่างกว้างขวาง เพราะถือเป็นเรื่องสําคัญ มีรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร และเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ ข้อตกลงดังกล่าว จึงมีข้อมูลประกอบในหลายส่วน อาทิ - วัตถุประสงค์โครงการ - การบริหารงานบุคคลของโรงเรียน - การพัฒนาหลักสูตรภายใต้กรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ร่วมกับหลักสูตรของสถานศึกษา ที่มุ่งเน้นตามความถนัดและความเชี่ยวชาญในบริบทที่แตกต่างกัน - การบริหารจัดการงบประมาณของโรงเรียน ซึ่งทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ คาดว่าจะดําเนินการจัดทําข้อตกลงดังกล่าวให้แล้วเสร็จพร้อมจัดพิธีลงนามได้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ โดยจะเรียนเชิญ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลด้านการศึกษาเป็นประธานในพิธีลงนามด้วย รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า การดําเนินโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาถือว่ามีความก้าวหน้าไปมาก แม้ว่าจะมีระยะเวลาในการเตรียมการเพียง 2 เดือน แต่ทุกภาคส่วนก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จนทําให้โครงการประสบผลสําเร็จอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการคัดเลือกโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบรายชื่อโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการกว่า 40 แห่ง ซึ่งผ่านการกลั่นกรองและจับคู่กับภาคเอกชนที่จะให้การสนับสนุนแล้ว โดยเตรียมที่จะประกาศรายชื่อโรงเรียนอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้และเชื่อว่ามีความพร้อมที่จะเริ่มโครงการพร้อมแจกคู่มือการปฏิบัติงาน (Guideline-Checklist) ของโรงเรียนร่วมพัฒนา ได้ทันในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1/2561 นี้ อย่างแน่นอน โดยคู่มือดังกล่าวจะใช้เป็นแนวทางในการร่วมจัดการศึกษา มีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง, กิจกรรมในโครงการและการดําเนินงาน ตลอดจนการนิเทศและติดตามผลโครงการ และอื่น ๆ Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมประกาศรายชื่อโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ศธ.เตรียมประกาศรายชื่อโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partnership School ครั้งที่ 4/2561 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เตรียมประกาศรายชื่อโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)กว่า40แห่งปลายเดือนเมษายนนี้พร้อมลงนามความร่วมมือโครงการกลางเดือนพฤษภาคมและเริ่มเปิดเรียนได้ทันช่วงเปิดเทอมปีการศึกษา 2561 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Partnership School ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือร่วมกันในหลากหลายประเด็นที่สําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ให้ความเห็นชอบแต่งตั้งคณะทํางาน เพื่อให้งานเดินหน้าตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ อาทิ เห็นชอบ (ร่าง) การจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การจัดทําข้อตกลงความร่วมมือ การประชาสัมพันธ์ การติดตามประเมินผลและวิจัยโครงการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โดยมี รมช.ศึกษาธิการ (ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) เป็นที่ปรึกษามีประธานคณะทํางานด้านต่าง ๆประกอบด้วยพล.อ.วุฒินันท์ ลีลายุทธ เป็นประธานคณะทํางานด้านการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan), เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานคณะทํางานด้านการจัดทําข้อตกลงความร่วมมือ, นายมีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานคณะทํางานด้านการประชาสัมพันธ์ และ รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ เป็นประธานคณะทํางานด้านการติดตามประเมินผลและวิจัย นอกจากนี้ ได้เห็นชอบ (ร่าง) คําสั่งแต่งตั้งคณะทํางาน Task Force โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา Partnership School โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นประธาน เพื่อทําหน้าที่ปลดล็อคกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล ตลอดจนหลักสูตรและงานด้านวิชาการ พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และวางระบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงด้วย ในส่วนของการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ในระยะเริ่มต้นโครงการก็มีความสําคัญ จึงได้จัดทําคลิปวีดิทัศน์เปิดตัวและแนะนําโครงการความยาวประมาณ 2 นาที เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 30 เมษายน 2561 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก่อนที่จะนําคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่เพื่อประชาสัมพันธ์ในสื่อทุกช่องทางต่อไป เช่นเดียวกับ “ข้อตกลงความร่วมมือโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา Partnership School Project” ซึ่งที่ประชุมได้หารือและเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดอย่างกว้างขวาง เพราะถือเป็นเรื่องสําคัญ มีรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร และเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ ข้อตกลงดังกล่าว จึงมีข้อมูลประกอบในหลายส่วน อาทิ - วัตถุประสงค์โครงการ - การบริหารงานบุคคลของโรงเรียน - การพัฒนาหลักสูตรภายใต้กรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ร่วมกับหลักสูตรของสถานศึกษา ที่มุ่งเน้นตามความถนัดและความเชี่ยวชาญในบริบทที่แตกต่างกัน - การบริหารจัดการงบประมาณของโรงเรียน ซึ่งทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ คาดว่าจะดําเนินการจัดทําข้อตกลงดังกล่าวให้แล้วเสร็จพร้อมจัดพิธีลงนามได้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ โดยจะเรียนเชิญ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลด้านการศึกษาเป็นประธานในพิธีลงนามด้วย รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า การดําเนินโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาถือว่ามีความก้าวหน้าไปมาก แม้ว่าจะมีระยะเวลาในการเตรียมการเพียง 2 เดือน แต่ทุกภาคส่วนก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จนทําให้โครงการประสบผลสําเร็จอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการคัดเลือกโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบรายชื่อโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการกว่า 40 แห่ง ซึ่งผ่านการกลั่นกรองและจับคู่กับภาคเอกชนที่จะให้การสนับสนุนแล้ว โดยเตรียมที่จะประกาศรายชื่อโรงเรียนอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้และเชื่อว่ามีความพร้อมที่จะเริ่มโครงการพร้อมแจกคู่มือการปฏิบัติงาน (Guideline-Checklist) ของโรงเรียนร่วมพัฒนา ได้ทันในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1/2561 นี้ อย่างแน่นอน โดยคู่มือดังกล่าวจะใช้เป็นแนวทางในการร่วมจัดการศึกษา มีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง, กิจกรรมในโครงการและการดําเนินงาน ตลอดจนการนิเทศและติดตามผลโครงการ และอื่น ๆ Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11743
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ให้กำลังใจกำลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ำให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 นายกฯ ให้กําลังใจกําลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ําให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดําเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม นายกฯ ให้กําลังใจกําลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ําให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดําเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม วันที่ 19 ม.ค.61 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจกําลังพลของกองทัพไทย เนื่องในวันกองทัพไทยวานนี้ (18 ม.ค.61) ซึ่งถือเป็นวันสําคัญของชาติไทย ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกอบพระมหาวีรกรรมกระทํายุทธหัตถีมีชัยชนะ เมื่อปี พ.ศ. 2135 โดยขอให้กําลังพลและครอบครัว มีความสุขความเจริญ เป็นกําลังสําคัญของกองทัพไทยในการดํารงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน สืบไป “นายกฯ รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งเมื่อถึงวันกองทัพไทย เพราะประเทศชาติของเรามีพระมหากษัตริย์และบรรพชนที่ยอมสละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองจนถึงปัจจุบัน เป็นแบบอย่างให้ทหารทั้งหลายสืบทอดกันต่อมา” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ทหารทุกนายตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบต่อชาติ ร่วมแรงร่วมใจกันพิทักษ์รักษาสถาบันหลัก ดํารงไว้ซึ่งอธิปไตยและผลประโยชน์ชาติ สนับสนุนภารกิจของรัฐบาลในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง รวมทั้งดําเนินชีวิตด้วยความพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ และปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างเคร่งครัด ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ให้กำลังใจกำลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ำให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 นายกฯ ให้กําลังใจกําลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ําให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดําเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม นายกฯ ให้กําลังใจกําลังพลเนื่องในวันกองทัพไทย ย้ําให้ตระหนักในหน้าที่ มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ และดําเนินชีวิตอย่างพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม วันที่ 19 ม.ค.61 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจกําลังพลของกองทัพไทย เนื่องในวันกองทัพไทยวานนี้ (18 ม.ค.61) ซึ่งถือเป็นวันสําคัญของชาติไทย ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกอบพระมหาวีรกรรมกระทํายุทธหัตถีมีชัยชนะ เมื่อปี พ.ศ. 2135 โดยขอให้กําลังพลและครอบครัว มีความสุขความเจริญ เป็นกําลังสําคัญของกองทัพไทยในการดํารงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน สืบไป “นายกฯ รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งเมื่อถึงวันกองทัพไทย เพราะประเทศชาติของเรามีพระมหากษัตริย์และบรรพชนที่ยอมสละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองจนถึงปัจจุบัน เป็นแบบอย่างให้ทหารทั้งหลายสืบทอดกันต่อมา” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ทหารทุกนายตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบต่อชาติ ร่วมแรงร่วมใจกันพิทักษ์รักษาสถาบันหลัก ดํารงไว้ซึ่งอธิปไตยและผลประโยชน์ชาติ สนับสนุนภารกิจของรัฐบาลในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง รวมทั้งดําเนินชีวิตด้วยความพอเพียง สามัคคี มีวินัย ซื่อสัตย์ และปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างเคร่งครัด ----------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ความคืบหน้าการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 รับทราบความคืบหน้าการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการฯ) และเห็นชอบโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบธ.ก.ส. เพิ่มเติม นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 รับทราบความคืบหน้าการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการฯ) และเห็นชอบโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม และการจัดสรรงบประมาณให้ธนาคารออมสินสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างผู้ช่วยผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) เพิ่มเติม โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ ระหว่างวันที่ 1 – 28 กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวน 6,400,124 ราย จากผู้มีบัตรฯ จํานวน 11,469,185 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 55.8 ของผู้มีบัตรฯ ทั้งหมด โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการฯ คือผู้มีบัตรฯ ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และอยู่ในวัยแรงงาน จํานวน 5,262,683 ราย ซึ่งในจํานวนนี้เป็นผู้แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ จํานวน 3,119,726 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.3 จึงเหลือกลุ่มเป้าหมายอีก 2,142,957 ราย ซึ่ง AO และผู้ช่วย AO ต้องลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้มีบัตรฯ เป็นรายบุคคลในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2561 รวมมีผู้มีบัตรฯ ทั้งหมดที่ต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ จํานวนประมาณ 8.5 ล้านราย 2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 2.1 การดําเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของมาตรการฯ ดังนี้ (1) การกําหนดให้ผู้มีบัตรฯ ที่ประสงค์จะพัฒนาตนเองเข้าพบคณะทํางานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ทีมหมอประชารัฐสุขใจ: ทีม ปรจ.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เพื่อสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล ณ สถานที่ที่ผู้อํานวยการเขตหรือนายอําเภอกําหนดไว้ ซึ่งเป็นเขตหรืออําเภอที่ผู้มีบัตรฯ ประสงค์จะเข้ารับการพัฒนาตนเอง (2) การหยุดการจ่ายเงินเพิ่มเติม (200 บาทต่อคนต่อเดือน หรือ 100 บาทต่อคนต่อเดือน แล้วแต่กรณี) ให้แก่ผู้มีบัตรฯ ที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเอง แต่ต่อมาได้ขอยกเลิกการแสดงความประสงค์ หรือไม่มาสัมภาษณ์ภายในเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 หรือเข้ารับการสัมภาษณ์แล้ว แต่ไม่เลือกพัฒนาตนเอง หรือผู้ที่เลือกพัฒนาตนเอง แต่ต่อมาไม่พัฒนาตนเองโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือผู้ที่เข้ารับการอบรมแล้วแต่ไม่ตั้งใจประกอบอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเริ่มหยุดการจ่ายเงินตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เป็นต้นไป หรือในเดือนถัดไปนับแต่ทราบผลการพิจารณาการไม่พัฒนาตนเอง (3) ขยายระยะเวลาลงพื้นที่สัมภาษณ์จากเดิมที่กําหนดให้ AO และผู้ช่วย AO ลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้มีบัตรฯ ภายในเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 เป็นกําหนดให้ AO และผู้ช่วย AO สามารถลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้มีบัตรฯ ได้จนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 2.2 โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. เพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) การขยายกลุ่มเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการฯ ให้ครอบคลุมถึงลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรและประกอบอาชีพอื่นเป็นอาชีพเสริมแต่แจ้งลงทะเบียนเป็นอาชีพอื่นจํานวน 562,494 ราย ซึ่งมีมูลหนี้ 88,350 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้า ธ.ก.ส. กลุ่มนี้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. ภายใต้มาตรการฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 (2) การจัดสรรงบประมาณให้แก่ ธ.ก.ส. เพื่อชดเชยดอกเบี้ยจากการพักชําระหนี้ให้กับเกษตรกรที่มีหนี้ที่เป็นภาระหนักและหนี้ไม่เกิน 300,000 บาท จํานวน 222,503 ราย ต้นเงินกู้รวม 29,708 ล้านบาท ที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยให้ ธ.ก.ส. ทําความตกลงกับสํานักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจําเป็นและเหมาะสมต่อไป 2.3 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีให้ธนาคารออมสินสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างผู้ช่วย AO เพิ่มเติม จํานวน 500 คน สําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างผู้ช่วย AO เพิ่มเติม รวมถึงค่าใช้จ่ายดําเนินงานของผู้ช่วย AO สําหรับการปฏิบัติงานในช่วงเดือนเมษายน – กันยายน 2561 (6 เดือน) โดยให้ธนาคารออมสินทําความตกลงกับสํานักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจําเป็นและเหมาะสมต่อไป สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ความคืบหน้าการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 รับทราบความคืบหน้าการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการฯ) และเห็นชอบโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบธ.ก.ส. เพิ่มเติม นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 รับทราบความคืบหน้าการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการฯ) และเห็นชอบโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม และการจัดสรรงบประมาณให้ธนาคารออมสินสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างผู้ช่วยผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) เพิ่มเติม โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ ระหว่างวันที่ 1 – 28 กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวน 6,400,124 ราย จากผู้มีบัตรฯ จํานวน 11,469,185 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 55.8 ของผู้มีบัตรฯ ทั้งหมด โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการฯ คือผู้มีบัตรฯ ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และอยู่ในวัยแรงงาน จํานวน 5,262,683 ราย ซึ่งในจํานวนนี้เป็นผู้แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ จํานวน 3,119,726 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.3 จึงเหลือกลุ่มเป้าหมายอีก 2,142,957 ราย ซึ่ง AO และผู้ช่วย AO ต้องลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้มีบัตรฯ เป็นรายบุคคลในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2561 รวมมีผู้มีบัตรฯ ทั้งหมดที่ต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ จํานวนประมาณ 8.5 ล้านราย 2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 2.1 การดําเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของมาตรการฯ ดังนี้ (1) การกําหนดให้ผู้มีบัตรฯ ที่ประสงค์จะพัฒนาตนเองเข้าพบคณะทํางานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ทีมหมอประชารัฐสุขใจ: ทีม ปรจ.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เพื่อสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล ณ สถานที่ที่ผู้อํานวยการเขตหรือนายอําเภอกําหนดไว้ ซึ่งเป็นเขตหรืออําเภอที่ผู้มีบัตรฯ ประสงค์จะเข้ารับการพัฒนาตนเอง (2) การหยุดการจ่ายเงินเพิ่มเติม (200 บาทต่อคนต่อเดือน หรือ 100 บาทต่อคนต่อเดือน แล้วแต่กรณี) ให้แก่ผู้มีบัตรฯ ที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเอง แต่ต่อมาได้ขอยกเลิกการแสดงความประสงค์ หรือไม่มาสัมภาษณ์ภายในเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 หรือเข้ารับการสัมภาษณ์แล้ว แต่ไม่เลือกพัฒนาตนเอง หรือผู้ที่เลือกพัฒนาตนเอง แต่ต่อมาไม่พัฒนาตนเองโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือผู้ที่เข้ารับการอบรมแล้วแต่ไม่ตั้งใจประกอบอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเริ่มหยุดการจ่ายเงินตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เป็นต้นไป หรือในเดือนถัดไปนับแต่ทราบผลการพิจารณาการไม่พัฒนาตนเอง (3) ขยายระยะเวลาลงพื้นที่สัมภาษณ์จากเดิมที่กําหนดให้ AO และผู้ช่วย AO ลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้มีบัตรฯ ภายในเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 เป็นกําหนดให้ AO และผู้ช่วย AO สามารถลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้มีบัตรฯ ได้จนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 2.2 โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. เพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) การขยายกลุ่มเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการฯ ให้ครอบคลุมถึงลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรและประกอบอาชีพอื่นเป็นอาชีพเสริมแต่แจ้งลงทะเบียนเป็นอาชีพอื่นจํานวน 562,494 ราย ซึ่งมีมูลหนี้ 88,350 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้า ธ.ก.ส. กลุ่มนี้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. ภายใต้มาตรการฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 (2) การจัดสรรงบประมาณให้แก่ ธ.ก.ส. เพื่อชดเชยดอกเบี้ยจากการพักชําระหนี้ให้กับเกษตรกรที่มีหนี้ที่เป็นภาระหนักและหนี้ไม่เกิน 300,000 บาท จํานวน 222,503 ราย ต้นเงินกู้รวม 29,708 ล้านบาท ที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยให้ ธ.ก.ส. ทําความตกลงกับสํานักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจําเป็นและเหมาะสมต่อไป 2.3 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีให้ธนาคารออมสินสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างผู้ช่วย AO เพิ่มเติม จํานวน 500 คน สําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างผู้ช่วย AO เพิ่มเติม รวมถึงค่าใช้จ่ายดําเนินงานของผู้ช่วย AO สําหรับการปฏิบัติงานในช่วงเดือนเมษายน – กันยายน 2561 (6 เดือน) โดยให้ธนาคารออมสินทําความตกลงกับสํานักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจําเป็นและเหมาะสมต่อไป สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3512
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11752
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมมือ สำนักงาน ป.ป.ช. องค์กร ภาคีเครือข่าย 24 หน่วยงาน ลงนาม MOU จัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริม-สนับสนุนจัดทำสื่อ เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 วธ. ร่วมมือ สํานักงาน ป.ป.ช. องค์กร ภาคีเครือข่าย 24 หน่วยงาน ลงนาม MOU จัดทําแผนปฏิบัติการส่งเสริม-สนับสนุนจัดทําสื่อ เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต วธ. ร่วมมือ สํานักงาน ป.ป.ช. องค์กร ภาคีเครือข่าย 24 หน่วยงาน ลงนาม MOU จัดทําแผนปฏิบัติการส่งเสริม-สนับสนุนจัดทําสื่อ เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อ.เมือง จ.นนทบุรี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และจัดทําแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างสํานักงานป.ป.ช. องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต โดยมี พล.ต.อ วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นสักขีพยาน และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรที่เกี่ยวข้อง 24 หน่วยงาน เข้าร่วมลงนาม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรรม (วธ.) มีนโยบายหลักในการนําหลักธรรมาภิบาลมาขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและสร้างคุณค่าทางสังคม เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่ภาคประชาชนและเพื่อสนับสนุนให้บุคลากรในองค์กรตระหนักถึงความสําคัญของความซื่อสัตย์สุจริต และร่วมกันรณรงค์การต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560–2564) ของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560–2564) ซึ่งที่ผ่านมาวธ. ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)ด้านการต่อต้านการทุจริต กับมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนในการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทัศนคติค่านิยมในด้านวัฒนธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ในสถาบันการศึกษา ชุมชน เพื่อร่วมกันขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย นางยุพา กล่าวอีกว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและสัมฤทธิ์ผล วธ. จึงร่วมกับสํานักงาน ป.ป.ช. และองค์กร ภาคีเครือข่ายต่างๆ จํานวน 24 หน่วยงาน อาทิ องค์การต่อต้านคอรัปชั่น กระทรวงพาณิชย์ กรมการปกครอง กรมประชาสัมพันธ์ สํานักข่าวไทย สํานักงานกสทช. และมูลนิธิเพื่อคนไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและจัดทําแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างสํานักงาน ป.ป.ช. องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต โดยบันทึกข้อตกลงดังกล่าว สํานักงาน ป.ป.ช. จัดทําขึ้น เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิง ร่วมสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ด้วยการออกแบบและบรรจุเนื้อหาที่สร้างให้สังคมไม่ทนต่อการทุจริตในผลงานและช่องทางการสื่อสารที่แต่ละองค์กรเป็นผู้กํากับดูแล โดยสอดแทรกเนื้อหาในการป้องกันการทุจริต รวมทั้งเพื่อพัฒนาความร่วมมือและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมบันเทิง และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิง ทั้งนี้ หลังจากลงนามในบันทึกข้อตกลงแล้ว วธ. สํานักงานป.ป.ช. และองค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิงจะร่วมกันกําหนดแนวทางการดําเนินงานและจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในรูปแบบที่หลากหลาย และส่งเสริมกิจกรรมปลูกฝังค่านิยมคุณธรรมและจริยธรรมให้กับคนในชาติ เพื่อให้เกิดกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตต่อไป -----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมมือ สำนักงาน ป.ป.ช. องค์กร ภาคีเครือข่าย 24 หน่วยงาน ลงนาม MOU จัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริม-สนับสนุนจัดทำสื่อ เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 วธ. ร่วมมือ สํานักงาน ป.ป.ช. องค์กร ภาคีเครือข่าย 24 หน่วยงาน ลงนาม MOU จัดทําแผนปฏิบัติการส่งเสริม-สนับสนุนจัดทําสื่อ เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต วธ. ร่วมมือ สํานักงาน ป.ป.ช. องค์กร ภาคีเครือข่าย 24 หน่วยงาน ลงนาม MOU จัดทําแผนปฏิบัติการส่งเสริม-สนับสนุนจัดทําสื่อ เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อ.เมือง จ.นนทบุรี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และจัดทําแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างสํานักงานป.ป.ช. องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต โดยมี พล.ต.อ วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นสักขีพยาน และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรที่เกี่ยวข้อง 24 หน่วยงาน เข้าร่วมลงนาม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรรม (วธ.) มีนโยบายหลักในการนําหลักธรรมาภิบาลมาขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและสร้างคุณค่าทางสังคม เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่ภาคประชาชนและเพื่อสนับสนุนให้บุคลากรในองค์กรตระหนักถึงความสําคัญของความซื่อสัตย์สุจริต และร่วมกันรณรงค์การต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560–2564) ของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตของกระทรวงวัฒนธรรม ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560–2564) ซึ่งที่ผ่านมาวธ. ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)ด้านการต่อต้านการทุจริต กับมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนในการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทัศนคติค่านิยมในด้านวัฒนธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ในสถาบันการศึกษา ชุมชน เพื่อร่วมกันขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย นางยุพา กล่าวอีกว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและสัมฤทธิ์ผล วธ. จึงร่วมกับสํานักงาน ป.ป.ช. และองค์กร ภาคีเครือข่ายต่างๆ จํานวน 24 หน่วยงาน อาทิ องค์การต่อต้านคอรัปชั่น กระทรวงพาณิชย์ กรมการปกครอง กรมประชาสัมพันธ์ สํานักข่าวไทย สํานักงานกสทช. และมูลนิธิเพื่อคนไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและจัดทําแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างสํานักงาน ป.ป.ช. องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต โดยบันทึกข้อตกลงดังกล่าว สํานักงาน ป.ป.ช. จัดทําขึ้น เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิง ร่วมสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ด้วยการออกแบบและบรรจุเนื้อหาที่สร้างให้สังคมไม่ทนต่อการทุจริตในผลงานและช่องทางการสื่อสารที่แต่ละองค์กรเป็นผู้กํากับดูแล โดยสอดแทรกเนื้อหาในการป้องกันการทุจริต รวมทั้งเพื่อพัฒนาความร่วมมือและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมบันเทิง และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิง ทั้งนี้ หลังจากลงนามในบันทึกข้อตกลงแล้ว วธ. สํานักงานป.ป.ช. และองค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสาร และภาคอุตสาหกรรมบันเทิงจะร่วมกันกําหนดแนวทางการดําเนินงานและจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในรูปแบบที่หลากหลาย และส่งเสริมกิจกรรมปลูกฝังค่านิยมคุณธรรมและจริยธรรมให้กับคนในชาติ เพื่อให้เกิดกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตต่อไป -----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้อนรับเยาวชนรักษ์พงไพร
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 ต้อนรับเยาวชนรักษ์พงไพร กระทรวงศึกษาธิการ เปิดพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย อาคารราชวัลลภ ต้อนรับเด็กและครูวิทยากรกว่า 250 คน ในโครงการ "เยาวชน...รักษ์พงไพร เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" วันนี้ เวลาประมาณ 11.45 น. กระทรวงศึกษาธิการ เปิดพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย อาคารราชวัลลภ ต้อนรับเด็กและครูวิทยากรกว่า 250 คน ในโครงการ "เยาวชน...รักษ์พงไพร เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศธ. ให้โอวาทและถ่ายภาพร่วมกัน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้อนรับเยาวชนรักษ์พงไพร วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 ต้อนรับเยาวชนรักษ์พงไพร กระทรวงศึกษาธิการ เปิดพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย อาคารราชวัลลภ ต้อนรับเด็กและครูวิทยากรกว่า 250 คน ในโครงการ "เยาวชน...รักษ์พงไพร เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" วันนี้ เวลาประมาณ 11.45 น. กระทรวงศึกษาธิการ เปิดพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย อาคารราชวัลลภ ต้อนรับเด็กและครูวิทยากรกว่า 250 คน ในโครงการ "เยาวชน...รักษ์พงไพร เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศธ. ให้โอวาทและถ่ายภาพร่วมกัน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา วันนี้ (9 พ.ย.60) เวลา 10.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยราชการในท้องถิ่น และประชาชน จากเครือข่ายพัฒนาที่อยู่อาศัยต่างๆ เข้าร่วมงานประมาณ 200 คน ณ “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” ซอยสุขาภิบาลบางใหญ่ 9 อําเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจํานวนครัวเรือนทั่วประเทศประมาณ 21 ล้านครัวเรือน แต่พบว่า ยังมีประชาชนที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัยอีกประมาณ 5 ล้านครัวเรือน รัฐบาลนําโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงมอบหมายให้กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดทําแผนยุทธศาสตร์ที่อยู่อาศัย 20 ปี เริ่มจากปี 2560 - 2579 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนไทยทุกครัวเรือนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา มีการดําเนินการแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองลาดพร้าว โครงการปทุมธานีโมเดล และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับชุมชนริมฝั่งเจ้าพระยา พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า ตามที่ รัฐบาลได้ดําเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง ปลอดภัย และถูกกฎหมาย ในขณะเดียวกันรัฐบาลสามารถพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งเจ้าพระยาเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ อาทิ พื้นที่สันทนาการ เส้นทางจักรยาน สถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งพื้นที่ชมทัศนียภาพริมแม่น้ําเจ้าพระยา โดยมอบหมายให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบดําเนินโครงการดังกล่าว และกระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดทําโครงการรองรับที่อยู่อาศัยร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง พอช. ได้จัดทําแผนงานรองรับดังกล่าวในพื้นที่ 3 เขต ได้แก่ เขตดุสิต บางซื่อ และบางพลัด รวมจํานวน 12 ชุมชน คิดเป็น 309 ครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมา มีชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบย้ายออกจากพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา และเข้าอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ได้แก่ 1) แฟลต ขส.ทบ. ในพื้นที่เขตดุสิต จํานวน 64 ครัวเรือน 2) โครงการบ้านเอื้ออาทรท่าตําหนัก อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จํานวน 17 ครัวเรือน และ 3) โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ จํานวน 63 ครัวเรือน ประกอบด้วยประชาชน ที่ย้ายมาจาก 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนมิตตคาม 1 มิตตคาม 2 และราชผาทับทิม โดยได้กําหนดจัดพิธียกเสาเอกในวันนี้ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิเข้าอยู่อาศัยในโครงการดังกล่าว ต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ หรือไม่มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่ในชุมชนจริงในชุมชนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี และต้องผ่านมติการรับรองจากชุมชน ต้องเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์หรือสหกรณ์ฯ และต้องไม่มีที่ดินหรือบ้านอยู่ใน กทม. สําหรับที่ดินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ มีขนาดพื้นที่ 2 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา เป็นที่ดินที่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพฯ หรือ BAM ที่ขายให้แก่ชุมชนในราคาพิเศษเป็นเงิน 10,700,000 บาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย โดย พอช. สนับสนุนสินเชื่อจํานวน 10,165,000 บาท และชุมชนสมทบเงินเพิ่ม 535,000 บาท ซึ่งการก่อสร้างโครงการฯ ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยร้อยละ 70 และพื้นที่สาธารณะร้อยละ 30 ซึ่งมีการแบ่งขนาดที่ดินต่อครอบครัวออกเป็น 4 ขนาด ได้แก่ 1) ขนาด 10 ตารางวา จํานวน 42 แปลง 2) ขนาด 12 ตารางวา จํานวน 2 แปลง 3) ขนาด 15 ตารางวา จํานวน 17 แปลง และ 4) ขนาด 22.5 ตารางวา จํานวน 2 แปลง โดยสร้างเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 4 X 7 ตารางเมตร มีราคาก่อสร้างหลังละ 240,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,120,000 บาท โดย พอช. สนับสนุนสินเชื่อ จํานวน 12,515,000 บาท และชุมชนสมทบเงินเพิ่ม 2,605,000 บาท อีกทั้ง มีการสร้างระบบสาธารณูปโภค โดย พอช. สนับสนุนงบประมาณ จํานวน 3,150,000 บาท และงบอุดหนุนที่อยู่อาศัย จํานวน 1,575,000 บาท รวมงบประมาณทั้งโครงการเป็นเงินทั้งสิ้น 30,545,000 บาท “สําหรับแผนงานก่อสร้างโครงการดังกล่าว ใช้ระยะเวลา 180 วัน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2561 จากนั้น ชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบสามารถย้ายเข้าอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ส่วนแผนงานในการสร้างอาชีพให้ชาวชุมชนจะใช้พื้นที่หรือลานสาธารณะของชุมชนเป็นพื้นที่ค้าขาย เช่น ขายอาหาร หรือจัดเป็นตลาดนัด เพื่อให้ชาวชุมชนมีอาชีพสร้างรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวอย่างได้มั่นคงในระยะยาวต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา รมว.พม. เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 63 ครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา วันนี้ (9 พ.ย.60) เวลา 10.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธียกเสาเอก “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยราชการในท้องถิ่น และประชาชน จากเครือข่ายพัฒนาที่อยู่อาศัยต่างๆ เข้าร่วมงานประมาณ 200 คน ณ “โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ” ซอยสุขาภิบาลบางใหญ่ 9 อําเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจํานวนครัวเรือนทั่วประเทศประมาณ 21 ล้านครัวเรือน แต่พบว่า ยังมีประชาชนที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัยอีกประมาณ 5 ล้านครัวเรือน รัฐบาลนําโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงมอบหมายให้กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดทําแผนยุทธศาสตร์ที่อยู่อาศัย 20 ปี เริ่มจากปี 2560 - 2579 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนไทยทุกครัวเรือนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา มีการดําเนินการแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองลาดพร้าว โครงการปทุมธานีโมเดล และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับชุมชนริมฝั่งเจ้าพระยา พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า ตามที่ รัฐบาลได้ดําเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง ปลอดภัย และถูกกฎหมาย ในขณะเดียวกันรัฐบาลสามารถพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งเจ้าพระยาเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ อาทิ พื้นที่สันทนาการ เส้นทางจักรยาน สถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งพื้นที่ชมทัศนียภาพริมแม่น้ําเจ้าพระยา โดยมอบหมายให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบดําเนินโครงการดังกล่าว และกระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดทําโครงการรองรับที่อยู่อาศัยร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง พอช. ได้จัดทําแผนงานรองรับดังกล่าวในพื้นที่ 3 เขต ได้แก่ เขตดุสิต บางซื่อ และบางพลัด รวมจํานวน 12 ชุมชน คิดเป็น 309 ครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมา มีชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบย้ายออกจากพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา และเข้าอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ได้แก่ 1) แฟลต ขส.ทบ. ในพื้นที่เขตดุสิต จํานวน 64 ครัวเรือน 2) โครงการบ้านเอื้ออาทรท่าตําหนัก อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จํานวน 17 ครัวเรือน และ 3) โครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ จํานวน 63 ครัวเรือน ประกอบด้วยประชาชน ที่ย้ายมาจาก 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนมิตตคาม 1 มิตตคาม 2 และราชผาทับทิม โดยได้กําหนดจัดพิธียกเสาเอกในวันนี้ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิเข้าอยู่อาศัยในโครงการดังกล่าว ต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ หรือไม่มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่ในชุมชนจริงในชุมชนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี และต้องผ่านมติการรับรองจากชุมชน ต้องเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์หรือสหกรณ์ฯ และต้องไม่มีที่ดินหรือบ้านอยู่ใน กทม. สําหรับที่ดินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนมิตตคามร่วมใจ มีขนาดพื้นที่ 2 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา เป็นที่ดินที่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพฯ หรือ BAM ที่ขายให้แก่ชุมชนในราคาพิเศษเป็นเงิน 10,700,000 บาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย โดย พอช. สนับสนุนสินเชื่อจํานวน 10,165,000 บาท และชุมชนสมทบเงินเพิ่ม 535,000 บาท ซึ่งการก่อสร้างโครงการฯ ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยร้อยละ 70 และพื้นที่สาธารณะร้อยละ 30 ซึ่งมีการแบ่งขนาดที่ดินต่อครอบครัวออกเป็น 4 ขนาด ได้แก่ 1) ขนาด 10 ตารางวา จํานวน 42 แปลง 2) ขนาด 12 ตารางวา จํานวน 2 แปลง 3) ขนาด 15 ตารางวา จํานวน 17 แปลง และ 4) ขนาด 22.5 ตารางวา จํานวน 2 แปลง โดยสร้างเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 4 X 7 ตารางเมตร มีราคาก่อสร้างหลังละ 240,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,120,000 บาท โดย พอช. สนับสนุนสินเชื่อ จํานวน 12,515,000 บาท และชุมชนสมทบเงินเพิ่ม 2,605,000 บาท อีกทั้ง มีการสร้างระบบสาธารณูปโภค โดย พอช. สนับสนุนงบประมาณ จํานวน 3,150,000 บาท และงบอุดหนุนที่อยู่อาศัย จํานวน 1,575,000 บาท รวมงบประมาณทั้งโครงการเป็นเงินทั้งสิ้น 30,545,000 บาท “สําหรับแผนงานก่อสร้างโครงการดังกล่าว ใช้ระยะเวลา 180 วัน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2561 จากนั้น ชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบสามารถย้ายเข้าอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ส่วนแผนงานในการสร้างอาชีพให้ชาวชุมชนจะใช้พื้นที่หรือลานสาธารณะของชุมชนเป็นพื้นที่ค้าขาย เช่น ขายอาหาร หรือจัดเป็นตลาดนัด เพื่อให้ชาวชุมชนมีอาชีพสร้างรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวอย่างได้มั่นคงในระยะยาวต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบให้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 3 แห่ง เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอนุมัติหลักการให้การส่งเสริม โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบให้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 3 แห่ง เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอนุมัติหลักการให้การส่งเสริม โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอเห็นชอบให้อุทยานใน จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอนุมัติในหลักการให้การส่งเสริมโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี และอนุมัติส่งเสริมโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า PHEV ค่ายมิตซูบิชิ วันนี้ (15 มี.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เปิดเผยว่า เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการดําเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคให้เป็นแหล่งรองรับและเสริมสร้างการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ คณะกรรมการจึงเห็นชอบให้กําหนดพื้นที่เขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) สําหรับกิจการใดที่เป็นกิจการเป้าหมายในพื้นที่อีอีซีไอ แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ ก็สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีได้ โดยจะต้องยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการอีอีซี ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562 และย้ายไปตั้งอยู่ในเขตอีอีซีไอ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ซึ่งนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์พื้นฐานของแต่ละประเภทแล้ว ยังจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 ถึง 4 ปี และบางกิจการจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมอีกด้วย กิจการเป้าหมายที่สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมดังกล่าวได้ เช่น กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) บริการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ บริการสอบเทียบมาตรฐาน สถานฝึกฝนวิชาชีพ กิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบันอุทยานวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการประกาศเป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ดังนั้น การกําหนดพื้นที่เพิ่มเติมในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยทําให้นักลงทุนมีทางเลือกเพิ่มเติม ยังจะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในภูมิภาคมีโอกาสในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาได้ง่ายขึ้น สามารถเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ได้สะดวกขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ที่สูงขึ้นได้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ที่ประชุมได้อนุมัติในหลักการแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะเจ้าของสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน สําหรับกิจการที่ได้รับสัมปทาน จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (รวมกันไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ทั้งนี้ รฟม. จะต้องระบุสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไว้ในประกาศเชิญชวน (ทีโออาร์) อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ประมูลทุกรายทราบโดยทั่วกัน พร้อมกับที่ประชุมเห็นชอบให้การส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicles - PHEV) แก่ บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด เงินลงทุนทั้งสิ้น 3,130 ล้านบาท ตั้งโครงการในจังหวัดชลบุรี โดยโครงการนี้จะใช้ชิ้นส่วนสําคัญที่ผลิตในประเทศ และมีแผนพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลตามมาตรการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลข่าวจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบให้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 3 แห่ง เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอนุมัติหลักการให้การส่งเสริม โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบให้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 3 แห่ง เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอนุมัติหลักการให้การส่งเสริม โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอเห็นชอบให้อุทยานใน จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอนุมัติในหลักการให้การส่งเสริมโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี และอนุมัติส่งเสริมโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า PHEV ค่ายมิตซูบิชิ วันนี้ (15 มี.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เปิดเผยว่า เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการดําเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคให้เป็นแหล่งรองรับและเสริมสร้างการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ คณะกรรมการจึงเห็นชอบให้กําหนดพื้นที่เขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) สําหรับกิจการใดที่เป็นกิจการเป้าหมายในพื้นที่อีอีซีไอ แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ ก็สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีได้ โดยจะต้องยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการอีอีซี ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562 และย้ายไปตั้งอยู่ในเขตอีอีซีไอ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ซึ่งนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์พื้นฐานของแต่ละประเภทแล้ว ยังจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 ถึง 4 ปี และบางกิจการจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมอีกด้วย กิจการเป้าหมายที่สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมดังกล่าวได้ เช่น กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) บริการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ บริการสอบเทียบมาตรฐาน สถานฝึกฝนวิชาชีพ กิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบันอุทยานวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการประกาศเป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ดังนั้น การกําหนดพื้นที่เพิ่มเติมในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยทําให้นักลงทุนมีทางเลือกเพิ่มเติม ยังจะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในภูมิภาคมีโอกาสในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาได้ง่ายขึ้น สามารถเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ได้สะดวกขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ที่สูงขึ้นได้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ที่ประชุมได้อนุมัติในหลักการแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะเจ้าของสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน สําหรับกิจการที่ได้รับสัมปทาน จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (รวมกันไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ทั้งนี้ รฟม. จะต้องระบุสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไว้ในประกาศเชิญชวน (ทีโออาร์) อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ประมูลทุกรายทราบโดยทั่วกัน พร้อมกับที่ประชุมเห็นชอบให้การส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicles - PHEV) แก่ บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด เงินลงทุนทั้งสิ้น 3,130 ล้านบาท ตั้งโครงการในจังหวัดชลบุรี โดยโครงการนี้จะใช้ชิ้นส่วนสําคัญที่ผลิตในประเทศ และมีแผนพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลตามมาตรการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลข่าวจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19363
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ออกมาตรการ พักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 6 เดือน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัย 15 จังหวัดภาคใต้ กว่า 8,000 ราย วงเงินค้ำประกัน กว่า 17,000 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 บสย. ออกมาตรการ พักชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 6 เดือน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัย 15 จังหวัดภาคใต้ กว่า 8,000 ราย วงเงินค้ําประกัน กว่า 17,000 ล้านบาท ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บสย. ครั้งที่ 1/2560 วันที่ 27 มกราคม 2560 มีมติเห็นชอบให้ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย ในภาคใต้ ปี 2560 โดยการพักชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บสย. ครั้งที่ 1/2560 วันที่ 27 มกราคม 2560 มีมติเห็นชอบให้ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย ในภาคใต้ ปี 2560 โดยการพักชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน สําหรับลูกค้า SMEs ของ บสย.ที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียม ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 นั้น ขณะนี้บสย.ได้แจ้งมาตรการความช่วยเหลือดังกล่าวกับสถาบันการเงินพันธมิตรแล้ว มาตรการดังกล่าว จะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบอุทกภัย 15 จังหวัดภาคใต้ ที่เป็นลูกค้าบสย. ที่ถึงกําหนดชําระค่าธรรมเนียม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และเป็นกิจการของลูกค้าได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยะลา ระนอง สงขลา สตูล สุราษฎร์ธานี และ ประจวบคีรีขันธ์ รวมกว่า 8,000 ราย วงเงินค้ําประกันกว่า 17,000 ล้านบาท สําหรับพื้นที่ในจังหวัดต่างๆที่ลูกค้าบสย.ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สูงสุด 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จํานวน 1,460 ราย จังหวัดสงขลา จํานวน 1,270 ราย จังหวัด นครศรีธรรมราช จํานวน 1,224 ราย จังหวัดภูเก็ต จํานวน 841 ราย และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 624 ราย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999 ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 chaninya@tcg.or.th www.tcg.or.th ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 saranyu@tcg.or.th www.facebook.com/tcg.or.th วิชุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 wichuda@tcg.or.th ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ออกมาตรการ พักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 6 เดือน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัย 15 จังหวัดภาคใต้ กว่า 8,000 ราย วงเงินค้ำประกัน กว่า 17,000 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 บสย. ออกมาตรการ พักชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 6 เดือน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัย 15 จังหวัดภาคใต้ กว่า 8,000 ราย วงเงินค้ําประกัน กว่า 17,000 ล้านบาท ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บสย. ครั้งที่ 1/2560 วันที่ 27 มกราคม 2560 มีมติเห็นชอบให้ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย ในภาคใต้ ปี 2560 โดยการพักชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บสย. ครั้งที่ 1/2560 วันที่ 27 มกราคม 2560 มีมติเห็นชอบให้ดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย ในภาคใต้ ปี 2560 โดยการพักชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน สําหรับลูกค้า SMEs ของ บสย.ที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียม ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 นั้น ขณะนี้บสย.ได้แจ้งมาตรการความช่วยเหลือดังกล่าวกับสถาบันการเงินพันธมิตรแล้ว มาตรการดังกล่าว จะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบอุทกภัย 15 จังหวัดภาคใต้ ที่เป็นลูกค้าบสย. ที่ถึงกําหนดชําระค่าธรรมเนียม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และเป็นกิจการของลูกค้าได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยะลา ระนอง สงขลา สตูล สุราษฎร์ธานี และ ประจวบคีรีขันธ์ รวมกว่า 8,000 ราย วงเงินค้ําประกันกว่า 17,000 ล้านบาท สําหรับพื้นที่ในจังหวัดต่างๆที่ลูกค้าบสย.ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สูงสุด 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จํานวน 1,460 ราย จังหวัดสงขลา จํานวน 1,270 ราย จังหวัด นครศรีธรรมราช จํานวน 1,224 ราย จังหวัดภูเก็ต จํานวน 841 ราย และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 624 ราย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999 ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 chaninya@tcg.or.th www.tcg.or.th ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 saranyu@tcg.or.th www.facebook.com/tcg.or.th วิชุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 wichuda@tcg.or.th ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันผล 40 ราย จ.ยะลา เป็นลบ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2563 สธ.ยืนยันผล 40 ราย จ.ยะลา เป็นลบ [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.ยืนยันผล 40 ราย จ.ยะลา เป็นลบ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ 40 รายจาก จ.ยะลา รอบที่ 3 ให้ผลเป็นลบทั้งหมด พร้อมยืนยันไม่พบความผิดพลาดในเรื่องสําคัญ แนะนําที่ต้องปรับปรุง พร้อมให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา เข้ามาช่วยตรวจ เตรียมตั้ง 2 ห้องปฏิบัติการใน โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลปัตตานี เพิ่ม บ่ายวันนี้ (6 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงผลการตรวจตัวอย่างเพื่อหาเชื้อโควิด-19 ของประชาชนในจังหวัดยะลา จํานวน 40 ราย ครั้งที่ 3 พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดถูกส่งมาตรวจในห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เมื่อคืนวันที่ 5 พฤษภาคม ขณะนี้ทราบผลทางห้องปฏิบัติการว่าทั้งหมดให้ผลเป็นลบ ไม่พบการติดเชื้อ หลังผลการตรวจสอบ 2 ครั้งที่ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลาและศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลาให้ผลไม่ตรงกัน ขั้นตอนจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะรายงานไปยังสาธารณสุขจังหวัดยะลาให้ได้รับทราบผลอย่างเป็นทางการ ต่อไป อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการส่งทีมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ จังหวัดยะลาเพื่อตรวจสอบสาเหตุในสถานที่ปฏิบัติงานจริง ไม่ได้พบความผิดพลาดที่เป็นประเด็นสําคัญ (major error) ระหว่างนี้ได้มอบนโยบายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา รับหน้าที่ตรวจยืนยันผลอีกทางหนึ่ง เนื่องจากห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลามีภาระงานที่ค่อนข้างมากจากนโยบายการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน ทําให้ต้องตรวจตัวอย่างเชื้อจํานวน 700 – 800 ตัวอย่างต่อวัน ซึ่งเดือนเมษายนที่ผ่านมาตรวจไปกว่า 4,000 ตัวอย่าง ถือว่าเป็นห้องปฏิบัติการขนาดเล็กที่มีปริมาณงานมากที่สุดในประเทศ “ต้องชื่นชมความทุ่มเทในการทํางานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในจังหวัดยะลา ที่ได้ดําเนินการตรวจค้นหาเชิงรุกยิ่งทําให้จํานวนตัวอย่างเพิ่มขึ้นมาก ขณะนี้ได้เสริมอุปกรณ์เพื่อรองรับการทํางานของเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลาแล้ว พร้อมเร่งจัดตั้งห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลปัตตานีเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อช่วยกระจายภาระงานให้ครอบคลุมการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย เพื่อให้การตรวจหาผู้ติดเชื้อรายใหม่มีประสิทธิภาพสูงสุด เกิดประโยชน์ต่อการควบคุมและรักษาโรคให้ได้มากที่สุด” นายแพทย์โอภาสกล่าว ****************************** 6 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันผล 40 ราย จ.ยะลา เป็นลบ [กระทรวงสาธารณสุข] วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2563 สธ.ยืนยันผล 40 ราย จ.ยะลา เป็นลบ [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.ยืนยันผล 40 ราย จ.ยะลา เป็นลบ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ 40 รายจาก จ.ยะลา รอบที่ 3 ให้ผลเป็นลบทั้งหมด พร้อมยืนยันไม่พบความผิดพลาดในเรื่องสําคัญ แนะนําที่ต้องปรับปรุง พร้อมให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา เข้ามาช่วยตรวจ เตรียมตั้ง 2 ห้องปฏิบัติการใน โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลปัตตานี เพิ่ม บ่ายวันนี้ (6 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงผลการตรวจตัวอย่างเพื่อหาเชื้อโควิด-19 ของประชาชนในจังหวัดยะลา จํานวน 40 ราย ครั้งที่ 3 พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดถูกส่งมาตรวจในห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เมื่อคืนวันที่ 5 พฤษภาคม ขณะนี้ทราบผลทางห้องปฏิบัติการว่าทั้งหมดให้ผลเป็นลบ ไม่พบการติดเชื้อ หลังผลการตรวจสอบ 2 ครั้งที่ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลาและศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลาให้ผลไม่ตรงกัน ขั้นตอนจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะรายงานไปยังสาธารณสุขจังหวัดยะลาให้ได้รับทราบผลอย่างเป็นทางการ ต่อไป อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการส่งทีมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ จังหวัดยะลาเพื่อตรวจสอบสาเหตุในสถานที่ปฏิบัติงานจริง ไม่ได้พบความผิดพลาดที่เป็นประเด็นสําคัญ (major error) ระหว่างนี้ได้มอบนโยบายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา รับหน้าที่ตรวจยืนยันผลอีกทางหนึ่ง เนื่องจากห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลามีภาระงานที่ค่อนข้างมากจากนโยบายการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน ทําให้ต้องตรวจตัวอย่างเชื้อจํานวน 700 – 800 ตัวอย่างต่อวัน ซึ่งเดือนเมษายนที่ผ่านมาตรวจไปกว่า 4,000 ตัวอย่าง ถือว่าเป็นห้องปฏิบัติการขนาดเล็กที่มีปริมาณงานมากที่สุดในประเทศ “ต้องชื่นชมความทุ่มเทในการทํางานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในจังหวัดยะลา ที่ได้ดําเนินการตรวจค้นหาเชิงรุกยิ่งทําให้จํานวนตัวอย่างเพิ่มขึ้นมาก ขณะนี้ได้เสริมอุปกรณ์เพื่อรองรับการทํางานของเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลาแล้ว พร้อมเร่งจัดตั้งห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลปัตตานีเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อช่วยกระจายภาระงานให้ครอบคลุมการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย เพื่อให้การตรวจหาผู้ติดเชื้อรายใหม่มีประสิทธิภาพสูงสุด เกิดประโยชน์ต่อการควบคุมและรักษาโรคให้ได้มากที่สุด” นายแพทย์โอภาสกล่าว ****************************** 6 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30400
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดแรงงาน” ทดสอบระบบการทำงานศูนย์ฯ ต่างด้าว ย้ำ พร้อมเปิดบริการ 24 ก.ค.นี้
วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2560 “ปลัดแรงงาน” ทดสอบระบบการทํางานศูนย์ฯ ต่างด้าว ย้ํา พร้อมเปิดบริการ 24 ก.ค.นี้ “ปลัดแรงงาน” ตรวจสอบความพร้อมศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว มั่นใจทุกศูนย์ฯ พร้อมให้บริการทั่วประเทศวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.60) เปิดรับบัตรคิวเวลา 07.30 น. ย้ํา “รัฐมนตรีแรงงาน” กําชับเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวก มีทางเลือกสามารถแจ้งผ่านระบบออนไลน์ “ปลัดแรงงาน” ตรวจสอบความพร้อมศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว มั่นใจทุกศูนย์ฯ พร้อมให้บริการทั่วประเทศวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.60) เปิดรับบัตรคิวเวลา 07.30 น. ย้ํา “รัฐมนตรีแรงงาน” กําชับเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวก มีทางเลือกสามารถแจ้งผ่านระบบออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทาง หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศทั้ง 100 แห่งว่าขณะนี้ทุกศูนย์มีความพร้อมทั้งหมดแล้ว บริการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.60) จะเปิดแจกบัตรคิวตั้งแต่เวลา 07.30 น. ปลัดกระทรวงแรงงาน ยังได้เน้นย้ําว่าการดําเนินการในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้กําหนดการดําเนินการไว้ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ขั้นตอนที่ 1) ระหว่าง 24 ก.ค. – 7 ส.ค. 2560 กรอกแบบฟอร์มคําขอจ้างแรงงานต่างด้าวพร้อมติดรูปถ่ายของลูกจ้าง นํามาส่งที่ศูนย์รับแจ้ง กทม.มี 11 พื้นที่ โดยให้ใครมาส่งก็ได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้ใบรับเอกสารไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนัดหมาย ขั้นตอนที่ 2) ระหว่าง 8 ส.ค. - 6 ก.ย. 2560 นายจ้างจะต้องพาลูกจ้างไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันความเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ตามใบนัด ขั้นตอนที่ 3) ไปทําเอกสารรับรองตัวบุคคล หรือ CI ซึ่งทางการเมียนมาและกัมพูชาจะส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดให้บริการที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในประเทศไทย สําหรับลาวจะต้องกลับไปทําพาสปอร์ตที่ประเทศต้นทาง เพื่อมาขอวีซ่าทํางาน ตรวจโรค และขอใบอนุญาตทํางานในพื้นที่การจ้างงาน สําหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ สัญชาติกัมพูชา 4,400 บาท เมียนมา 2,360 บาท และลาว 2,050 บาท ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดร่วมกันดําเนินกาให้เป็นวาระของกระทรวง จัดเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกในด้านต่างๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางให้นายจ้างสามารถส่งแบบฟอร์มผ่านระบบออนไลน์ได้โดยไม่จําเป็นต้องมาที่ศูนย์ฯ หากไม่สะดวกสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มหรือมากรอกแบบฟอร์มที่ศูนย์ฯ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th เว็บไซต์กระทรวงแรงงาน www.mol.go.th และสํานักบริหารแรงงานต่างด้าว www.doe.go.th/alien สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โทรศัพท์ 1694 ----------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 23 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดแรงงาน” ทดสอบระบบการทำงานศูนย์ฯ ต่างด้าว ย้ำ พร้อมเปิดบริการ 24 ก.ค.นี้ วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2560 “ปลัดแรงงาน” ทดสอบระบบการทํางานศูนย์ฯ ต่างด้าว ย้ํา พร้อมเปิดบริการ 24 ก.ค.นี้ “ปลัดแรงงาน” ตรวจสอบความพร้อมศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว มั่นใจทุกศูนย์ฯ พร้อมให้บริการทั่วประเทศวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.60) เปิดรับบัตรคิวเวลา 07.30 น. ย้ํา “รัฐมนตรีแรงงาน” กําชับเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวก มีทางเลือกสามารถแจ้งผ่านระบบออนไลน์ “ปลัดแรงงาน” ตรวจสอบความพร้อมศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว มั่นใจทุกศูนย์ฯ พร้อมให้บริการทั่วประเทศวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.60) เปิดรับบัตรคิวเวลา 07.30 น. ย้ํา “รัฐมนตรีแรงงาน” กําชับเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวก มีทางเลือกสามารถแจ้งผ่านระบบออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทาง หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศทั้ง 100 แห่งว่าขณะนี้ทุกศูนย์มีความพร้อมทั้งหมดแล้ว บริการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.60) จะเปิดแจกบัตรคิวตั้งแต่เวลา 07.30 น. ปลัดกระทรวงแรงงาน ยังได้เน้นย้ําว่าการดําเนินการในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้กําหนดการดําเนินการไว้ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ขั้นตอนที่ 1) ระหว่าง 24 ก.ค. – 7 ส.ค. 2560 กรอกแบบฟอร์มคําขอจ้างแรงงานต่างด้าวพร้อมติดรูปถ่ายของลูกจ้าง นํามาส่งที่ศูนย์รับแจ้ง กทม.มี 11 พื้นที่ โดยให้ใครมาส่งก็ได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้ใบรับเอกสารไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนัดหมาย ขั้นตอนที่ 2) ระหว่าง 8 ส.ค. - 6 ก.ย. 2560 นายจ้างจะต้องพาลูกจ้างไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันความเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ตามใบนัด ขั้นตอนที่ 3) ไปทําเอกสารรับรองตัวบุคคล หรือ CI ซึ่งทางการเมียนมาและกัมพูชาจะส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดให้บริการที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในประเทศไทย สําหรับลาวจะต้องกลับไปทําพาสปอร์ตที่ประเทศต้นทาง เพื่อมาขอวีซ่าทํางาน ตรวจโรค และขอใบอนุญาตทํางานในพื้นที่การจ้างงาน สําหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ สัญชาติกัมพูชา 4,400 บาท เมียนมา 2,360 บาท และลาว 2,050 บาท ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดร่วมกันดําเนินกาให้เป็นวาระของกระทรวง จัดเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกในด้านต่างๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางให้นายจ้างสามารถส่งแบบฟอร์มผ่านระบบออนไลน์ได้โดยไม่จําเป็นต้องมาที่ศูนย์ฯ หากไม่สะดวกสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มหรือมากรอกแบบฟอร์มที่ศูนย์ฯ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th เว็บไซต์กระทรวงแรงงาน www.mol.go.th และสํานักบริหารแรงงานต่างด้าว www.doe.go.th/alien สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โทรศัพท์ 1694 ----------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 23 กรกฎาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินโอนแล้ว คืนเงินผู้ชำระหนี้ดีติดต่อกัน 12 เดือน ลูกค้า 223,537 ราย ยิ้มรับของขวัญปีใหม่
วันพุธที่ 31 มกราคม 2561 ออมสินโอนแล้ว คืนเงินผู้ชําระหนี้ดีติดต่อกัน 12 เดือน ลูกค้า 223,537 ราย ยิ้มรับของขวัญปีใหม่ ธนาคารออมสิน โอนเงินคืนลูกหนี้ชําระหนี้ตามเงื่อนไขทุกเดือนติดต่อกัน 12 เดือน ระหว่าง ธ.ค.59-พ.ย.60 ตามโครงการคืนดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยในสัดส่วน 30% ของดอกเบี้ยรับที่ได้จากลูกค้า ธนาคารออมสิน โอนเงินคืนลูกหนี้ชําระหนี้ตามเงื่อนไขทุกเดือนติดต่อกัน 12 เดือน ระหว่าง ธ.ค.59-พ.ย.60 ตามโครงการคืนดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยในสัดส่วน 30% ของดอกเบี้ยรับที่ได้จากลูกค้า จํานวนทั้งสิ้น 223,537 ราย รวมเป็นเงิน 626.35 ล้านบาท เฉลี่ยต่อราย 2,802 บาท โดยจํานวนเงินสูงสุดต่อราย 12,002 บาท นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ธนาคารฯ ได้ดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่ลูกค้าเงินกู้ของธนาคารฯ ตามโครงการคืนดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยที่มีสถานะการชําระเงินกู้ปกติและลูกหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีงวดชําระเป็นรายเดือน และมีประวัติการชําระหนี้ตามเงื่อนไขทุกเดือนติดต่อกัน 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ถึง เดือนพฤศจิกายน 2560 โดยธนาคารฯ คืนในสัดส่วน 30% ของดอกเบี้ยรับที่ได้จากลูกค้ากลุ่มนี้ รวมจํานวนทั้งสิ้น 223,537 ราย รวมเป็นเงิน 626.35 ล้านบาท คิดเป็นเงินคืนให้ลูกค้าเฉลี่ยรายละ 2,807 บาท โดยจํานวนเงินสูงสุดต่อราย 12,002 บาท “สําหรับลําดับบัญชีเงินฝากที่ธนาคารออมสินโอนเงินคืนเข้าบัญชีนั้น เป็นบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกที่ใช้ในการหักชําระเงินกู้ หากไม่มี ธนาคารฯ จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกที่ลูกค้าใช้ติดต่อกับธนาคารล่าสุด หากเป็นบัญชีกู้ร่วม ธนาคารฯ จะโอนเงินเข้าบัญชีผู้กู้หลัก และจะโอนเฉพาะบัญชีที่มียอดดอกเบี้ยคืนตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป” นายชาติชาย กล่าว อย่างไรก็ตาม ในจํานวนผู้ที่ได้รับเงินคืนทั้งหมด มีลูกค้าที่ยังไม่มีบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกอยู่ตามเงื่อนไข 11,578 ราย ธนาคารฯ จึงยังไม่สามารถโอนเงินคืนให้ได้ ซี่งสาขาที่ลูกค้าใช้บัญชีเงินกู้จะเร่งแจ้งให้ลูกค้าทราบเพื่อมาเปิดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกใหม่ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และธนาคารจะรวบรวมบัญชีโอนเงินภายในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ต่อไป แต่หากลูกค้าไม่มาเปิดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกหรือธนาคารฯ ไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีลูกหนี้ได้ภายในระยะเวลาที่กําหนด ถือว่าลูกค้ารายนั้นสละสิทธิ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินโอนแล้ว คืนเงินผู้ชำระหนี้ดีติดต่อกัน 12 เดือน ลูกค้า 223,537 ราย ยิ้มรับของขวัญปีใหม่ วันพุธที่ 31 มกราคม 2561 ออมสินโอนแล้ว คืนเงินผู้ชําระหนี้ดีติดต่อกัน 12 เดือน ลูกค้า 223,537 ราย ยิ้มรับของขวัญปีใหม่ ธนาคารออมสิน โอนเงินคืนลูกหนี้ชําระหนี้ตามเงื่อนไขทุกเดือนติดต่อกัน 12 เดือน ระหว่าง ธ.ค.59-พ.ย.60 ตามโครงการคืนดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยในสัดส่วน 30% ของดอกเบี้ยรับที่ได้จากลูกค้า ธนาคารออมสิน โอนเงินคืนลูกหนี้ชําระหนี้ตามเงื่อนไขทุกเดือนติดต่อกัน 12 เดือน ระหว่าง ธ.ค.59-พ.ย.60 ตามโครงการคืนดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยในสัดส่วน 30% ของดอกเบี้ยรับที่ได้จากลูกค้า จํานวนทั้งสิ้น 223,537 ราย รวมเป็นเงิน 626.35 ล้านบาท เฉลี่ยต่อราย 2,802 บาท โดยจํานวนเงินสูงสุดต่อราย 12,002 บาท นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ธนาคารฯ ได้ดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่ลูกค้าเงินกู้ของธนาคารฯ ตามโครงการคืนดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยที่มีสถานะการชําระเงินกู้ปกติและลูกหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีงวดชําระเป็นรายเดือน และมีประวัติการชําระหนี้ตามเงื่อนไขทุกเดือนติดต่อกัน 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ถึง เดือนพฤศจิกายน 2560 โดยธนาคารฯ คืนในสัดส่วน 30% ของดอกเบี้ยรับที่ได้จากลูกค้ากลุ่มนี้ รวมจํานวนทั้งสิ้น 223,537 ราย รวมเป็นเงิน 626.35 ล้านบาท คิดเป็นเงินคืนให้ลูกค้าเฉลี่ยรายละ 2,807 บาท โดยจํานวนเงินสูงสุดต่อราย 12,002 บาท “สําหรับลําดับบัญชีเงินฝากที่ธนาคารออมสินโอนเงินคืนเข้าบัญชีนั้น เป็นบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกที่ใช้ในการหักชําระเงินกู้ หากไม่มี ธนาคารฯ จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกที่ลูกค้าใช้ติดต่อกับธนาคารล่าสุด หากเป็นบัญชีกู้ร่วม ธนาคารฯ จะโอนเงินเข้าบัญชีผู้กู้หลัก และจะโอนเฉพาะบัญชีที่มียอดดอกเบี้ยคืนตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป” นายชาติชาย กล่าว อย่างไรก็ตาม ในจํานวนผู้ที่ได้รับเงินคืนทั้งหมด มีลูกค้าที่ยังไม่มีบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกอยู่ตามเงื่อนไข 11,578 ราย ธนาคารฯ จึงยังไม่สามารถโอนเงินคืนให้ได้ ซี่งสาขาที่ลูกค้าใช้บัญชีเงินกู้จะเร่งแจ้งให้ลูกค้าทราบเพื่อมาเปิดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกใหม่ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และธนาคารจะรวบรวมบัญชีโอนเงินภายในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ต่อไป แต่หากลูกค้าไม่มาเปิดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกหรือธนาคารฯ ไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีลูกหนี้ได้ภายในระยะเวลาที่กําหนด ถือว่าลูกค้ารายนั้นสละสิทธิ์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9743
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ กำชับกำหนดแนวทางบริหารจัดซื้อจัดจ้างเน้นโปร่งใส ภาครัฐได้ประโยชน์ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ กําชับกําหนดแนวทางบริหารจัดซื้อจัดจ้างเน้นโปร่งใส ภาครัฐได้ประโยชน์ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 2/60 กําชับสั่งการกําหนดแนวทางบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง ระหว่างรอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ เน้นโปร่งใส ภาครัฐได้ประโยชน์ วันนี้ (20 ก.พ.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บยส.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยภายหลังการประชุม นายอําพน กิตติอําพน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) พร้อมด้วย นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และนายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ร่วมกันแถลงผลการประชุม นายอําพน กิตติอําพน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ในการประชุมครั้งที่ 1 ที่ผ่านมาเป็นการประชุมเรื่องการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้านคมนาคม ซึ่งหลังจากการประชุมในครั้งแรกนั้น การดําเนินการตามมาตรา 44 ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงของรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินก็ได้เสร็จเรียบร้อย โดยการประชุมวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ ร่วมวางแนวทางการปฏิบัติเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง จะทําอย่างไรให้มีมาตรการด้านบริหาร ในระหว่างที่รอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีต้องการทําความเข้าใจกับส่วนราชการ ให้มีการดําเนินการอย่างชัดเจนในช่วงรอยต่อระหว่างที่รอกฎหมายมีผลบังคับใช้ โดยที่ประชุมได้เน้นใน 3 หัวข้อหลักคือ 1. ให้การกําหนดข้อกําหนดของผู้ว่าจ้าง หรือ TOR ข้อกําหนดคุณสมบัติต่าง ๆ มีความโปร่งใส เป็นข้อกําหนดที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ 2. ให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีคุณธรรม มีความโปร่งใสและมีการแข่งขันเพื่อให้รัฐได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่ และ 3. ดูเรื่องข้อกฎหมายเพิ่มเติมที่จะให้มีกระบวนการมีส่วนร่วม ทั้งเรื่องการประกาศความโปร่งใส หรือการประกาศให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตจากคณะกรรมการว่า จะต้องให้กรมบัญชีกลาง ผู้แทนจากสํานักงบประมาณ และคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ร่วมหาข้อสรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขนาดและวิธีการที่นายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการจัดซื้อจัดจ้างในลักษณะที่เป็นสากล แต่ถ้าทําให้เป็นสากลในทุกขนาดจะเกิดผลกระทบต่อการบริหารในโครงการเล็ก ๆ จึงมอบหมายให้หาข้อสรุปว่าควรจะทําให้เป็นสากลในโครงการขนาดใหญ่ที่มีขนาดตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไปหรือไม่ หรือจะเป็นโครงการเฉพาะที่จะต้องใช้เทคนิคชั้นสูงต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ไปกระทบโครงการเล็ก ๆ ที่ดําเนินการอยู่ โดยระเบียบส่วนนี้ต้องมีความชัดเจน ซึ่งกรมบัญชีกลางจะพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะกําหนดขนาดของโครงการที่จะดําเนินการในลักษณะที่เป็นสากล พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลาง เชิญสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ไปดูในส่วนโครงการของรัฐวิสาหกิจด้วย เพราะข้อกําหนดขนาดโครงการดังกล่าวได้รวมทั้งรัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมถึงการศึกษาดูงานต่างประเทศที่ไปนําความรู้ต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนาประเทศก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าไปออกกฎเกณฑ์ว่าห้ามดูงานทั้งหมด ก็จะมีปัญหากับคน กับหน่วยงานที่ต้องการความรู้ความสามารถในอนาคต ดังนั้น สํานักงบประมาณจึงจะต้องดูเรื่องการตั้งงบประมาณต่าง ๆ ที่ในส่วนของงบประมาณการดูงาน ถ้าเป็นการดูงานในเชิงที่ทําให้เกิดองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็ต้องมีระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะรวมถึงข้อกฎหมายว่า ถ้าในช่วงนี้ระหว่างที่กฎหมายลูกยังไม่ออก แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐจะผ่าน สนช. แล้ว ถ้าจะใช้มาตรา 44 เร่งรัดช่วงส่วนต่อระหว่างที่ยังไม่สามารถออกกฎหมายลูกของ พ.ร.บ.ได้ ก็จะดําเนินการ อย่างไรก็ตาม ในขั้นต้นนายกรัฐมนตรีให้เวลา 1 สัปดาห์ ให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ได้ไปประกอบตามหลักการที่ที่ประชุมเห็นชอบ แล้วนําเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ชัดเจน ด้านนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ต้องดูเรื่องของผู้ประกอบการที่จะเข้ามาแข่งขันในโครงการของภาครัฐ ซึ่งจะให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาดําเนินการได้ แต่ต้องกลั่นกรองกติกาต่าง ๆ อย่างรอบคอบและเหมาะสม การเพิ่มจํานวนโครงการที่ดําเนินการภายใต้ข้อตกลงคุณธรรม ที่ปัจจุบันดําเนินงานใน 35 โครงการแล้ว เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการ ลดการใช้งบประมาณของภาครัฐ และต้องเพิ่มกระบวนการการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน หาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐมีผลบังคับใช้ แต่กฎหมายลูกยังไม่แล้วเสร็จ อาจพิจารณาใช้อํานาจตามมาตรา 44 บังคับใช้ไปก่อน ซึ่งแนวทางทั้งหมดจะมีการศึกษาและนําเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ จากที่รัฐบาลดําเนินมาตรการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่ปี 2558 ทั้งในส่วนของ e-bidding หรือวิธีประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์ การดําเนินการข้อตกลงคุณธรรมและการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้าง สามารถแก้ปัญหาเรื่องการสมยอมราคาและการล็อคสเปค โดยสามารถประหยัดงบประมาณได้กว่า 69,670 ล้านบาท นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้กําชับสํานักงบประมาณในเรื่องการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปี ให้เกิดความพร้อม มีความโปร่งใส เป็นธรรม ฉะนั้นในขั้นตอนของการตั้งงบประมาณจะต้องกําหนดให้ส่วนราชการมี TOR และแบบรูปรายการ ประมาณราคาค่าก่อสร้าง รวมทั้งสเปคครุภัณฑ์ต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณา และมีที่มาของการตั้งงบประมาณ เป็นไปตามบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ หรือบัญชีราคาจัดซื้อจัดจ้างที่กรมบัญชีกลางจะได้ทําข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งมีแผนปฏิบัติงาน แผนตามยุทธศาสตร์งบประมาณว่าจะเริ่มประกาศ TOR เมื่อไร จัดซื้อจัดจ้างเมื่อไร ทําสัญญาเสร็จเมื่อไร ซึ่งจะเป็นความเข้มข้นในการแสดงความโปร่งใสในขั้นตั้งงบประมาณ พร้อมกันนี้ ในเรื่องของขั้นบริหาร จะต้องไปจัดทําบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ และบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างให้เป็นไปตามการคิดราคากลางแนวใหม่ ที่จะเป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้ แต่ก็จะใช้คําสั่งเป็นมติคณะรัฐมนตรี หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีดําเนินการก่อน ทั้งนี้ ในเรื่องของบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ โดยปกติแล้วสํานักงบประมาณได้มีการตรวจสอบราคาจากผู้ผลิตโดยตรงอย่างน้อย 3 รายขึ้นไป เพื่อนํามาประกอบในการจัดทําบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ ซึ่งในโอกาสต่อไปจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมบัญชีกลางในเรื่องข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ว่าผลการจัดซื้อจัดจ้างของครุภัณฑ์เป็นอย่างไร ส่วนบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างจะใช้การคิดคํานวณราคากลางตามแนวใหม่ที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้กําหนดขึ้นมาใหม่ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกล่าวด้วยว่า สําหรับการตั้งงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่องการดูงานต่างประเทศในเรื่องค่าจ้างที่ปรึกษา สํานักงบประมาณได้รับการกําชับให้ตั้งงบประมาณที่เข้มงวดขึ้น โดยจะตั้งให้เฉพาะในส่วนที่มีความจําเป็นที่จะต้องไปดูงานในต่างประเทศเท่านั้น ถ้าไม่มีความจําเป็นก็จะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายการดูงานในต่างประเทศในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาต่าง ๆ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกันว่าสุดท้ายแล้วกรณีใดจะมีการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ผลิตโดยตรง กรณีใดที่จะสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จากตัวแทนจําหน่าย ซึ่งอาจจะมีผู้ผลิตโดยตรงในประเทศและมีตัวแทนจําหน่ายในประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในตอนท้าย นายอําพน กิตติอําพน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเรื่องการล็อคสเป็กโดยผ่าน TOR นั้นตามกฎหมายปัจจุบันมีการลงโทษอยู่แล้ว แต่มาตรการที่กําหนดในวันนี้จะป้องกันไม่ให้ล็อคเมื่อล็อคไม่ได้ก็สมยอมหรือฮั้วไม่ได้ เมื่อฮั้วไม่ได้ ราคากลางก็จะถูกกําหนดออกมาที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ที่สุดของบ้านเมือง วันนี้ตามกฎหมายถ้าจับได้ว่าล็อคจับได้ว่าฮั้ว จับได้ว่าตั้งราคากลางสูงเกินไป ก็ติดคุกทั้งนั้น แต่มาตรการทั้งหมดที่ทําไปขณะนี้ คือมาตรการเสริมในช่วงระหว่างนี้ที่รอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐจะมีผลบังคับใช้และกฎหมายลูกจะผ่าน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามผลการดําเนินการต่าง ๆ คาดการณ์ว่าทั้งหมดจะทําให้สามารถประหยัดเงินของประเทศ และทําให้หน่วยงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพในการทํางานมากขึ้น --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ กำชับกำหนดแนวทางบริหารจัดซื้อจัดจ้างเน้นโปร่งใส ภาครัฐได้ประโยชน์ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ กําชับกําหนดแนวทางบริหารจัดซื้อจัดจ้างเน้นโปร่งใส ภาครัฐได้ประโยชน์ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 2/60 กําชับสั่งการกําหนดแนวทางบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง ระหว่างรอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ เน้นโปร่งใส ภาครัฐได้ประโยชน์ วันนี้ (20 ก.พ.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บยส.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยภายหลังการประชุม นายอําพน กิตติอําพน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) พร้อมด้วย นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และนายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ร่วมกันแถลงผลการประชุม นายอําพน กิตติอําพน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ในการประชุมครั้งที่ 1 ที่ผ่านมาเป็นการประชุมเรื่องการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้านคมนาคม ซึ่งหลังจากการประชุมในครั้งแรกนั้น การดําเนินการตามมาตรา 44 ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงของรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินก็ได้เสร็จเรียบร้อย โดยการประชุมวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ ร่วมวางแนวทางการปฏิบัติเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง จะทําอย่างไรให้มีมาตรการด้านบริหาร ในระหว่างที่รอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีต้องการทําความเข้าใจกับส่วนราชการ ให้มีการดําเนินการอย่างชัดเจนในช่วงรอยต่อระหว่างที่รอกฎหมายมีผลบังคับใช้ โดยที่ประชุมได้เน้นใน 3 หัวข้อหลักคือ 1. ให้การกําหนดข้อกําหนดของผู้ว่าจ้าง หรือ TOR ข้อกําหนดคุณสมบัติต่าง ๆ มีความโปร่งใส เป็นข้อกําหนดที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ 2. ให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีคุณธรรม มีความโปร่งใสและมีการแข่งขันเพื่อให้รัฐได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่ และ 3. ดูเรื่องข้อกฎหมายเพิ่มเติมที่จะให้มีกระบวนการมีส่วนร่วม ทั้งเรื่องการประกาศความโปร่งใส หรือการประกาศให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตจากคณะกรรมการว่า จะต้องให้กรมบัญชีกลาง ผู้แทนจากสํานักงบประมาณ และคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ร่วมหาข้อสรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขนาดและวิธีการที่นายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการจัดซื้อจัดจ้างในลักษณะที่เป็นสากล แต่ถ้าทําให้เป็นสากลในทุกขนาดจะเกิดผลกระทบต่อการบริหารในโครงการเล็ก ๆ จึงมอบหมายให้หาข้อสรุปว่าควรจะทําให้เป็นสากลในโครงการขนาดใหญ่ที่มีขนาดตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไปหรือไม่ หรือจะเป็นโครงการเฉพาะที่จะต้องใช้เทคนิคชั้นสูงต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ไปกระทบโครงการเล็ก ๆ ที่ดําเนินการอยู่ โดยระเบียบส่วนนี้ต้องมีความชัดเจน ซึ่งกรมบัญชีกลางจะพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะกําหนดขนาดของโครงการที่จะดําเนินการในลักษณะที่เป็นสากล พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลาง เชิญสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ไปดูในส่วนโครงการของรัฐวิสาหกิจด้วย เพราะข้อกําหนดขนาดโครงการดังกล่าวได้รวมทั้งรัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมถึงการศึกษาดูงานต่างประเทศที่ไปนําความรู้ต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนาประเทศก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าไปออกกฎเกณฑ์ว่าห้ามดูงานทั้งหมด ก็จะมีปัญหากับคน กับหน่วยงานที่ต้องการความรู้ความสามารถในอนาคต ดังนั้น สํานักงบประมาณจึงจะต้องดูเรื่องการตั้งงบประมาณต่าง ๆ ที่ในส่วนของงบประมาณการดูงาน ถ้าเป็นการดูงานในเชิงที่ทําให้เกิดองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็ต้องมีระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะรวมถึงข้อกฎหมายว่า ถ้าในช่วงนี้ระหว่างที่กฎหมายลูกยังไม่ออก แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐจะผ่าน สนช. แล้ว ถ้าจะใช้มาตรา 44 เร่งรัดช่วงส่วนต่อระหว่างที่ยังไม่สามารถออกกฎหมายลูกของ พ.ร.บ.ได้ ก็จะดําเนินการ อย่างไรก็ตาม ในขั้นต้นนายกรัฐมนตรีให้เวลา 1 สัปดาห์ ให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ได้ไปประกอบตามหลักการที่ที่ประชุมเห็นชอบ แล้วนําเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ชัดเจน ด้านนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ต้องดูเรื่องของผู้ประกอบการที่จะเข้ามาแข่งขันในโครงการของภาครัฐ ซึ่งจะให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาดําเนินการได้ แต่ต้องกลั่นกรองกติกาต่าง ๆ อย่างรอบคอบและเหมาะสม การเพิ่มจํานวนโครงการที่ดําเนินการภายใต้ข้อตกลงคุณธรรม ที่ปัจจุบันดําเนินงานใน 35 โครงการแล้ว เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการ ลดการใช้งบประมาณของภาครัฐ และต้องเพิ่มกระบวนการการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน หาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐมีผลบังคับใช้ แต่กฎหมายลูกยังไม่แล้วเสร็จ อาจพิจารณาใช้อํานาจตามมาตรา 44 บังคับใช้ไปก่อน ซึ่งแนวทางทั้งหมดจะมีการศึกษาและนําเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ จากที่รัฐบาลดําเนินมาตรการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่ปี 2558 ทั้งในส่วนของ e-bidding หรือวิธีประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์ การดําเนินการข้อตกลงคุณธรรมและการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้าง สามารถแก้ปัญหาเรื่องการสมยอมราคาและการล็อคสเปค โดยสามารถประหยัดงบประมาณได้กว่า 69,670 ล้านบาท นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้กําชับสํานักงบประมาณในเรื่องการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปี ให้เกิดความพร้อม มีความโปร่งใส เป็นธรรม ฉะนั้นในขั้นตอนของการตั้งงบประมาณจะต้องกําหนดให้ส่วนราชการมี TOR และแบบรูปรายการ ประมาณราคาค่าก่อสร้าง รวมทั้งสเปคครุภัณฑ์ต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณา และมีที่มาของการตั้งงบประมาณ เป็นไปตามบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ หรือบัญชีราคาจัดซื้อจัดจ้างที่กรมบัญชีกลางจะได้ทําข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งมีแผนปฏิบัติงาน แผนตามยุทธศาสตร์งบประมาณว่าจะเริ่มประกาศ TOR เมื่อไร จัดซื้อจัดจ้างเมื่อไร ทําสัญญาเสร็จเมื่อไร ซึ่งจะเป็นความเข้มข้นในการแสดงความโปร่งใสในขั้นตั้งงบประมาณ พร้อมกันนี้ ในเรื่องของขั้นบริหาร จะต้องไปจัดทําบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ และบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างให้เป็นไปตามการคิดราคากลางแนวใหม่ ที่จะเป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้ แต่ก็จะใช้คําสั่งเป็นมติคณะรัฐมนตรี หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีดําเนินการก่อน ทั้งนี้ ในเรื่องของบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ โดยปกติแล้วสํานักงบประมาณได้มีการตรวจสอบราคาจากผู้ผลิตโดยตรงอย่างน้อย 3 รายขึ้นไป เพื่อนํามาประกอบในการจัดทําบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ ซึ่งในโอกาสต่อไปจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมบัญชีกลางในเรื่องข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ว่าผลการจัดซื้อจัดจ้างของครุภัณฑ์เป็นอย่างไร ส่วนบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างจะใช้การคิดคํานวณราคากลางตามแนวใหม่ที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้กําหนดขึ้นมาใหม่ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกล่าวด้วยว่า สําหรับการตั้งงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่องการดูงานต่างประเทศในเรื่องค่าจ้างที่ปรึกษา สํานักงบประมาณได้รับการกําชับให้ตั้งงบประมาณที่เข้มงวดขึ้น โดยจะตั้งให้เฉพาะในส่วนที่มีความจําเป็นที่จะต้องไปดูงานในต่างประเทศเท่านั้น ถ้าไม่มีความจําเป็นก็จะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายการดูงานในต่างประเทศในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาต่าง ๆ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกันว่าสุดท้ายแล้วกรณีใดจะมีการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ผลิตโดยตรง กรณีใดที่จะสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จากตัวแทนจําหน่าย ซึ่งอาจจะมีผู้ผลิตโดยตรงในประเทศและมีตัวแทนจําหน่ายในประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในตอนท้าย นายอําพน กิตติอําพน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการสํานักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเรื่องการล็อคสเป็กโดยผ่าน TOR นั้นตามกฎหมายปัจจุบันมีการลงโทษอยู่แล้ว แต่มาตรการที่กําหนดในวันนี้จะป้องกันไม่ให้ล็อคเมื่อล็อคไม่ได้ก็สมยอมหรือฮั้วไม่ได้ เมื่อฮั้วไม่ได้ ราคากลางก็จะถูกกําหนดออกมาที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ที่สุดของบ้านเมือง วันนี้ตามกฎหมายถ้าจับได้ว่าล็อคจับได้ว่าฮั้ว จับได้ว่าตั้งราคากลางสูงเกินไป ก็ติดคุกทั้งนั้น แต่มาตรการทั้งหมดที่ทําไปขณะนี้ คือมาตรการเสริมในช่วงระหว่างนี้ที่รอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐจะมีผลบังคับใช้และกฎหมายลูกจะผ่าน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามผลการดําเนินการต่าง ๆ คาดการณ์ว่าทั้งหมดจะทําให้สามารถประหยัดเงินของประเทศ และทําให้หน่วยงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพในการทํางานมากขึ้น --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจง ข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจง ข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจง ข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน วันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน ตามที่ เดอะสเตรตไทม์ส สื่อของประเทศสิงคโปร์ รายงานอ้างอิงบทบรรณาธิการของเดอะเนชั่น ซึ่งกล่าวถึงกรณีรัฐบาลเปิดรับการลงทุนและการกู้ยืมเงินจากจีน ภายใต้การผลักดันของรัฐบาลจีนในโครงการเส้นทางสายไหม หรือ Belt and Road โดยมีประเด็นกังวลว่าประเทศไทยจะซ้ํารอยกับประเทศอื่น ๆ ที่เคยรับความช่วยเหลือและพึ่งพาจีน ในการกู้ยืมเงินจากจีนกลายเป็นภาระหนี้สินจํานวนมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของจีนนั้นสูงกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ นั้น มีข้อเท็จจริง ดังนี้ การดําเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือเรียกได้ว่า เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government : G to G) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟและการคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยรัฐบาลจีนจะสนับสนุนด้านการศึกษาโครงการ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และเป็นผู้รับจ้างในการก่อสร้าง ส่วนรัฐบาลไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งโครงการ และใช้แหล่งที่มาของเงินลงทุนโครงการจากงบประมาณและเงินกู้ภายในประเทศเป็นหลัก การกู้เงินจากรัฐบาลจีนจึงเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของแหล่งเงินเท่านั้น ในส่วนของการกู้เงินจากรัฐบาลจีน ปัจจุบันยังไม่มีการตกลงและผูกพันสัญญาใด ๆ และยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาร่างสัญญาเงินกู้และเงื่อนไขเงินกู้ของรัฐบาลจีน ซึ่งในการเจรจาได้มีการระบุไว้ชัดเจนในกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีการบันทึกผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนว่า รัฐบาลไทยจะกู้เงินจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีกว่าหรือมีต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งเงินกู้อื่น ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณาเงื่อนไขเงินกู้เปรียบเทียบกับต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลที่กู้จากแหล่งเงินในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแหล่งเงินกู้ทางการอื่น ๆ ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจง ข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจง ข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจง ข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน วันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นข้อวิจารณ์การเปิดรับการลงทุนและการกู้เงินจากจีน ตามที่ เดอะสเตรตไทม์ส สื่อของประเทศสิงคโปร์ รายงานอ้างอิงบทบรรณาธิการของเดอะเนชั่น ซึ่งกล่าวถึงกรณีรัฐบาลเปิดรับการลงทุนและการกู้ยืมเงินจากจีน ภายใต้การผลักดันของรัฐบาลจีนในโครงการเส้นทางสายไหม หรือ Belt and Road โดยมีประเด็นกังวลว่าประเทศไทยจะซ้ํารอยกับประเทศอื่น ๆ ที่เคยรับความช่วยเหลือและพึ่งพาจีน ในการกู้ยืมเงินจากจีนกลายเป็นภาระหนี้สินจํานวนมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของจีนนั้นสูงกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ นั้น มีข้อเท็จจริง ดังนี้ การดําเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือเรียกได้ว่า เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government : G to G) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟและการคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยรัฐบาลจีนจะสนับสนุนด้านการศึกษาโครงการ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และเป็นผู้รับจ้างในการก่อสร้าง ส่วนรัฐบาลไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งโครงการ และใช้แหล่งที่มาของเงินลงทุนโครงการจากงบประมาณและเงินกู้ภายในประเทศเป็นหลัก การกู้เงินจากรัฐบาลจีนจึงเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของแหล่งเงินเท่านั้น ในส่วนของการกู้เงินจากรัฐบาลจีน ปัจจุบันยังไม่มีการตกลงและผูกพันสัญญาใด ๆ และยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาร่างสัญญาเงินกู้และเงื่อนไขเงินกู้ของรัฐบาลจีน ซึ่งในการเจรจาได้มีการระบุไว้ชัดเจนในกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีการบันทึกผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนว่า รัฐบาลไทยจะกู้เงินจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีกว่าหรือมีต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งเงินกู้อื่น ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณาเงื่อนไขเงินกู้เปรียบเทียบกับต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลที่กู้จากแหล่งเงินในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแหล่งเงินกู้ทางการอื่น ๆ ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16806
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้ ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561 ทส.เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้ ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ทส.เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้ ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน วันนี้ (23 พ.ค. 61) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย เปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 ตามยุทธศาสตร์ชาติในการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือ 1.ปลูกป่าในใจคน 2. ปลูกป่าในบ้าน 3. ปลูกป่าในชุมชนหรือพื้นที่สาธารณะ 4.ปลูกป่าเชื่อมโยงกับป่าใหญ่เพื่อเป็นธนาคารอาหารจากธรรมชาติ ทั้งนี้ เพื่อปลูกจิตสํานึกให้เกิดความรักและตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรป่าไม้ ให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงให้ความสําคัญกับการปลูกป่าในใจคน และสนับสนุนการปลูกไม้มีค่าในพื้นที่กรรมสิทธิ์และพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการ และปลูกต้น "รวงผึ้ง" ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าหน่วยงานราชการ จะได้ร่วมกันปลูกต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งดอกของต้นกัลปพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจําจังหวัดราชบุรี ณ ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เมื่อต้นไม้เจริญเติบโต พื้นที่ดังกล่าวก็จะปรากฏซุ้มอุโมงค์ดอกไม้สีเหลืองของต้นกัลปพฤกษ์ที่สวยงามให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนในอนาคต ในงานดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ได้เป็นสักขีพยาน ในการมอบหนังสืออนุญาตแสดงตนป่าชุมชน โดยมีรมว.ทส. เป็นผู้มอบและผู้แทนป่าชุมชน 5 หมู่บ้านในอําเภอโพธาราม เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบพันธุ์กล้าไม้ยางนา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัด (ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) และมอบนโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นไม้ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ติดตามผลการปลูกป่าในแต่พื้นที่ เพราะการปลูกต้นไม้ที่สําคัญคือการดูแลหลังการปลูกให้ต้นไม้เจริญเติบโต ปลูกแล้วต้องคอยติดตามผลไม่ให้ต้นไม้ตาย รวมถึงขอให้ประชาชนร่วมกันปลูกไม้ดอก เพื่อให้เกิดความสวยงามตามสถานที่ต่างๆ จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายประชาชนที่มาร่วมงาน รวมถึงเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้พร้อมกันทั่วประเทศ ในระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม - 30 กันยายน 2561 พร้อมทั้งเยี่ยมชมโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา ณ อ่างเก็บน้ําเขาชะงุ้ม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้ ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561 ทส.เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้ ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ทส.เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้ ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน วันนี้ (23 พ.ค. 61) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย เปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 ตามยุทธศาสตร์ชาติในการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือ 1.ปลูกป่าในใจคน 2. ปลูกป่าในบ้าน 3. ปลูกป่าในชุมชนหรือพื้นที่สาธารณะ 4.ปลูกป่าเชื่อมโยงกับป่าใหญ่เพื่อเป็นธนาคารอาหารจากธรรมชาติ ทั้งนี้ เพื่อปลูกจิตสํานึกให้เกิดความรักและตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรป่าไม้ ให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงให้ความสําคัญกับการปลูกป่าในใจคน และสนับสนุนการปลูกไม้มีค่าในพื้นที่กรรมสิทธิ์และพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการ และปลูกต้น "รวงผึ้ง" ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าหน่วยงานราชการ จะได้ร่วมกันปลูกต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งดอกของต้นกัลปพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจําจังหวัดราชบุรี ณ ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เมื่อต้นไม้เจริญเติบโต พื้นที่ดังกล่าวก็จะปรากฏซุ้มอุโมงค์ดอกไม้สีเหลืองของต้นกัลปพฤกษ์ที่สวยงามให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนในอนาคต ในงานดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ได้เป็นสักขีพยาน ในการมอบหนังสืออนุญาตแสดงตนป่าชุมชน โดยมีรมว.ทส. เป็นผู้มอบและผู้แทนป่าชุมชน 5 หมู่บ้านในอําเภอโพธาราม เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบพันธุ์กล้าไม้ยางนา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัด (ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) และมอบนโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นไม้ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ติดตามผลการปลูกป่าในแต่พื้นที่ เพราะการปลูกต้นไม้ที่สําคัญคือการดูแลหลังการปลูกให้ต้นไม้เจริญเติบโต ปลูกแล้วต้องคอยติดตามผลไม่ให้ต้นไม้ตาย รวมถึงขอให้ประชาชนร่วมกันปลูกไม้ดอก เพื่อให้เกิดความสวยงามตามสถานที่ต่างๆ จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายประชาชนที่มาร่วมงาน รวมถึงเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้พร้อมกันทั่วประเทศ ในระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม - 30 กันยายน 2561 พร้อมทั้งเยี่ยมชมโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา ณ อ่างเก็บน้ําเขาชะงุ้ม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12467
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2560
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2560 ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส คาด เดือนกันยายนนี้ ราคาสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา มันสําปะหลัง สุกร กุ้ง ปรับตัวดีขึ้น ด้านน้ําตาลทรายราคาลดลง ผลกระทบจากสถานการณ์ในตลาดโลก นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนกันยายน นี้ ว่า “ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส.คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าเกษตรที่จะเพิ่มขึ้นได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ คาดว่า ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.2-2.1 อยู่ที่ราคา 10,350-10,550 บาท/ตัน ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว คาดว่า ราคาข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.0 -3.0 อยู่ที่ราคา 9,800-10,000 บาท/ตัน เนื่องจากผลกระทบจากอุทกภัยส่งผลให้ผลผลิตข้าวที่จะออกในฤดูกาลใหม่ลดลง ยางพารา คาดว่า ราคายางพาราแผ่นดิบที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-3.00 อยู่ที่ราคา 50.83-52.09 บาท/กก. เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่ปลูกยางของไทยโดยรวม ยังไม่เอื้ออํานวยต่อการกรีดยาง ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ประกอบกับราคาน้ํามันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยช่วยหนุนราคายางเพิ่มขึ้น มันสําปะหลัง คาดว่า ราคามันสําปะหลังที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.83-4.17 อยู่ที่ราคา 1.21-1.25 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวส่งผลให้ ผลผลิตมันสําปะหลังที่ออกสู่ตลาดน้อยและไม่เพียงพอกับความต้องการ สุกร คาดว่า ราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.50-5.00 อยู่ที่ราคา 61.35-63.46 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลสารทจีน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น กุ้ง คาดว่า ราคาเฉลี่ยกุ้งขาวแวนนาไมที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.16-2.04 อยู่ที่ราคา 186.50-190.00 บาท/กก. เนื่องจากสินค้ากุ้งไทยผลิตได้คุณภาพตามกระบวนการผลิตมาตรฐานสากล และตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้านสินค้าเกษตรที่จะมีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า 5% คาดว่า ราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ จะลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.9-3.4 อยู่ที่ราคา 7,550-7,750 บาท/ตัน เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังที่ออกสู่ตลาดมีปริมาณมากกว่าที่คาดไว้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คาดว่า ราคาเฉลี่ยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ที่เกษตรกรขายได้จะลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.55-2.00 อยู่ที่ราคา 5.96-6.05 บาท /กก. เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดรุ่น 1 ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณมาก ขณะที่โรงงานอาหารสัตว์ประมูลข้าวสารสต็อกภาครัฐมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ทดแทนข้าวโพด แต่จะยังคงรับซื้อข้าวโพดเพื่อช่วยพยุงราคา ส่งผลให้ระดับราคาลดลงจากเดือนก่อนเพียงเล็กน้อย น้ําตาลทรายดิบ คาดว่า ราคาเฉลี่ยน้ําตาลทรายดิบนิวยอร์กในตลาดโลก จะลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.50 อยู่ที่ราคา 9.88-10.10 บาท/กก.เนื่องจากปริมาณน้ําตาลของประเทศบราซิล ผู้ผลิตน้ําตาลทรายรายใหญ่ของโลกมีสต็อกเกินกว่าที่คาดไว้ โดยองค์การน้ําตาลระหว่างประเทศ (ISO) คาดว่าอยู่ที่ 4 ล้านตัน ขณะที่ F.O. Licht คาดว่าส่วนเกินที่ 5.4 ล้านตัน ทําให้มีแรงขายจากกลุ่มกองทุนและนักเก็งกําไรอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ราคาน้ําตาลทรายในตลาดโลกปรับตัวลดลง ปาล์มน้ํามัน คาดว่า ราคาปาล์มน้ํามันที่เกษตรกรขายได้จะลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.17 – 11.50 อยู่ที่ราคา 3.00 – 3.35 บาท/กก. เนื่องจากคาดว่า ผลผลิตปาล์มจะยังคงออกสู่ตลาดปริมาณมาก ขณะที่โรงงานเข้มงวดต่อการรับซื้อผลปาล์มที่ได้คุณภาพ ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ํามันมีแนวโน้มลดลง” ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส. กลุ่มงานวิจัยและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร โทร.02 280 0180 ต่อ 2636 – 7
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2560 วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2560 ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส คาด เดือนกันยายนนี้ ราคาสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา มันสําปะหลัง สุกร กุ้ง ปรับตัวดีขึ้น ด้านน้ําตาลทรายราคาลดลง ผลกระทบจากสถานการณ์ในตลาดโลก นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนกันยายน นี้ ว่า “ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส.คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าเกษตรที่จะเพิ่มขึ้นได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ คาดว่า ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.2-2.1 อยู่ที่ราคา 10,350-10,550 บาท/ตัน ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว คาดว่า ราคาข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.0 -3.0 อยู่ที่ราคา 9,800-10,000 บาท/ตัน เนื่องจากผลกระทบจากอุทกภัยส่งผลให้ผลผลิตข้าวที่จะออกในฤดูกาลใหม่ลดลง ยางพารา คาดว่า ราคายางพาราแผ่นดิบที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-3.00 อยู่ที่ราคา 50.83-52.09 บาท/กก. เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่ปลูกยางของไทยโดยรวม ยังไม่เอื้ออํานวยต่อการกรีดยาง ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ประกอบกับราคาน้ํามันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยช่วยหนุนราคายางเพิ่มขึ้น มันสําปะหลัง คาดว่า ราคามันสําปะหลังที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.83-4.17 อยู่ที่ราคา 1.21-1.25 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวส่งผลให้ ผลผลิตมันสําปะหลังที่ออกสู่ตลาดน้อยและไม่เพียงพอกับความต้องการ สุกร คาดว่า ราคาสุกรที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.50-5.00 อยู่ที่ราคา 61.35-63.46 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลสารทจีน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น กุ้ง คาดว่า ราคาเฉลี่ยกุ้งขาวแวนนาไมที่เกษตรกรขายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.16-2.04 อยู่ที่ราคา 186.50-190.00 บาท/กก. เนื่องจากสินค้ากุ้งไทยผลิตได้คุณภาพตามกระบวนการผลิตมาตรฐานสากล และตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้านสินค้าเกษตรที่จะมีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า 5% คาดว่า ราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ จะลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.9-3.4 อยู่ที่ราคา 7,550-7,750 บาท/ตัน เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังที่ออกสู่ตลาดมีปริมาณมากกว่าที่คาดไว้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คาดว่า ราคาเฉลี่ยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ที่เกษตรกรขายได้จะลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.55-2.00 อยู่ที่ราคา 5.96-6.05 บาท /กก. เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดรุ่น 1 ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณมาก ขณะที่โรงงานอาหารสัตว์ประมูลข้าวสารสต็อกภาครัฐมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ทดแทนข้าวโพด แต่จะยังคงรับซื้อข้าวโพดเพื่อช่วยพยุงราคา ส่งผลให้ระดับราคาลดลงจากเดือนก่อนเพียงเล็กน้อย น้ําตาลทรายดิบ คาดว่า ราคาเฉลี่ยน้ําตาลทรายดิบนิวยอร์กในตลาดโลก จะลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.50 อยู่ที่ราคา 9.88-10.10 บาท/กก.เนื่องจากปริมาณน้ําตาลของประเทศบราซิล ผู้ผลิตน้ําตาลทรายรายใหญ่ของโลกมีสต็อกเกินกว่าที่คาดไว้ โดยองค์การน้ําตาลระหว่างประเทศ (ISO) คาดว่าอยู่ที่ 4 ล้านตัน ขณะที่ F.O. Licht คาดว่าส่วนเกินที่ 5.4 ล้านตัน ทําให้มีแรงขายจากกลุ่มกองทุนและนักเก็งกําไรอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ราคาน้ําตาลทรายในตลาดโลกปรับตัวลดลง ปาล์มน้ํามัน คาดว่า ราคาปาล์มน้ํามันที่เกษตรกรขายได้จะลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.17 – 11.50 อยู่ที่ราคา 3.00 – 3.35 บาท/กก. เนื่องจากคาดว่า ผลผลิตปาล์มจะยังคงออกสู่ตลาดปริมาณมาก ขณะที่โรงงานเข้มงวดต่อการรับซื้อผลปาล์มที่ได้คุณภาพ ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ํามันมีแนวโน้มลดลง” ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส. กลุ่มงานวิจัยและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร โทร.02 280 0180 ต่อ 2636 – 7
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6464
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 พิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคําขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม พิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคําขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมj วันนี้ (20 กันยายน 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคําขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล และรางวัลชมเชย 4 รางวัล โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมมอบรางวัล ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมj
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 พิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคําขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม พิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคําขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมj วันนี้ (20 กันยายน 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลการประกวดตราสัญลักษณ์และคําขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล และรางวัลชมเชย 4 รางวัล โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมมอบรางวัล ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมj
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย วันนี้ (24 สิงหาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 Comprehensive Strategic Partnership Through the Belt and Road Initiative and the EEC พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐของจีน คณะผู้บริหารระดับสูงภาครัฐ เจ้าหน้าที่ และภาคเอกชน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วม ณ โรงแรม Marriott Marguis Queen's Park การลงทุนของประเทศจีนในปัจจุบันนั้น มีความแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก การลงทุนจากประเทศจีนจึงมีมิติในการสร้างความเข้มแข็งโดยการรวมตัวของภูมิภาคด้วยระบบโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงระหว่างกัน ด้วยนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของประเทศจีน ได้กลายเป็นพลังสําคัญที่ทําให้กลุ่มประเทศอาเซียนกลายเป็นทําเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงภูมิภาคสําคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจึงได้กําหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจให้มีความเชื่อมโยงกับนโยบาย BRI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งนักลงทุนจากประเทศจีนให้ความสนใจที่จะลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สําหรับงานสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 Comprehensive Strategic Partnership Through the Belt and Road Initiative and the EEC นี้ ได้รับความสนใจจากบริษัท นักลงทุน และผู้ประกอบการจากประเทศจีน เข้าร่วมกว่า 400 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย รัฐมนตรีฯ อุตตม ร่วมสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 ผลักดัน EEC เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย วันนี้ (24 สิงหาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 Comprehensive Strategic Partnership Through the Belt and Road Initiative and the EEC พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐของจีน คณะผู้บริหารระดับสูงภาครัฐ เจ้าหน้าที่ และภาคเอกชน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วม ณ โรงแรม Marriott Marguis Queen's Park การลงทุนของประเทศจีนในปัจจุบันนั้น มีความแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก การลงทุนจากประเทศจีนจึงมีมิติในการสร้างความเข้มแข็งโดยการรวมตัวของภูมิภาคด้วยระบบโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงระหว่างกัน ด้วยนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของประเทศจีน ได้กลายเป็นพลังสําคัญที่ทําให้กลุ่มประเทศอาเซียนกลายเป็นทําเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงภูมิภาคสําคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจึงได้กําหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจให้มีความเชื่อมโยงกับนโยบาย BRI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งนักลงทุนจากประเทศจีนให้ความสนใจที่จะลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สําหรับงานสัมมนา Thailand-China Business Forum 2018 Comprehensive Strategic Partnership Through the Belt and Road Initiative and the EEC นี้ ได้รับความสนใจจากบริษัท นักลงทุน และผู้ประกอบการจากประเทศจีน เข้าร่วมกว่า 400 คน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จ.นครราชสีมา (ปากช่อง 2)
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 รมว.พม. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จ.นครราชสีมา (ปากช่อง 2) รมว.พม. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จ.นครราชสีมา (ปากช่อง 2) วันนี้ (2 มิ.ย. 60) เวลา 15.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และ ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ร่วมเป็นเกียรติภายในงาน ณ บริเวณที่ตั้งโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนนครราชสีมา (ปากช่อง 2) ตําบลหนองสาหร่าย อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ตามที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ดําเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นในการลดความเลื่อมล้ํา และสร้างความเท่าเทียมในสังคมไทย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึงตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย กคช. จึงได้จัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งได้รับมอบหมายให้พัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับประชาชนกลุ่มดังกล่าวประมาณ 2 ล้านหน่วย สําหรับโครงการเคหะชุมชน และบริการชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) เป็นหนึ่งในโครงการที่ตอบสนองทั้งนโยบายของรัฐบาล และความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน เนื่องจากอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญเป็นจํานวนมาก อาทิ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฟาร์มโชคชัย และแหล่งท่องเที่ยวทางเกษตรที่อําเภอวังน้ําเขียว เป็นต้น ซึ่งแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวจํานวนมาก โดยอําเภอปากช่องมีสัดส่วนของนักท่องเที่ยวประมาณร้อยละ 40 ของนักท่องเที่ยวทั้งจังหวัด ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทําให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ตามไปด้วย พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย กคช. ได้ดําเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมาตั้งแต่ปี 2520 รวมทั้งสิ้น 16 โครงการ จํานวน 9,022 หน่วย อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (บ้านเกาะ) โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (พิมาย) และเคหะชุมชนนครราชสีมา เป็นต้น สําหรับโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่อําเภอปากช่อง ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (ปากช่อง 1) และโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) ซึ่งอยู่ในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ปี 2557 ได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบอาคาร ทั้งนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนในการจองโครงการเป็นจํานวนมาก พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับพิธีส่งมอบอาคารในโครงการเคหะชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) ในครั้งนี้ เป็นการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในราคาที่ประชาชนสามารถรับภาระได้ โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตําบลหนองสาหร่าย อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีลักษณะโครงการเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ 21 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 60 ตารางเมตร รวม 600 หน่วย ราคาตั้งแต่ 630,000 – 650,000 บาท ซึ่งโครงการนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่สําคัญ อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถานีรถไฟ และสํานักงานเทศบาลตําบล เป็นต้น อีกทั้งในอนาคต ยังจะมีการดําเนินโครงการของภาครัฐ ที่จะส่งผลต่อศักยภาพของโครงการดังกล่าว จํานวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษ บางปะอิน – สระบุรี – นครราชสีมา และโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา อันจะส่งผลต่อความเจริญของพื้นที่อําเภอปากช่องอย่างแน่นอน โดยเฉพาะด้านการคมนาคมที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัยยิ่งขึ้นในอนาคต “อย่างไรก็ตาม รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ โดยบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานกับภาคีทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้วิสัยทัศน์ คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 (Smart Housing)” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จ.นครราชสีมา (ปากช่อง 2) วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 รมว.พม. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จ.นครราชสีมา (ปากช่อง 2) รมว.พม. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน จ.นครราชสีมา (ปากช่อง 2) วันนี้ (2 มิ.ย. 60) เวลา 15.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และ ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ร่วมเป็นเกียรติภายในงาน ณ บริเวณที่ตั้งโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนนครราชสีมา (ปากช่อง 2) ตําบลหนองสาหร่าย อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ตามที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ดําเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นในการลดความเลื่อมล้ํา และสร้างความเท่าเทียมในสังคมไทย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึงตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย กคช. จึงได้จัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งได้รับมอบหมายให้พัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับประชาชนกลุ่มดังกล่าวประมาณ 2 ล้านหน่วย สําหรับโครงการเคหะชุมชน และบริการชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) เป็นหนึ่งในโครงการที่ตอบสนองทั้งนโยบายของรัฐบาล และความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน เนื่องจากอําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญเป็นจํานวนมาก อาทิ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฟาร์มโชคชัย และแหล่งท่องเที่ยวทางเกษตรที่อําเภอวังน้ําเขียว เป็นต้น ซึ่งแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวจํานวนมาก โดยอําเภอปากช่องมีสัดส่วนของนักท่องเที่ยวประมาณร้อยละ 40 ของนักท่องเที่ยวทั้งจังหวัด ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทําให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ตามไปด้วย พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย กคช. ได้ดําเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมาตั้งแต่ปี 2520 รวมทั้งสิ้น 16 โครงการ จํานวน 9,022 หน่วย อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (บ้านเกาะ) โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (พิมาย) และเคหะชุมชนนครราชสีมา เป็นต้น สําหรับโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่อําเภอปากช่อง ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (ปากช่อง 1) และโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) ซึ่งอยู่ในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ปี 2557 ได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบอาคาร ทั้งนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนในการจองโครงการเป็นจํานวนมาก พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับพิธีส่งมอบอาคารในโครงการเคหะชุมชนจังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง 2) ในครั้งนี้ เป็นการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในราคาที่ประชาชนสามารถรับภาระได้ โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตําบลหนองสาหร่าย อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีลักษณะโครงการเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ 21 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 60 ตารางเมตร รวม 600 หน่วย ราคาตั้งแต่ 630,000 – 650,000 บาท ซึ่งโครงการนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่สําคัญ อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถานีรถไฟ และสํานักงานเทศบาลตําบล เป็นต้น อีกทั้งในอนาคต ยังจะมีการดําเนินโครงการของภาครัฐ ที่จะส่งผลต่อศักยภาพของโครงการดังกล่าว จํานวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษ บางปะอิน – สระบุรี – นครราชสีมา และโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา อันจะส่งผลต่อความเจริญของพื้นที่อําเภอปากช่องอย่างแน่นอน โดยเฉพาะด้านการคมนาคมที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัยยิ่งขึ้นในอนาคต “อย่างไรก็ตาม รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ โดยบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานกับภาคีทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้วิสัยทัศน์ คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 (Smart Housing)” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ประกาศจุดยืนไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิตประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562 อนุทิน ประกาศจุดยืนไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิตประชาชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศจุดยืนกระทรวงสาธารณสุขไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตประชาชน ที่สุดจะยกเลิกการใช้หรือไม่ขึ้นกับคณะกรรมการวัตถุอันตราย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศจุดยืนกระทรวงสาธารณสุขไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตประชาชน ที่สุดจะยกเลิกการใช้หรือไม่ขึ้นกับคณะกรรมการวัตถุอันตราย วันนี้ (10 ตุลาคม 2562) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสารเคมีอันตรายทางการเกษตร ว่า การดําเนินการเรื่องสารเคมีอันตรายในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเราทําตามหน้าที่ในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ เรามีจุดยืนอะไรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน เราจะไม่สนับสนุนให้มีการใช้ ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขและเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ที่เป็นคณะกรรมการวัตถุอันตรายก็ยืนยันต่อสื่อมวลชนไปแล้วว่าไม่สนับสนุน และพร้อมเสนอให้ที่ประชุมฯ มีการโหวตอย่างเปิดเผย “เราชาวสาธารณสุขมีความชัดเจนที่จะไม่สนับสนุนการใช้สารเคมีอันตราย ผลที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตรายทั้ง 27 คน ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข และหากไม่แบน เราก็จะเตรียมยา เตรียมการรักษา ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศต่อไป” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ผมยินดีรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย การสนับสนุนการเลิกใช้ครั้งนี้ทําเพื่อเกษตรกร ทําเพื่อประชาชนผู้บริโภคพืชผลทางการเกษตร สําหรับเรื่องตัวเลขคนป่วย คนเสียชีวิตจากสารเคมีอันตรายนั้น ในฐานะที่เป็นกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสุขภาพสําคัญที่สุด ไม่ว่าตัวเลขผู้ป่วยจะ 1.4 หมื่นคน หรือทําให้ป่วยเพียงคนเดียว ก็ไม่สนับสนุนให้ใช้ *****************************10 ตุลาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ประกาศจุดยืนไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิตประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562 อนุทิน ประกาศจุดยืนไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิตประชาชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศจุดยืนกระทรวงสาธารณสุขไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตประชาชน ที่สุดจะยกเลิกการใช้หรือไม่ขึ้นกับคณะกรรมการวัตถุอันตราย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศจุดยืนกระทรวงสาธารณสุขไม่เอาสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตประชาชน ที่สุดจะยกเลิกการใช้หรือไม่ขึ้นกับคณะกรรมการวัตถุอันตราย วันนี้ (10 ตุลาคม 2562) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสารเคมีอันตรายทางการเกษตร ว่า การดําเนินการเรื่องสารเคมีอันตรายในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเราทําตามหน้าที่ในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ เรามีจุดยืนอะไรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน เราจะไม่สนับสนุนให้มีการใช้ ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขและเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ที่เป็นคณะกรรมการวัตถุอันตรายก็ยืนยันต่อสื่อมวลชนไปแล้วว่าไม่สนับสนุน และพร้อมเสนอให้ที่ประชุมฯ มีการโหวตอย่างเปิดเผย “เราชาวสาธารณสุขมีความชัดเจนที่จะไม่สนับสนุนการใช้สารเคมีอันตราย ผลที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตรายทั้ง 27 คน ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข และหากไม่แบน เราก็จะเตรียมยา เตรียมการรักษา ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศต่อไป” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ผมยินดีรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย การสนับสนุนการเลิกใช้ครั้งนี้ทําเพื่อเกษตรกร ทําเพื่อประชาชนผู้บริโภคพืชผลทางการเกษตร สําหรับเรื่องตัวเลขคนป่วย คนเสียชีวิตจากสารเคมีอันตรายนั้น ในฐานะที่เป็นกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสุขภาพสําคัญที่สุด ไม่ว่าตัวเลขผู้ป่วยจะ 1.4 หมื่นคน หรือทําให้ป่วยเพียงคนเดียว ก็ไม่สนับสนุนให้ใช้ *****************************10 ตุลาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23730
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562 “รมช.มนัญญา” เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี “รมช.มนัญญา” เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี ชูหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดันกลไกสหกรณ์เข้มแข็งดึงลูกหลานสหกรณ์คืนถิ่น วันนี้ (1 ตุลาคม 2562 ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ครบรอบ 47 ปี ณ บริเวณลานหน้าพระอนุสาวรีย์กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เทวศร์ กรุงเทพฯ โดยมีนางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี ถวายพานพุ่มสักการะพระอนุสาวรีย์พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย อ่านสารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี และเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์วางบนพานที่โต๊ะหมู่บูชา พร้อมทั้งยังให้นโยบายแนวทางการปฏิบัติงานแก่บุคลากรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี ขอให้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชดําริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการส่งเสริมงานสหกรณ์ ทรงให้ความสําคัญกับงานสหกรณ์เป็นอย่างมาก เพราะสหกรณ์เป็นองค์กรที่มีความสําคัญที่จะช่วยดูแลเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งเน้นให้สหกรณ์ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยสําหรับผู้บริโภค และกําลังประสานความร่วมมือกับหลายหน่วยงานเพื่อหาช่องทางตลาดให้กับสหกรณ์ เพราะหากสามารถทําให้สหกรณ์มีรายได้เพิ่มจากการค้าขายและการทําธุรกิจ จะส่งผลที่ดีกลับไปยังเกษตรกรที่เป็นสมาชิกด้วย “นโยบายสําคัญของรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง มีส่วนช่วยเหลือการสร้างอาชีพรายได้แก่เกษตรกรอย่างมั่นคง สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่รักอาชีพเกษตรกรรมไม่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด และให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ผลักดันการเปลี่ยนแนวคิดการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด ทั้งนี้ จะส่งเสริมให้กรมส่งเสริมสหกรณ์บูรณาการความร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในการจัดทําข้อมูลระดับของสหกรณ์ A B C เพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรได้ตัดสินใจที่จะร่วมลงทุน และได้รับทราบข้อมูลความเคลื่อนไหวของสหกรณ์ในแต่ละแห่ง สําหรับแนวทางการปฏิบัติงานในปี 2563 ได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้สหกรณ์ทุกแห่งปลอดสารเคมีและส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จะจัดทําโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรคืนถิ่นกลับบ้าน โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นแกนกลางสําคัญในการบูรณาการพื้นที่ให้เกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สําหรับเกษตรกรที่มีที่ดินทํากินอยู่ต่างจังหวัด มีใจรักในภูมิลําเนาของตน แต่ต้องมาทํางานที่กรุงเทพฯ และมีความต้องการอยากกลับไปดูแลพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปส่งเสริมและบูรณาการให้เกษตรกรเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกสหกรณ์ในท้องถิ่น สนับสนุนการรวมกลุ่มการผลิตตลอดทั้งจัดหาตลาดรองรับ โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คําแนะนําแก่เกษตรกร โดยส่งเสริมหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เกษตรกรได้มีอาชีพที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นางสาวมนัญญา กล่าว สําหรับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถือเป็นหน่วยงานสําคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 มีอํานาจหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน แนะนํา กํากับ และดูแลระบบสหกรณ์ของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “การสหกรณ์มั่นคง สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็ง เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนยั่งยืน” ปัจจุบันประเทศไทยมีจํานวนสหกรณ์ 7 ประเภท ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์บริการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนและสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมกันกว่า 8,097 แห่ง เป็นสหกรณ์ภาคเกษตร 4,547 แห่ง นอกภาคเกษตร 3,550 แห่ง สมาชิก 11.6 ล้านคน สมาชิกภาคการเกษตร 6.7 ล้าน นอกภาคเกษตร 4.9 ล้านคน มีทุนดําเนินการ 3.1 ล้านล้านบาท และปริมาณธุรกิจ 2.5 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2563 กรมส่งเสริมสหกรณ์มีแนวทางในการขับเคลื่อนงาน มุ่งเน้นงานด้านการส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพการผลิต จะมีการบริหารจัดการแปลงใหญ่ของสหกรณ์แบบครบวงจร ใช้วิทยาการสมัยใหม่ สนับสนุนสหกรณ์ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรที่มีความแม่นยําสูง โดยให้ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีการจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว ส่งเสริมให้สหกรณ์มีการแปรรูปผลผลิตของสหกรณ์เพื่อเพิ่มมูลค่า จนได้รับมาตรฐาน GMP มีการเพิ่มศักยภาพการตลาดสินค้าของสหกรณ์ สร้างเครือข่ายกลุ่มสินค้าเกษตร โดยเริ่มพัฒนาการค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ในเว็บไซต์ C0-OP shop ที่กําลังพัฒนาเพื่อให้เป็นช่องทางในการโปรโมทสินค้าสหกรณ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้บริการและเลือกซื้อสินค้าจากสหกรณ์ต่าง ๆ ได้ จะเริ่มให้มีการบ่มเพาะความรู้ในการค้าผ่านช่องทางดังกล่าว และผลักดันให้เกิดตลาดเกษตรกรในสหกรณ์ตามพื้นที่ต่างๆ รวมถึงจัดตั้งซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดใหญ่ๆ โดยจะเป็นแหล่งจําหน่ายพืชผักผลไม้ สินค้าและผลผลิตต่าง ๆ จากสหกรณ์ทั่วประเทศมารวมไว้ให้ผู้บริโภคได้ไปเลือกซื้อได้อย่างสะดวก เพื่อเพิ่มช่องทางตลาดจําหน่ายผลผลิตและสินค้าของสมาชิกสหกรณ์ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562 “รมช.มนัญญา” เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี “รมช.มนัญญา” เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี ชูหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดันกลไกสหกรณ์เข้มแข็งดึงลูกหลานสหกรณ์คืนถิ่น วันนี้ (1 ตุลาคม 2562 ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ครบรอบ 47 ปี ณ บริเวณลานหน้าพระอนุสาวรีย์กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เทวศร์ กรุงเทพฯ โดยมีนางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี ถวายพานพุ่มสักการะพระอนุสาวรีย์พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย อ่านสารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี และเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์วางบนพานที่โต๊ะหมู่บูชา พร้อมทั้งยังให้นโยบายแนวทางการปฏิบัติงานแก่บุคลากรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบรอบ 47 ปี ขอให้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชดําริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการส่งเสริมงานสหกรณ์ ทรงให้ความสําคัญกับงานสหกรณ์เป็นอย่างมาก เพราะสหกรณ์เป็นองค์กรที่มีความสําคัญที่จะช่วยดูแลเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งเน้นให้สหกรณ์ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยสําหรับผู้บริโภค และกําลังประสานความร่วมมือกับหลายหน่วยงานเพื่อหาช่องทางตลาดให้กับสหกรณ์ เพราะหากสามารถทําให้สหกรณ์มีรายได้เพิ่มจากการค้าขายและการทําธุรกิจ จะส่งผลที่ดีกลับไปยังเกษตรกรที่เป็นสมาชิกด้วย “นโยบายสําคัญของรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง มีส่วนช่วยเหลือการสร้างอาชีพรายได้แก่เกษตรกรอย่างมั่นคง สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่รักอาชีพเกษตรกรรมไม่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด และให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ผลักดันการเปลี่ยนแนวคิดการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด ทั้งนี้ จะส่งเสริมให้กรมส่งเสริมสหกรณ์บูรณาการความร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในการจัดทําข้อมูลระดับของสหกรณ์ A B C เพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรได้ตัดสินใจที่จะร่วมลงทุน และได้รับทราบข้อมูลความเคลื่อนไหวของสหกรณ์ในแต่ละแห่ง สําหรับแนวทางการปฏิบัติงานในปี 2563 ได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้สหกรณ์ทุกแห่งปลอดสารเคมีและส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จะจัดทําโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรคืนถิ่นกลับบ้าน โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นแกนกลางสําคัญในการบูรณาการพื้นที่ให้เกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สําหรับเกษตรกรที่มีที่ดินทํากินอยู่ต่างจังหวัด มีใจรักในภูมิลําเนาของตน แต่ต้องมาทํางานที่กรุงเทพฯ และมีความต้องการอยากกลับไปดูแลพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปส่งเสริมและบูรณาการให้เกษตรกรเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกสหกรณ์ในท้องถิ่น สนับสนุนการรวมกลุ่มการผลิตตลอดทั้งจัดหาตลาดรองรับ โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คําแนะนําแก่เกษตรกร โดยส่งเสริมหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เกษตรกรได้มีอาชีพที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นางสาวมนัญญา กล่าว สําหรับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถือเป็นหน่วยงานสําคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 มีอํานาจหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน แนะนํา กํากับ และดูแลระบบสหกรณ์ของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “การสหกรณ์มั่นคง สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็ง เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนยั่งยืน” ปัจจุบันประเทศไทยมีจํานวนสหกรณ์ 7 ประเภท ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์บริการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนและสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมกันกว่า 8,097 แห่ง เป็นสหกรณ์ภาคเกษตร 4,547 แห่ง นอกภาคเกษตร 3,550 แห่ง สมาชิก 11.6 ล้านคน สมาชิกภาคการเกษตร 6.7 ล้าน นอกภาคเกษตร 4.9 ล้านคน มีทุนดําเนินการ 3.1 ล้านล้านบาท และปริมาณธุรกิจ 2.5 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2563 กรมส่งเสริมสหกรณ์มีแนวทางในการขับเคลื่อนงาน มุ่งเน้นงานด้านการส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพการผลิต จะมีการบริหารจัดการแปลงใหญ่ของสหกรณ์แบบครบวงจร ใช้วิทยาการสมัยใหม่ สนับสนุนสหกรณ์ใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรที่มีความแม่นยําสูง โดยให้ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีการจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว ส่งเสริมให้สหกรณ์มีการแปรรูปผลผลิตของสหกรณ์เพื่อเพิ่มมูลค่า จนได้รับมาตรฐาน GMP มีการเพิ่มศักยภาพการตลาดสินค้าของสหกรณ์ สร้างเครือข่ายกลุ่มสินค้าเกษตร โดยเริ่มพัฒนาการค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ในเว็บไซต์ C0-OP shop ที่กําลังพัฒนาเพื่อให้เป็นช่องทางในการโปรโมทสินค้าสหกรณ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้บริการและเลือกซื้อสินค้าจากสหกรณ์ต่าง ๆ ได้ จะเริ่มให้มีการบ่มเพาะความรู้ในการค้าผ่านช่องทางดังกล่าว และผลักดันให้เกิดตลาดเกษตรกรในสหกรณ์ตามพื้นที่ต่างๆ รวมถึงจัดตั้งซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดใหญ่ๆ โดยจะเป็นแหล่งจําหน่ายพืชผักผลไม้ สินค้าและผลผลิตต่าง ๆ จากสหกรณ์ทั่วประเทศมารวมไว้ให้ผู้บริโภคได้ไปเลือกซื้อได้อย่างสะดวก เพื่อเพิ่มช่องทางตลาดจําหน่ายผลผลิตและสินค้าของสมาชิกสหกรณ์ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23526
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย”
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 โครงการ "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบโครงการ "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี ตั้งแต่เดือน ก.ย. - ธ.ค. 62 ประกอบด้วย มาตรการร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทย สนับสนุนให้ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก สายการบิน สปา และอื่น ๆ จัดโปรโมชันขายแพ็กเกจท่องเที่ยวในราคา 100 บาท รวม 40,000 รายการ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่และกลุ่มผู้มีกําลังการใช้จ่ายระดับปานกลาง และมาตรการเที่ยววันธรรมดา ราคา SHOCK โลก สนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมที่พัก บริษัทนําเที่ยว ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สวนสนุก และอื่น ๆ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในราคาพิเศษสุดให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะจัดทํารายละเอียดและแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 โครงการ "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบโครงการ "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี ตั้งแต่เดือน ก.ย. - ธ.ค. 62 ประกอบด้วย มาตรการร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทย สนับสนุนให้ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก สายการบิน สปา และอื่น ๆ จัดโปรโมชันขายแพ็กเกจท่องเที่ยวในราคา 100 บาท รวม 40,000 รายการ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่และกลุ่มผู้มีกําลังการใช้จ่ายระดับปานกลาง และมาตรการเที่ยววันธรรมดา ราคา SHOCK โลก สนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมที่พัก บริษัทนําเที่ยว ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สวนสนุก และอื่น ๆ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในราคาพิเศษสุดให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะจัดทํารายละเอียดและแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่สงขลา เร่งช่วยเหลือโรงเรียนที่ประสบภัยน้ำท่วม
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2559 รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่สงขลา เร่งช่วยเหลือโรงเรียนที่ประสบภัยน้ําท่วม พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมในจังหวัดสงขลา ในการนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องเขียน และของใช้ที่จําเป็น รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือ ซึ่งได้รับการบริจาคสนับสนุนจากหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและกลุ่มบุคคลภายนอก ให้แก่สถานศึกษาในจังหวัดสงขลา ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวให้กําลังใจแก่นักเรียน ครู บุคลากร และครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ สําหรับพื้นที่ อ.ระโนด จ.สงขลา เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากเหตุน้ําท่วมในพื้นที่ 4 อําเภอริมทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีสถานศึกษาในพื้นที่จํานวน 696 โรงในจํานวนนี้ได้รับผลกระทบจํานวน 149 โรงรวมมูลค่าความเสียหาย 47,316,706 บาทแบ่งเป็น สถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16จํานวน 41 โรง ได้รับผลกระทบ 13 โรง ประมาณการความเสียหาย 8,205,000 บาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลาจํานวน 472 โรง ได้รับผลกระทบ 123 โรง ประมาณการความเสียหาย 37,800,106 บาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจํานวน 30 โรง ได้รับผลกระทบ 4 โรง ประมาณการความเสียหาย 736,500 บาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจํานวน 10 โรง ได้รับผลกระทบ 1 โรง สถานศึกษาสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจํานวน 143 โรง ได้รับผลกระทบ 8 โรง ประมาณการความเสียหาย 575,100 บาท ด้านนักเรียนโรงเรียนวัดจาก สังกัด สพป.สงขลา เขต1ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า น้ําได้ท่วมสูงทั้งที่บ้านของตนและที่โรงเรียน มีความลําบากในการใช้ชีวิตและการมาเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วงแรกต้องโดยสารเรือเพื่อมายังโรงเรียน กระทั่งน้ําท่วมสูงจนโรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอน ทําให้ต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน แม้ว่าในวันนี้ (14 ธันวาคม 2559) จะสามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติแล้ว แต่การเดินทางก็ยังยากลําบากเนื่องจากยังมีน้ําท่วมขังอยู่ในหลายพื้นที่ รวมถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนเสียหาย และสนามเด็กเล่นรวมทั้งสนามกีฬาไม่สามารถใช้การได้เพราะยังมีน้ําท่วมขังในระดับสูง ในส่วนของผู้อํานวยการโรงเรียนวัดหัวเค็ด (แก้วคุรุประชานุสรณ์)ซึ่งได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน กล่าวว่า โรงเรียนตั้งอยู่ติดริมแม่น้ําระโนด จึงทําให้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ไม่สามารถขนย้ายไว้ในที่สูงได้ทัน เนื่องจากระดับน้ําขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ขณะนี้ระดับน้ําได้ลดลงแล้ว แต่ก็ยังคงทิ้งความเสียหายไว้ ส่งผลให้จัดการเรียนการสอนได้ไม่เต็มที่ ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่าง ๆ โดยเฉพาะจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งโรงเรียน ครู และนักเรียน รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งในความช่วยเหลือที่ได้รับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งดําเนินการบรรเทาความเสียหายและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงเร่งปรับปรุงซ่อมแซมสถานศึกษาให้กลับมามีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนโดยเร็วนอกจากนี้ ยังได้เปิดศูนย์ซ่อมสร้างชุมชน (FixItCenter) เพื่อให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์แก่ประชาชน ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ที่ศาลาประชาคม เทศบาล ต.ระโนด และในวันที่ 15ธันวาคมนี้ ที่วัดวารีปาโมกข์ ต.ตะเครียะ อ.ระโนด โดยมี 6 หน่วยงานของสถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมกันให้บริการ ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่างสงขลา วิทยาลัยการอาชีพนาทวี วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการสิงหนคร (รัฐ ประธานราษฎร์ นิกร) วิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์นิกร วิทยาลัยการอาชีพสมเด็จเจ้าพะโคะ และวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่ารัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมีความห่วงใยเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมดังกล่าว พร้อมรับทราบสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อนําไปแก้ไขและฟื้นฟูสภาพของโรงเรียน โดยได้เน้นย้ําให้ผู้เกี่ยวข้องจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่นักเรียนอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีเหตุอุทกภัยก็ตาม ทั้งนี้ ในส่วนของการฟื้นฟูอาคารเรียน จะติดตามเร่งรัดให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่สงขลา เร่งช่วยเหลือโรงเรียนที่ประสบภัยน้ำท่วม วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2559 รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่สงขลา เร่งช่วยเหลือโรงเรียนที่ประสบภัยน้ําท่วม พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมในจังหวัดสงขลา ในการนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องเขียน และของใช้ที่จําเป็น รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือ ซึ่งได้รับการบริจาคสนับสนุนจากหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและกลุ่มบุคคลภายนอก ให้แก่สถานศึกษาในจังหวัดสงขลา ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวให้กําลังใจแก่นักเรียน ครู บุคลากร และครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ สําหรับพื้นที่ อ.ระโนด จ.สงขลา เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากเหตุน้ําท่วมในพื้นที่ 4 อําเภอริมทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีสถานศึกษาในพื้นที่จํานวน 696 โรงในจํานวนนี้ได้รับผลกระทบจํานวน 149 โรงรวมมูลค่าความเสียหาย 47,316,706 บาทแบ่งเป็น สถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16จํานวน 41 โรง ได้รับผลกระทบ 13 โรง ประมาณการความเสียหาย 8,205,000 บาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลาจํานวน 472 โรง ได้รับผลกระทบ 123 โรง ประมาณการความเสียหาย 37,800,106 บาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจํานวน 30 โรง ได้รับผลกระทบ 4 โรง ประมาณการความเสียหาย 736,500 บาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจํานวน 10 โรง ได้รับผลกระทบ 1 โรง สถานศึกษาสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจํานวน 143 โรง ได้รับผลกระทบ 8 โรง ประมาณการความเสียหาย 575,100 บาท ด้านนักเรียนโรงเรียนวัดจาก สังกัด สพป.สงขลา เขต1ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า น้ําได้ท่วมสูงทั้งที่บ้านของตนและที่โรงเรียน มีความลําบากในการใช้ชีวิตและการมาเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วงแรกต้องโดยสารเรือเพื่อมายังโรงเรียน กระทั่งน้ําท่วมสูงจนโรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอน ทําให้ต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน แม้ว่าในวันนี้ (14 ธันวาคม 2559) จะสามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติแล้ว แต่การเดินทางก็ยังยากลําบากเนื่องจากยังมีน้ําท่วมขังอยู่ในหลายพื้นที่ รวมถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนเสียหาย และสนามเด็กเล่นรวมทั้งสนามกีฬาไม่สามารถใช้การได้เพราะยังมีน้ําท่วมขังในระดับสูง ในส่วนของผู้อํานวยการโรงเรียนวัดหัวเค็ด (แก้วคุรุประชานุสรณ์)ซึ่งได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน กล่าวว่า โรงเรียนตั้งอยู่ติดริมแม่น้ําระโนด จึงทําให้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ไม่สามารถขนย้ายไว้ในที่สูงได้ทัน เนื่องจากระดับน้ําขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ขณะนี้ระดับน้ําได้ลดลงแล้ว แต่ก็ยังคงทิ้งความเสียหายไว้ ส่งผลให้จัดการเรียนการสอนได้ไม่เต็มที่ ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่าง ๆ โดยเฉพาะจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งโรงเรียน ครู และนักเรียน รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งในความช่วยเหลือที่ได้รับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งดําเนินการบรรเทาความเสียหายและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงเร่งปรับปรุงซ่อมแซมสถานศึกษาให้กลับมามีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนโดยเร็วนอกจากนี้ ยังได้เปิดศูนย์ซ่อมสร้างชุมชน (FixItCenter) เพื่อให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์แก่ประชาชน ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ที่ศาลาประชาคม เทศบาล ต.ระโนด และในวันที่ 15ธันวาคมนี้ ที่วัดวารีปาโมกข์ ต.ตะเครียะ อ.ระโนด โดยมี 6 หน่วยงานของสถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมกันให้บริการ ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่างสงขลา วิทยาลัยการอาชีพนาทวี วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการสิงหนคร (รัฐ ประธานราษฎร์ นิกร) วิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์นิกร วิทยาลัยการอาชีพสมเด็จเจ้าพะโคะ และวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่ารัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมีความห่วงใยเยาวชนและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมดังกล่าว พร้อมรับทราบสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อนําไปแก้ไขและฟื้นฟูสภาพของโรงเรียน โดยได้เน้นย้ําให้ผู้เกี่ยวข้องจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่นักเรียนอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีเหตุอุทกภัยก็ตาม ทั้งนี้ ในส่วนของการฟื้นฟูอาคารเรียน จะติดตามเร่งรัดให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1030
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562”
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562” กระทรวงเกษตรฯ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562” มอบของขวัญแก่เกษตรกรและประชาชนผ่านโครงการสําคัญ จําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพราคาพิเศษ พร้อมตั้งจุดบริการประชาชนอีก 159 จุด ทั่วประเทศ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมมอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ผ่านโครงการ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2562” ตลอดเดือนธันวาคม 2561 - มกราคม 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และลดรายจ่ายครัวเรือน ให้กับเกษตรกรและประชาชน และเป็นการมอบความสุขจากการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เกษตรที่สวยงาม พร้อมกับได้รับความรู้ ซึ่งประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ จํานวน 757,374 ราย ประกอบไปด้วย 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้ 1. มอบของขวัญเกษตรกรไทย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง ผ่านโครงการสําคัญของกระทรวงเกษตรฯ เช่น โครงการชลประทานขนาดเล็กที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2561 ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน 6 โครงการส่งมอบแหล่งน้ําในไร่นานอกเขตชลประทานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จให้กับเกษตรกร จํานวน 15,321 บ่อ สร้างความเข้มแข็งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง และคนกรีดยาง ตามพื้นที่เปิดกรีดจริง 1,800 บาท/ไร่ ไม่เกิน 15 ไร่/ราย) และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ตามพื้นที่ปลูกจริง ไร่ละ 1,500 บาท/ไร่ ไม่เกิน 15 ไร่/ราย เป็นต้น ซึ่งประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ จํานวน 470,274 คน 2. เพิ่มพลังปีใหม่ จําหน่ายสินค้าราคาพิเศษ สินค้าเกษตรคุณภาพ อาทิ ไข่ไก่ นม ยู เอช ที ไทย - เดนมาร์ค จําหน่ายกระเช้าของขวัญ จากสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยที่ได้เครื่องหมาย Q สินค้า และผลิตภัณฑ์ของวิสาหกิจ กลุ่ม และสหกรณ์ อาทิ ข้าวสาร สมุนไพร อาหารทะเลแปรรูป และผลิตภัณฑ์ยางพารา เป็นต้น ณ จุดจําหน่ายของหน่วยงาน (ในพื้นที่ส่วนกลาง และภูมิภาค) และตลาดออนไลน์ ประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ จํานวน 14,000 และ 3. ปีใหม่เที่ยวทั่วไทยสุขใจไปกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย 1) การเปิดสถานที่ราชการ ปรับภูมิทัศน์รองรับนักท่องเที่ยว เช่น สถานีเรดาร์ฝนหลวงอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยข้าวราชบุรี แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านปศุสัตว์ จํานวน 7 แห่ง แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จํานวน 16 จุด อาทิ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี) จังหวัดเชียงราย ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง และขุนวาง) จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาประมงอ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดสกลนคร และเปิดศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จํานวน 21 ศูนย์ โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษากิ่วลม - กิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง โครงการชลประทานสมุทรปราการ (ประตูระบายน้ําคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดสมุทรปราการ) โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษากระเสียว (อ่างเก็บน้ํากระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี) เป็นต้น ประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ 197,300 คน 2) เปิดสถานที่ให้ประชาชนเข้าชมฟรี เช่น สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ําให้ประชาชนเข้าชมฟรี จํานวน 3 แห่ง (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ําจืดกรุงเทพมหานคร ระยอง และจันทบุรี) ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการยกเว้นค่าบัตรผ่านประตู และพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ประชาชนเข้าชมฟรี เป็นต้น ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม 500 คน และ 3) จุดบริการประชาชน ให้บริการจุดพักรถ ห้องน้ํา ขนม และน้ําดื่ม จํานวน 159 จุด ในพื้นที่ 76 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์ 75,300 คน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562” วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562” กระทรวงเกษตรฯ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562” มอบของขวัญแก่เกษตรกรและประชาชนผ่านโครงการสําคัญ จําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพราคาพิเศษ พร้อมตั้งจุดบริการประชาชนอีก 159 จุด ทั่วประเทศ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมมอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ผ่านโครงการ “ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2562” ตลอดเดือนธันวาคม 2561 - มกราคม 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และลดรายจ่ายครัวเรือน ให้กับเกษตรกรและประชาชน และเป็นการมอบความสุขจากการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เกษตรที่สวยงาม พร้อมกับได้รับความรู้ ซึ่งประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ จํานวน 757,374 ราย ประกอบไปด้วย 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้ 1. มอบของขวัญเกษตรกรไทย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง ผ่านโครงการสําคัญของกระทรวงเกษตรฯ เช่น โครงการชลประทานขนาดเล็กที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2561 ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน 6 โครงการส่งมอบแหล่งน้ําในไร่นานอกเขตชลประทานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จให้กับเกษตรกร จํานวน 15,321 บ่อ สร้างความเข้มแข็งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง และคนกรีดยาง ตามพื้นที่เปิดกรีดจริง 1,800 บาท/ไร่ ไม่เกิน 15 ไร่/ราย) และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ตามพื้นที่ปลูกจริง ไร่ละ 1,500 บาท/ไร่ ไม่เกิน 15 ไร่/ราย เป็นต้น ซึ่งประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ จํานวน 470,274 คน 2. เพิ่มพลังปีใหม่ จําหน่ายสินค้าราคาพิเศษ สินค้าเกษตรคุณภาพ อาทิ ไข่ไก่ นม ยู เอช ที ไทย - เดนมาร์ค จําหน่ายกระเช้าของขวัญ จากสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยที่ได้เครื่องหมาย Q สินค้า และผลิตภัณฑ์ของวิสาหกิจ กลุ่ม และสหกรณ์ อาทิ ข้าวสาร สมุนไพร อาหารทะเลแปรรูป และผลิตภัณฑ์ยางพารา เป็นต้น ณ จุดจําหน่ายของหน่วยงาน (ในพื้นที่ส่วนกลาง และภูมิภาค) และตลาดออนไลน์ ประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ จํานวน 14,000 และ 3. ปีใหม่เที่ยวทั่วไทยสุขใจไปกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย 1) การเปิดสถานที่ราชการ ปรับภูมิทัศน์รองรับนักท่องเที่ยว เช่น สถานีเรดาร์ฝนหลวงอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยข้าวราชบุรี แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านปศุสัตว์ จํานวน 7 แห่ง แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จํานวน 16 จุด อาทิ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี) จังหวัดเชียงราย ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง และขุนวาง) จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาประมงอ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดสกลนคร และเปิดศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จํานวน 21 ศูนย์ โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษากิ่วลม - กิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง โครงการชลประทานสมุทรปราการ (ประตูระบายน้ําคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดสมุทรปราการ) โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษากระเสียว (อ่างเก็บน้ํากระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี) เป็นต้น ประชาชนและเกษตรกรได้รับประโยชน์ 197,300 คน 2) เปิดสถานที่ให้ประชาชนเข้าชมฟรี เช่น สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ําให้ประชาชนเข้าชมฟรี จํานวน 3 แห่ง (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ําจืดกรุงเทพมหานคร ระยอง และจันทบุรี) ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการยกเว้นค่าบัตรผ่านประตู และพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ประชาชนเข้าชมฟรี เป็นต้น ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม 500 คน และ 3) จุดบริการประชาชน ให้บริการจุดพักรถ ห้องน้ํา ขนม และน้ําดื่ม จํานวน 159 จุด ในพื้นที่ 76 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์ 75,300 คน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 ประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเน้นย้ําประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายหลังวิกฤติการณ์โควิด-19 วันนี้ (29 เม.ย.63) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ณ สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวราชอาณาจักรกัมพูชา Dr. Thong Khon เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีท่องเที่ยวจากทุกประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงรองเลขาธิการอาเซียนด้านเศรษฐกิจ ร่วมประชุม รมว.พิพัฒน์ กล่าวภายหลังการประชุมว่าที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงมาตรการในการฟื้นตัวเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้อุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยอาศัยการดําเนินงานของทีมสื่อสารในภาวะวิกฤติการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Crisis Communications Team : ATCCT) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ทันเวลา เชื่อถือได้ ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือกับคู่เจรจาและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในมาตรการสนับสนุนและบรรเทาทุกข์ในภาคการท่องเที่ยว เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอันเป็นผลสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รมว.พิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ประเทศไทยมีมาตรการในการบรรเทา เยียวยา และฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา การพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งมีการดําเนินการใน 2 ระยะ โดยในระยะแรก ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงินและการคลัง และมาตรการด้านการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยมาตรการทั้ง 2 ด้านมีการเริ่มต้นดําเนินการไปแล้ว ส่วนมาตรการในระยะที่สอง ประกอบด้วยมาตรการสําคัญ 6 ด้าน ได้แก่ มาตรการเสริมสร้างและการรักษาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว, มาตรการด้านการสร้างรายได้แก่สถานประกอบการท่องเที่ยว, การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว, การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขอนามัย, การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียน (Joint Statement of the ASEAN Tourism Ministers on Strengthening Cooperation to Revitalise ASEAN Tourism) โดยมีความตกลงร่วมกัน ดังนี้ 1. สนับสนุนการประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การเดินทางที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข และมาตรการจําเป็นอื่น ๆ ของประเทศสมาชิกอาเซียน ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านการดําเนินงานของทีมสื่อสารในภาวะวิกฤติการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Crisis Communication Team : ATCCT) 2. กระชับความร่วมมือระหว่างองค์กรการท่องเที่ยวแห่งชาติ ของประเทศสมาชิกอาเซียน (National Tourism Organisations) กับหน่วยงานอาเซียนอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหุ้นส่วนภายนอกอาเซียน โดยเฉพาะด้านการสาธารณสุข ข้อมูลข่าวสาร การคมนาคมขนส่ง และการเข้าเมือง 3. ส่งเสริมความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาอาเซียน ในการตอบสนองภาวะวิกฤติ ความพร้อมทางด้านการสื่อสาร การประสานความร่วมมือ การบรรเทาสาธารณภัยระดับประเทศ และมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและจัดการกับโรคระบาด หรือภัยคุกคามร้ายแรงอื่นได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 ประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเน้นย้ําประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายหลังวิกฤติการณ์โควิด-19 วันนี้ (29 เม.ย.63) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนสมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ณ สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวราชอาณาจักรกัมพูชา Dr. Thong Khon เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีท่องเที่ยวจากทุกประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงรองเลขาธิการอาเซียนด้านเศรษฐกิจ ร่วมประชุม รมว.พิพัฒน์ กล่าวภายหลังการประชุมว่าที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงมาตรการในการฟื้นตัวเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้อุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยอาศัยการดําเนินงานของทีมสื่อสารในภาวะวิกฤติการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Crisis Communications Team : ATCCT) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ทันเวลา เชื่อถือได้ ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือกับคู่เจรจาและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในมาตรการสนับสนุนและบรรเทาทุกข์ในภาคการท่องเที่ยว เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอันเป็นผลสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รมว.พิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ประเทศไทยมีมาตรการในการบรรเทา เยียวยา และฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา การพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งมีการดําเนินการใน 2 ระยะ โดยในระยะแรก ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงินและการคลัง และมาตรการด้านการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยมาตรการทั้ง 2 ด้านมีการเริ่มต้นดําเนินการไปแล้ว ส่วนมาตรการในระยะที่สอง ประกอบด้วยมาตรการสําคัญ 6 ด้าน ได้แก่ มาตรการเสริมสร้างและการรักษาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว, มาตรการด้านการสร้างรายได้แก่สถานประกอบการท่องเที่ยว, การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว, การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขอนามัย, การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียน (Joint Statement of the ASEAN Tourism Ministers on Strengthening Cooperation to Revitalise ASEAN Tourism) โดยมีความตกลงร่วมกัน ดังนี้ 1. สนับสนุนการประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การเดินทางที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข และมาตรการจําเป็นอื่น ๆ ของประเทศสมาชิกอาเซียน ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านการดําเนินงานของทีมสื่อสารในภาวะวิกฤติการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Crisis Communication Team : ATCCT) 2. กระชับความร่วมมือระหว่างองค์กรการท่องเที่ยวแห่งชาติ ของประเทศสมาชิกอาเซียน (National Tourism Organisations) กับหน่วยงานอาเซียนอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหุ้นส่วนภายนอกอาเซียน โดยเฉพาะด้านการสาธารณสุข ข้อมูลข่าวสาร การคมนาคมขนส่ง และการเข้าเมือง 3. ส่งเสริมความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาอาเซียน ในการตอบสนองภาวะวิกฤติ ความพร้อมทางด้านการสื่อสาร การประสานความร่วมมือ การบรรเทาสาธารณภัยระดับประเทศ และมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนการเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและจัดการกับโรคระบาด หรือภัยคุกคามร้ายแรงอื่นได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส ฯ แนะวิธีสังเกต http://www.ไทยชนะ.com ของจริง ใช้งานผ่านเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ย้ำดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเว็บไซต์
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส ฯ แนะวิธีสังเกต http://www.ไทยชนะ.com ของจริง ใช้งานผ่านเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ย้ําดําเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเว็บไซต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส ฯ แนะวิธีสังเกต http://www.ไทยชนะ.com ของจริง ใช้งานผ่านเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ย้ําดําเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเว็บไซต์ วันนี้ (25 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต รายงานความคืบหน้าการใช้งานระบบ”ไทยชนะ” ประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเช็คอิน -เช็คเอาท์ทั้งสิ้นประมาณ 47 ล้านครั้ง สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการการแก้ไขปัญหา จากโรคติดเชื้อโควิด – 19 กล่าวในนามของทีมงานจัดทําระบบ “ไทยชนะ” กล่าวขอบคุณประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือในการใช้งาน Platform “ไทยชนะ” มีคนไทยใช้งาน 11,757,624 ราย ร้านค้าลงทะเบียนมากกว่า 107,775 ร้านค้า ปริมาณการใช้งานวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมาเกือบ 3 ล้านคน สําหรับ 8 วันทําการที่ผ่านมามีคนใช้งานทั้งเช็คอิน -เช็คเอาท์ทั้งสิ้นประมาณ 47 ล้านครั้ง ทําการตอบแบบสอบถามแบบประเมินต่าง ๆ ทั้งสิ้นประมาณ 11 ล้านหมายเลขโทรศัพท์หรือคน ตัวเลขการใช้งานสูงสุดต่อวันอยู่ที่ 33,120 ครั้ง ถือว่าคนไทยมีการตอบรับ เอาใจใส่ ปกป้องตัวเอง ปกป้องสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เปิดตัว Platform ที่ทํางานคล้ายกับของไทย คือ บรูไน อินเดีย อินเดียมีคนใช้งานมากกว่า 90 ล้านคนจากประชากร 1,800 ล้านคน สัดส่วนของการใช้งานระบบยังต่ํากว่าไทย นอกจากนี้ยังมีกาตาร์และประเทศนิวซีแลนด์ได้ใช้งานระบบนี้แล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ร้านค้า/กิจการนําคิวอาร์โค๊ดมาติดตามทางเข้าและออก โดยให้คํานึงถึง Social Distancing ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยืนยัน ระบบการลงทะเบียนไทยชนะเพื่อขอ QR Code ไม่มีการโทรศัพท์ไปหรือส่ง sms ดังนั้นร้านค้าหรือกิจการที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นที่ยังไม่ผ่านระบบการยืนยันตัวตน QR Code ที่ได้ไปจะใช้ไม่ได้ในวันที่ 28 พ.ค. นี้ ขอให้ไปเข้าไปดูสถานะของร้านในระบบไทยชนะผ่านอีเมล์หรือระบบที่มี Username หรือ Password เมื่อแก้ไขแล้วสถานะจะเปลี่ยนเป็นลงทะเบียนสําเร็จจะสามารถใช้งานต่อได้และใช้ได้ตลอดไป หากร้านค้าหรือประชาชนที่ไม่สามารถเข้าระบบไทยชนะหรือพบปัญหา สามารถโทรสายด่วน 1119 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังเตือนพบ “เว็บไซต์ไทยชนะ” ปลอม โดยขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ไทยชนะจาก Google หรือ Search Engine สามารถพิมพ์ด้วยตนเองที่ www.ไทยชนะ.com เพื่อป้องกันการผิดพลาด เว็บไซต์ปลอมจะมีหน้าตาคล้ายกันและให้ดาวน์โหลดต่าง ๆ ขอให้ปิด พร้อมย้ําว่าในระบบไทยชนะยังไม่มีการส่ง SMS ไปให้ประชาชน ขณะนี้ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกําลังดําเนินการทางกฎหมายอย่างสูงสุด ซึ่งปัจจุบัน Platform “ไทยชนะ” มีคนใช้งานจํานวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ขณะนี้ “ไทยชนะ” รองรับภาษาอังกฤษแล้วและในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะรองรับภาษาจีน มาเล เขมร เกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่า ศบค.ดําเนินการอะไรอยู่ในขณะนี้ โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังตอบข้อซักถาม เกี่ยวกับเว็บไซต์”ไทยชนะ” ปลอมที่ต้องการหลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า เบื้องต้นขอประชาชนอย่าเข้าไปใช้งาน สามารถแจ้งมายังสายด่วน 1119 เพราะระบบกฎหมายต้องมีผู้เสียหาย ผู้แจ้งความเพื่อดําเนินการทางคดีต่อ รวมทั้ง ระบบ Platform จะดําเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ขอประชาชนอย่าได้กังวล เพราะระบบมีการคุมเข้มแม้มีการลักลอบเปิดเว็บไซต์ปลอมที่ต่างประเทศ ก็มีกลไกป้องกันด้วย จากการรายงานข่าวที่ปรากฏว่ามีคนไปลงทะเบียนเช็คอินไทยชนะแล้วได้รับข้อความขยะแล้วโฆษณาต่าง ๆ ได้มีการตรวจสอบนั้น ข้อความที่ท่านได้รับเริ่มต้นได้รับจะเป็นเฉพาะโทรศัพท์ในระบบ IOS เท่านั้น และเว็บไซต์ที่โฆษณาเข้ามาที่อยู่แต่แรกแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้มีการดําเนินการ ขอยืนยันประชาชนหลีกเลี่ยงการพิมพ์ชื่อด้วยระบบอัตโนมัติขอให้พิมพ์ชื่อด้วยตนเอง ช่วงท้าย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงภาพรวมการใช้งานระบบ”ไทยชนะ” ประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ย้ําว่า Platform นี้ไม่ได้เป็นการบังคับ เป็นระบบไทยช่วยไทย อยากจะดูแลทุกคน ใส่ใจและช่วยลงทะเบียนในระบบนี้ พร้อมยืนยันว่า การนําข้อมูลของประชาชนนี้ใช้เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคเท่านั้น ไม่สามารถนําไปทําอย่างอื่นไม่ได้และคนที่ใช้งานได้คือ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ******************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส ฯ แนะวิธีสังเกต http://www.ไทยชนะ.com ของจริง ใช้งานผ่านเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ย้ำดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเว็บไซต์ วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส ฯ แนะวิธีสังเกต http://www.ไทยชนะ.com ของจริง ใช้งานผ่านเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ย้ําดําเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเว็บไซต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส ฯ แนะวิธีสังเกต http://www.ไทยชนะ.com ของจริง ใช้งานผ่านเว็บไซต์ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ย้ําดําเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเว็บไซต์ วันนี้ (25 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต รายงานความคืบหน้าการใช้งานระบบ”ไทยชนะ” ประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเช็คอิน -เช็คเอาท์ทั้งสิ้นประมาณ 47 ล้านครั้ง สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการการแก้ไขปัญหา จากโรคติดเชื้อโควิด – 19 กล่าวในนามของทีมงานจัดทําระบบ “ไทยชนะ” กล่าวขอบคุณประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือในการใช้งาน Platform “ไทยชนะ” มีคนไทยใช้งาน 11,757,624 ราย ร้านค้าลงทะเบียนมากกว่า 107,775 ร้านค้า ปริมาณการใช้งานวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมาเกือบ 3 ล้านคน สําหรับ 8 วันทําการที่ผ่านมามีคนใช้งานทั้งเช็คอิน -เช็คเอาท์ทั้งสิ้นประมาณ 47 ล้านครั้ง ทําการตอบแบบสอบถามแบบประเมินต่าง ๆ ทั้งสิ้นประมาณ 11 ล้านหมายเลขโทรศัพท์หรือคน ตัวเลขการใช้งานสูงสุดต่อวันอยู่ที่ 33,120 ครั้ง ถือว่าคนไทยมีการตอบรับ เอาใจใส่ ปกป้องตัวเอง ปกป้องสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เปิดตัว Platform ที่ทํางานคล้ายกับของไทย คือ บรูไน อินเดีย อินเดียมีคนใช้งานมากกว่า 90 ล้านคนจากประชากร 1,800 ล้านคน สัดส่วนของการใช้งานระบบยังต่ํากว่าไทย นอกจากนี้ยังมีกาตาร์และประเทศนิวซีแลนด์ได้ใช้งานระบบนี้แล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ร้านค้า/กิจการนําคิวอาร์โค๊ดมาติดตามทางเข้าและออก โดยให้คํานึงถึง Social Distancing ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยืนยัน ระบบการลงทะเบียนไทยชนะเพื่อขอ QR Code ไม่มีการโทรศัพท์ไปหรือส่ง sms ดังนั้นร้านค้าหรือกิจการที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นที่ยังไม่ผ่านระบบการยืนยันตัวตน QR Code ที่ได้ไปจะใช้ไม่ได้ในวันที่ 28 พ.ค. นี้ ขอให้ไปเข้าไปดูสถานะของร้านในระบบไทยชนะผ่านอีเมล์หรือระบบที่มี Username หรือ Password เมื่อแก้ไขแล้วสถานะจะเปลี่ยนเป็นลงทะเบียนสําเร็จจะสามารถใช้งานต่อได้และใช้ได้ตลอดไป หากร้านค้าหรือประชาชนที่ไม่สามารถเข้าระบบไทยชนะหรือพบปัญหา สามารถโทรสายด่วน 1119 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังเตือนพบ “เว็บไซต์ไทยชนะ” ปลอม โดยขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ไทยชนะจาก Google หรือ Search Engine สามารถพิมพ์ด้วยตนเองที่ www.ไทยชนะ.com เพื่อป้องกันการผิดพลาด เว็บไซต์ปลอมจะมีหน้าตาคล้ายกันและให้ดาวน์โหลดต่าง ๆ ขอให้ปิด พร้อมย้ําว่าในระบบไทยชนะยังไม่มีการส่ง SMS ไปให้ประชาชน ขณะนี้ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกําลังดําเนินการทางกฎหมายอย่างสูงสุด ซึ่งปัจจุบัน Platform “ไทยชนะ” มีคนใช้งานจํานวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ขณะนี้ “ไทยชนะ” รองรับภาษาอังกฤษแล้วและในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะรองรับภาษาจีน มาเล เขมร เกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่า ศบค.ดําเนินการอะไรอยู่ในขณะนี้ โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังตอบข้อซักถาม เกี่ยวกับเว็บไซต์”ไทยชนะ” ปลอมที่ต้องการหลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า เบื้องต้นขอประชาชนอย่าเข้าไปใช้งาน สามารถแจ้งมายังสายด่วน 1119 เพราะระบบกฎหมายต้องมีผู้เสียหาย ผู้แจ้งความเพื่อดําเนินการทางคดีต่อ รวมทั้ง ระบบ Platform จะดําเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ขอประชาชนอย่าได้กังวล เพราะระบบมีการคุมเข้มแม้มีการลักลอบเปิดเว็บไซต์ปลอมที่ต่างประเทศ ก็มีกลไกป้องกันด้วย จากการรายงานข่าวที่ปรากฏว่ามีคนไปลงทะเบียนเช็คอินไทยชนะแล้วได้รับข้อความขยะแล้วโฆษณาต่าง ๆ ได้มีการตรวจสอบนั้น ข้อความที่ท่านได้รับเริ่มต้นได้รับจะเป็นเฉพาะโทรศัพท์ในระบบ IOS เท่านั้น และเว็บไซต์ที่โฆษณาเข้ามาที่อยู่แต่แรกแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้มีการดําเนินการ ขอยืนยันประชาชนหลีกเลี่ยงการพิมพ์ชื่อด้วยระบบอัตโนมัติขอให้พิมพ์ชื่อด้วยตนเอง ช่วงท้าย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงภาพรวมการใช้งานระบบ”ไทยชนะ” ประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ย้ําว่า Platform นี้ไม่ได้เป็นการบังคับ เป็นระบบไทยช่วยไทย อยากจะดูแลทุกคน ใส่ใจและช่วยลงทะเบียนในระบบนี้ พร้อมยืนยันว่า การนําข้อมูลของประชาชนนี้ใช้เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคเท่านั้น ไม่สามารถนําไปทําอย่างอื่นไม่ได้และคนที่ใช้งานได้คือ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ******************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31441
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 รมว.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รมว.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระนครศรีอยุธยา : วันนี้ 18 กันยายน 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นและฮ่องกง มีสถานะเป็นผู้นํารายใหญ่ที่สุดของโลกในการออกแบบ ผลิต และส่งมอบผลิตภัณฑ์แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดยืดหยุ่นได้ (Flexible Printed Circuit Assembly) ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร (คิดเป็นร้อยละ 70 ของยอดขาย) ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ สมาร์ทการ์ดที่มีความปลอดภัยในระดับสูง (Security Cards) และเครื่องมือแพทย์ ตามลําดับ โดยบริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จนถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนในไทยมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการจ้างงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการมากกว่า 6,500 คนต่อปี ทั้งนี้ จากการศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดที่จัดทําโดยบริษัทแม่ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะมีอัตราความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการประยุกต์ใช้กับสินค้าต่างๆ ในยุค IoT (Internet of Thing) น่าจะส่งผลในเชิงบวกยิ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า บริษัท MECTEC เป็นความร่วมมือระหว่าง MEKTEC กับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในโครงการ Electronic Design Laboratory และการพัฒนาบุคลากรสําหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาเพื่อให้ตอบสนองได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และทางกระทรวงจะเชิญ MEKTEC และบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงร่วมพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมเพื่อรองรับ Industry 4.0 โดยอาศัยองค์ความรู้ของญี่ปุ่นผ่านโครงการ FlexCampus ซึ่งได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลอดจนหารือปัญหาอุปสรรคและข้อจํากัดต่าง ๆ เช่น เรื่องพื้นที่ตั้ง แผนการบริหารความต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) ของการนิคมอุตสาหกรรม การเชื่อมเส้นทางจราจรและปรับปรุงเส้นทางเข้าออกการนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 รมว.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รมว.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระนครศรีอยุธยา : วันนี้ 18 กันยายน 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด หรือ MECTEC นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นและฮ่องกง มีสถานะเป็นผู้นํารายใหญ่ที่สุดของโลกในการออกแบบ ผลิต และส่งมอบผลิตภัณฑ์แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดยืดหยุ่นได้ (Flexible Printed Circuit Assembly) ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร (คิดเป็นร้อยละ 70 ของยอดขาย) ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ สมาร์ทการ์ดที่มีความปลอดภัยในระดับสูง (Security Cards) และเครื่องมือแพทย์ ตามลําดับ โดยบริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จนถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ลงทุนในไทยมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการจ้างงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการมากกว่า 6,500 คนต่อปี ทั้งนี้ จากการศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดที่จัดทําโดยบริษัทแม่ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะมีอัตราความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการประยุกต์ใช้กับสินค้าต่างๆ ในยุค IoT (Internet of Thing) น่าจะส่งผลในเชิงบวกยิ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า บริษัท MECTEC เป็นความร่วมมือระหว่าง MEKTEC กับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในโครงการ Electronic Design Laboratory และการพัฒนาบุคลากรสําหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาเพื่อให้ตอบสนองได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และทางกระทรวงจะเชิญ MEKTEC และบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงร่วมพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมเพื่อรองรับ Industry 4.0 โดยอาศัยองค์ความรู้ของญี่ปุ่นผ่านโครงการ FlexCampus ซึ่งได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลอดจนหารือปัญหาอุปสรรคและข้อจํากัดต่าง ๆ เช่น เรื่องพื้นที่ตั้ง แผนการบริหารความต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) ของการนิคมอุตสาหกรรม การเชื่อมเส้นทางจราจรและปรับปรุงเส้นทางเข้าออกการนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยฉลอง 51 ปี ออกเงินฝากออมทรัพย์พร้อมเพย์ ดอกเบี้ยสูงสุด 1.15% ต่อปี
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 กรุงไทยฉลอง 51 ปี ออกเงินฝากออมทรัพย์พร้อมเพย์ ดอกเบี้ยสูงสุด 1.15% ต่อปี ธนาคารกรุงไทย ฉลองครบรอบ 51 ปี ออกเงินฝากพิเศษ KTB PromptPay Saving อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.15% ต่อปี และเงินฝากประจํา KTB Birthday อัตราดอกเบี้ย 1.45% ต่อปี พร้อมลดดอกเบี้ยสินเชื่ออเนกประสงค์ลง 1-1.5% ต่อปี นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 51 ปี ธนาคารได้จัดแคมเปญเงินฝากพิเศษ ได้แก่ KTB PromptPay Saving สําหรับลูกค้าที่ผูกบัญชีกรุงไทย พร้อมเพย์ จะได้รับอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ 1 % ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปกติ 0.50% ต่อปี เมื่อทํารายการโอนเงินในระบบพร้อมเพย์ไปยังบัญชีบุคคลอื่นอย่างน้อย 1 รายการ ตลอดระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันที่สมัคร และจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.15 % ต่อปี รวมดอกเบี้ยที่ได้รับสูงสุด 1.15 % ต่อปี หากโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น หรือรับโอนเงินจากบุคคลอื่นภายในธนาคารเดียวกัน 10 รายการต่อเดือน “ลูกค้าสมัครได้คนละ 2 บัญชี ได้แก่ บัญชีที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน และบัญชีที่ลงทะเบียนด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ จํานวนเงินสูงสุดที่นํามาคํานวณดอกเบี้ยไม่เกินบัญชีละ 1 แสนบาท สมัครใช้บริการได้ระหว่างวันที่ 14 มีนาคม – 14 กรกฎาคมนี้ สําหรับลูกค้าที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์ แต่ไม่ได้สมัครเข้าร่วมแคมเปญ สามารถเลือกรับสิทธิ์ใช้บริการ SMS Alert ฟรี 6 เดือน” นอกจากนี้ ธนาคารยังออก เงินฝากประจําพิเศษ KTB Birthday อัตราดอกเบี้ย 1.45% ต่อปี สําหรับบุคคลธรรมดา ระยะเวลาฝาก 14 เดือน ฝากขั้นต่ําครั้งละ 5 หมื่นบาท ระหว่างวันที่ 14 – 31 มีนาคม 2560 และยังจัดแคมเปญพิเศษ ลดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคล ได้แก่ สินเชื่ออเนกประสงค์ 5 Plus สําหรับพนักงานบริษัทเอกชนที่มีบัญชีเงินเดือนผ่านธนาคาร โดยลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.5% ต่อปี เหลือเพียง MRR +5.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญากู้ 5 ปี และ สินเชื่ออเนกประสงค์เพื่อเป็นสวัสดิการข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ โดยลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% จากอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 6 เดือน สําหรับผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติระหว่างวันที่ 14 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTB Call Center 02-111-1111 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยฉลอง 51 ปี ออกเงินฝากออมทรัพย์พร้อมเพย์ ดอกเบี้ยสูงสุด 1.15% ต่อปี วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 กรุงไทยฉลอง 51 ปี ออกเงินฝากออมทรัพย์พร้อมเพย์ ดอกเบี้ยสูงสุด 1.15% ต่อปี ธนาคารกรุงไทย ฉลองครบรอบ 51 ปี ออกเงินฝากพิเศษ KTB PromptPay Saving อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.15% ต่อปี และเงินฝากประจํา KTB Birthday อัตราดอกเบี้ย 1.45% ต่อปี พร้อมลดดอกเบี้ยสินเชื่ออเนกประสงค์ลง 1-1.5% ต่อปี นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 51 ปี ธนาคารได้จัดแคมเปญเงินฝากพิเศษ ได้แก่ KTB PromptPay Saving สําหรับลูกค้าที่ผูกบัญชีกรุงไทย พร้อมเพย์ จะได้รับอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ 1 % ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปกติ 0.50% ต่อปี เมื่อทํารายการโอนเงินในระบบพร้อมเพย์ไปยังบัญชีบุคคลอื่นอย่างน้อย 1 รายการ ตลอดระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันที่สมัคร และจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.15 % ต่อปี รวมดอกเบี้ยที่ได้รับสูงสุด 1.15 % ต่อปี หากโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น หรือรับโอนเงินจากบุคคลอื่นภายในธนาคารเดียวกัน 10 รายการต่อเดือน “ลูกค้าสมัครได้คนละ 2 บัญชี ได้แก่ บัญชีที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน และบัญชีที่ลงทะเบียนด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ จํานวนเงินสูงสุดที่นํามาคํานวณดอกเบี้ยไม่เกินบัญชีละ 1 แสนบาท สมัครใช้บริการได้ระหว่างวันที่ 14 มีนาคม – 14 กรกฎาคมนี้ สําหรับลูกค้าที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์ แต่ไม่ได้สมัครเข้าร่วมแคมเปญ สามารถเลือกรับสิทธิ์ใช้บริการ SMS Alert ฟรี 6 เดือน” นอกจากนี้ ธนาคารยังออก เงินฝากประจําพิเศษ KTB Birthday อัตราดอกเบี้ย 1.45% ต่อปี สําหรับบุคคลธรรมดา ระยะเวลาฝาก 14 เดือน ฝากขั้นต่ําครั้งละ 5 หมื่นบาท ระหว่างวันที่ 14 – 31 มีนาคม 2560 และยังจัดแคมเปญพิเศษ ลดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคล ได้แก่ สินเชื่ออเนกประสงค์ 5 Plus สําหรับพนักงานบริษัทเอกชนที่มีบัญชีเงินเดือนผ่านธนาคาร โดยลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.5% ต่อปี เหลือเพียง MRR +5.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญากู้ 5 ปี และ สินเชื่ออเนกประสงค์เพื่อเป็นสวัสดิการข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ โดยลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% จากอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 6 เดือน สําหรับผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติระหว่างวันที่ 14 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTB Call Center 02-111-1111 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2342
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนาพร้อมกล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาเชิงปฎิบัติการ “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและความสําคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค Thailand 4.0 การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยคุณภาพและมาตรฐานในเชิงสร้างสรรค์ และการแก้ไขปัญหาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถเข้าไปจําหน่ายในร้านตามโครงการ “ร้าน มอก.” มีผู้ผลิตชุมชนเข้าร่วมกว่า 200 ราย นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก จํานวน 7 ราย โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน ณ โรงแรม นิวแทรเวิล ลอร์ด โฮเทล จังหวัดจันทบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก รมว.อุตฯ เปิดสัมมนา “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พร้อมมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนาพร้อมกล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาเชิงปฎิบัติการ “การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้แนวคิดเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม" เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและความสําคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค Thailand 4.0 การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยคุณภาพและมาตรฐานในเชิงสร้างสรรค์ และการแก้ไขปัญหาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถเข้าไปจําหน่ายในร้านตามโครงการ “ร้าน มอก.” มีผู้ผลิตชุมชนเข้าร่วมกว่า 200 ราย นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบป้ายสัญลักษณ์ร้าน มอก. ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก จํานวน 7 ราย โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน ณ โรงแรม นิวแทรเวิล ลอร์ด โฮเทล จังหวัดจันทบุรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9845
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปฏิบัติตัวสำหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 การปฏิบัติตัวสําหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 -อาการเข้าข่ายรีบไป รพ.หากพบว่าติดเชื้อไม่เสียค่าใช้จ่าย -อาการไม่เข้าข่าย ไม่แนะนําให้ไปและจ่ายเงินเอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปฏิบัติตัวสำหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 การปฏิบัติตัวสําหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 -อาการเข้าข่ายรีบไป รพ.หากพบว่าติดเชื้อไม่เสียค่าใช้จ่าย -อาการไม่เข้าข่าย ไม่แนะนําให้ไปและจ่ายเงินเอง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังพ.ร.ก. 3 ฉบับ มีผลบังคับใช้
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังพ.ร.ก. 3 ฉบับ มีผลบังคับใช้ นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังพระราชกําหนดทั้ง 3 ฉบับ มีผลบังคับใช้ วันนี้ (21 เม.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยได้มีการหารือมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมสั่งการให้ทุกกระทรวงปฏิบัติงานให้ครอบคลุมทุกมิติ รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการทํางานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) นายกรัฐมนตรีรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกําหนดทั้ง 3 ฉบับ ซึ่ง พระราชกําหนดฉบับแรก คือ พระราชกําหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุม 3 ด้าน คือ การแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการประกอบด้วย ส่วนราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อหารือระเบียบปฏิบัติในการบริหารจัดการงบประมาณ โดยให้ดําเนินงานตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยจะให้กระทรวงเร่งเสนอหลักการแผนงานต่าง ๆ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อให้ทันทั้งการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยนายกรัฐมนตรีย้ําว่า จะฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องนําไปพิจารณาและปฏิบัติต่อไป สําหรับพระราชกําหนดฉบับที่ 2 ได้แก่ พระราชกําหนดรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง จะร่วมกันจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในวงเงิน 4 แสนล้านบาท และพระราชกําหนดฉบับที่ 3 ได้แก่ พระราชกําหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีอํานาจการกู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบการร่วมกับสถาบันการเงิน ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เน้นปฏิบัติงานอย่างรอบคอบ รับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน รวมทั้งข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ เพื่อนํามาใช้ประกอบในการทํางานด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังพ.ร.ก. 3 ฉบับ มีผลบังคับใช้ วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังพ.ร.ก. 3 ฉบับ มีผลบังคับใช้ นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังพระราชกําหนดทั้ง 3 ฉบับ มีผลบังคับใช้ วันนี้ (21 เม.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยได้มีการหารือมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมสั่งการให้ทุกกระทรวงปฏิบัติงานให้ครอบคลุมทุกมิติ รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการทํางานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) นายกรัฐมนตรีรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกําหนดทั้ง 3 ฉบับ ซึ่ง พระราชกําหนดฉบับแรก คือ พระราชกําหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุม 3 ด้าน คือ การแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการประกอบด้วย ส่วนราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อหารือระเบียบปฏิบัติในการบริหารจัดการงบประมาณ โดยให้ดําเนินงานตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยจะให้กระทรวงเร่งเสนอหลักการแผนงานต่าง ๆ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อให้ทันทั้งการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยนายกรัฐมนตรีย้ําว่า จะฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องนําไปพิจารณาและปฏิบัติต่อไป สําหรับพระราชกําหนดฉบับที่ 2 ได้แก่ พระราชกําหนดรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง จะร่วมกันจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในวงเงิน 4 แสนล้านบาท และพระราชกําหนดฉบับที่ 3 ได้แก่ พระราชกําหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีอํานาจการกู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบการร่วมกับสถาบันการเงิน ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เน้นปฏิบัติงานอย่างรอบคอบ รับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน รวมทั้งข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ เพื่อนํามาใช้ประกอบในการทํางานด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29458
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ สั่งด่วน!! ใช้โดรนบินพ่นสารชีวภัณฑ์สกัดการระบาด ”โรคไหม้คอรวงข้าว”
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ‘ประภัตร’ สั่งด่วน!! ใช้โดรนบินพ่นสารชีวภัณฑ์สกัดการระบาด ”โรคไหม้คอรวงข้าว” ‘ประภัตร’ สั่งด่วน!! ใช้โดรนบินพ่นสารชีวภัณฑ์สกัดการระบาด ”โรคไหม้คอรวงข้าว” ช่วยชาวนาสุรินทร์ วันนี้ (6 พ.ย.62) เวลา 11.00 น. นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าว ในพื้นที่ อ.ชุมพลบุรี และ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ โดยมี นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ อธิบดีกรมการข้าว นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ หัวหน้าส่วนราชการ และเกษตรกรให้การต้อนรับจํานวน 300 คนพร้อมทั้งรับฟังสรุปรายงานสถานการณ์การระบาดโรคไหม้คอรวงข้าว จากนายวันรบ เฮ่ประโคน เกษตรจังหวัดสุรินทร์ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยฯ ได้พบปะและให้กําลังใจพี่น้องชาวนาที่ประสบปัญหาโรคไหม้คอรวงข้าว จากนั้นลงพื้นที่ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์โตรโคเดอร์ม่าในแปลงนาข้าว เพื่อป้องก้นโรคไหม้คอรวงข้าวไม่ให้แพร่กระจาย ณ บ้านหนองบัว หมู่7 ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี นายประภัตร กล่าวว่า จ.สุรินทร์ มีพื้นที่ปลูกข้าวจํานวน 3,044,963 ไร่ พบการระบาดโรคไหม้คอรวงข้าว ในพื้นที่ 17 อําเภอ 144 ตําบล 1,489 หมู่บ้าน เกษตรกร 42,386 ราย รวมพื้นที่การระบาด 295,739 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค.62) ซึ่งได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยไปแล้ว ทําให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดข้าวไว้ทําพันธุ์ได้ สําหรับการควบคุมการระบาดของโรคนั้น สํานักงานเกษตรจังหวัด และสํานักงานเกษตรอําเภอ ได้เร่งดําเนินการสร้างการรับรู้เรื่องการจัดการโรคไหม้คอรวงข้าวให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนเชื้อราไตรโคเดอร์มาเพื่อควบรุมโรคดังกล่าวจากศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช กรมส่งเสริมการเกษตร จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น จ.สุราษฎ์ธานี และ จ.พิษณุโลก และให้สํานักงานเกษตรจังหวัดสุรินทร์ผลิตและขยายเป็นเชื้อพร้อมใช้จํานวน 43,350 กิโลกรัม โดยมีเป้าหมายฉีดพ่นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการระบาด 224,611 ไร่ ซึ่งดําเนินการฉีดพ่นไปแล้ว 126,550 ไร่ นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด สํานักงานเกษตรจังหวัด สํานักงานเกษตรอําเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกสํารวจติดตามสถานการณ์การระบาดและประเมินความเสียหาย พบการระบาดในแปลงข้าวหอมมะลิพันธุ์ กข 15 ในช่วงข้าวกําลังออกรวงใกล้เก็บเกี่ยวได้ อย่างไรก็ตามจะไม่ให้ลามไปถึงข้าวหอมมะลิ 105 ทั้งนี้ จ.สุรินทร์ได้แต่งตั้งคณะทํางานประเมินความเสียหายโรคไหม้คอรวงข้าวเพื่อประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบกระทรวงการเงิน เบื้องต้นช่วยเหลือไร่ละ 1,113 บาท ตลอดจนให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ร่วมกับ กรมการข้าว เตรียมให้ความรู้กับชาวนาในการป้องกันการเกิดโรคไหม้คอรวงข้าวก่อนเริ่มทํานาในฤดูถัดไป “ขณะนี้ได้หาแนวทางช่วยเหลือเร่งด่วนให้กับพี่น้องชาวนา โดยได้ประสานกับภาคเอกชนในการนําโดรนมาใช้เพื่อฉีดสารชีวภัณฑ์โตรโคเดอร์ม่าในแปลงนาข้าว ยับยั้งการขยายของเชื้อไม่ให้แพร่กระจายสร้างความเสียหาย และเพื่อให้ชาวนาได้ผลผลิตอย่างเต็มที่ ซึ่งจากผลกระทบดังกล่าวทําให้ขณะนี้ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวได้เพียง 100 กก./ไร่ ซึ่งจากเดิมประเมินไว้ 400 กก./ไร่ โดยจะนําปัญหาทั้งหมดจากการลงพื้นที่ในวันนี้นําเรียนปรึกษากับนายกรัฐมนตรี และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหามาตรการช่วยเหลือชาวนาด้านราคาและปริมาณที่ขาดหายไป อย่างไรก็ตามขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกขอยืนยันว่ามีข้าวเพียงพอต่อการบริโภคแน่นอน นอกจากนี้จะต้องประสานกับกระทรวงพาณิชย์ให้เข้ามาช่วยชะลอการขายข้าวให้กับชาวนา เพื่อไม่ให้ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง” นายประภัตร กล่าว ในการนี้ได้มอบถุงยังชีพให้กับเกษตรกรเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ก่อนเดินทางไปตรวจติดตามสถานการณ์โรคไหม้คอรวงข้าว ณ บ้านขาม หมู่ที่3 ต.หนองบัวบาน อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ เพื่อพบปะเกษตกรที่ได้รับความเสียหาย พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับเกษตรกรจํานวน 300 คน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ สั่งด่วน!! ใช้โดรนบินพ่นสารชีวภัณฑ์สกัดการระบาด ”โรคไหม้คอรวงข้าว” วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ‘ประภัตร’ สั่งด่วน!! ใช้โดรนบินพ่นสารชีวภัณฑ์สกัดการระบาด ”โรคไหม้คอรวงข้าว” ‘ประภัตร’ สั่งด่วน!! ใช้โดรนบินพ่นสารชีวภัณฑ์สกัดการระบาด ”โรคไหม้คอรวงข้าว” ช่วยชาวนาสุรินทร์ วันนี้ (6 พ.ย.62) เวลา 11.00 น. นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าว ในพื้นที่ อ.ชุมพลบุรี และ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ โดยมี นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ อธิบดีกรมการข้าว นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ หัวหน้าส่วนราชการ และเกษตรกรให้การต้อนรับจํานวน 300 คนพร้อมทั้งรับฟังสรุปรายงานสถานการณ์การระบาดโรคไหม้คอรวงข้าว จากนายวันรบ เฮ่ประโคน เกษตรจังหวัดสุรินทร์ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยฯ ได้พบปะและให้กําลังใจพี่น้องชาวนาที่ประสบปัญหาโรคไหม้คอรวงข้าว จากนั้นลงพื้นที่ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์โตรโคเดอร์ม่าในแปลงนาข้าว เพื่อป้องก้นโรคไหม้คอรวงข้าวไม่ให้แพร่กระจาย ณ บ้านหนองบัว หมู่7 ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี นายประภัตร กล่าวว่า จ.สุรินทร์ มีพื้นที่ปลูกข้าวจํานวน 3,044,963 ไร่ พบการระบาดโรคไหม้คอรวงข้าว ในพื้นที่ 17 อําเภอ 144 ตําบล 1,489 หมู่บ้าน เกษตรกร 42,386 ราย รวมพื้นที่การระบาด 295,739 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค.62) ซึ่งได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยไปแล้ว ทําให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดข้าวไว้ทําพันธุ์ได้ สําหรับการควบคุมการระบาดของโรคนั้น สํานักงานเกษตรจังหวัด และสํานักงานเกษตรอําเภอ ได้เร่งดําเนินการสร้างการรับรู้เรื่องการจัดการโรคไหม้คอรวงข้าวให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนเชื้อราไตรโคเดอร์มาเพื่อควบรุมโรคดังกล่าวจากศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช กรมส่งเสริมการเกษตร จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น จ.สุราษฎ์ธานี และ จ.พิษณุโลก และให้สํานักงานเกษตรจังหวัดสุรินทร์ผลิตและขยายเป็นเชื้อพร้อมใช้จํานวน 43,350 กิโลกรัม โดยมีเป้าหมายฉีดพ่นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการระบาด 224,611 ไร่ ซึ่งดําเนินการฉีดพ่นไปแล้ว 126,550 ไร่ นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด สํานักงานเกษตรจังหวัด สํานักงานเกษตรอําเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกสํารวจติดตามสถานการณ์การระบาดและประเมินความเสียหาย พบการระบาดในแปลงข้าวหอมมะลิพันธุ์ กข 15 ในช่วงข้าวกําลังออกรวงใกล้เก็บเกี่ยวได้ อย่างไรก็ตามจะไม่ให้ลามไปถึงข้าวหอมมะลิ 105 ทั้งนี้ จ.สุรินทร์ได้แต่งตั้งคณะทํางานประเมินความเสียหายโรคไหม้คอรวงข้าวเพื่อประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบกระทรวงการเงิน เบื้องต้นช่วยเหลือไร่ละ 1,113 บาท ตลอดจนให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ร่วมกับ กรมการข้าว เตรียมให้ความรู้กับชาวนาในการป้องกันการเกิดโรคไหม้คอรวงข้าวก่อนเริ่มทํานาในฤดูถัดไป “ขณะนี้ได้หาแนวทางช่วยเหลือเร่งด่วนให้กับพี่น้องชาวนา โดยได้ประสานกับภาคเอกชนในการนําโดรนมาใช้เพื่อฉีดสารชีวภัณฑ์โตรโคเดอร์ม่าในแปลงนาข้าว ยับยั้งการขยายของเชื้อไม่ให้แพร่กระจายสร้างความเสียหาย และเพื่อให้ชาวนาได้ผลผลิตอย่างเต็มที่ ซึ่งจากผลกระทบดังกล่าวทําให้ขณะนี้ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวได้เพียง 100 กก./ไร่ ซึ่งจากเดิมประเมินไว้ 400 กก./ไร่ โดยจะนําปัญหาทั้งหมดจากการลงพื้นที่ในวันนี้นําเรียนปรึกษากับนายกรัฐมนตรี และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหามาตรการช่วยเหลือชาวนาด้านราคาและปริมาณที่ขาดหายไป อย่างไรก็ตามขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกขอยืนยันว่ามีข้าวเพียงพอต่อการบริโภคแน่นอน นอกจากนี้จะต้องประสานกับกระทรวงพาณิชย์ให้เข้ามาช่วยชะลอการขายข้าวให้กับชาวนา เพื่อไม่ให้ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง” นายประภัตร กล่าว ในการนี้ได้มอบถุงยังชีพให้กับเกษตรกรเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ก่อนเดินทางไปตรวจติดตามสถานการณ์โรคไหม้คอรวงข้าว ณ บ้านขาม หมู่ที่3 ต.หนองบัวบาน อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ เพื่อพบปะเกษตกรที่ได้รับความเสียหาย พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับเกษตรกรจํานวน 300 คน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24373
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 งดการอบรมและทดสอบกรณีขอรับใบอนุญาตขับรถรายใหม่ทุกชนิด กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 งดการอบรมและทดสอบกรณีขอรับใบอนุญาตขับรถรายใหม่ทุกชนิด ณ สํานักงานขนส่งและโรงเรียนสอนขับรถ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)กรมการขนส่งทางบกได้สนองนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จํากัดการรวมคนหรือการชุมนุมของประชาชนในสถานที่ที่มีประชาชนใช้บริการจํานวนมาก เพื่อไม่ให้การแพร่ระบาดขยายไปในวงกว้าง โดยได้ปรับการให้บริการในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ประกอบด้วย ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ 1. งดการอบรมและทดสอบสําหรับการขอรับใบอนุญาตขับรถ บัตรประจําตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ รายใหม่ทุกชนิด ทั้งที่สํานักงานขนส่ง และที่โรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ประกอบด้วย ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี สําหรับการอบรมเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถทุกชนิด ให้อบรมผ่านระบบe-Learningได้ทางwww.dlt-elearning.comรองรับทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเลต และคอมพิวเตอร์ หลังการอบรมแล้วเสร็จ สามารถนําผลการอบรมติดต่อสํานักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถได้ภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ผ่านการอบรม ทั้งนี้ การอบรมผ่านระบบe-Learningเฉพาะผู้ที่ใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุไม่เกิน 1 ปี หรือผู้ที่ประสงค์จะต่ออายุล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน โดยประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) จํานวน 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง จํานวน 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ แท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) จํานวน 3 ชั่วโมง สําหรับการเข้ารับชมวิดีโออบรม หากรับชมวิดีโอไม่จบ ปิดหน้าเว็บไซต์ก่อน หรือไม่ได้กรอกข้อมูลยืนยัน จะต้องเริ่มรับชมวิดีโอใหม่ตั้งแต่แรก 2. งดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านทะเบียนและภาษีรถ และด้านใบอนุญาตขับรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชําระภาษีรถประจําปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน และศูนย์บริการร่วม ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ประกอบด้วย ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี ทั้งนี้ ยังคงให้บริการรับชําระภาษีรถประจําปีช่องทางอื่นๆ ตามปกติ อาทิ บริการรับชําระภาษีรถประจําปีออนไลน์ที่https://eservice.dlt.go.th/แอปพลิเคชันTruemoney Wallet, mPAYเคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ทําการไปรษณีย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax)รวมถึงการให้บริการ ณ สํานักงานขนส่งทุกแห่ง อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการให้บริการประชาชนด้านอื่น ๆ นั้นยังคงให้บริการตามปกติ ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)โดยสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งจุดคัดกรองภายนอกอาคาร เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิประชาชนทุกคนที่เข้ามารับบริการ หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ไม่อนุญาตให้เข้าไปในอาคาร หรือพบผู้มีอาการต้องสงสัยประสานแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่หรือแนะนําให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยต่อไป ดําเนินมาตรการSocial Distancingจํากัดจํานวนผู้ติดต่อราชการภายในอาคาร จัดที่นั่งคอย พื้นที่ยืน เว้นระยะห่างระหว่างคนอย่างน้อย 1 เมตร ด้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พิจารณาปรับลดกําลังเจ้าหน้าที่ตามความเหมาะสมและความจําเป็น โดยต้องไม่กระทบกับการบริการประชาชน รวมถึงปรับรูปแบบให้สามารถปฏิบัติงานจากบ้านพักได้ พร้อมให้นําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่ยังไม่มีความจําเป็นไม่ว่าจะเป็นการดําเนินการในด้านใบอนุญาตขับรถ หรือด้านทะเบียนและภาษี ควรงดเว้นการติดต่อที่สํานักงานขนส่ง หรือใช้บริการระบบออนไลน์ที่กรมการขนส่งทางบกมีไว้รองรับ เช่น ชําระภาษีรถประจําปีออนไลน์ การอบรมภาคทฤษฎีออนไลน์ เป็นต้น ในกรณีจําเป็นที่ต้องมาดําเนินการที่สํานักงานขนส่ง ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 งดการอบรมและทดสอบกรณีขอรับใบอนุญาตขับรถรายใหม่ทุกชนิด กรมการขนส่งทางบก ขานรับนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 งดการอบรมและทดสอบกรณีขอรับใบอนุญาตขับรถรายใหม่ทุกชนิด ณ สํานักงานขนส่งและโรงเรียนสอนขับรถ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)กรมการขนส่งทางบกได้สนองนโยบายรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จํากัดการรวมคนหรือการชุมนุมของประชาชนในสถานที่ที่มีประชาชนใช้บริการจํานวนมาก เพื่อไม่ให้การแพร่ระบาดขยายไปในวงกว้าง โดยได้ปรับการให้บริการในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ประกอบด้วย ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ 1. งดการอบรมและทดสอบสําหรับการขอรับใบอนุญาตขับรถ บัตรประจําตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ รายใหม่ทุกชนิด ทั้งที่สํานักงานขนส่ง และที่โรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ประกอบด้วย ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี สําหรับการอบรมเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถทุกชนิด ให้อบรมผ่านระบบe-Learningได้ทางwww.dlt-elearning.comรองรับทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเลต และคอมพิวเตอร์ หลังการอบรมแล้วเสร็จ สามารถนําผลการอบรมติดต่อสํานักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถได้ภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ผ่านการอบรม ทั้งนี้ การอบรมผ่านระบบe-Learningเฉพาะผู้ที่ใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุไม่เกิน 1 ปี หรือผู้ที่ประสงค์จะต่ออายุล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน โดยประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) จํานวน 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง จํานวน 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ แท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) จํานวน 3 ชั่วโมง สําหรับการเข้ารับชมวิดีโออบรม หากรับชมวิดีโอไม่จบ ปิดหน้าเว็บไซต์ก่อน หรือไม่ได้กรอกข้อมูลยืนยัน จะต้องเริ่มรับชมวิดีโอใหม่ตั้งแต่แรก 2. งดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านทะเบียนและภาษีรถ และด้านใบอนุญาตขับรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชําระภาษีรถประจําปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน และศูนย์บริการร่วม ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ประกอบด้วย ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี ทั้งนี้ ยังคงให้บริการรับชําระภาษีรถประจําปีช่องทางอื่นๆ ตามปกติ อาทิ บริการรับชําระภาษีรถประจําปีออนไลน์ที่https://eservice.dlt.go.th/แอปพลิเคชันTruemoney Wallet, mPAYเคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ทําการไปรษณีย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax)รวมถึงการให้บริการ ณ สํานักงานขนส่งทุกแห่ง อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการให้บริการประชาชนด้านอื่น ๆ นั้นยังคงให้บริการตามปกติ ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)โดยสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งจุดคัดกรองภายนอกอาคาร เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิประชาชนทุกคนที่เข้ามารับบริการ หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ไม่อนุญาตให้เข้าไปในอาคาร หรือพบผู้มีอาการต้องสงสัยประสานแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่หรือแนะนําให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยต่อไป ดําเนินมาตรการSocial Distancingจํากัดจํานวนผู้ติดต่อราชการภายในอาคาร จัดที่นั่งคอย พื้นที่ยืน เว้นระยะห่างระหว่างคนอย่างน้อย 1 เมตร ด้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พิจารณาปรับลดกําลังเจ้าหน้าที่ตามความเหมาะสมและความจําเป็น โดยต้องไม่กระทบกับการบริการประชาชน รวมถึงปรับรูปแบบให้สามารถปฏิบัติงานจากบ้านพักได้ พร้อมให้นําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่ยังไม่มีความจําเป็นไม่ว่าจะเป็นการดําเนินการในด้านใบอนุญาตขับรถ หรือด้านทะเบียนและภาษี ควรงดเว้นการติดต่อที่สํานักงานขนส่ง หรือใช้บริการระบบออนไลน์ที่กรมการขนส่งทางบกมีไว้รองรับ เช่น ชําระภาษีรถประจําปีออนไลน์ การอบรมภาคทฤษฎีออนไลน์ เป็นต้น ในกรณีจําเป็นที่ต้องมาดําเนินการที่สํานักงานขนส่ง ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27728
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว 400 เครื่อง จาก ธอส. เพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ให้กลุ่มเปราะบาง
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 รมว.พม. รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว 400 เครื่อง จาก ธอส. เพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ให้กลุ่มเปราะบาง รมว.พม. รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว 400 เครื่อง จาก ธอส. เพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ให้กลุ่มเปราะบาง วันนี้ (25 มิ.ย. 63) เวลา 14.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว จํานวน 400 เครื่อง จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. และ นางสุดจิตตรา คําดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธอส. เพื่อนําไปแจกจ่ายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. สําหรับใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้โครงการ พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายจุติ กล่าวว่า ขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่เรายังจําเป็นต้องเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันอย่างเคร่งครัด ซึ่งเราต้องร่วมมือช่วยกันทุกภาคส่วน และในโอกาสนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณ ธอส. ที่ได้ตระหนักถึงความสําคัญของการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงได้มอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว เพื่อนําไปแจกจ่ายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ใช้ในการตั้งจุดคัดกรองบุคคลค้นหาผู้ติดเชื้อ ด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายสําหรับประชาชนผู้มาติดต่อรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายเปราะบางที่เดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลําบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. บริเวณชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. และโทรศัพท์ 0 2659 6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว 400 เครื่อง จาก ธอส. เพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ให้กลุ่มเปราะบาง วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 รมว.พม. รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว 400 เครื่อง จาก ธอส. เพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ให้กลุ่มเปราะบาง รมว.พม. รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว 400 เครื่อง จาก ธอส. เพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ให้กลุ่มเปราะบาง วันนี้ (25 มิ.ย. 63) เวลา 14.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) รับมอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว จํานวน 400 เครื่อง จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. และ นางสุดจิตตรา คําดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธอส. เพื่อนําไปแจกจ่ายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. สําหรับใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้โครงการ พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายจุติ กล่าวว่า ขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่เรายังจําเป็นต้องเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันอย่างเคร่งครัด ซึ่งเราต้องร่วมมือช่วยกันทุกภาคส่วน และในโอกาสนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณ ธอส. ที่ได้ตระหนักถึงความสําคัญของการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงได้มอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัสผิว เพื่อนําไปแจกจ่ายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ใช้ในการตั้งจุดคัดกรองบุคคลค้นหาผู้ติดเชื้อ ด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายสําหรับประชาชนผู้มาติดต่อรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายเปราะบางที่เดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลําบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. บริเวณชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. และโทรศัพท์ 0 2659 6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ผนึกภาครัฐ-เอกชน แอ่วเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 อุ้มเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวภาคเหนือเข้าถึงสินเชื่อพิเศษ “Extra Cash” ฟื้นฟูธุรกิจ
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 ธพว.ผนึกภาครัฐ-เอกชน แอ่วเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 อุ้มเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวภาคเหนือเข้าถึงสินเชื่อพิเศษ “Extra Cash” ฟื้นฟูธุรกิจ ธพว.ผนึกกําลังภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 เร่งดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 พาเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ดอกเบี้ยต่ํา ธพว.ผนึกกําลังภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 เร่งดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 พาเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ดอกเบี้ยต่ํา ไม่ต้องใช้หลักประกัน นําไปใช้เสริมสภาพคล่อง ฟื้นฟูธุรกิจ นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนา SMEs ไทย ดําเนินตามนโยบายของกระทรวงการคลัง เร่งเยียวยา ฟื้นฟูประชาชนและภาคธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ผ่านโครงการ “SME D Services” เสริมแกร่ง SMEs ท่องเที่ยวไทย จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ณ ศาลาริมน้ํา ปางช้างแม่แตง อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้คําปรึกษา ตลอดจนส่งเสริมเอสเอ็มอีท่องเที่ยว ในพื้นที่ภาคเหนือเข้าถึง “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” มีจุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และที่สําคัญไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ซึ่ง ธพว. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยว นําไปใช้เสริมสภาพคล่อง ตลอดจนฟื้นฟูธุรกิจ สําหรับการจัดโครงการ “SME D Services” ครั้งที่ 3 ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นความร่วมมือระหว่าง ธพว. และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย สํานักงานพาณิชย์ จังหวัดเชียงใหม่, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, สภาอุตสาหกรรม (สอท.) จังหวัดเชียงใหม่, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ “ธพว.ทํางานเชิงรุก ด้วยการลงพื้นที่ช่วยเหลือเอสเอ็มอีในจังหวัดท่องเที่ยวสําคัญ ๆ ทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมาจัดงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว 2 ครั้ง ส่วนครั้งที่ 3 ได้เลือกจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวอยู่จํานวนมาก โดย ธพว. จะจัดโครงการนี้ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่นๆ ต่อเนื่อง ทั้งทางภาคตะวันออก อีสาน และใต้ นอกจากนั้น ยังส่งเจ้าหน้าที่สาขาทั่วประเทศเข้าพบกับตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของแต่ละสมาคมอย่างใกล้ชิด เพื่อพาถึงเข้าถึงสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีท่องเที่ยวมีเงินทุนหมุนเวียน นํามาใช้เป็นทุนฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวนารถนารี กล่าว ทั้งนี้ สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน “นิติบุคคล” ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ใน 5 ธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ 1.ธุรกิจทัวร์ บริษัทนําเที่ยว 2.ธุรกิจสปา 3.ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนําเที่ยว รถเช่า) 4.โรงแรม ห้องพัก และ 5.ร้านอาหาร ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ ช่วง 2 ปีแรก ร้อยละ 3 ต่อปี และปีที่ 3-5 ร้อยละ MLR+1 ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย และไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน สําหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมต่าง ๆ ข้างต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ได้เช่นกัน ผ่านช่องทางการยื่นกู้ออนไลน์ที่มีให้เลือกหลากหลายช่องทาง เช่น LINE Official Account: SME Development Bank, เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว เพียงกรอกรายละเอียดเบื้องต้น จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อดําเนินการขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ผนึกภาครัฐ-เอกชน แอ่วเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 อุ้มเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวภาคเหนือเข้าถึงสินเชื่อพิเศษ “Extra Cash” ฟื้นฟูธุรกิจ วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 ธพว.ผนึกภาครัฐ-เอกชน แอ่วเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 อุ้มเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวภาคเหนือเข้าถึงสินเชื่อพิเศษ “Extra Cash” ฟื้นฟูธุรกิจ ธพว.ผนึกกําลังภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 เร่งดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 พาเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ดอกเบี้ยต่ํา ธพว.ผนึกกําลังภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จัด “SME D Services” ครั้งที่ 3 เร่งดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 พาเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษ “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ดอกเบี้ยต่ํา ไม่ต้องใช้หลักประกัน นําไปใช้เสริมสภาพคล่อง ฟื้นฟูธุรกิจ นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนา SMEs ไทย ดําเนินตามนโยบายของกระทรวงการคลัง เร่งเยียวยา ฟื้นฟูประชาชนและภาคธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ผ่านโครงการ “SME D Services” เสริมแกร่ง SMEs ท่องเที่ยวไทย จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ณ ศาลาริมน้ํา ปางช้างแม่แตง อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้คําปรึกษา ตลอดจนส่งเสริมเอสเอ็มอีท่องเที่ยว ในพื้นที่ภาคเหนือเข้าถึง “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” มีจุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และที่สําคัญไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ซึ่ง ธพว. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีท่องเที่ยว นําไปใช้เสริมสภาพคล่อง ตลอดจนฟื้นฟูธุรกิจ สําหรับการจัดโครงการ “SME D Services” ครั้งที่ 3 ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นความร่วมมือระหว่าง ธพว. และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย สํานักงานพาณิชย์ จังหวัดเชียงใหม่, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, สภาอุตสาหกรรม (สอท.) จังหวัดเชียงใหม่, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ “ธพว.ทํางานเชิงรุก ด้วยการลงพื้นที่ช่วยเหลือเอสเอ็มอีในจังหวัดท่องเที่ยวสําคัญ ๆ ทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมาจัดงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว 2 ครั้ง ส่วนครั้งที่ 3 ได้เลือกจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีธุรกิจท่องเที่ยวอยู่จํานวนมาก โดย ธพว. จะจัดโครงการนี้ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่นๆ ต่อเนื่อง ทั้งทางภาคตะวันออก อีสาน และใต้ นอกจากนั้น ยังส่งเจ้าหน้าที่สาขาทั่วประเทศเข้าพบกับตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของแต่ละสมาคมอย่างใกล้ชิด เพื่อพาถึงเข้าถึงสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีท่องเที่ยวมีเงินทุนหมุนเวียน นํามาใช้เป็นทุนฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวนารถนารี กล่าว ทั้งนี้ สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน “นิติบุคคล” ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ใน 5 ธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ 1.ธุรกิจทัวร์ บริษัทนําเที่ยว 2.ธุรกิจสปา 3.ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนําเที่ยว รถเช่า) 4.โรงแรม ห้องพัก และ 5.ร้านอาหาร ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ ช่วง 2 ปีแรก ร้อยละ 3 ต่อปี และปีที่ 3-5 ร้อยละ MLR+1 ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย และไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน สําหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมต่าง ๆ ข้างต้น สามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash ได้เช่นกัน ผ่านช่องทางการยื่นกู้ออนไลน์ที่มีให้เลือกหลากหลายช่องทาง เช่น LINE Official Account: SME Development Bank, เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว เพียงกรอกรายละเอียดเบื้องต้น จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อดําเนินการขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 26 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 26 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (ซูดาน 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,040 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.14 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 64 ราย หรือร้อยละ 2.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,162 ราย จากข้อมูลคนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ากักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการในสถานที่รัฐจัดให้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงปัจจุบันมีจํานวน 46,569 ราย ในจํานวนนี้พบผู้ติดเชื้อจํานวน 225 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.48 ขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 5 ในกลุ่มธุรกิจบริการที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สถานบันเทิง, ผับ, บาร์, อาบ อบ นวด, ร้านเกมส์, คาราโอเกะ โดยรัฐได้กําหนดมาตรการควบคุมสําหรับกิจการ/กิจกรรมที่พร้อมเปิดให้บริการเพื่อลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า, การจัดพื้นที่เว้นระยะห่าง, จัดจุดบริการล้างมือ, การทําความสําอาดพื้นที่ให้บริการ, ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ บางกิจกรรมต้องทําการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในพนักงานผู้ให้บริการเป็นระยะ แม้ว่ามาตรการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้การใช้ชีวิตกลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว ขอให้ประชาชนอย่าประมาท “การ์ดอย่าตก” ต้องเข้มงวดการป้องกันตัวเอง ทําให้เป็นนิสัย หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้ามีความจําเป็นที่ต้องใส่และพกติดตัวตลอดเวลา เน้นย้ําว่าการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วม ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หากทุกคนร่วมมือกันจะช่วยลดโอกาสการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง ****************************** 26 มิถุนายน 2563 ***************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 26 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 26 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (ซูดาน 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,040 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.14 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 64 ราย หรือร้อยละ 2.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,162 ราย จากข้อมูลคนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ากักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการในสถานที่รัฐจัดให้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงปัจจุบันมีจํานวน 46,569 ราย ในจํานวนนี้พบผู้ติดเชื้อจํานวน 225 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.48 ขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 5 ในกลุ่มธุรกิจบริการที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สถานบันเทิง, ผับ, บาร์, อาบ อบ นวด, ร้านเกมส์, คาราโอเกะ โดยรัฐได้กําหนดมาตรการควบคุมสําหรับกิจการ/กิจกรรมที่พร้อมเปิดให้บริการเพื่อลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า, การจัดพื้นที่เว้นระยะห่าง, จัดจุดบริการล้างมือ, การทําความสําอาดพื้นที่ให้บริการ, ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ บางกิจกรรมต้องทําการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในพนักงานผู้ให้บริการเป็นระยะ แม้ว่ามาตรการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้การใช้ชีวิตกลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว ขอให้ประชาชนอย่าประมาท “การ์ดอย่าตก” ต้องเข้มงวดการป้องกันตัวเอง ทําให้เป็นนิสัย หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้ามีความจําเป็นที่ต้องใส่และพกติดตัวตลอดเวลา เน้นย้ําว่าการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วม ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หากทุกคนร่วมมือกันจะช่วยลดโอกาสการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง ****************************** 26 มิถุนายน 2563 ***************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หารือ SMEs กัมพูชา แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560 สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หารือ SMEs กัมพูชา แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เตรียมหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนกับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ของประเทศกัมพูชา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนของกัมพูชาให้มีมาตรฐาน ทัดเทียมกับกลุ่มประเทศในอาเซียน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หารือ SMEs กัมพูชา แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560 สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หารือ SMEs กัมพูชา แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เตรียมหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนกับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ของประเทศกัมพูชา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนของกัมพูชาให้มีมาตรฐาน ทัดเทียมกับกลุ่มประเทศในอาเซียน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ​นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีนโยบาย การสั่งการและติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาโดยตลอด โดยขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอยู่ในลําดับที่ 17 ใน 75 ประเทศ ซึ่งถือว่ายังมีผู้ติดเชื้อจํานวนน้อย สําหรับกรณีที่ประชาชนไทยมีความห่วงใยต่อการเดินทางกลับประเทศของแรงงานไทยผิดกฎหมายหรือกลุ่มผีน้อย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นคนไทยซึ่งรัฐบาลต้องให้ความดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางคือสาธารณรัฐเกาหลี จะมีการตรวจคัดกรองในเบื้องต้น หรือ Exit Screening ทุกสายการบินหากพบผู้โดยสารมีไข้ก็จะปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง หรือหากขึ้นมาแล้วเป็นไข้ก็ต้องจัดให้แยกที่นั่งและแยกห้องน้ํา ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมบนเครื่อง รัฐบาลมีการประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานฯ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีมาตรการคัดกรองที่เป็นมาตรฐาน รัดกุม หากพบผู้เดินทางเข้าประเทศที่มีไข้ จะคัดแยกออกตั้งแต่ที่สนามบินเพื่อไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อไป ทั้งนี้แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี จะแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. คนไทยที่กลับจาก 2 พื้นที่ที่พบความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือเมืองแทกูและคย็องซัง ทุกคนจะต้องถูกกักตัว ในพื้นที่ควบคุมโรค ตามที่รัฐบาลจัดไว้ให้เป็นเวลา 14 วัน (State quarantine) 2. ผู้ที่มาจากเมืองอื่นๆ ในสาธารณรัฐเกาหลี หากไม่พบอาการไข้จะได้เดินทางกลับตามภูมิลําเนา แต่จะจัดพื้นที่ในส่วนราชการ หรือสถานพยาบาลไว้ เพื่อติดตามอาการ (Local quarantine) โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขจะหารือกันเพื่อหาสถานที่เหมาะสมต่อไป ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเรื่องหน้ากากอนามัยว่า ขณะนี้มีกําลังการผลิต 1 ล้านชิ้นต่อวัน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. จัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลของรัฐ จํานวน 300,000 ชิ้น 2. จัดส่งให้ร้านค้าทั่วไปเพื่อจัดจําหน่าย จํานวน 700,000 ชิ้น ซึ่งภาครัฐมีการติดตามและตรวจสอบช่องทางการจัดจําหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน้ากากอนามัยไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ​นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีนโยบาย การสั่งการและติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาโดยตลอด โดยขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอยู่ในลําดับที่ 17 ใน 75 ประเทศ ซึ่งถือว่ายังมีผู้ติดเชื้อจํานวนน้อย สําหรับกรณีที่ประชาชนไทยมีความห่วงใยต่อการเดินทางกลับประเทศของแรงงานไทยผิดกฎหมายหรือกลุ่มผีน้อย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นคนไทยซึ่งรัฐบาลต้องให้ความดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางคือสาธารณรัฐเกาหลี จะมีการตรวจคัดกรองในเบื้องต้น หรือ Exit Screening ทุกสายการบินหากพบผู้โดยสารมีไข้ก็จะปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง หรือหากขึ้นมาแล้วเป็นไข้ก็ต้องจัดให้แยกที่นั่งและแยกห้องน้ํา ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมบนเครื่อง รัฐบาลมีการประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานฯ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีมาตรการคัดกรองที่เป็นมาตรฐาน รัดกุม หากพบผู้เดินทางเข้าประเทศที่มีไข้ จะคัดแยกออกตั้งแต่ที่สนามบินเพื่อไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อไป ทั้งนี้แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี จะแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. คนไทยที่กลับจาก 2 พื้นที่ที่พบความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือเมืองแทกูและคย็องซัง ทุกคนจะต้องถูกกักตัว ในพื้นที่ควบคุมโรค ตามที่รัฐบาลจัดไว้ให้เป็นเวลา 14 วัน (State quarantine) 2. ผู้ที่มาจากเมืองอื่นๆ ในสาธารณรัฐเกาหลี หากไม่พบอาการไข้จะได้เดินทางกลับตามภูมิลําเนา แต่จะจัดพื้นที่ในส่วนราชการ หรือสถานพยาบาลไว้ เพื่อติดตามอาการ (Local quarantine) โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขจะหารือกันเพื่อหาสถานที่เหมาะสมต่อไป ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเรื่องหน้ากากอนามัยว่า ขณะนี้มีกําลังการผลิต 1 ล้านชิ้นต่อวัน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. จัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลของรัฐ จํานวน 300,000 ชิ้น 2. จัดส่งให้ร้านค้าทั่วไปเพื่อจัดจําหน่าย จํานวน 700,000 ชิ้น ซึ่งภาครัฐมีการติดตามและตรวจสอบช่องทางการจัดจําหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน้ากากอนามัยไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกร พร้อมเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกร พร้อมเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร พร้อมเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้ได้รับการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี พร้อมทั้งมอบหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่เกษตรกร ณ หอประชุมที่ว่าการอําเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดําเนินการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นงานจัดที่ดินทั้งในที่ดินของรัฐและเอกชน งานพัฒนาโดยให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการก่อสร้างปรับปรุง ซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมและแหล่งน้ํา การเพิ่มรายได้ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรและนอกการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “ในวันนี้มีความยินดีที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) พร้อมบัตรดินดี และสระน้ําขนาดเล็กให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินอําเภอหนองหญ้าปล้อง จํานวน อย่างละ 10 ราย เมื่อพี่น้องเกษตรกรได้รับการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไปแล้วนั้น อยากให้เกษตรกรนั้นเกิดหวงแหนและคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง ไม่นําไปขายหรือให้เช่า เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยั่งยืนต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว นอกจากนั้น ยังได้เดินทางไปเยี่ยมชมแปลงเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินของนางกนกวรรณ ป้อมสิงห์ ซึ่งทาง ส.ป.ก.เพชรบุรี ได้จัดตั้งเป็นศูนย์การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี เมื่อปี 2560 กิจกรรมภายในแปลงประกอบด้วยการปลูกฝรั่งกิมจู ไผ่กิมซุง พริก มะละกอ กล้วยน้ําว้า โดยทาง ส.ป.ก.เพชรบุรี ได้ให้การสนับสนุนพันธุ์ไม้ ปุ๋ยมูลไส้เดือน ตลอดจนส่งเสริมการทําเกษตรทฤษฎีใหม่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝก และส่งเสริมการจําหน่ายผลผลิตทางเว็บไซต์สินค้าเกษตรและแปรรูปในเขตปฏิรูปที่ดินอีกด้วย ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดเพชรบุรี ได้มีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินทั้งที่รัฐและที่เอกชน ในพื้นที่ 5 อําเภอ 13 ตําบล 44 หมู่บ้าน เนื้อที่ 45,763 ไร่ ประกอบด้วย อําเภอเมืองเพชรบุรี ท่ายาง ชะอํา เขาย้อย และหนองหญ้าปล้อง โดยได้ดําเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกร ทั้งที่ทํากินและที่อยู่อาศัยในที่ดินของรัฐ จํานวน 2,157 ราย?เนื้อที่ 38,299 ไร่ ในที่ดินเอกชน 142 ราย 284 แปลง เนื้อที่ 2,002 ไร่ และที่บริจาค 1 ราย เนื้อที่ 44 ไร่ รวมจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรทั้งสิ้น 2,301 ราย 40,345 ไร่ โดยภายในเขตอําเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรีนั้น มีเนื้อที่ประมาณ 35,680 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ที่มากที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี ได้ดําเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรแล้ว จํานวน 1,689 ราย เนื้อที่ประมาณ 34,189-2-21 ไร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกร พร้อมเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกร พร้อมเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร พร้อมเปิดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้ได้รับการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี พร้อมทั้งมอบหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่เกษตรกร ณ หอประชุมที่ว่าการอําเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดําเนินการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นงานจัดที่ดินทั้งในที่ดินของรัฐและเอกชน งานพัฒนาโดยให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการก่อสร้างปรับปรุง ซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมและแหล่งน้ํา การเพิ่มรายได้ พัฒนาและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรและนอกการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “ในวันนี้มีความยินดีที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) พร้อมบัตรดินดี และสระน้ําขนาดเล็กให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินอําเภอหนองหญ้าปล้อง จํานวน อย่างละ 10 ราย เมื่อพี่น้องเกษตรกรได้รับการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไปแล้วนั้น อยากให้เกษตรกรนั้นเกิดหวงแหนและคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง ไม่นําไปขายหรือให้เช่า เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยั่งยืนต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว นอกจากนั้น ยังได้เดินทางไปเยี่ยมชมแปลงเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินของนางกนกวรรณ ป้อมสิงห์ ซึ่งทาง ส.ป.ก.เพชรบุรี ได้จัดตั้งเป็นศูนย์การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี เมื่อปี 2560 กิจกรรมภายในแปลงประกอบด้วยการปลูกฝรั่งกิมจู ไผ่กิมซุง พริก มะละกอ กล้วยน้ําว้า โดยทาง ส.ป.ก.เพชรบุรี ได้ให้การสนับสนุนพันธุ์ไม้ ปุ๋ยมูลไส้เดือน ตลอดจนส่งเสริมการทําเกษตรทฤษฎีใหม่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝก และส่งเสริมการจําหน่ายผลผลิตทางเว็บไซต์สินค้าเกษตรและแปรรูปในเขตปฏิรูปที่ดินอีกด้วย ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดเพชรบุรี ได้มีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินทั้งที่รัฐและที่เอกชน ในพื้นที่ 5 อําเภอ 13 ตําบล 44 หมู่บ้าน เนื้อที่ 45,763 ไร่ ประกอบด้วย อําเภอเมืองเพชรบุรี ท่ายาง ชะอํา เขาย้อย และหนองหญ้าปล้อง โดยได้ดําเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกร ทั้งที่ทํากินและที่อยู่อาศัยในที่ดินของรัฐ จํานวน 2,157 ราย?เนื้อที่ 38,299 ไร่ ในที่ดินเอกชน 142 ราย 284 แปลง เนื้อที่ 2,002 ไร่ และที่บริจาค 1 ราย เนื้อที่ 44 ไร่ รวมจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรทั้งสิ้น 2,301 ราย 40,345 ไร่ โดยภายในเขตอําเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรีนั้น มีเนื้อที่ประมาณ 35,680 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ที่มากที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี ได้ดําเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรแล้ว จํานวน 1,689 ราย เนื้อที่ประมาณ 34,189-2-21 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา กำหนดวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21”
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2562 นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา กําหนดวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดําเนินการ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข และมีความพร้อมที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 วันนี้ (25 ก.ค.62) เวลา 09.30 น.ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคาร 9 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เพื่อให้ทราบถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดําเนินการ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข สามัคคีและเอื้ออาทร คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความพร้อมที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 4 ปีของรัฐบาลจะยึดหลักการสําคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1) น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหลักในการบริหารประเทศ 2) ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3) พัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ 4) บูรณาการการทํางานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ในลักษณะประชารัฐเพื่อพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และทําให้ประชาชนคนไทยมีความมั่นคง อยู่ดีมีสุข ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้กําหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีความสอดคล้องกับหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ และหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 โดยวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนประเทศของรัฐบาลชุดนี้ คือ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” โดยกําหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย นโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ดังนี้ นโยบายหลัก 12 ด้าน ซึ่งจะเป็นทิศทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย 1) การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ 2) การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ 3) การทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 4) การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก 5) การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย 6) การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค 7) การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก 8) การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย 9) การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม 10) การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 11) การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ 12. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ กระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์และปัญหาที่ประเทศไทยกําลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รัฐบาลได้กําหนดเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาและลดผลกระทบกับประชาชน และระบบเศรษฐกิจ ดังนี้ นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ประกอบด้วย 1) การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน อาทิ ลดข้อจํากัดในการประกอบอาชีพของคนไทย การจัดการระบบการขนส่งสาธารณะผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ทบทวนรูปแบบและมาตรฐานหาบเร่แผงลอยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยังคงเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งร้านอาหารริมถนน ทําให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม 2) การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยปรับปรุงระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเบี้ยยังชีพของประชาชน อาทิ ผู้สูงอายุและคนพิการ ที่มีรายได้น้อย ผู้ยากไร้ผู้ด้อยโอกาส 3) มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเร่งกระบวนการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรับปรุง ประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว 4) การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยจัดพื้นที่การเกษตรให้สอดคล้องกับระบบบริหารจัดการน้ําและคุณภาพของดินตาม Agri-Map กําหนดเป้าหมายรายได้เกษตรกรให้สามารถมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพในสินค้าเกษตร สําคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา มันสําปะหลัง ปาล์ม อ้อย และข้าวโพด เป็นต้น 5) การยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยยกระดับรายได้ค่าแรงแรกเข้าและกลไกการปรับอัตราค่าจ้างที่สอดคล้องกับสมรรถนะแรงงานควบคู่กับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ผ่านกลไกคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อนําไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ควบคู่ไปกับการกํากับดูแลราคาสินค้าไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชน 6) การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคตโดยต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายและวางรากฐานการพัฒนาภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองอัจฉริยะ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย 7) การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ใหม่ในระบบดิจิทัล ปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้มุ่งสู่ระบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านวิศวกรรม คณิตศาสตร์ โปรแกรมเมอร์และภาษาต่างประเทศ 8) การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจํา โดยเร่งรัดการดําเนินมาตรการทางการเมืองควบคู่ไปกับมาตรการทางกฎหมายเมื่อพบผู้กระทําผิดอย่างเคร่งครัด 9) การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยให้ความสําคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด 10) การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน โดยมุ่งสู่ความเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ พัฒนาระบบจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ ปรับปรุงระบบการอนุมัติ และอนุญาตของทางราชการที่สําคัญให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งบุคคลและนิติบุคคล 11) การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย ตั้งแต่การป้องกันก่อนเกิดภัย การให้ความช่วยเหลือระหว่างเกิดภัย และการแก้ไขปัญหาในระยะยาว และ 12) การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดําเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงการดําเนินงานตามประเด็นนโยบายเร่งด่วนว่า รัฐบาลจะมุ่งมั่นดําเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มีความถูกต้องสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยพัฒนาจากพื้นฐานที่ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ความสําคัญกับกรอบวินัยด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยส่วนประเด็นนโยบายเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา อาทิ การส่งเสริมการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการส่งออก การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก รัฐบาลจะพิจารณากําหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการทํางานหรือลงทุนร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกัน และพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ที่จะช่วยลดภาระด้านงบประมาณมาใช้ในการลงทุน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เงินสะสมของกองทุนต่าง ๆ และการแปลงสิทธิและทรัพย์สินให้เป็นทุนได้ในอนาคต เป็นต้น ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา กำหนดวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2562 นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา กําหนดวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดําเนินการ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข และมีความพร้อมที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 วันนี้ (25 ก.ค.62) เวลา 09.30 น.ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคาร 9 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เพื่อให้ทราบถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดําเนินการ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข สามัคคีและเอื้ออาทร คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความพร้อมที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 4 ปีของรัฐบาลจะยึดหลักการสําคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1) น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหลักในการบริหารประเทศ 2) ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3) พัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ 4) บูรณาการการทํางานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ในลักษณะประชารัฐเพื่อพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และทําให้ประชาชนคนไทยมีความมั่นคง อยู่ดีมีสุข ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้กําหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีความสอดคล้องกับหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ และหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 โดยวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนประเทศของรัฐบาลชุดนี้ คือ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” โดยกําหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย นโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ดังนี้ นโยบายหลัก 12 ด้าน ซึ่งจะเป็นทิศทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย 1) การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ 2) การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ 3) การทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 4) การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก 5) การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย 6) การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค 7) การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก 8) การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย 9) การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม 10) การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 11) การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ 12. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ กระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์และปัญหาที่ประเทศไทยกําลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รัฐบาลได้กําหนดเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาและลดผลกระทบกับประชาชน และระบบเศรษฐกิจ ดังนี้ นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ประกอบด้วย 1) การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน อาทิ ลดข้อจํากัดในการประกอบอาชีพของคนไทย การจัดการระบบการขนส่งสาธารณะผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ทบทวนรูปแบบและมาตรฐานหาบเร่แผงลอยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยังคงเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งร้านอาหารริมถนน ทําให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม 2) การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยปรับปรุงระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเบี้ยยังชีพของประชาชน อาทิ ผู้สูงอายุและคนพิการ ที่มีรายได้น้อย ผู้ยากไร้ผู้ด้อยโอกาส 3) มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเร่งกระบวนการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรับปรุง ประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว 4) การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยจัดพื้นที่การเกษตรให้สอดคล้องกับระบบบริหารจัดการน้ําและคุณภาพของดินตาม Agri-Map กําหนดเป้าหมายรายได้เกษตรกรให้สามารถมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพในสินค้าเกษตร สําคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา มันสําปะหลัง ปาล์ม อ้อย และข้าวโพด เป็นต้น 5) การยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยยกระดับรายได้ค่าแรงแรกเข้าและกลไกการปรับอัตราค่าจ้างที่สอดคล้องกับสมรรถนะแรงงานควบคู่กับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ผ่านกลไกคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อนําไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ควบคู่ไปกับการกํากับดูแลราคาสินค้าไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชน 6) การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคตโดยต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายและวางรากฐานการพัฒนาภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองอัจฉริยะ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย 7) การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ใหม่ในระบบดิจิทัล ปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้มุ่งสู่ระบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านวิศวกรรม คณิตศาสตร์ โปรแกรมเมอร์และภาษาต่างประเทศ 8) การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจํา โดยเร่งรัดการดําเนินมาตรการทางการเมืองควบคู่ไปกับมาตรการทางกฎหมายเมื่อพบผู้กระทําผิดอย่างเคร่งครัด 9) การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยให้ความสําคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด 10) การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน โดยมุ่งสู่ความเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ พัฒนาระบบจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ ปรับปรุงระบบการอนุมัติ และอนุญาตของทางราชการที่สําคัญให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งบุคคลและนิติบุคคล 11) การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย ตั้งแต่การป้องกันก่อนเกิดภัย การให้ความช่วยเหลือระหว่างเกิดภัย และการแก้ไขปัญหาในระยะยาว และ 12) การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดําเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงการดําเนินงานตามประเด็นนโยบายเร่งด่วนว่า รัฐบาลจะมุ่งมั่นดําเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มีความถูกต้องสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยพัฒนาจากพื้นฐานที่ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ความสําคัญกับกรอบวินัยด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยส่วนประเด็นนโยบายเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา อาทิ การส่งเสริมการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการส่งออก การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก รัฐบาลจะพิจารณากําหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการทํางานหรือลงทุนร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกัน และพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ที่จะช่วยลดภาระด้านงบประมาณมาใช้ในการลงทุน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เงินสะสมของกองทุนต่าง ๆ และการแปลงสิทธิและทรัพย์สินให้เป็นทุนได้ในอนาคต เป็นต้น ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 [กระทรวงอุตสาหกรรม] กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 เรื่อง ข้อปฏิบัติในการขนส่งสินค้าทางถนนในสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างช่วงเวลาห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน โดยกําหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าบางประเภทให้มีความชัดเจนขึ้น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และเพื่อให้สถานประกอบการโรงงานที่มีความจําเป็นต้องขนส่งสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าวสามารถดําเนินการขนส่งสินค้าได้อย่างถูกต้อง กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงขอให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการฯ อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันที่14เมษายน2563เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 [กระทรวงอุตสาหกรรม] วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 [กระทรวงอุตสาหกรรม] กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 กรมโรงงานอุตสาหกรรมขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการโรงงาน ปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 เรื่อง ข้อปฏิบัติในการขนส่งสินค้าทางถนนในสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างช่วงเวลาห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน โดยกําหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าบางประเภทให้มีความชัดเจนขึ้น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และเพื่อให้สถานประกอบการโรงงานที่มีความจําเป็นต้องขนส่งสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าวสามารถดําเนินการขนส่งสินค้าได้อย่างถูกต้อง กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงขอให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการฯ อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันที่14เมษายน2563เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29149
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การล้างจมูกจะทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ??
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 การล้างจมูกจะทําให้เชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ?? การล้างจมูกจะทําให้เชื้อไวรัสโควิด-19ได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ?? Q :การล้างจมูกจะทําให้เชื้อไวรัสโควิด-19เข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้นหรือไม่?? A :มีโอกาสน้อยมากที่น้ําล้างจมูกจะนําพาเชื้อไวรัสโควิด-19เข้าสู่ปอด แต่ทั้งนี้แนะนําให้ล้างจมูกเฉพาะผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ จมูกอักเสบ เพื่อล้างสารคัดหลั่งและให้ร่างกายรับยาพ่นจมูกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การล้างจมูกจะทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ?? วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 การล้างจมูกจะทําให้เชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ?? การล้างจมูกจะทําให้เชื้อไวรัสโควิด-19ได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ?? Q :การล้างจมูกจะทําให้เชื้อไวรัสโควิด-19เข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้นหรือไม่?? A :มีโอกาสน้อยมากที่น้ําล้างจมูกจะนําพาเชื้อไวรัสโควิด-19เข้าสู่ปอด แต่ทั้งนี้แนะนําให้ล้างจมูกเฉพาะผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ จมูกอักเสบ เพื่อล้างสารคัดหลั่งและให้ร่างกายรับยาพ่นจมูกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31826
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิสด้า ผุดโปรเจกต์ธุรกิจ Startup จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 จิสด้า ผุดโปรเจกต์ธุรกิจ Startup จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest จิสด้า จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการสร้างแพลตฟอร์มต้นแบบผ่านแอพพลิเคชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า ร่วมกับสายการบินแอร์เอเชีย และหน่วยงานพันธมิตร จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการสร้างแพลตฟอร์มต้นแบบผ่านแอพพลิเคชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงพัฒนาศักยภาพแนวความคิดสู่ธุรกิจนวัตกรรมใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ Startup Thailand นายพรเทพ นวกิจกนก หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมผลิตภัณฑ์อวกาศ สํานักพัฒนาอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศของจิสด้า เปิดเผยว่า จิสด้าจัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON มาอย่างต่อเนื่อง และปีนี้เป็นที่ 6 แล้ว เพราะเราต้องการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เกิดแนวคิดที่จะพัฒนา และต่อยอดให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Location Base Service (GNSS) และ GISTDA PORTAL Platform ที่สามารถใช้งานได้จริงบนข้อมูลที่มีความถูกต้อง และใช้งานได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางด้านการพัฒนาและส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในชีวิตประจําวัน รวมถึงสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์อย่างก้าวกระโดด (startup) เพื่อนําไปสู่การพัฒนารูปแบบธุรกิจนวัตกรรม หรือที่เรียกว่า Business Model Innovation ได้ทันที การแข่งขันในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา มีทีมที่ผ่านเข้ารอบ 12 ทีม ในหัวข้อ Logistic และ Resource Management จากการแข่งขันในระดับภูมิภาคทั่วประเทศ อาทิ ทีม Princess จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ทีม Biz Talk จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ทีม STU จากวิทยาลัยสันตพล, ทีมอันวา จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ทีม Power Seeker จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ทีม Fling Fly Here (Fling Drone Delivery), ทีม Asteron (Excellent Route), ทีม MeMoney จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง, ทีม MyCard จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, ทีม E Bill จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ทีม Asteron (fruit truck) และ ทีม 2KM จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งทั้ง 12 ทีมจะต้องแข่งขันในรอบ Semi-Final ในวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. เพื่อให้ได้ 6 ทีมสุดท้ายไปสู่รอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ Startup ที่ประสบความสําเร็จมาแล้วอีกด้วย นายพรเทพฯ กล่าว สําหรับท่านที่สนใจจะร่วมชมและร่วมเชียร์ทั้ง 12 ทีมสามารถเข้าร่วมได้ตามที่แจ้งไว้ข้างต้น หรือจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 085-195-5126 (คุณกิตติธัช)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิสด้า ผุดโปรเจกต์ธุรกิจ Startup จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 จิสด้า ผุดโปรเจกต์ธุรกิจ Startup จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest จิสด้า จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการสร้างแพลตฟอร์มต้นแบบผ่านแอพพลิเคชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า ร่วมกับสายการบินแอร์เอเชีย และหน่วยงานพันธมิตร จัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON2019 : Geo-Informatic Application Contest เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการสร้างแพลตฟอร์มต้นแบบผ่านแอพพลิเคชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงพัฒนาศักยภาพแนวความคิดสู่ธุรกิจนวัตกรรมใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ Startup Thailand นายพรเทพ นวกิจกนก หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมผลิตภัณฑ์อวกาศ สํานักพัฒนาอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศของจิสด้า เปิดเผยว่า จิสด้าจัดการแข่งขันโปรแกรมประยุกต์ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ G-CON มาอย่างต่อเนื่อง และปีนี้เป็นที่ 6 แล้ว เพราะเราต้องการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เกิดแนวคิดที่จะพัฒนา และต่อยอดให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Location Base Service (GNSS) และ GISTDA PORTAL Platform ที่สามารถใช้งานได้จริงบนข้อมูลที่มีความถูกต้อง และใช้งานได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางด้านการพัฒนาและส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในชีวิตประจําวัน รวมถึงสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์อย่างก้าวกระโดด (startup) เพื่อนําไปสู่การพัฒนารูปแบบธุรกิจนวัตกรรม หรือที่เรียกว่า Business Model Innovation ได้ทันที การแข่งขันในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา มีทีมที่ผ่านเข้ารอบ 12 ทีม ในหัวข้อ Logistic และ Resource Management จากการแข่งขันในระดับภูมิภาคทั่วประเทศ อาทิ ทีม Princess จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ทีม Biz Talk จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ทีม STU จากวิทยาลัยสันตพล, ทีมอันวา จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ทีม Power Seeker จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ทีม Fling Fly Here (Fling Drone Delivery), ทีม Asteron (Excellent Route), ทีม MeMoney จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง, ทีม MyCard จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, ทีม E Bill จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ทีม Asteron (fruit truck) และ ทีม 2KM จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งทั้ง 12 ทีมจะต้องแข่งขันในรอบ Semi-Final ในวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. เพื่อให้ได้ 6 ทีมสุดท้ายไปสู่รอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ Startup ที่ประสบความสําเร็จมาแล้วอีกด้วย นายพรเทพฯ กล่าว สําหรับท่านที่สนใจจะร่วมชมและร่วมเชียร์ทั้ง 12 ทีมสามารถเข้าร่วมได้ตามที่แจ้งไว้ข้างต้น หรือจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 085-195-5126 (คุณกิตติธัช)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน“เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” หนุนเชื่อมโยงการตลาดช่วยเหลือเกษตรกร
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน“เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” หนุนเชื่อมโยงการตลาดช่วยเหลือเกษตรกร ก.เกษตรฯ จัดงาน“เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” หนุนเชื่อมโยงการตลาดช่วยเหลือเกษตรกรรับช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก พร้อมจําหน่ายผลไม้ตามฤดูกาลจากทั่วทุกภูมิภาคและกล้วยไม้สายพันธุ์เด่น ยกระดับเพิ่มมาตรฐานคุณภาพสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้กํากับ และดูแล องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้จัดงาน “เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” (Thai Fruit & Orchid Festival 2017) ขึ้น ในระหว่างวันที่ 23 - 28 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี โดยได้ตระหนักถึงความสําคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และได้ดําเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลในการปฏิรูปและพัฒนาภาคการเกษตร โดยเล็งเห็นความสําคัญถึงคุณค่าความเป็นเกษตรกร และสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาทําการเกษตรแบบปลอดภัย คํานึงถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค อันจะส่งผลดีต่อภาคเกษตรกรรมของประเทศ ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรได้นําผลผลิตการเกษตรมาจําหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจําหน่าย สร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาล "การจัดงานครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและรณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคผลไม้ของไทยมากขึ้น เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจํานวนมากอีกทางหนึ่ง รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในการนํากล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับมาจัดแสดง สื่อให้เห็นถึงศักยภาพและความสวยงามในการนําไปใช้ประดับตกแต่งงานพิธีต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง" นายธีรภัทร กล่าว นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมด้านการตลาด สนับสนุนให้เกษตรกรมีโอกาสเรียนรู้ เพิ่มทักษะด้านการตลาด ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสินค้าตามระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่ดีมีคุณภาพเข้าสู่ระบบตลาด พัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร สร้างการเรียนรู้และพัฒนาผลผลิตการเกษตรไปสู่โมเดิร์นเทรด (Modern Trade) นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจําหน่าย ผลไม้ ตามฤดูกาลจากทั่วทุกภูมิภาค เช่น ทุเรียน พันธุ์หลงหลิน หมอนทอง ลองกอง มังคุด ส้มโอ และกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์หายากจากทั่วโลก พร้อมทั้งมีการจัดนิทรรศการกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์หายาก และการสาธิตการเพาะพันธุ์กล้วยไม้และการแสดงบนเวทีทุกวัน โดยเริ่มวันศุกร์ที่ 23 ถึงวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 21.00 น. ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ ทั้งนี้ พิเศษสําหรับผู้เข้าร่วมงาน จะได้รับกล้วยไม้ พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นของที่ระลึกกลับบ้านฟรีอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน“เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” หนุนเชื่อมโยงการตลาดช่วยเหลือเกษตรกร วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 กระทรวงเกษตรฯ จัดงาน“เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” หนุนเชื่อมโยงการตลาดช่วยเหลือเกษตรกร ก.เกษตรฯ จัดงาน“เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” หนุนเชื่อมโยงการตลาดช่วยเหลือเกษตรกรรับช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก พร้อมจําหน่ายผลไม้ตามฤดูกาลจากทั่วทุกภูมิภาคและกล้วยไม้สายพันธุ์เด่น ยกระดับเพิ่มมาตรฐานคุณภาพสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้กํากับ และดูแล องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้จัดงาน “เทศกาลผลไม้ กล้วยไม้คุณภาพ อ.ต.ก.” (Thai Fruit & Orchid Festival 2017) ขึ้น ในระหว่างวันที่ 23 - 28 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี โดยได้ตระหนักถึงความสําคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และได้ดําเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลในการปฏิรูปและพัฒนาภาคการเกษตร โดยเล็งเห็นความสําคัญถึงคุณค่าความเป็นเกษตรกร และสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาทําการเกษตรแบบปลอดภัย คํานึงถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค อันจะส่งผลดีต่อภาคเกษตรกรรมของประเทศ ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรได้นําผลผลิตการเกษตรมาจําหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจําหน่าย สร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาล "การจัดงานครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและรณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคผลไม้ของไทยมากขึ้น เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจํานวนมากอีกทางหนึ่ง รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในการนํากล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับมาจัดแสดง สื่อให้เห็นถึงศักยภาพและความสวยงามในการนําไปใช้ประดับตกแต่งงานพิธีต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง" นายธีรภัทร กล่าว นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมด้านการตลาด สนับสนุนให้เกษตรกรมีโอกาสเรียนรู้ เพิ่มทักษะด้านการตลาด ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสินค้าตามระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่ดีมีคุณภาพเข้าสู่ระบบตลาด พัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร สร้างการเรียนรู้และพัฒนาผลผลิตการเกษตรไปสู่โมเดิร์นเทรด (Modern Trade) นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจําหน่าย ผลไม้ ตามฤดูกาลจากทั่วทุกภูมิภาค เช่น ทุเรียน พันธุ์หลงหลิน หมอนทอง ลองกอง มังคุด ส้มโอ และกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์หายากจากทั่วโลก พร้อมทั้งมีการจัดนิทรรศการกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์หายาก และการสาธิตการเพาะพันธุ์กล้วยไม้และการแสดงบนเวทีทุกวัน โดยเริ่มวันศุกร์ที่ 23 ถึงวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 21.00 น. ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ ทั้งนี้ พิเศษสําหรับผู้เข้าร่วมงาน จะได้รับกล้วยไม้ พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นของที่ระลึกกลับบ้านฟรีอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4790
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่าละเลยการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 "ประเทศไทยรอด เราก็รอด"
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 อย่าละเลยการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 "ประเทศไทยรอด เราก็รอด" อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ การป้องกันตนเองเท่ากับการป้องกันผู้อื่นไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่าละเลยการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 "ประเทศไทยรอด เราก็รอด" วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 อย่าละเลยการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 "ประเทศไทยรอด เราก็รอด" อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ การป้องกันตนเองเท่ากับการป้องกันผู้อื่นไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดประชุมผ่านระบบทางไกล ถกแผนรับมือเศรษฐกิจจากโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดประชุมผ่านระบบทางไกล ถกแผนรับมือเศรษฐกิจจากโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์] รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดประชุมผ่านระบบทางไกล ถกแผนรับมือเศรษฐกิจจากโควิด-19 อาเซียนนัดประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน และประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวก 3 สมัยพิเศษ วันที่ 4 มิ.ย.นี้ ผ่านระบบการประชุมทางไกล หารือแนวทางการรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 ตามที่ผู้นํามอบหมาย ทั้งการขบเคลื่อนการค้าให้เดินหน้าต่อ การฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว และการเตรียมความพร้อมรับมือความท้าทายในอนาคต นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อาเซียนกําหนดจัดประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษ และรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวก 3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) สมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด-19 (Special AEM and Special AEM Plus Three on COVID-19) ผ่านระบบทางไกล ในวันที่ 4 มิ.ย.2563 โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมการประชุม สําหรับการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะร่วมกันหาแนวทางรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามที่ผู้นําอาเซียนได้มอบหมายไว้ เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา ในการประชุมสุดยอดอาเซียนสมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ให้สมาชิกหารือแนวทางการรักษาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิตโลก เพื่อให้การค้าเดินหน้าต่อไปได้ และการเคลื่อนย้ายสินค้าจําเป็นราบรื่น เนื่องจากที่ผ่านมา หลายประเทศนํามาตรการจํากัดการค้ามาใช้จากความจําเป็นด้านสาธารณสุข ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตสินค้าและเศรษฐกิจของภูมิภาค นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้มาตรการทางการค้า และแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศในการรับมือกับโควิด-19 เพื่อให้อาเซียนพร้อมรองรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สําหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) จะมีการหารือแนวทางรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตินี้เช่นกัน ทั้งนี้ อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2562 มีมูลค่าการค้ารวม 107,928 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 62,904 ล้านเหรียญสหรัฐ และนําเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45,024 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเกินดุล 17,880 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนําเข้าสําคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในขณะที่การค้าระหว่างไทยกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มีมูลค่า 79,500 ล้านเหรียญสหรัฐ 57,780 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 13,367 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลําดับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดประชุมผ่านระบบทางไกล ถกแผนรับมือเศรษฐกิจจากโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์] วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดประชุมผ่านระบบทางไกล ถกแผนรับมือเศรษฐกิจจากโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์] รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดประชุมผ่านระบบทางไกล ถกแผนรับมือเศรษฐกิจจากโควิด-19 อาเซียนนัดประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน และประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวก 3 สมัยพิเศษ วันที่ 4 มิ.ย.นี้ ผ่านระบบการประชุมทางไกล หารือแนวทางการรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 ตามที่ผู้นํามอบหมาย ทั้งการขบเคลื่อนการค้าให้เดินหน้าต่อ การฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว และการเตรียมความพร้อมรับมือความท้าทายในอนาคต นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อาเซียนกําหนดจัดประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษ และรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวก 3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) สมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด-19 (Special AEM and Special AEM Plus Three on COVID-19) ผ่านระบบทางไกล ในวันที่ 4 มิ.ย.2563 โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมการประชุม สําหรับการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะร่วมกันหาแนวทางรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามที่ผู้นําอาเซียนได้มอบหมายไว้ เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา ในการประชุมสุดยอดอาเซียนสมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ให้สมาชิกหารือแนวทางการรักษาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิตโลก เพื่อให้การค้าเดินหน้าต่อไปได้ และการเคลื่อนย้ายสินค้าจําเป็นราบรื่น เนื่องจากที่ผ่านมา หลายประเทศนํามาตรการจํากัดการค้ามาใช้จากความจําเป็นด้านสาธารณสุข ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตสินค้าและเศรษฐกิจของภูมิภาค นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้มาตรการทางการค้า และแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศในการรับมือกับโควิด-19 เพื่อให้อาเซียนพร้อมรองรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สําหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) จะมีการหารือแนวทางรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตินี้เช่นกัน ทั้งนี้ อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2562 มีมูลค่าการค้ารวม 107,928 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 62,904 ล้านเหรียญสหรัฐ และนําเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45,024 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเกินดุล 17,880 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนําเข้าสําคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในขณะที่การค้าระหว่างไทยกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มีมูลค่า 79,500 ล้านเหรียญสหรัฐ 57,780 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 13,367 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลําดับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31801
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือน ก.ย. และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดยภาคใต้ และ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ และ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ และกทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในจังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และกระบี่ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.7 และ 12.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการท่องเที่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ที่ยังคงขยายตัวจากผลผลิตยางพารา และกุ้ง เป็นสําคัญ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 (เบื้องต้น) อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายนขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ต่อปี เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวที่ร้อยละ 31.8 ต่อปี ตามการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนครปฐม และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.6 และ 13.6 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.3 และ 13.3 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตข้าวเปลือก สุกร และไก่เนื้อ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคในจังหวัดที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็นต้น ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 7.1 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 14.3 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาส 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 13.1 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ระดับ 97.7 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี โดยเฉพาะในจังหวัดกําแพงเพชร เพชรบูรณ์ และตาก เป็นต้น ส่งผลให้ใน ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.7 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.3 และ 7.9 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 3.1 และ 8.4 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันที่ระดับ 75.2 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายนขยายตัวที่ร้อยละ 7.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 7.1 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 4.8 และ 7.9 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในจังหวัดราชบุรี และสมุทรสงคราม สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตข้าวเปลือก มันสําปะหลัง และปศุสัตว์ เป็นต้น สําหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับจากการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 487.1 ต่อปี ตามการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสระบุรี เป็นสําคัญ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 223.3 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.9 และ 9.5 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 8.5 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ระดับ 89.4 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมอลูมิเนียม เป็นต้น สําหรับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สะท้อนเครื่องชี้ด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร จากเม็ดเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ปี 60 ขยายตัวร้อยละ 18.5 ต่อปี โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น มุกดาหาร อุบลราชธานี และอุดรธานี เป็นสําคัญ สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.1 และ 7.6 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 2.5 และ 7.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันที่ระดับ 80.3 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ําตาล ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคในภูมิภาคร้อยละ 2.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือน ก.ย. และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดยภาคใต้ และ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ และ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ และกทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในจังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และกระบี่ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.7 และ 12.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการท่องเที่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ที่ยังคงขยายตัวจากผลผลิตยางพารา และกุ้ง เป็นสําคัญ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 (เบื้องต้น) อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายนขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ต่อปี เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวที่ร้อยละ 31.8 ต่อปี ตามการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนครปฐม และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.6 และ 13.6 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.3 และ 13.3 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตข้าวเปลือก สุกร และไก่เนื้อ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคในจังหวัดที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็นต้น ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 7.1 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 14.3 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาส 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 13.1 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ระดับ 97.7 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี โดยเฉพาะในจังหวัดกําแพงเพชร เพชรบูรณ์ และตาก เป็นต้น ส่งผลให้ใน ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.7 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.3 และ 7.9 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 3.1 และ 8.4 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันที่ระดับ 75.2 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายนขยายตัวที่ร้อยละ 7.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 7.1 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 4.8 และ 7.9 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในจังหวัดราชบุรี และสมุทรสงคราม สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตข้าวเปลือก มันสําปะหลัง และปศุสัตว์ เป็นต้น สําหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับจากการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 487.1 ต่อปี ตามการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสระบุรี เป็นสําคัญ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 223.3 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.9 และ 9.5 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 8.5 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ระดับ 89.4 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมอลูมิเนียม เป็นต้น สําหรับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สะท้อนเครื่องชี้ด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร จากเม็ดเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ปี 60 ขยายตัวร้อยละ 18.5 ต่อปี โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น มุกดาหาร อุบลราชธานี และอุดรธานี เป็นสําคัญ สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนสิงหาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.1 และ 7.6 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ขยายตัวร้อยละ 2.5 และ 7.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันที่ระดับ 80.3 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ําตาล ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคในภูมิภาคร้อยละ 2.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จำนวน 98 ครัวเรือน
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จํานวน 98 ครัวเรือน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จํานวน 98 ครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนบุกรุกคลองและป้องกันน้ําท่วมอย่างยั่งยืน วันนี้ (28 ก.ย.) เวลา 10.00 น.พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อทําพิธีส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ"ปทุมธานีโมเดล”จํานวน 98 ครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนบุกรุกคลองและป้องกันน้ําท่วมอย่างยั่งยืน โดยมี นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายสมชาติ ภาระสุวรรณ รักษาการผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 300 คน ณ ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาประชาชนปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ําลําน้ําสาธารณะในจังหวัดปทุมธานี โดยเฉพาะที่บริเวณคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีชาวบ้านปลูกบ้านเรือนรุกล้ําลําคลองและกีดขวางทางเดินน้ํามานานหลายสิบปี เป็นจํานวน 16 ชุมชน รวม 1,084 ครัวเรือน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จัดทําแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากพื้นที่ริมคลอง โดยการจัดหาที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสําคัญ ทั้งนี้ ชุมชนแก้วนิมิต (ชื่อเดิม) หรือชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี เป็นชุมชนแรกที่ชาวชุมชนได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ ด้วยการออมเงินร่วมกันเป็นรายเดือน เพื่อซื้อที่ดินจํานวน 5 ไร่ โดยชาวชุมชนได้ร่วมกับสถาปนิกชุมชน ร่วมกันออกแบบบ้าน และบริหารโครงการเอง จนขณะนี้ การก่อสร้างบ้านใหม่จํานวน 98 หลังคาเรือน จนเสร็จสมบูรณ์ ทําให้ชาวชุมชนมีบ้านใหม่ที่มั่นคง สวยงาม และมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งที่ดินใหม่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากที่เดิมเพียง 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้การสนับสนุนชาวชุมชนพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย พอช. ได้ดําเนินการสนับสนุนให้ชาวชุมชนรวมกลุ่มกัน เพื่อบริหารจัดการซื้อที่ดินและที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่ง พอช. ได้สนับสนุนงบประมาณการสร้างบ้านใหม่ แบ่งออกเป็น 1) งบพัฒนาระบบสาธารณูปโภค 5 ล้านบาท 2) งบอุดหนุนที่อยู่อาศัย 2.5 ล้านบาท 3) งบบริหารจัดการ 125,000 บาท และ 4) สินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยรวม 32.4 ล้านบาทเศษ กําหนดระยะผ่อนชําระคืน 15 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี เมื่อผ่อนส่งหมด จะเป็นกรรมสิทธิ์ให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป สําหรับแบบบ้าน มีทั้งสิ้น 3 แบบ คือ 1) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 56 ตารางเมตร 2) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 63 ตารางเมตร และ 3) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 77 ตารางเมตร โดยมีราคาก่อสร้างพร้อมที่ดิน ต่อหลังประมาณ 272,000 - 295,000 บาท กําหนดระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี ด้วนอัตราผ่อนส่งเดือนละ 2,500-3,000 บาท พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่ชาวชุมชนเข้าอยู่อาศัยในชุมชนใหม่แล้ว ทางจังหวัดปทุมธานี จะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ริมคลอง เพื่อไม่ให้กีดขวางทางระบายน้ํา รวมทั้งขุดลอกคลอง พร้อมกําจัดขยะและผักตบชวา เพื่อให้น้ําสามารถไหลได้สะดวก เป็นการป้องกันน้ําท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม ที่ผ่านมา จังหวัดปทุมธานี ได้จัดทําโครงการ "บ้านประชารัฐร่วมใจ เดินหน้าคืนคลองน้ําใสให้แผ่นดิน” โดยได้รื้อบ้านออกจากริมคลองหนึ่งไปแล้วกว่า 100 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 13 ชุมชน รวม 922 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะทยอยดําเนินการต่อไป สําหรับประชาชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนบุกรุกพื้นที่ริมคลองและยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ทางจังหวัดจะชี้แจงและเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ชาวบ้านได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงและถูกต้อง ตามกฎหมายต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการสร้างบ้านใหม่ที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคีแล้ว กระทรวง พม. โดย พอช. ยังไห้การสนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่บนที่ดินราชพัสดุเนื้อที่ 30 ไร่ บริเวณคลองเชียงรากใหญ่ (ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต) ซึ่งเดิมที่ดินแปลงนี้เป็นพื้นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อํานาจตามมาตรา 44 ออกคําสั่งเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 ให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินราชพัสดุ (กรมธนารักษ์ เป็นผู้ดูแล) เพื่อใช้สร้างที่อยู่อาศัยรองรับชาวบ้านที่ต้องรื้อย้ายออกจากพื้นที่ริมคลองหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างก่อสร้างเฟสแรก 1 อาคาร จํานวน 23 ครัวเรือน ในรูปแบบเป็นอาคารสูง 3 ชั้น รวมทั้งหมด 12 อาคาร สามารถรองรับชาวบ้านได้รวม 463 ครัวเรือน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จำนวน 98 ครัวเรือน วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จํานวน 98 ครัวเรือน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จํานวน 98 ครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนบุกรุกคลองและป้องกันน้ําท่วมอย่างยั่งยืน วันนี้ (28 ก.ย.) เวลา 10.00 น.พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อทําพิธีส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ"ปทุมธานีโมเดล”จํานวน 98 ครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนบุกรุกคลองและป้องกันน้ําท่วมอย่างยั่งยืน โดยมี นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายสมชาติ ภาระสุวรรณ รักษาการผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 300 คน ณ ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาประชาชนปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ําลําน้ําสาธารณะในจังหวัดปทุมธานี โดยเฉพาะที่บริเวณคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีชาวบ้านปลูกบ้านเรือนรุกล้ําลําคลองและกีดขวางทางเดินน้ํามานานหลายสิบปี เป็นจํานวน 16 ชุมชน รวม 1,084 ครัวเรือน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จัดทําแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากพื้นที่ริมคลอง โดยการจัดหาที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสําคัญ ทั้งนี้ ชุมชนแก้วนิมิต (ชื่อเดิม) หรือชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี เป็นชุมชนแรกที่ชาวชุมชนได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ ด้วยการออมเงินร่วมกันเป็นรายเดือน เพื่อซื้อที่ดินจํานวน 5 ไร่ โดยชาวชุมชนได้ร่วมกับสถาปนิกชุมชน ร่วมกันออกแบบบ้าน และบริหารโครงการเอง จนขณะนี้ การก่อสร้างบ้านใหม่จํานวน 98 หลังคาเรือน จนเสร็จสมบูรณ์ ทําให้ชาวชุมชนมีบ้านใหม่ที่มั่นคง สวยงาม และมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งที่ดินใหม่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากที่เดิมเพียง 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้การสนับสนุนชาวชุมชนพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย พอช. ได้ดําเนินการสนับสนุนให้ชาวชุมชนรวมกลุ่มกัน เพื่อบริหารจัดการซื้อที่ดินและที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่ง พอช. ได้สนับสนุนงบประมาณการสร้างบ้านใหม่ แบ่งออกเป็น 1) งบพัฒนาระบบสาธารณูปโภค 5 ล้านบาท 2) งบอุดหนุนที่อยู่อาศัย 2.5 ล้านบาท 3) งบบริหารจัดการ 125,000 บาท และ 4) สินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยรวม 32.4 ล้านบาทเศษ กําหนดระยะผ่อนชําระคืน 15 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี เมื่อผ่อนส่งหมด จะเป็นกรรมสิทธิ์ให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป สําหรับแบบบ้าน มีทั้งสิ้น 3 แบบ คือ 1) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 56 ตารางเมตร 2) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 63 ตารางเมตร และ 3) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 77 ตารางเมตร โดยมีราคาก่อสร้างพร้อมที่ดิน ต่อหลังประมาณ 272,000 - 295,000 บาท กําหนดระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี ด้วนอัตราผ่อนส่งเดือนละ 2,500-3,000 บาท พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่ชาวชุมชนเข้าอยู่อาศัยในชุมชนใหม่แล้ว ทางจังหวัดปทุมธานี จะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ริมคลอง เพื่อไม่ให้กีดขวางทางระบายน้ํา รวมทั้งขุดลอกคลอง พร้อมกําจัดขยะและผักตบชวา เพื่อให้น้ําสามารถไหลได้สะดวก เป็นการป้องกันน้ําท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม ที่ผ่านมา จังหวัดปทุมธานี ได้จัดทําโครงการ "บ้านประชารัฐร่วมใจ เดินหน้าคืนคลองน้ําใสให้แผ่นดิน” โดยได้รื้อบ้านออกจากริมคลองหนึ่งไปแล้วกว่า 100 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 13 ชุมชน รวม 922 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะทยอยดําเนินการต่อไป สําหรับประชาชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนบุกรุกพื้นที่ริมคลองและยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ทางจังหวัดจะชี้แจงและเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ชาวบ้านได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงและถูกต้อง ตามกฎหมายต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการสร้างบ้านใหม่ที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคีแล้ว กระทรวง พม. โดย พอช. ยังไห้การสนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่บนที่ดินราชพัสดุเนื้อที่ 30 ไร่ บริเวณคลองเชียงรากใหญ่ (ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต) ซึ่งเดิมที่ดินแปลงนี้เป็นพื้นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อํานาจตามมาตรา 44 ออกคําสั่งเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 ให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินราชพัสดุ (กรมธนารักษ์ เป็นผู้ดูแล) เพื่อใช้สร้างที่อยู่อาศัยรองรับชาวบ้านที่ต้องรื้อย้ายออกจากพื้นที่ริมคลองหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างก่อสร้างเฟสแรก 1 อาคาร จํานวน 23 ครัวเรือน ในรูปแบบเป็นอาคารสูง 3 ชั้น รวมทั้งหมด 12 อาคาร สามารถรองรับชาวบ้านได้รวม 463 ครัวเรือน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยัน “โครงการกำลังใจ จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ” ดำเนินการอย่างรัดกุม
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยัน “โครงการกําลังใจ จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ” ดําเนินการอย่างรัดกุม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยัน “โครงการกําลังใจ จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ” ดําเนินการอย่างรัดกุม วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชี้แจงข้อวิจารณ์ “โครงการกําลังใจ” จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจให้แก่บุคลากรสมาชิก อสม. รพ.สต. และ อสส.ที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการทํางานของทีมแพทย์ พยาบาล ยกระดับงานสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการเดินทางจากภาครัฐโดยตรง ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยาผู้ประกอบการและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบให้สามารถประคองธุรกิจและประกอบอาชีพได้ โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณสําหรับการศึกษาดูงาน (2 วัน 1 คืน) คนละ 2,000 บาท เดินทางโดยใช้บริการของบริษัทนําเที่ยวในประเทศที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นผู้ประกอบการนําเที่ยวที่แท้จริง และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดช่องโหว่ในกรณีที่จะมีหน่วยงานในระดับตําบลหรือจังหวัด หรือในท้องถิ่นตั้งบริษัทนําเที่ยว เป็นการเฉพาะ เพื่อแสวงหาประโยชน์ในโครงการนี้ ทั้งนี้ ททท. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ได้ประชุมรับฟังและวางแผนงานกับกลุ่มผู้ประกอบการ ทั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ ในหลายๆ วาระ เพื่อกําหนดคุณภาพ มาตรฐานการบริการ การตรวจสอบการเดินทางจริงให้รัดกุมที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรวบรวมบุคลากรไปยังธุรกิจรายใดรายหนึ่ง ได้มีข้อตกลงที่จะร่วมกันกําหนดจํานวนบุคลากรมากสุด ที่แต่ละบริษัทจะสามารถรับไปดําเนินการได้ แต่ต้องไม่เกินจํานวนดังกล่าว เพื่อให้เกิดการกระจายโอกาสอย่างแท้จริงอีกประการหนึ่งด้วย ในส่วนของการดําเนินการ มีรายละเอียด ดังนี้ - ขั้นตอนแรก บริษัทนําเที่ยวจะต้องจดทะเบียนผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2563 เท่านั้น เพราะเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์จริง ไม่สามารถจัดตั้งบริษัทใหม่มาผูกขาดได้ - ขั้นตอนที่สอง บุคลากร อสม. รพ.สต. อสส. ต้องเปิดแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันเดินทางกับแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ของบริษัทนําเที่ยว เพื่อยืนยันตัวตนและการเดินทางจะใช้ระบบสแกนแอปพลิเคชั่นของธนาคารกรุงไทยทุกคน โดยไม่ได้ใช้เพียงบัตรหรือรายชื่อเท่านั้น - สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวพิจารณาตรวจสอบคุณภาพของรายการนําเที่ยว ทั้งนี้ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว บริษัทไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงรายการนําเที่ยวได้ - เมื่อรายการนําเที่ยวผ่านการตรวจสอบ และบริษัทลงทะเบียนแอปพลิเคชั่นถุงเงินเรียบร้อยแล้ว จึงจะนํารายการนําเที่ยวขึ้นเสนอใน www.เที่ยวปันสุข.ไทย ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2563 - ในช่วงวันที่เดินทางจริง (ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2563) บริษัทนําเที่ยวจะต้องใช้แอปพลิเคชั่นถุงเงิน สแกน QR Code ของแอปพลิเคชั่นเป๋าตังของคณะเดินทางทุกคน (อสม. รพ.สต. และ อสส.) เพื่อยืนยันพิกัดการเดินทาง จํานวน 2 ครั้ง ในวันแรกและวันที่สอง และใช้เป็นหลักฐานสําคัญประกอบการเบิกค่าใช้จ่าย - บริษัทนําเที่ยวจะต้องเก็บหลักฐานการเดินทางของคณะ ในรูปแบบเอกสาร เป็นระยะเวลา 1 ปี และสามารถนํามาแสดงในกรณีที่ต้องรับการตรวจสอบเพิ่มเติมได้ อาทิ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนําเที่ยว รายการนําเที่ยว ไม่น้อยกว่า 2 วัน 1 คืน รายชื่อผู้เข้าพักรับรองโดยทางโรงแรม ประกันอุบัติเหตุและภาพถ่ายหมู่ของคณะทุกคน จํานวน 4 ภาพ ....................................................................................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยัน “โครงการกำลังใจ จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ” ดำเนินการอย่างรัดกุม วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยัน “โครงการกําลังใจ จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ” ดําเนินการอย่างรัดกุม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยัน “โครงการกําลังใจ จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ” ดําเนินการอย่างรัดกุม วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชี้แจงข้อวิจารณ์ “โครงการกําลังใจ” จากงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจให้แก่บุคลากรสมาชิก อสม. รพ.สต. และ อสส.ที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการทํางานของทีมแพทย์ พยาบาล ยกระดับงานสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการเดินทางจากภาครัฐโดยตรง ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยาผู้ประกอบการและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบให้สามารถประคองธุรกิจและประกอบอาชีพได้ โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณสําหรับการศึกษาดูงาน (2 วัน 1 คืน) คนละ 2,000 บาท เดินทางโดยใช้บริการของบริษัทนําเที่ยวในประเทศที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นผู้ประกอบการนําเที่ยวที่แท้จริง และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดช่องโหว่ในกรณีที่จะมีหน่วยงานในระดับตําบลหรือจังหวัด หรือในท้องถิ่นตั้งบริษัทนําเที่ยว เป็นการเฉพาะ เพื่อแสวงหาประโยชน์ในโครงการนี้ ทั้งนี้ ททท. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ได้ประชุมรับฟังและวางแผนงานกับกลุ่มผู้ประกอบการ ทั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ ในหลายๆ วาระ เพื่อกําหนดคุณภาพ มาตรฐานการบริการ การตรวจสอบการเดินทางจริงให้รัดกุมที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรวบรวมบุคลากรไปยังธุรกิจรายใดรายหนึ่ง ได้มีข้อตกลงที่จะร่วมกันกําหนดจํานวนบุคลากรมากสุด ที่แต่ละบริษัทจะสามารถรับไปดําเนินการได้ แต่ต้องไม่เกินจํานวนดังกล่าว เพื่อให้เกิดการกระจายโอกาสอย่างแท้จริงอีกประการหนึ่งด้วย ในส่วนของการดําเนินการ มีรายละเอียด ดังนี้ - ขั้นตอนแรก บริษัทนําเที่ยวจะต้องจดทะเบียนผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2563 เท่านั้น เพราะเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์จริง ไม่สามารถจัดตั้งบริษัทใหม่มาผูกขาดได้ - ขั้นตอนที่สอง บุคลากร อสม. รพ.สต. อสส. ต้องเปิดแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันเดินทางกับแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ของบริษัทนําเที่ยว เพื่อยืนยันตัวตนและการเดินทางจะใช้ระบบสแกนแอปพลิเคชั่นของธนาคารกรุงไทยทุกคน โดยไม่ได้ใช้เพียงบัตรหรือรายชื่อเท่านั้น - สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวพิจารณาตรวจสอบคุณภาพของรายการนําเที่ยว ทั้งนี้ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว บริษัทไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงรายการนําเที่ยวได้ - เมื่อรายการนําเที่ยวผ่านการตรวจสอบ และบริษัทลงทะเบียนแอปพลิเคชั่นถุงเงินเรียบร้อยแล้ว จึงจะนํารายการนําเที่ยวขึ้นเสนอใน www.เที่ยวปันสุข.ไทย ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2563 - ในช่วงวันที่เดินทางจริง (ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2563) บริษัทนําเที่ยวจะต้องใช้แอปพลิเคชั่นถุงเงิน สแกน QR Code ของแอปพลิเคชั่นเป๋าตังของคณะเดินทางทุกคน (อสม. รพ.สต. และ อสส.) เพื่อยืนยันพิกัดการเดินทาง จํานวน 2 ครั้ง ในวันแรกและวันที่สอง และใช้เป็นหลักฐานสําคัญประกอบการเบิกค่าใช้จ่าย - บริษัทนําเที่ยวจะต้องเก็บหลักฐานการเดินทางของคณะ ในรูปแบบเอกสาร เป็นระยะเวลา 1 ปี และสามารถนํามาแสดงในกรณีที่ต้องรับการตรวจสอบเพิ่มเติมได้ อาทิ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนําเที่ยว รายการนําเที่ยว ไม่น้อยกว่า 2 วัน 1 คืน รายชื่อผู้เข้าพักรับรองโดยทางโรงแรม ประกันอุบัติเหตุและภาพถ่ายหมู่ของคณะทุกคน จํานวน 4 ภาพ ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ “ประภัตร” ปลื้ม ต่างประเทศสนใจถั่วเขียวในไทย เ
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ “ประภัตร” ปลื้ม ต่างประเทศสนใจถั่วเขียวในไทย เ รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ “ประภัตร” ปลื้ม ต่างประเทศสนใจถั่วเขียวในไทย เล็งปลูกทดแทน ข้าว-ข้าวโพด ลดปัญหาการเผาไหม้ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนา Agri Forum 2019 เกษตรปลอดการเผา ภายใต้แนวคิด “The World of Unburnt Farm” จัดโดย บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จํากัด ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมการข้าว กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สํานักคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรว่า งานในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องการเห็นอนาคตของประเทศไทยมีนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาบูรณาการให้เกิดการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนโดยผนึกพลังความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานมาร่วมมือสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้านการเกษตรพร้อมทั้งสนับสนุนให้พื้นที่ทําการเกษตรเป็นเกษตรปลอดการเผาทั่วทั้งประเทศโดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดําเนินงานตามนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตรสู่เกษตร 4.0 ของภาครัฐมาโดยตลอดทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับบริบทของโลกและยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกรให้ดีขึ้นโดยการให้ความสําคัญและเร่งรัดแก้ปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรโดยกระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่หลักในการควบคุมไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่การเกษตรมาโดยตลอด และเพื่อให้เกษตรกรตระหนักถึงการมีส่วนร่วมสามารถนําไปปรับใช้ในการทําการเกษตรของตนเองและเผยแพร่ไปยังชุมชนท้องถิ่นของตนเองตามเป้าหมายของโครงการเกษตรปลอดการเผา หรือ Zero Burn นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยเคยประสบกับปัญหาวิกฤติฝุ่น pm2.5 เมื่อช่วงต้นปี 2561 สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเผาพืชไร่ อาทิ ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง แต่ขณะนี้ปริมาณการเผาลดลงไปมาก เนื่องจากพืชทางการเกษตรสามารถนํามาขายเพิ่มมูลค่าได้ เช่น ฟางข้าวอัดก้อน 33 บาท และใบอ้อย 1,000 บาท/ตัน อย่างไรก็ตามบริเวณภาคเหนือบนดอยยังมีการเผาอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงหาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาลดการเผาให้น้อยลง คือ การปลูกพืชทดแทน ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการประเทศสหรัฐอเมริกาให้ความสนใจถั่วเขียวจํานวนมาก เนื่องจากชาวอเมริกันเริ่มไม่นิยมกินเนื้อสัตว์แต่หันมาบริโภคโปรตีนจากถั่วแทน ดังนั้นจึงเป็นการนําหลักแนวคิดตลาดนําการผลิตมาใช้ เบื้องต้นได้เจรจาพร้อมที่จะรับซื้อ 1 แสนตัน ใน 1 ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตรยังขาดเมล็ดพันธุ์ที่จะนํามาเพาะปลูก ทางผู้ประกอบการยินดีที่สนับสนุนเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ให้ ซึ่งวันนี้ทางกรมวิชาการเกษตรจะมีการประชุมเพื่อสรุปการตกลงซื้อขายปริมาณการนําเข้าเมล็ดพันธุ์อีกครั้ง “ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อย 10 ล้านไร่ ข้าว 40 ล้านไร่ โดยถั่วเขียวเป็นพืชที่ปลูกได้ทั้งปี เพราะใช้น้ําน้อย เดิมไม่มีตลาดรับซื้อ แต่วันนี้มีผู้ประกอบการต่างประเทศสนใจเข้ามารับซื้อความต้องการ 5 ล้านไร่ หรือประมาณ 1 แสนตันต่อปี จึงควรจะพัฒนาให้เกิดเป็นแปลงใหญ่เพื่อลดต้นทุน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้วงเงิน 1,000 ล้านบาท ระยะเวลาค้ําประกัน 5 ปี วิธีเหล่านี้จะทําให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกแบบเดิมได้ ราคาสินค้าก็ดีขึ้น การปลูกอ้อย ข้าว ก็ลดพื้นที่ลง การเผาไหม้ก็หมดไป หากเราผลิตสินค้าตรงตามความต้องการของตลาดได้ ซึ่งก็มีเงื่อนไขการรับซื้อ คือ ดินต้องมีคุณภาพดี ซึ่งต่างชาติให้ความเชื่อมั่นดินในประเทศไทย เนื่องจากพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ 9ทรงเป็นจอมปราชญ์แห่งดิน อีกทั้งวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ยังเป็นวันดินโลกอีกด้วยนั้น จึงเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก” นายประภัตร กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ “ประภัตร” ปลื้ม ต่างประเทศสนใจถั่วเขียวในไทย เ วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ “ประภัตร” ปลื้ม ต่างประเทศสนใจถั่วเขียวในไทย เ รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ “ประภัตร” ปลื้ม ต่างประเทศสนใจถั่วเขียวในไทย เล็งปลูกทดแทน ข้าว-ข้าวโพด ลดปัญหาการเผาไหม้ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนา Agri Forum 2019 เกษตรปลอดการเผา ภายใต้แนวคิด “The World of Unburnt Farm” จัดโดย บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จํากัด ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมการข้าว กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สํานักคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรว่า งานในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องการเห็นอนาคตของประเทศไทยมีนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาบูรณาการให้เกิดการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนโดยผนึกพลังความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานมาร่วมมือสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้านการเกษตรพร้อมทั้งสนับสนุนให้พื้นที่ทําการเกษตรเป็นเกษตรปลอดการเผาทั่วทั้งประเทศโดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดําเนินงานตามนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตรสู่เกษตร 4.0 ของภาครัฐมาโดยตลอดทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับบริบทของโลกและยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกรให้ดีขึ้นโดยการให้ความสําคัญและเร่งรัดแก้ปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรโดยกระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่หลักในการควบคุมไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่การเกษตรมาโดยตลอด และเพื่อให้เกษตรกรตระหนักถึงการมีส่วนร่วมสามารถนําไปปรับใช้ในการทําการเกษตรของตนเองและเผยแพร่ไปยังชุมชนท้องถิ่นของตนเองตามเป้าหมายของโครงการเกษตรปลอดการเผา หรือ Zero Burn นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยเคยประสบกับปัญหาวิกฤติฝุ่น pm2.5 เมื่อช่วงต้นปี 2561 สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเผาพืชไร่ อาทิ ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง แต่ขณะนี้ปริมาณการเผาลดลงไปมาก เนื่องจากพืชทางการเกษตรสามารถนํามาขายเพิ่มมูลค่าได้ เช่น ฟางข้าวอัดก้อน 33 บาท และใบอ้อย 1,000 บาท/ตัน อย่างไรก็ตามบริเวณภาคเหนือบนดอยยังมีการเผาอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงหาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาลดการเผาให้น้อยลง คือ การปลูกพืชทดแทน ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการประเทศสหรัฐอเมริกาให้ความสนใจถั่วเขียวจํานวนมาก เนื่องจากชาวอเมริกันเริ่มไม่นิยมกินเนื้อสัตว์แต่หันมาบริโภคโปรตีนจากถั่วแทน ดังนั้นจึงเป็นการนําหลักแนวคิดตลาดนําการผลิตมาใช้ เบื้องต้นได้เจรจาพร้อมที่จะรับซื้อ 1 แสนตัน ใน 1 ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตรยังขาดเมล็ดพันธุ์ที่จะนํามาเพาะปลูก ทางผู้ประกอบการยินดีที่สนับสนุนเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ให้ ซึ่งวันนี้ทางกรมวิชาการเกษตรจะมีการประชุมเพื่อสรุปการตกลงซื้อขายปริมาณการนําเข้าเมล็ดพันธุ์อีกครั้ง “ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อย 10 ล้านไร่ ข้าว 40 ล้านไร่ โดยถั่วเขียวเป็นพืชที่ปลูกได้ทั้งปี เพราะใช้น้ําน้อย เดิมไม่มีตลาดรับซื้อ แต่วันนี้มีผู้ประกอบการต่างประเทศสนใจเข้ามารับซื้อความต้องการ 5 ล้านไร่ หรือประมาณ 1 แสนตันต่อปี จึงควรจะพัฒนาให้เกิดเป็นแปลงใหญ่เพื่อลดต้นทุน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้วงเงิน 1,000 ล้านบาท ระยะเวลาค้ําประกัน 5 ปี วิธีเหล่านี้จะทําให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกแบบเดิมได้ ราคาสินค้าก็ดีขึ้น การปลูกอ้อย ข้าว ก็ลดพื้นที่ลง การเผาไหม้ก็หมดไป หากเราผลิตสินค้าตรงตามความต้องการของตลาดได้ ซึ่งก็มีเงื่อนไขการรับซื้อ คือ ดินต้องมีคุณภาพดี ซึ่งต่างชาติให้ความเชื่อมั่นดินในประเทศไทย เนื่องจากพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ 9ทรงเป็นจอมปราชญ์แห่งดิน อีกทั้งวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ยังเป็นวันดินโลกอีกด้วยนั้น จึงเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก” นายประภัตร กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 รองปลัดฯ คนเก่ง รับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 2 รองปลัดฯ คนเก่ง รับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมรับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 ณ ห้อง Somerset Ballroom โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ 27 กุมภาพันธ์ 2563 – นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีปิดการฝึกอบรมและรับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 จาก นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ณ ห้อง Somerset Ballroom โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ หลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา วัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐให้มีการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ร่วมกันจนสามารถวางแผนการเสนอร่างกฎหมายได้อย่างเป็นระบบ อันเป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ผลักดันนโยบายของรัฐบาล สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 รองปลัดฯ คนเก่ง รับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 2 รองปลัดฯ คนเก่ง รับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมรับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 ณ ห้อง Somerset Ballroom โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ 27 กุมภาพันธ์ 2563 – นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีปิดการฝึกอบรมและรับมอบประกาศนียบัตรหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 8 จาก นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ณ ห้อง Somerset Ballroom โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ หลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา วัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐให้มีการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ร่วมกันจนสามารถวางแผนการเสนอร่างกฎหมายได้อย่างเป็นระบบ อันเป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ผลักดันนโยบายของรัฐบาล สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26824
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมกราคม 2563
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนมกราคม 2563 “ดัชนี RSI เดือนมกราคม 2563 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ ภาคตะวันออก โดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมกราคม 2563 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก โดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการบริการและการจ้างงานของ กทม. และปริมณฑล” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 62.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายการส่งเสริมการเกษตรของรัฐบาลทําให้มีความเชื่อมั่นในภาคเกษตรกรรมสูงขึ้น และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขนส่งและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของรัฐบาล ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคบริการสูงขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 62.9 สะท้อนถึงการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เนื่องจากตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีความต้องการสินค้า อีกทั้งยังมีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เป็นบวกจากนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในส่วนของภาคบริการ ได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว และเป็นฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรหลักที่สําคัญ เช่น ทุเรียนและมังคุด ซึ่งสอดคล้องกับการสนับสนุนของรัฐบาลในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของภาคตะวันออก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ 58.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการเป็นหลัก โดยคาดว่าภาคเกษตรจะขยายตัวจากนโยบายที่รัฐบาลเริ่มดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกร และสนับสนุนการใช้ยางพาราสําหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รวมถึงมาตรการในการใช้น้ํามัน B10 เพื่อกระตุ้นการใช้ปาล์มน้ํามันอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาคบริการจะขยายตัวจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มีการประชาสัมพันธ์แนะนําสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของดีสินค้าเด่นประจําจังหวัด และการยกระดับมาตรฐานการบริการและมาตรฐานความปลอดภัยด้านต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตราวีซ่าเพื่อเข้าประเทศ (Visa On Arrival) ที่มีส่วนทําให้นักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย และไต้หวัน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 54.2 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนในภาคการบริการและภาคการลงทุน จากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 54.0 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการเป็นหลัก ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรตลอดจนการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพมาตรฐาน และการดําเนินนโยบายด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และมีการยกระดับมาตรฐานการบริการและมาตรฐานความปลอดภัยด้านต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ ภาคกลาง อยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ 50.4 สะท้อนการคาดการณ์เศรษฐกิจที่จะขยายตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการและภาคการลงทุนตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและสภาวะทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล ส่งสัญญาณภาวะเศรษฐกิจทรงตัวอยู่ที่ระดับ 49.8 ซึ่งควรติดตามสถานการณ์ด้านการจ้างงานและการลงทุน ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนมกราคม 2563) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 49.8 62.9 62.9 58.9 50.4 54.2 54.0 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 58.6 56.9 69.7 61.1 45.2 50.2 61.9 2) ภาคอุตสาหกรรม 52.3 71.7 59.5 53.8 48.1 52.9 54.5 3) ภาคบริการ 47.6 63.6 66.9 66.1 59.2 62.0 55.9 4) ภาคการจ้างงาน 44.9 60.4 61.5 56.9 48.1 51.8 48.2 5) ภาคการลงทุน 45.6 61.9 57.1 56.6 51.3 54.3 50.0 สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมกราคม 2563 วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนมกราคม 2563 “ดัชนี RSI เดือนมกราคม 2563 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ ภาคตะวันออก โดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมกราคม 2563 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก โดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการบริการและการจ้างงานของ กทม. และปริมณฑล” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 62.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายการส่งเสริมการเกษตรของรัฐบาลทําให้มีความเชื่อมั่นในภาคเกษตรกรรมสูงขึ้น และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขนส่งและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของรัฐบาล ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคบริการสูงขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 62.9 สะท้อนถึงการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เนื่องจากตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีความต้องการสินค้า อีกทั้งยังมีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เป็นบวกจากนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในส่วนของภาคบริการ ได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว และเป็นฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรหลักที่สําคัญ เช่น ทุเรียนและมังคุด ซึ่งสอดคล้องกับการสนับสนุนของรัฐบาลในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของภาคตะวันออก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ 58.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการเป็นหลัก โดยคาดว่าภาคเกษตรจะขยายตัวจากนโยบายที่รัฐบาลเริ่มดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกร และสนับสนุนการใช้ยางพาราสําหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รวมถึงมาตรการในการใช้น้ํามัน B10 เพื่อกระตุ้นการใช้ปาล์มน้ํามันอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาคบริการจะขยายตัวจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มีการประชาสัมพันธ์แนะนําสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของดีสินค้าเด่นประจําจังหวัด และการยกระดับมาตรฐานการบริการและมาตรฐานความปลอดภัยด้านต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตราวีซ่าเพื่อเข้าประเทศ (Visa On Arrival) ที่มีส่วนทําให้นักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย และไต้หวัน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 54.2 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนในภาคการบริการและภาคการลงทุน จากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 54.0 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการเป็นหลัก ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรตลอดจนการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพมาตรฐาน และการดําเนินนโยบายด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และมีการยกระดับมาตรฐานการบริการและมาตรฐานความปลอดภัยด้านต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ ภาคกลาง อยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ 50.4 สะท้อนการคาดการณ์เศรษฐกิจที่จะขยายตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการและภาคการลงทุนตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและสภาวะทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล ส่งสัญญาณภาวะเศรษฐกิจทรงตัวอยู่ที่ระดับ 49.8 ซึ่งควรติดตามสถานการณ์ด้านการจ้างงานและการลงทุน ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนมกราคม 2563) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 49.8 62.9 62.9 58.9 50.4 54.2 54.0 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 58.6 56.9 69.7 61.1 45.2 50.2 61.9 2) ภาคอุตสาหกรรม 52.3 71.7 59.5 53.8 48.1 52.9 54.5 3) ภาคบริการ 47.6 63.6 66.9 66.1 59.2 62.0 55.9 4) ภาคการจ้างงาน 44.9 60.4 61.5 56.9 48.1 51.8 48.2 5) ภาคการลงทุน 45.6 61.9 57.1 56.6 51.3 54.3 50.0 สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3223
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกันยายน 2562
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนกันยายน 2562 “ดัชนี RSI เดือนกันยายน 2562 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการเกษตรของภาคกลาง” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกันยายน 2562 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจ รายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการเกษตรของภาคกลาง” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 72.1 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยใน 6 เดือนข้างหน้า จะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น แต่ในบางจังหวัด ผู้ประกอบการคาดการณ์ว่าการส่งออกอาจจะยังไม่ฟื้นตัวจากสงครามการค้า สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 67.4 สื่อถึงการคาดการณ์เศรษฐกิจที่จะขยายตัวโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เนื่องจากคาดว่านโยบายรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนการผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว ทําให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ในบางจังหวัดยังมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 65.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมและบริการ โดยคาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการเร่งดําเนินโครงการ EEC ประกอบกับมีการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยคาดว่าโครงการชิม ช้อป ใช้ จะส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวอย่างมาก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนือ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 65.2 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการและภาคการจ้างงานเป็นหลัก ในส่วนของภาคบริการ เป็นผลมาจากการสนับสนุนของรัฐบาลในการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการจ้างงาน ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่การจ้างงานในภาคบริการมีการขยายตัวทั้งจากภาคการบริการด้านสุขภาพ ภาคธุรกิจขายปลีกและขายส่ง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการสนับสนุนการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ซึ่งจะทําให้เกิดการจ้างงาน เพิ่มมากขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ 60.8 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการเป็นหลัก โดยคาดว่าภาคบริการจะขยายตัวจากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว ส่วนภาคเกษตรคาดว่าจะเป็นผลมาจากการขยายตัวของผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวนาปี มันสําปะหลัง สุกร น้ํานมดิบ และกุ้งขาวแวนนาไม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาตามความต้องการของตลาดและการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตร สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ 60.5 สื่อถึงการคาดการณ์เศรษฐกิจที่จะขยายตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ จากความเชื่อมั่นในเรื่องของเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น แต่ยังมีบางจังหวัดที่ยังคาดว่าภาคการบริการจะหดตัวลง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.9 โดยควรติดตามสถานการณ์ในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าปริมาณน้ําสําหรับการเกษตรจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกันยายน 2562 วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนกันยายน 2562 “ดัชนี RSI เดือนกันยายน 2562 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการเกษตรของภาคกลาง” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกันยายน 2562 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจ รายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่ควรติดตามสถานการณ์ด้านการเกษตรของภาคกลาง” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 72.1 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยใน 6 เดือนข้างหน้า จะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น แต่ในบางจังหวัด ผู้ประกอบการคาดการณ์ว่าการส่งออกอาจจะยังไม่ฟื้นตัวจากสงครามการค้า สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 67.4 สื่อถึงการคาดการณ์เศรษฐกิจที่จะขยายตัวโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เนื่องจากคาดว่านโยบายรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนการผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว ทําให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ในบางจังหวัดยังมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 65.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมและบริการ โดยคาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการเร่งดําเนินโครงการ EEC ประกอบกับมีการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยคาดว่าโครงการชิม ช้อป ใช้ จะส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวอย่างมาก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนือ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 65.2 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการและภาคการจ้างงานเป็นหลัก ในส่วนของภาคบริการ เป็นผลมาจากการสนับสนุนของรัฐบาลในการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการจ้างงาน ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่การจ้างงานในภาคบริการมีการขยายตัวทั้งจากภาคการบริการด้านสุขภาพ ภาคธุรกิจขายปลีกและขายส่ง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการสนับสนุนการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ซึ่งจะทําให้เกิดการจ้างงาน เพิ่มมากขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ 60.8 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคบริการเป็นหลัก โดยคาดว่าภาคบริการจะขยายตัวจากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว ส่วนภาคเกษตรคาดว่าจะเป็นผลมาจากการขยายตัวของผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวนาปี มันสําปะหลัง สุกร น้ํานมดิบ และกุ้งขาวแวนนาไม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาตามความต้องการของตลาดและการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตร สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ 60.5 สื่อถึงการคาดการณ์เศรษฐกิจที่จะขยายตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ จากความเชื่อมั่นในเรื่องของเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น แต่ยังมีบางจังหวัดที่ยังคาดว่าภาคการบริการจะหดตัวลง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.9 โดยควรติดตามสถานการณ์ในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าปริมาณน้ําสําหรับการเกษตรจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23421
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม ปี 2561
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤษภาคม ปี 2561 เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน ทําให้คาดว่าการบริโภคในระดับฐานรากจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤษภาคมปี 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน ทําให้คาดว่าการบริโภคในระดับฐานรากจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.8 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 นับตั้งแต่ต้นปี 2560 สําหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี และการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการนําเข้าขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี และปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 66.9 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ดีอย่างชัดเจนสะท้อนจากเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักร ที่วัดจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 28.6 ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 25.3 ต่อปี ขณะที่ปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.3 ต่อปี สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง โดยปริมาณการจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 59 เดือน นับจากเดือนมิถุนายน 2556 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี นอกจากนี้ ภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 3.8 ต่อปี ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยมีสาเหตุสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดซีเมนต์ที่สูงขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี และดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม 2561 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า มีมูลค่า 22.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 และเป็นการขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 11.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในตลาดสําคัญเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอินเดีย และกลุ่ม CLMV ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและขยายตัวในระดับ 2 หลัก ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สําคัญ ได้แก่ แร่และเชื้อเพลิง ยานพาหนะ และอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัวร้อยละ 34.9 21.1 และ 3.5 ต่อปีตามลําดับ สําหรับมูลค่าการนําเข้าสินค้ามีมูลค่า 21.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี โดยสินค้านําเข้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เชื้อเพลิง วัตถุดิบ และสินค้าทุน เป็นต้น ทั้งนี้ ผลของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่สูงกว่ามูลค่าการนําเข้าสินค้าส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2561 กลับมาเกินดุลจํานวน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนพฤษภาคม 2561 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมและรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ดี นอกจากนี้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.0 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีในหมวดพืชผลสําคัญ หมวดปศุสัตว์ และหมวดประมง ที่ขยายตัวร้อยละ 22.3 0.6 และ 22.6 ตามลําดับ สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย มีจํานวน 2.76 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นสําคัญ ในขณะที่ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี เช่น นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง อินเดีย และลาว เป็นต้น และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศมูลค่า 136,710 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ซึ่งถือเป็นขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือน นับจากเดือนเมษายน 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 33.7 ต่อปี โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในเกษตรกรบางกลุ่ม ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสําปะหลัง เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 90.2 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศและภาคการส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดคําสั่งซื้อและยอดขายโดยรวมขยายตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน และเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 13 เดือน นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.56 โดยการเพิ่มขึ้นมีที่มาสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสด และราคาน้ํามันเชื้อเพลิงเป็นสําคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจํานวนผู้ว่างงาน 4.0 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงานที่ต่ําสุดในปี 2561 ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.0 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 212.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.6 เท่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน ทําให้คาดว่า การบริโภคในระดับฐานรากจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” 1. เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.8 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 นับตั้งแต่ต้นปี 2560 และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อเดือน สําหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อเดือน โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี และการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการนําเข้าขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี สําหรับปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 0.6 ต่อเดือน ขณะที่ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2561 หดตัวร้อยละ -12.0 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า หดตัวร้อยละ -5.3 ต่อเดือน เนื่องจากราคาน้ํามันขายปลีกในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 66.9 เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ํา ราคาน้ํามันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทย 2. เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม ปี 2561 ขยายตัวได้ดีอย่างชัดเจนสะท้อนจากเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักร ที่วัดจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 28.6 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่าหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -1.4 ต่อเดือน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 25.3 ต่อปี ขณะที่ปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.3 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 6.5 ต่อเดือน สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง พบว่าปริมาณการจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 59 เดือน นับจากเดือนมิถุนายน 2556 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี นอกจากนี้ ภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่าหดตัวร้อยละ -0.1 ต่อเดือน สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 3.8 ต่อปี ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยมีสาเหตุสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดซีเมนต์ที่สูงขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี และดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี 3. การใช้จ่ายงบประมาณ สะท้อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณรวม ในเดือนพฤษภาคม 2561 เบิกจ่ายได้จํานวน 189.6 พันล้านบาท โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันจํานวน 172.4 พันล้านบาท แบ่งเป็นการเบิกจ่ายประจํา 142.7 พันล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 29.7 พันล้านบาท และเป็น การเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 17.2 พันล้านบาท ทําให้ใน 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 มีการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันจํานวน 1,879.6 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจํา 1,643.8 พันล้านบาท รายจ่ายลงทุน 235.8 พันล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 154.6 พันล้านบาท 4. อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนพฤษภาคม 2561 มีมูลค่า 22.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 และเป็นการขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 11.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในตลาดสําคัญเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอินเดีย และกลุ่ม CLMV ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สําคัญ ได้แก่ แร่และเชื้อเพลิง ยานพาหนะ และอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัวร้อยละ 34.9 21.1 และ 3.5 ต่อปีตามลําดับ สําหรับมูลค่าการนําเข้าสินค้ามีมูลค่า 21.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี โดยสินค้านําเข้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เชื้อเพลิง วัตถุดิบ และสินค้าทุน เป็นต้น ทั้งนี้ ผลของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่สูงกว่ามูลค่าการนําเข้าสินค้าส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2561 กลับมาเกินดุลจํานวน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 5. เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมและรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ดี นอกจากนี้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.0 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่า หดตัวร้อยละ -11.0 ต่อเดือน โดยเป็นการขยายตัวได้ดีในหมวดพืชผลสําคัญ หมวดปศุสัตว์ และหมวดประมง ที่ขยายตัวร้อยละ 22.3 0.6 และ 22.6 ตามลําดับ สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 มีจํานวน 2.76 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นสําคัญ ในขณะที่ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี เช่น นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง อินเดีย และลาว เป็นต้น และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศมูลค่า 136,710 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ซึ่งถือเป็นขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือน นับจากเดือนเมษายน 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 33.7 ต่อปี โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในเกษตรกรบางกลุ่ม ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสําปะหลัง เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 90.2 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศและภาคการส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดคําสั่งซื้อและยอดขายโดยรวมขยายตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 6. เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน และเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 13 เดือน นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.56 โดยการเพิ่มขึ้นมีที่มาสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสด และราคาน้ํามันเชื้อเพลิงเป็นสําคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจํานวนผู้ว่างงาน 4.0 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงานที่ต่ําสุดในปี 2561 ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.0 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 212.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.6 เท่า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม ปี 2561 วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤษภาคม ปี 2561 เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน ทําให้คาดว่าการบริโภคในระดับฐานรากจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤษภาคมปี 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน ทําให้คาดว่าการบริโภคในระดับฐานรากจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.8 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 นับตั้งแต่ต้นปี 2560 สําหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี และการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการนําเข้าขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี และปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 66.9 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ดีอย่างชัดเจนสะท้อนจากเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักร ที่วัดจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 28.6 ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 25.3 ต่อปี ขณะที่ปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.3 ต่อปี สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง โดยปริมาณการจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 59 เดือน นับจากเดือนมิถุนายน 2556 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี นอกจากนี้ ภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 3.8 ต่อปี ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยมีสาเหตุสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดซีเมนต์ที่สูงขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี และดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม 2561 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า มีมูลค่า 22.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 และเป็นการขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 11.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในตลาดสําคัญเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอินเดีย และกลุ่ม CLMV ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและขยายตัวในระดับ 2 หลัก ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สําคัญ ได้แก่ แร่และเชื้อเพลิง ยานพาหนะ และอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัวร้อยละ 34.9 21.1 และ 3.5 ต่อปีตามลําดับ สําหรับมูลค่าการนําเข้าสินค้ามีมูลค่า 21.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี โดยสินค้านําเข้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เชื้อเพลิง วัตถุดิบ และสินค้าทุน เป็นต้น ทั้งนี้ ผลของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่สูงกว่ามูลค่าการนําเข้าสินค้าส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2561 กลับมาเกินดุลจํานวน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนพฤษภาคม 2561 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมและรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ดี นอกจากนี้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.0 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีในหมวดพืชผลสําคัญ หมวดปศุสัตว์ และหมวดประมง ที่ขยายตัวร้อยละ 22.3 0.6 และ 22.6 ตามลําดับ สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย มีจํานวน 2.76 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นสําคัญ ในขณะที่ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี เช่น นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง อินเดีย และลาว เป็นต้น และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศมูลค่า 136,710 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ซึ่งถือเป็นขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือน นับจากเดือนเมษายน 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 33.7 ต่อปี โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในเกษตรกรบางกลุ่ม ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสําปะหลัง เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 90.2 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศและภาคการส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดคําสั่งซื้อและยอดขายโดยรวมขยายตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน และเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 13 เดือน นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.56 โดยการเพิ่มขึ้นมีที่มาสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสด และราคาน้ํามันเชื้อเพลิงเป็นสําคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจํานวนผู้ว่างงาน 4.0 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงานที่ต่ําสุดในปี 2561 ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.0 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 212.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.6 เท่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 13 เดือน ทําให้คาดว่า การบริโภคในระดับฐานรากจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” 1. เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.8 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 นับตั้งแต่ต้นปี 2560 และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อเดือน สําหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อเดือน โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี และการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการนําเข้าขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี สําหรับปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 0.6 ต่อเดือน ขณะที่ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2561 หดตัวร้อยละ -12.0 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า หดตัวร้อยละ -5.3 ต่อเดือน เนื่องจากราคาน้ํามันขายปลีกในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 66.9 เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ํา ราคาน้ํามันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทย 2. เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม ปี 2561 ขยายตัวได้ดีอย่างชัดเจนสะท้อนจากเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักร ที่วัดจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 28.6 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่าหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -1.4 ต่อเดือน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 25.3 ต่อปี ขณะที่ปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.3 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (mom_SA) พบว่า ขยายตัวร้อยละ 6.5 ต่อเดือน สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง พบว่าปริมาณการจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 59 เดือน นับจากเดือนมิถุนายน 2556 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 9.9 ต่อปี นอกจากนี้ ภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่าหดตัวร้อยละ -0.1 ต่อเดือน สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 3.8 ต่อปี ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยมีสาเหตุสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดซีเมนต์ที่สูงขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี และดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี 3. การใช้จ่ายงบประมาณ สะท้อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณรวม ในเดือนพฤษภาคม 2561 เบิกจ่ายได้จํานวน 189.6 พันล้านบาท โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันจํานวน 172.4 พันล้านบาท แบ่งเป็นการเบิกจ่ายประจํา 142.7 พันล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 29.7 พันล้านบาท และเป็น การเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 17.2 พันล้านบาท ทําให้ใน 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 มีการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันจํานวน 1,879.6 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจํา 1,643.8 พันล้านบาท รายจ่ายลงทุน 235.8 พันล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 154.6 พันล้านบาท 4. อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนพฤษภาคม 2561 มีมูลค่า 22.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 และเป็นการขยายตัวในระดับสูงถึงร้อยละ 11.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในตลาดสําคัญเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอินเดีย และกลุ่ม CLMV ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สําคัญ ได้แก่ แร่และเชื้อเพลิง ยานพาหนะ และอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัวร้อยละ 34.9 21.1 และ 3.5 ต่อปีตามลําดับ สําหรับมูลค่าการนําเข้าสินค้ามีมูลค่า 21.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี โดยสินค้านําเข้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เชื้อเพลิง วัตถุดิบ และสินค้าทุน เป็นต้น ทั้งนี้ ผลของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่สูงกว่ามูลค่าการนําเข้าสินค้าส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2561 กลับมาเกินดุลจํานวน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 5. เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมและรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ดี นอกจากนี้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.0 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออก (m-o-m SA) พบว่า หดตัวร้อยละ -11.0 ต่อเดือน โดยเป็นการขยายตัวได้ดีในหมวดพืชผลสําคัญ หมวดปศุสัตว์ และหมวดประมง ที่ขยายตัวร้อยละ 22.3 0.6 และ 22.6 ตามลําดับ สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 มีจํานวน 2.76 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นสําคัญ ในขณะที่ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี เช่น นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง อินเดีย และลาว เป็นต้น และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศมูลค่า 136,710 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนพฤษภาคม 2561 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ซึ่งถือเป็นขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 เดือน นับจากเดือนเมษายน 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 33.7 ต่อปี โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในเกษตรกรบางกลุ่ม ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสําปะหลัง เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 90.2 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศและภาคการส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดคําสั่งซื้อและยอดขายโดยรวมขยายตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 6. เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน และเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 13 เดือน นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.56 โดยการเพิ่มขึ้นมีที่มาสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสด และราคาน้ํามันเชื้อเพลิงเป็นสําคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจํานวนผู้ว่างงาน 4.0 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงานที่ต่ําสุดในปี 2561 ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนเมษายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 41.0 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 212.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.6 เท่า
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมทางวิชาการ Inclusive Green Growth: Investing for a Sustainable Future
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 การประชุมทางวิชาการ Inclusive Green Growth: Investing for a Sustainable Future กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม – ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม – ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยในวันนี้ (๓๐ มกราคม ๒๕๖๑) นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการ Inclusive Green Growth: Investing for a Sustainable Future เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการปัญหาที่สําคัญของลุ่มแม่น้ําโขงเพื่อให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ แนวทางการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดําเนินแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งมองอดีตเพื่อวางแนวทางสู่อนาคตต่อไป ทั้งนี้ ในโอกาสเดียวกัน นายพงศ์บุณย์ ฯ ได้ร่วมเวทีเสวนาและพิธีเปิดนิทรรศการ Green Growth โดยในส่วนของประเทศไทยได้จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับสิ่งแวดล้อม เพื่อเผยแพร่ พระราชกรณียกิจที่สําคัญทางด้านสิ่งแวดล้อม และเผยแพร่แนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นแบบแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ภาพ/ข่าว/เผยแพร่ :จันทร์เพ็ญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมทางวิชาการ Inclusive Green Growth: Investing for a Sustainable Future วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 การประชุมทางวิชาการ Inclusive Green Growth: Investing for a Sustainable Future กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม – ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ครั้งที่ ๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม – ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยในวันนี้ (๓๐ มกราคม ๒๕๖๑) นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการ Inclusive Green Growth: Investing for a Sustainable Future เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการปัญหาที่สําคัญของลุ่มแม่น้ําโขงเพื่อให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ แนวทางการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดําเนินแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งมองอดีตเพื่อวางแนวทางสู่อนาคตต่อไป ทั้งนี้ ในโอกาสเดียวกัน นายพงศ์บุณย์ ฯ ได้ร่วมเวทีเสวนาและพิธีเปิดนิทรรศการ Green Growth โดยในส่วนของประเทศไทยได้จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับสิ่งแวดล้อม เพื่อเผยแพร่ พระราชกรณียกิจที่สําคัญทางด้านสิ่งแวดล้อม และเผยแพร่แนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นแบบแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง ภาพ/ข่าว/เผยแพร่ :จันทร์เพ็ญ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ให้โอวาทนักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ให้โอวาทนักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบเกียรติบัตรและให้โอวาทแก่นักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าร่วมสัมมนาตามโครงการ "ปัจฉิมนิเทศเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพในพื้นที่ และสร้างเครือข่ายผู้รับทุนโครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้" เมื่อวันอาทิตย์ที่5กุมภาพันธ์2560ณ โรงแรมสีดา รีสอร์ท พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวให้โอวาทภายหลังมอบเกียรติบัตรให้แก่นักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้รุ่นที่ 5-7 ที่จะสําเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2559 ซึ่งกําลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน 62 แห่งทั่วประเทศจํานวน 323 คน ตอนหนึ่งว่า เมื่อจบการศึกษาออกไปแล้วทุกคนจะเป็นทรัพยากรที่สําคัญของประเทศชาติ เพราะบ้านของเราในพื้นที่ฯ ยังคงมีปัญหาด้านความมั่นคง แต่รัฐบาลก็พยายามมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและหลากหลายมิติ รวมทั้งมิติด้านการศึกษาด้วย จึงย้ําว่านักศึกษาทุกคน คือ ผลผลิตและทรัพยากรอันมีค่าของประเทศชาติ ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้จบแล้วกลับออกไปพัฒนาพื้นที่ซึ่งในช่วง2ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ตนเข้ามารับผิดชอบพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้วางรากฐานที่สําคัญไว้ เช่นการเรียนการสอนของสถาบันศึกษาปอเนาะ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิดให้มีพัฒนามาตรฐาน ได้ประกาศนียบัตรตามหลักสูตรอิสลามตอนต้น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน มีการเรียนหลักสูตรที่เป็นสายอาชีพมากขึ้น และเรียนสายสามัญที่จะทําให้เรียนรู้ในวิชาการต่าง ๆ รวมทั้งภาษาอังกฤษมากขึ้นเป็นลําดับเพื่อให้เด็กรุ่นน้องของเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลําดับ ได้ช่วยกันสร้างคุณค่าคุณประโยชน์ให้เกิดขึ้นในภูมิลําเนา ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพส่วนตัว ในหน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานของราชการก็ตาม เพราะล้วนแต่ทําประโยชน์ให้พื้นที่ทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อจบออกไปแล้ว ขอให้ช่วยกันทํางานและประกอบอาชีพอย่างมีคุณค่า เป็นคนดีของบ้านเมือง มุ่งมั่น ขยัน อดทน เพื่อร่วมกันสร้างคุณประโยชน์พัฒนาพื้นที่ ทดแทนบุญคุณบ้านเมืองของเรา และร่วมกันพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป รมช.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่าในปัจจุบันจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการพัฒนาไปอย่างมาก ตัวอย่างเช่น รัฐบาลได้เห็นชอบและอนุมัติให้มีการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งจะครอบคลุมไปทั้ง3จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่จังหวัดปัตตานีก็ใช้พื้นที่อําเภอหนองจิกและอําเภอแม่ลานที่มีพื้นที่ใกล้เคียงที่จะขยายศักยภาพในเรื่องการเกษตร ก้าวหน้าผสมผสาน แปรรูปอาหารต่าง ๆ ส่วนที่จังหวัดนราธิวาสก็จะมีอําเภอสุไหงโก-ลกที่จะเป็นฐานในการใช้ศักยภาพในด้านการค้าระหว่างชายแดนประเทศ ซึ่งถือว่ามีคุณค่าสูงในพื้นที่และขยายต่อไปในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งอําเภอเบตงจังหวัดยะลา ก็จะเน้นในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน เรื่องท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น ขอให้ได้ไปศึกษาข้อมูล ศึกษาให้รู้ ให้รอบคอบว่ามีการพัฒนานอกเหนือจากนี้ไปอีก ที่จะเราเลือกทํางานแล้วมีรายได้ดูแลตนเอง ดูแลครอบครัว และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่โดยรวม วัตถุประสงค์อีกเรื่องหนึ่งในการปัจฉิมนิเทศ ก็คือ ได้มาพบกัน เพื่อสร้างเครือข่ายของผู้ที่เป็นนักศึกษาของโครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทําให้ได้รู้จักกัน มีข่าวสาร ในการที่จะทําสิ่งที่เป็นการสร้างสรรค์ และจากเอกสารที่ได้มีการแจกในการสัมมนาครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นเอกสารที่มีเนื้อหาข้อความ มีเรื่องที่มีประโยชน์น่าสนใจอย่างมาก เช่น หลักการทรงงาน 23 ข้อหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นหลักที่จะนําไปศึกษาและพัฒนาเรียนรู้เพิ่มเติม และนําไปพัฒนาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองต่อไปด้วย นายขจร จิตสุขุมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษากล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาในสังกัด และศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสและลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษาให้แก่นักเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งเพื่อยกระดับการศึกษาของเยาวชนที่มีภูมิลําเนาในพื้นที่ดังกล่าวให้มีคุณภาพสูงขึ้น ตลอดจนเป็นการสร้างศักยภาพในการประกอบอาชีพและการมีงานทําในพื้นที่ ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้รับทุนมีจิตอาสา และจิตสาธารณะอีกด้วย โดยการปัจฉิมนิเทศครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรมสีดา รีสอร์ทโดยมีกิจกรรมต่าง ๆเช่นการบรรยายพิเศษเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ชีวิตการทํางาน กิจกรรมเพื่อกลุ่มสัมพันธ์เพื่อสร้างเครือข่ายนักศึกษาทุนอุดมศึกษาฯ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับจุดเปลี่ยนของชีวิตจากวิกฤตสู่โอกาส การเสวนาเจาะลึกเบื้องหลังความสําเร็จของนักศึกษาทุนรุ่นที่ผ่านมา กิจกรรมฐานเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง การสร้างภาวะผู้นําและความภาคภูมิใจในการเป็นนักศึกษาทุน การปลูกจิตสํานึกรักบ้านเกิดการแนะแนวอาชีพและการศึกษาต่อ เพื่อไปสู่เป้าหมายและความสําเร็จของชีวิตของแต่ละคน ที่สําคัญยังมีการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับหลัก23ข้อในการทรงงาน พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่9การน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตและการงานอีกด้วย โดยมีวิทยากรชั้นนําทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาให้ความรู้ เช่น สํานักงาน ก.พ., มหาวิทยาลัยมหิดล, สกอ.,สํานักงานจัดหางานจังหวัดยะลา,Tesco Lotus เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ให้โอวาทนักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ให้โอวาทนักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบเกียรติบัตรและให้โอวาทแก่นักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าร่วมสัมมนาตามโครงการ "ปัจฉิมนิเทศเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพในพื้นที่ และสร้างเครือข่ายผู้รับทุนโครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้" เมื่อวันอาทิตย์ที่5กุมภาพันธ์2560ณ โรงแรมสีดา รีสอร์ท พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวให้โอวาทภายหลังมอบเกียรติบัตรให้แก่นักศึกษาทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้รุ่นที่ 5-7 ที่จะสําเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2559 ซึ่งกําลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน 62 แห่งทั่วประเทศจํานวน 323 คน ตอนหนึ่งว่า เมื่อจบการศึกษาออกไปแล้วทุกคนจะเป็นทรัพยากรที่สําคัญของประเทศชาติ เพราะบ้านของเราในพื้นที่ฯ ยังคงมีปัญหาด้านความมั่นคง แต่รัฐบาลก็พยายามมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและหลากหลายมิติ รวมทั้งมิติด้านการศึกษาด้วย จึงย้ําว่านักศึกษาทุกคน คือ ผลผลิตและทรัพยากรอันมีค่าของประเทศชาติ ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้จบแล้วกลับออกไปพัฒนาพื้นที่ซึ่งในช่วง2ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ตนเข้ามารับผิดชอบพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้วางรากฐานที่สําคัญไว้ เช่นการเรียนการสอนของสถาบันศึกษาปอเนาะ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิดให้มีพัฒนามาตรฐาน ได้ประกาศนียบัตรตามหลักสูตรอิสลามตอนต้น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน มีการเรียนหลักสูตรที่เป็นสายอาชีพมากขึ้น และเรียนสายสามัญที่จะทําให้เรียนรู้ในวิชาการต่าง ๆ รวมทั้งภาษาอังกฤษมากขึ้นเป็นลําดับเพื่อให้เด็กรุ่นน้องของเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลําดับ ได้ช่วยกันสร้างคุณค่าคุณประโยชน์ให้เกิดขึ้นในภูมิลําเนา ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพส่วนตัว ในหน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานของราชการก็ตาม เพราะล้วนแต่ทําประโยชน์ให้พื้นที่ทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อจบออกไปแล้ว ขอให้ช่วยกันทํางานและประกอบอาชีพอย่างมีคุณค่า เป็นคนดีของบ้านเมือง มุ่งมั่น ขยัน อดทน เพื่อร่วมกันสร้างคุณประโยชน์พัฒนาพื้นที่ ทดแทนบุญคุณบ้านเมืองของเรา และร่วมกันพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป รมช.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่าในปัจจุบันจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการพัฒนาไปอย่างมาก ตัวอย่างเช่น รัฐบาลได้เห็นชอบและอนุมัติให้มีการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งจะครอบคลุมไปทั้ง3จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่จังหวัดปัตตานีก็ใช้พื้นที่อําเภอหนองจิกและอําเภอแม่ลานที่มีพื้นที่ใกล้เคียงที่จะขยายศักยภาพในเรื่องการเกษตร ก้าวหน้าผสมผสาน แปรรูปอาหารต่าง ๆ ส่วนที่จังหวัดนราธิวาสก็จะมีอําเภอสุไหงโก-ลกที่จะเป็นฐานในการใช้ศักยภาพในด้านการค้าระหว่างชายแดนประเทศ ซึ่งถือว่ามีคุณค่าสูงในพื้นที่และขยายต่อไปในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งอําเภอเบตงจังหวัดยะลา ก็จะเน้นในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน เรื่องท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น ขอให้ได้ไปศึกษาข้อมูล ศึกษาให้รู้ ให้รอบคอบว่ามีการพัฒนานอกเหนือจากนี้ไปอีก ที่จะเราเลือกทํางานแล้วมีรายได้ดูแลตนเอง ดูแลครอบครัว และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่โดยรวม วัตถุประสงค์อีกเรื่องหนึ่งในการปัจฉิมนิเทศ ก็คือ ได้มาพบกัน เพื่อสร้างเครือข่ายของผู้ที่เป็นนักศึกษาของโครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทําให้ได้รู้จักกัน มีข่าวสาร ในการที่จะทําสิ่งที่เป็นการสร้างสรรค์ และจากเอกสารที่ได้มีการแจกในการสัมมนาครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นเอกสารที่มีเนื้อหาข้อความ มีเรื่องที่มีประโยชน์น่าสนใจอย่างมาก เช่น หลักการทรงงาน 23 ข้อหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นหลักที่จะนําไปศึกษาและพัฒนาเรียนรู้เพิ่มเติม และนําไปพัฒนาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองต่อไปด้วย นายขจร จิตสุขุมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษากล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาในสังกัด และศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสและลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษาให้แก่นักเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งเพื่อยกระดับการศึกษาของเยาวชนที่มีภูมิลําเนาในพื้นที่ดังกล่าวให้มีคุณภาพสูงขึ้น ตลอดจนเป็นการสร้างศักยภาพในการประกอบอาชีพและการมีงานทําในพื้นที่ ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้รับทุนมีจิตอาสา และจิตสาธารณะอีกด้วย โดยการปัจฉิมนิเทศครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรมสีดา รีสอร์ทโดยมีกิจกรรมต่าง ๆเช่นการบรรยายพิเศษเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ชีวิตการทํางาน กิจกรรมเพื่อกลุ่มสัมพันธ์เพื่อสร้างเครือข่ายนักศึกษาทุนอุดมศึกษาฯ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับจุดเปลี่ยนของชีวิตจากวิกฤตสู่โอกาส การเสวนาเจาะลึกเบื้องหลังความสําเร็จของนักศึกษาทุนรุ่นที่ผ่านมา กิจกรรมฐานเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง การสร้างภาวะผู้นําและความภาคภูมิใจในการเป็นนักศึกษาทุน การปลูกจิตสํานึกรักบ้านเกิดการแนะแนวอาชีพและการศึกษาต่อ เพื่อไปสู่เป้าหมายและความสําเร็จของชีวิตของแต่ละคน ที่สําคัญยังมีการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับหลัก23ข้อในการทรงงาน พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่9การน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตและการงานอีกด้วย โดยมีวิทยากรชั้นนําทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาให้ความรู้ เช่น สํานักงาน ก.พ., มหาวิทยาลัยมหิดล, สกอ.,สํานักงานจัดหางานจังหวัดยะลา,Tesco Lotus เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ หนุนผู้ประกอบการขนาดย่อม เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดธุรกิจ ด้วยอัตรากำไรผ่อนชำระพิเศษสุดๆ!!
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562 ไอแบงก์ หนุนผู้ประกอบการขนาดย่อม เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดธุรกิจ ด้วยอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษสุดๆ!! ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดและเสริมแกร่งให้ธุรกิจ ด้วยโครงการสินเชื่อ Ibank Small SMEs ที่ให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย และอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดและเสริมแกร่งให้ธุรกิจ ด้วยโครงการสินเชื่อ Ibank Small SMEs ที่ให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย และอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษ โครงการสินเชื่อ Ibank Small SMEs เป็นสินเชื่อที่สนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสําหรับเสริมแกร่ง และเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ ทั้งที่เป็นรูปแบบสินเชื่อระยะยาว หรือสินเชื่อหมุนเวียนอาทิวงเงินเบิกถอนเงินสด และตั๋วสัญญาใช้เงิน สินเชื่อเพื่อค้ําประกัน สินเชื่อเพื่อการนําเข้าและส่งออก ตลอดจนภาระผูกพันหรือหนังสือค้ําประกัน เป็นต้น โดยวงเงินรวมสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย กรณีลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น ผ่อนชําระได้นานสูงสุด 10 ปี ผู้ขอสินเชื่อจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจ SMEs ก็ได้แต่ไม่รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และต้องมีประสบการณ์ในการดําเนินธุรกิจไม่ต่ํากว่า 2 ปี ถ้าเป็นธุรกิจใหม่ผู้บริหารต้องมีประสบการณ์ในธุรกิจ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 2 ปี สําหรับลูกค้ารายใหม่ ธนาคารมอบอัตรากําไรผ่อนชําระกรณีสินเชื่อระยะยาว เริ่มต้นเพียง 6.75% ต่อปี และสําหรับลูกค้าที่ต้องการ รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่นมาที่ไอแบงก์จะได้รับส่วนลดอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษสุดๆ ผู้สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2562 (หรือจนกว่าวงเงินจะเต็ม)ที่ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call center 1302 และติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการ ของธนาคารทางเว็บไซต์ www.ibank.co.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ หนุนผู้ประกอบการขนาดย่อม เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดธุรกิจ ด้วยอัตรากำไรผ่อนชำระพิเศษสุดๆ!! วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562 ไอแบงก์ หนุนผู้ประกอบการขนาดย่อม เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดธุรกิจ ด้วยอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษสุดๆ!! ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดและเสริมแกร่งให้ธุรกิจ ด้วยโครงการสินเชื่อ Ibank Small SMEs ที่ให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย และอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดและเสริมแกร่งให้ธุรกิจ ด้วยโครงการสินเชื่อ Ibank Small SMEs ที่ให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย และอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษ โครงการสินเชื่อ Ibank Small SMEs เป็นสินเชื่อที่สนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสําหรับเสริมแกร่ง และเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ ทั้งที่เป็นรูปแบบสินเชื่อระยะยาว หรือสินเชื่อหมุนเวียนอาทิวงเงินเบิกถอนเงินสด และตั๋วสัญญาใช้เงิน สินเชื่อเพื่อค้ําประกัน สินเชื่อเพื่อการนําเข้าและส่งออก ตลอดจนภาระผูกพันหรือหนังสือค้ําประกัน เป็นต้น โดยวงเงินรวมสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย กรณีลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น ผ่อนชําระได้นานสูงสุด 10 ปี ผู้ขอสินเชื่อจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจ SMEs ก็ได้แต่ไม่รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และต้องมีประสบการณ์ในการดําเนินธุรกิจไม่ต่ํากว่า 2 ปี ถ้าเป็นธุรกิจใหม่ผู้บริหารต้องมีประสบการณ์ในธุรกิจ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 2 ปี สําหรับลูกค้ารายใหม่ ธนาคารมอบอัตรากําไรผ่อนชําระกรณีสินเชื่อระยะยาว เริ่มต้นเพียง 6.75% ต่อปี และสําหรับลูกค้าที่ต้องการ รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่นมาที่ไอแบงก์จะได้รับส่วนลดอัตรากําไรผ่อนชําระพิเศษสุดๆ ผู้สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2562 (หรือจนกว่าวงเงินจะเต็ม)ที่ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call center 1302 และติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการ ของธนาคารทางเว็บไซต์ www.ibank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก ทุกท่าน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562 เพื่อเชิญไปลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ชื่อ“นอกหน้าต่างบานเล็ก”ความว่า“เด็กทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้ และประพฤติตนเป็นคนดี มีระเบียบวินัย เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้แต่ละคนประสบความสุขความเจริญ และความสําเร็จในชีวิตได้ในวันข้างหน้า”ผมขอเชิญพระราโชวาท มากล่าวย้ําอีกครั้ง เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทย ได้น้อมนําไปสู่การปฏิบัติในชีวิต ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่ผู้ที่จะประสบความสําเร็จ สามารถจะเอาชนะอุปสรรคได้ ต้องประกอบด้วย“ความรู้ ความดี และมีวินัย”นะครับ ผมขอยกตัวอย่าง“ความสําเร็จ”ของเยาวชนไทย ที่สามารถคว้าแชมป์แกะสลักน้ําแข็งจากหิมะนานาชาติ ประจําปี 2562 ที่ประเทศจีน ติดต่อกันเป็นปีที่ 10 แล้วนะครับ ซึ่งก็เป็นผลงานจากแรงบันดาลใจ ในเหตุการณ์ค้นหาและช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมหมูป่าที่ถ้ําหลวง จ.เชียงราย ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีในเวลานี้ ผมขอกล่าวรายชื่อ“ทีมวิทยาลัยสารพัดช่างตราด”เพื่อเป็นเกียรติ แก่นักเรียนอาชีวศึกษากลุ่มนี้ ได้แก่ น.ส.พรรณนิภา นามวิชัย,นายชโยทิต สุขสวัสดิ์,นายธวัชชัย สนธิพิณ และ น.ส.น้ําฝน จันทร์จรูญ โดยขอแสดงความยินดี และชื่นชม บุคคลที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะเหนือ 54 ทีม ที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย อย่าลืมนะครับว่า ประเทศไทยนั้นไม่มีหิมะ และการทํางานท่ามกลางอากาศหนาว ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ต้องอาศัยทักษะหลายด้าน ความอดทน การทํางานเป็นทีม และอีกหลายอย่าง กว่าจะสามารถพิชิต 3 รางวัลสําคัญมาครองได้ นํามาฝากคนไทยทั้งประเทศซึ่งคุณสมบัติทั้งหลายดังกล่าว เป็นพื้นฐานสําคัญของทรัพยากรมนุษย์ของชาติ ที่เราต้องการนะครับ พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ วันนี้ ผมมีเรื่องดีๆ มาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้ฟัง และมีความสุขร่วมกัน อีก 2 เรื่อง ครับ “เรื่องแรก”เป็นการส่งเสริมการรักการอ่าน การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง โดยรัฐบาลได้เปิดตัวโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาตินะครับ เป็นโครงการที่ผมต้องการที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษารวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยทุกคนได้“เรียนรู้ตลอดชีวิต”ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินสิ่งที่ผมให้ความสําคัญมากที่สุดคือ“เรื่องการศึกษา”ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ประเด็นปฏิรูปประเทศ เนื่องจากมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาของชาติเรายังมีปัญหานะครับ และก็เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน หลายเรื่องสามารถแก้ได้ทันที เช่น ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดครู ครูสอนไม่ตรงวิชาเอก ซึ่งผมก็ให้น้อมนําการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาต่อยอด และสามารถแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข คือ“เรื่องความเหลื่อมล้ํา”ซึ่งมีหลายมิติ เราได้พยายามแก้ไขตลอดมา บางเรื่องออกเป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่ายังมีความเหลื่อมล้ํา ก็คือในเรื่องการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระหว่างเด็กในเมืองและชนบท โดยเฉพาะ“เด็กชายขอบ”ในพื้นที่ห่างไกล ที่ไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือดีๆ ที่จะช่วยให้เขาได้พัฒนาหรือสร้างองค์ความรู้ที่หลากหลายขึ้นได้ซึ่งเทคโนโลยีในยุคไทยแลนด์ 4.0 มีความพร้อม ที่จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ โดยที่ผ่านมารัฐบาลนี้ ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ที่ทุกคนรู้จักในนาม“เน็ตประชารัฐ”สําหรับเป็น“ถนน”ให้กับข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ บนโลกออนไลน์ ซึ่งในวันนี้“หนังสือคุณภาพ”ในรูปแบบที่เป็นไฟล์ดิจิทัลมีความพร้อมแล้ว ที่จะทยอยส่งเข้าสู่ระบบ สําหรับพี่น้องประชาชน เด็ก และเยาวชน“ทุกคน ทุกบ้าน”อย่างเท่าเทียมกันนะครับ ภายใต้การทํางานอย่างบูรณาการกันของกระทรวงศึกษาธิการ สํานักหอสมุดแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ในการจัดทําระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งมีหนังสือและสื่อความรู้ต่างๆ ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล สามารถเผยแพร่ได้อย่างไร้ข้อจํากัดเรื่องลิขสิทธิ์รวมทั้ง“คลังสื่อการเรียนการสอน”ที่จะช่วยให้ครูสามารถนําไปใช้ในห้องเรียนได้ และหนังสือ เอกสารบํารุงความรู้ จากทุกหน่วยงานที่ได้อัพโหลดเข้าสู่ระบบ ในเบื้องต้น มีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จากสํานักหอสมุดแห่งชาติ เป็นข้อมูลความรู้สําหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป และสื่อการเรียนรู้ทั่วไปของกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงสื่ออื่นๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ไฟล์ภาพ–เสียง–วีดิโอที่สามารถดูได้ อ่านได้ทุกที่ทุกเวลา หากว่าระบบพัฒนาอย่างเต็มรูปแล้วคาดว่าจะมีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้ทุกคนได้หาสาระความรู้ ที่ไม่เป็น“มลพิษทางความคิด”นับเป็นแสน เป็นล้านเรื่องราว ในอนาคตนะครับ โดยทุกคนสามารถเข้าถึงได้“ฟรี”จากเว็บไซต์นี้ (www.nel.go.th)นะครับ ในปีการศึกษา 2562 นี้ กระทรวงศึกษา ธิการ จะดําเนินการจัดทําแบบเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักเรียนสามารถดาวน์โหลดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อแบบเรียน นอกจากนี้จะจัดทําข้อมูลสื่อเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ที่รวบรวมจากหน่วยงานต่างๆ ให้มีรูปแบบที่น่าอ่านและสืบค้นได้ โดยจะมีการจัดตั้ง“ทีมบรรณารักษ์ออนไลน์”ตรวจสอบความสมบูรณ์ก่อนนําเข้าระบบ จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานจากทุกกระทรวง และสถาบันการศึกษาต่างๆ รวมถึงจะพัฒนาให้National e-Libraryนี้ ให้เป็นระบบe-Learningเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนและครู ให้สอดคล้องกับนโยบายDigital Thailandต่อไป ทั้งนี้ โครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน“วันเด็กแห่งชาติ”วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2562 นี้ ณ กระทรวงศึกษาธิการ โดยจะเป็นของขวัญจากรัฐบาล สําหรับอนาคตของชาติทุกคน จึงขอเชิญชวนลูกๆ หลานๆ เด็กนักเรียนทุกคนได้สัมผัสถึงการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เหมือนกับการย่อโลกไว้ในมือเรา นะครับ ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มอบของขวัญวันเด็กแห่งชาติ คือ รายการวิทยุเพื่อครอบครัวFM105MHzซึ่งจะมีรายการที่ผลิตเพื่อเด็กโดยเฉพาะ สําหรับช่วงวัยต่างๆ รวมทั้งรายการสําหรับทุกคนในครอบครัว ที่ก็มีความคืบหน้าในการผลิตรายการไปมากนะครับ และก็อยากจะเชิญชวนให้พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ขับรถไปรับ-ส่งบุตรหลานช่วงเช้าและเย็น ได้เปิดให้ลูกหลานได้ฟัง ได้ซักถาม ได้ขยายความ เพื่อจะสร้างความเข้าใจ กระชับความผูกพัน และเพิ่มพูนความรู้ โดยไม่ปล่อยเวลาเดินทางให้สูญเปล่า รวมทั้ง รถโรงเรียน รถรับส่งนักเรียน และเสียงตามสายในโรงเรียน ด้วยนะครับ จะได้ช่วยส่งเสริมสติปัญญา พัฒนาความคิดของเด็กและเยาวชน ทําให้รู้เท่าทันกับสภาพแวดล้อมในสังคมปัจจุบัน อาทิ“วันทํางาน”วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ ช่วงเวลา 6 ถึง 7 โมงเช้ารายการ“โฮมเฮฮา”ที่มีเนื้อหาเน้นการสร้างการเรียนรู้และลับสมอง เพิ่มจินตนาการผ่านเรื่องรอบตัว รวมถึงส่งเสริมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม ดําเนินรายการโดยพี่น้ําเย็น และพี่ปลาฉลาม สําหรับช่วงเย็น บ่าย 4 ถึง 5 โมงก็มีรายการ“โฮม คิด สิ” ที่เน้นการกระตุ้นให้เด็กคิดและวิเคราะห์แบบง่าย ๆ การมีวินัย การแบ่งปันและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประเด็นต่างๆ จากเกมส์ นิทาน หรือเพลงดําเนินรายการโดยพี่วาฬ และพี่เหลือม ต่อมาช่วง 5 โมง จนถึง 6 โมงเย็น เป็นรายการOn the way homeที่ส่งเสริมการเรียนรู้ และการแบ่งปันประสบการณ์ ผ่านหนังสือดีๆ ผ่านการสัมภาษณ์แขกรับเชิญ หรือคุยกับคุณหมอนักอ่าน เป็นต้น สําหรับ“วันหยุด”เสาร์ อาทิตย์ รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ อาทิ รายการ“วิถีคิด”สําหรับทุกคนในครอบครัว เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในกฎธรรมชาติกับชีวิตมนุษย์ ผ่านปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันรายการ“Home”เป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรื่องการดูแลรักษาและซ่อมบ้าน รายการ“Morning Magazine”เป็นการเล่าข่าวของเด็กและเยาวชนและรายการ“วิตามินใจ”สําหรับทุกๆ คนนะครับ ซึ่งจะเป็นสาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพก็ขอแนะนําให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว อย่างมีคุณค่า พี่น้องประชาชน ครับ “เรื่องที่ 2”เป็นข่าวดีของคนไทยและประเทศไทย ต้อนรับปีใหม่นี้ ก็คือกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเลและประมง ได้ประกาศแถลงการณ์ปลดใบเหลืองประมงIUUของประเทศไทยแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถือเป็นความสําเร็จของทุกภาคส่วน ที่ได้เหน็ดเหนื่อยในการร่วมกันแก้ไขปัญหามาโดยตลอด นับตั้งแต่เมื่อปี 2558 เป็นต้นมา ทั้งปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือIUUจนเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมงการบริหารจัดการกองเรือการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการตรวจสอบย้อนกลับและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทําให้ไทยสามารถแสดงบทบาทและความรับผิดชอบ ทั้งในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่า และรัฐตลาด ในระดับสากล จนทําให้มีการ“ปลดใบเหลือง”ให้กับไทยในที่สุดนะครับ นับเป็นความสําเร็จของคนไทย ของประเทศไทย ในการยกระดับการทําประมงเชิงพาณิชย์ ไปสู่มาตรฐานสากลและพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับสหภาพยุโรป ในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน โดยทั้งฝ่ายไทยและEUได้เห็นชอบร่วมกัน เกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือในอนาคต เพื่อให้ไทยบรรลุการเป็น“ประเทศปลอดประมงIUU”หรือIUU-ฟรี ได้โดยสมบูรณ์ ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUที่ไทยสั่งสมมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จนประสบความสําเร็จ ก็พร้อมที่จะร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกันEUจึงยกให้ไทยเป็น“ผู้นําของอาเซียน”ในการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUโดยจะมีการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว“ร่วมกัน”ด้วยการจัดตั้งคณะทํางานไทย-สหภาพยุโรป เรื่องการต่อต้านการทําประมงIUUเพื่อจะเป็นกลไกร่วมมือในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งในปีนี้ ประเทศไทยในฐานะ“ประธานอาเซียน”สามารถแสดงบทบาทสําคัญ ในการนําพาประเทศเพื่อนบ้านของไทย เข้าสู่“การปฏิรูปภาคการประมง”ในลักษณะเดียวกัน โดยผลักดันการจัดทํานโยบายประมงอาเซียนให้มีผลเป็นรูปธรรมพร้อมทั้งการจัดตั้งคณะทํางานร่วมอาเซียน เพื่อป้องกันและปราบปรามการทําประมงผิดกฎหมาย หรือASEAN IUU Task Forceสําหรับเป็นกลไกการป้องกันการทําประมงIUUของภูมิภาค อีกด้วยนะครับ อีกประเด็น ที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้ คือ การแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงซึ่งรัฐบาลไทย ให้ความสําคัญควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUมาโดยตลอด และได้ดําเนินมาตรการต่างๆ ในหลายด้าน เพื่อคุ้มครองแรงงานในภาคประมงจนกล่าวได้ว่า ขณะนี้สถานการณ์แรงงานในภาคประมงของไทย“ดีขึ้น”กว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วมาก สะท้อนได้จากรายงาน ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ที่เกี่ยวข้อง โดยไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้ยื่นสัตยาบันพิธีสารภายใต้อนุสัญญาILOว่าด้วยแรงงานบังคับ เมื่อปีที่ผ่านมา และจะยื่นสัตยาบันอนุสัญญาILOว่าด้วยการทํางานในภาคประมง ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ ซึ่งจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย ดังนั้น ผมจึงขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลไทยจะดูแลแรงงานที่ทํางานอยู่บนเรือประมง อย่างเต็มที่ เพื่อให้การประมงของไทยเป็นไปอย่างมีจริยธรรม และสอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนะครับ ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วม“ทุกภาคส่วน”ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และขอเป็นกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ในการทํางาน เพื่อให้ไทยสามารถรักษามาตรฐานสากลนี้ได้ ในระยะต่อ ๆ ไปด้วย ณ วันนี้ เราได้ปฏิรูปภาคประมงของไทย จนเปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างสิ้นเชิงแล้วจากในอดีตเราได้ก้าวข้ามความท้าทาย มาถึงจุดที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ อันดับ 4 ของโลก ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ“สมุทราภิบาลโลก”แล้ว เราพร้อมที่จะร่วมรับผิดชอบกับประชาคมโลก ในการรักษาทรัพยากรทางทะเล และการทําประมงตามหลักสากล จากนี้ไป เรายังคงต้องเดินหน้าในเรื่องการบริหารจัดการประมง และการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดปัญหาการทําประมงIUUให้หมดสิ้นไป และเพื่อรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ําของประเทศไว้ให้ลูกหลานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม งานของเรายังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ สิ่งที่เรายังต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง และควบคู่กันไป ได้แก่ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ รวมถึงการใช้แรงงานเด็กในภาคประมงให้ได้อย่างแท้จริงโดยเร็ว อีกทั้ง ยังปรากฏรายงานว่า มีคนไทย–เรือประมงไทย เข้าไปเกี่ยวข้องกับการลักลอบทําประมงผิดกฎหมายในต่างประเทศ โดยเฉพาะน่านน้ําประเทศแถบทวีปแอฟริกา ไม่ว่าจะชักธงชาติไทย หรือธงต่างชาติ หากมีพฤติกรรมการทําประมงผิดกฎหมาย หรือการใช้แรงงานที่ผิดกฎหมายอยู่ รัฐบาลก็ไม่อาจละเลยที่จะต้องดําเนินการตามกฎหมาย เนื่องจาก การแสวงผลประโยชน์ส่วนบุคคล กลับทําลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ของชาวโลก ต่อสินค้าประมงไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม และจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการประมงไทย ประมงพาณิชย์ และพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน ในภาพรวมด้วยนะครับ ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงของประเทศไทยทั้งหมดนะครับ ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้นะครับ อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็จําเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสม ในการที่จะดูแล ในการเพิ่มรายได้ หรือในการแก้ปัญหาที่มีผลกระทบกับแรงงานชาวประมง หรือผู้ประกอบ การธุรกิจการประมงอีกด้วยนะครับ พี่น้องประชาชนที่รัก ทุกท่าน ครับ ผมอยากจะบอกว่า“ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ”ตราบเท่าที่เรามีความหวังและกําลังใจ ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค“พายุปาบึก”ผ่านไป ทิ้งความเสียหายไว้มากมาย แต่ก็เป็นเพียงความเสียหายทางกายภาพ ทรัพย์สิน บ้านเรือน เสาไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่างๆ สิ่งสําคัญที่เรารักษาไว้ได้ คือ ชีวิตจิตใจของพี่น้องผู้ประสบภัย ให้ทุกคนในครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันในพื้นที่ๆ ปลอดภัย เพื่อให้สามารถกลับไปฟื้นฟู ซ่อมสร้างบ้านเรือน แล้วกลับมาสู่ชีวิตที่เป็นปกติสุขโดยเร็วที่สุด ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และจิตอาสา ทุกคน ทุกฝ่าย ที่ช่วยกันดูแลผู้ประสบภัยด้วยความทุ่มเท เสียสละ และเข้มแข็ง รวมทั้งขอบคุณทุกกําลังใจ ที่แจ้งความประสงค์บริจาคเงินช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ ที่ประสบภัยในครั้งนี้ กว่า 130 ล้านบาท ในวันนี้ ผมขอฝากบทเพลง“ในความทรงจํา”ในช่วงท้ายของรายการ เพื่อเป็นสิ่งย้ําเตือนจิตใจของคนไทยทุกคน ว่าเราต่างก็ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคขวากหนามมาด้วยกัน เราจงอย่าให้ความทุกข์ร้อนเหล่านั้นสูญเปล่า แต่ต้องจดจําเป็นบทเรียน พร้อมกับตรึกตรองดูให้ดี ว่าอะไรถูกอะไรผิด และจะทําอย่างไร เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ํารอยเดิมนะครับ สุดท้ายนี้... ผมขอเชิญชวนลูกๆ หลานๆ มาร่วมงาน“วันเด็กแห่งชาติ”วันพรุ่งนี้ ณ ทําเนียบรัฐบาล จะได้เห็นห้องทํางานนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ที่มีความฝันว่าจะได้ทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน รอบๆ ตึกไทยคู่ฟ้า ก็จะมีกิจกรรมสนุกๆ และของรางวัลมากมาย เหมือนเช่นทุกปีอีกด้วยนะครับ นอกจากทําเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ยังมีสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง ที่ได้จัดงานวันเด็กเช่นกัน ให้ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ และศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีกิจกรรมสอนเด็กให้ใช้เงินให้เป็นด้วย ซึ่งผมหวังว่าเด็กๆ จะได้รับความรู้ผ่านกิจกรรมสนุกๆ และเพลิดเพลินกับการแสดงบนเวที พร้อมของรางวัลมากมาย นอกจากนี้ ยังมีสถานที่จัดงานที่น่าสนใจอื่นๆ อีกหลายแห่ง ทั่วกรุงเทพมหานคร เช่น พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร(จตุจักร) หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย ท้องฟ้าจําลอง เป็นต้น สําหรับปริมณฑล ได้แก่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดปทุมธานีศูนย์ราชการนนทบุรีเทศบาลตําบลเชียงรากน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น ก็ขอให้ดูแลลูกหลานในการเดินทาง การเที่ยวชมงาน ระมัดระวังอุบัติเหตุเพราะจะมีผู้คนสัญจรจํานวนมากนะครับ ระวังเด็กพลัดหลงด้วย กรุณาเขียนชื่อ เขียนที่อยู่ เขียนเบอร์โทรศัพท์ ใส่กระเป๋าเด็กไว้ด้วยนะครับเพื่อจะได้ติดตามให้ได้นะครับ โดยเร็ว หรือให้เด็กท่องจํา ซักซ้อมให้ดีก่อนออกจากบ้านนะครับ เราต้องช่วยกันเป็นหู เป็นตา ดูแลเด็กๆ ของเราให้ปลอดภัย ทุกคน อย่าลืมลดใช้ถุงพลาสติก และสอนลูกหลานให้ดูแลความสะอาด ไม่ทิ้งขยะนอกที่รองรับ เป็นภาระคนอื่นด้วย นะครับ ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีความสุข ใช้เวลาร่วมกันในช่วง“วันเด็ก”และวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างมีคุณค่า สําหรับทุกคนในครอบครัวนะครับสวัสดีครับ .............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก ทุกท่าน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562 เพื่อเชิญไปลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ชื่อ“นอกหน้าต่างบานเล็ก”ความว่า“เด็กทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้ และประพฤติตนเป็นคนดี มีระเบียบวินัย เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้แต่ละคนประสบความสุขความเจริญ และความสําเร็จในชีวิตได้ในวันข้างหน้า”ผมขอเชิญพระราโชวาท มากล่าวย้ําอีกครั้ง เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทย ได้น้อมนําไปสู่การปฏิบัติในชีวิต ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่ผู้ที่จะประสบความสําเร็จ สามารถจะเอาชนะอุปสรรคได้ ต้องประกอบด้วย“ความรู้ ความดี และมีวินัย”นะครับ ผมขอยกตัวอย่าง“ความสําเร็จ”ของเยาวชนไทย ที่สามารถคว้าแชมป์แกะสลักน้ําแข็งจากหิมะนานาชาติ ประจําปี 2562 ที่ประเทศจีน ติดต่อกันเป็นปีที่ 10 แล้วนะครับ ซึ่งก็เป็นผลงานจากแรงบันดาลใจ ในเหตุการณ์ค้นหาและช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมหมูป่าที่ถ้ําหลวง จ.เชียงราย ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีในเวลานี้ ผมขอกล่าวรายชื่อ“ทีมวิทยาลัยสารพัดช่างตราด”เพื่อเป็นเกียรติ แก่นักเรียนอาชีวศึกษากลุ่มนี้ ได้แก่ น.ส.พรรณนิภา นามวิชัย,นายชโยทิต สุขสวัสดิ์,นายธวัชชัย สนธิพิณ และ น.ส.น้ําฝน จันทร์จรูญ โดยขอแสดงความยินดี และชื่นชม บุคคลที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะเหนือ 54 ทีม ที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย อย่าลืมนะครับว่า ประเทศไทยนั้นไม่มีหิมะ และการทํางานท่ามกลางอากาศหนาว ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ต้องอาศัยทักษะหลายด้าน ความอดทน การทํางานเป็นทีม และอีกหลายอย่าง กว่าจะสามารถพิชิต 3 รางวัลสําคัญมาครองได้ นํามาฝากคนไทยทั้งประเทศซึ่งคุณสมบัติทั้งหลายดังกล่าว เป็นพื้นฐานสําคัญของทรัพยากรมนุษย์ของชาติ ที่เราต้องการนะครับ พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ วันนี้ ผมมีเรื่องดีๆ มาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้ฟัง และมีความสุขร่วมกัน อีก 2 เรื่อง ครับ “เรื่องแรก”เป็นการส่งเสริมการรักการอ่าน การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง โดยรัฐบาลได้เปิดตัวโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาตินะครับ เป็นโครงการที่ผมต้องการที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษารวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยทุกคนได้“เรียนรู้ตลอดชีวิต”ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินสิ่งที่ผมให้ความสําคัญมากที่สุดคือ“เรื่องการศึกษา”ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ประเด็นปฏิรูปประเทศ เนื่องจากมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาของชาติเรายังมีปัญหานะครับ และก็เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน หลายเรื่องสามารถแก้ได้ทันที เช่น ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดครู ครูสอนไม่ตรงวิชาเอก ซึ่งผมก็ให้น้อมนําการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาต่อยอด และสามารถแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข คือ“เรื่องความเหลื่อมล้ํา”ซึ่งมีหลายมิติ เราได้พยายามแก้ไขตลอดมา บางเรื่องออกเป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่ายังมีความเหลื่อมล้ํา ก็คือในเรื่องการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระหว่างเด็กในเมืองและชนบท โดยเฉพาะ“เด็กชายขอบ”ในพื้นที่ห่างไกล ที่ไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือดีๆ ที่จะช่วยให้เขาได้พัฒนาหรือสร้างองค์ความรู้ที่หลากหลายขึ้นได้ซึ่งเทคโนโลยีในยุคไทยแลนด์ 4.0 มีความพร้อม ที่จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ โดยที่ผ่านมารัฐบาลนี้ ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ที่ทุกคนรู้จักในนาม“เน็ตประชารัฐ”สําหรับเป็น“ถนน”ให้กับข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ บนโลกออนไลน์ ซึ่งในวันนี้“หนังสือคุณภาพ”ในรูปแบบที่เป็นไฟล์ดิจิทัลมีความพร้อมแล้ว ที่จะทยอยส่งเข้าสู่ระบบ สําหรับพี่น้องประชาชน เด็ก และเยาวชน“ทุกคน ทุกบ้าน”อย่างเท่าเทียมกันนะครับ ภายใต้การทํางานอย่างบูรณาการกันของกระทรวงศึกษาธิการ สํานักหอสมุดแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ในการจัดทําระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งมีหนังสือและสื่อความรู้ต่างๆ ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล สามารถเผยแพร่ได้อย่างไร้ข้อจํากัดเรื่องลิขสิทธิ์รวมทั้ง“คลังสื่อการเรียนการสอน”ที่จะช่วยให้ครูสามารถนําไปใช้ในห้องเรียนได้ และหนังสือ เอกสารบํารุงความรู้ จากทุกหน่วยงานที่ได้อัพโหลดเข้าสู่ระบบ ในเบื้องต้น มีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จากสํานักหอสมุดแห่งชาติ เป็นข้อมูลความรู้สําหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป และสื่อการเรียนรู้ทั่วไปของกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงสื่ออื่นๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ไฟล์ภาพ–เสียง–วีดิโอที่สามารถดูได้ อ่านได้ทุกที่ทุกเวลา หากว่าระบบพัฒนาอย่างเต็มรูปแล้วคาดว่าจะมีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้ทุกคนได้หาสาระความรู้ ที่ไม่เป็น“มลพิษทางความคิด”นับเป็นแสน เป็นล้านเรื่องราว ในอนาคตนะครับ โดยทุกคนสามารถเข้าถึงได้“ฟรี”จากเว็บไซต์นี้ (www.nel.go.th)นะครับ ในปีการศึกษา 2562 นี้ กระทรวงศึกษา ธิการ จะดําเนินการจัดทําแบบเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักเรียนสามารถดาวน์โหลดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อแบบเรียน นอกจากนี้จะจัดทําข้อมูลสื่อเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ที่รวบรวมจากหน่วยงานต่างๆ ให้มีรูปแบบที่น่าอ่านและสืบค้นได้ โดยจะมีการจัดตั้ง“ทีมบรรณารักษ์ออนไลน์”ตรวจสอบความสมบูรณ์ก่อนนําเข้าระบบ จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานจากทุกกระทรวง และสถาบันการศึกษาต่างๆ รวมถึงจะพัฒนาให้National e-Libraryนี้ ให้เป็นระบบe-Learningเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนและครู ให้สอดคล้องกับนโยบายDigital Thailandต่อไป ทั้งนี้ โครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน“วันเด็กแห่งชาติ”วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2562 นี้ ณ กระทรวงศึกษาธิการ โดยจะเป็นของขวัญจากรัฐบาล สําหรับอนาคตของชาติทุกคน จึงขอเชิญชวนลูกๆ หลานๆ เด็กนักเรียนทุกคนได้สัมผัสถึงการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เหมือนกับการย่อโลกไว้ในมือเรา นะครับ ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มอบของขวัญวันเด็กแห่งชาติ คือ รายการวิทยุเพื่อครอบครัวFM105MHzซึ่งจะมีรายการที่ผลิตเพื่อเด็กโดยเฉพาะ สําหรับช่วงวัยต่างๆ รวมทั้งรายการสําหรับทุกคนในครอบครัว ที่ก็มีความคืบหน้าในการผลิตรายการไปมากนะครับ และก็อยากจะเชิญชวนให้พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ขับรถไปรับ-ส่งบุตรหลานช่วงเช้าและเย็น ได้เปิดให้ลูกหลานได้ฟัง ได้ซักถาม ได้ขยายความ เพื่อจะสร้างความเข้าใจ กระชับความผูกพัน และเพิ่มพูนความรู้ โดยไม่ปล่อยเวลาเดินทางให้สูญเปล่า รวมทั้ง รถโรงเรียน รถรับส่งนักเรียน และเสียงตามสายในโรงเรียน ด้วยนะครับ จะได้ช่วยส่งเสริมสติปัญญา พัฒนาความคิดของเด็กและเยาวชน ทําให้รู้เท่าทันกับสภาพแวดล้อมในสังคมปัจจุบัน อาทิ“วันทํางาน”วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ ช่วงเวลา 6 ถึง 7 โมงเช้ารายการ“โฮมเฮฮา”ที่มีเนื้อหาเน้นการสร้างการเรียนรู้และลับสมอง เพิ่มจินตนาการผ่านเรื่องรอบตัว รวมถึงส่งเสริมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม ดําเนินรายการโดยพี่น้ําเย็น และพี่ปลาฉลาม สําหรับช่วงเย็น บ่าย 4 ถึง 5 โมงก็มีรายการ“โฮม คิด สิ” ที่เน้นการกระตุ้นให้เด็กคิดและวิเคราะห์แบบง่าย ๆ การมีวินัย การแบ่งปันและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประเด็นต่างๆ จากเกมส์ นิทาน หรือเพลงดําเนินรายการโดยพี่วาฬ และพี่เหลือม ต่อมาช่วง 5 โมง จนถึง 6 โมงเย็น เป็นรายการOn the way homeที่ส่งเสริมการเรียนรู้ และการแบ่งปันประสบการณ์ ผ่านหนังสือดีๆ ผ่านการสัมภาษณ์แขกรับเชิญ หรือคุยกับคุณหมอนักอ่าน เป็นต้น สําหรับ“วันหยุด”เสาร์ อาทิตย์ รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ อาทิ รายการ“วิถีคิด”สําหรับทุกคนในครอบครัว เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในกฎธรรมชาติกับชีวิตมนุษย์ ผ่านปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันรายการ“Home”เป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรื่องการดูแลรักษาและซ่อมบ้าน รายการ“Morning Magazine”เป็นการเล่าข่าวของเด็กและเยาวชนและรายการ“วิตามินใจ”สําหรับทุกๆ คนนะครับ ซึ่งจะเป็นสาระความรู้เกี่ยวกับสุขภาพก็ขอแนะนําให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว อย่างมีคุณค่า พี่น้องประชาชน ครับ “เรื่องที่ 2”เป็นข่าวดีของคนไทยและประเทศไทย ต้อนรับปีใหม่นี้ ก็คือกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเลและประมง ได้ประกาศแถลงการณ์ปลดใบเหลืองประมงIUUของประเทศไทยแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถือเป็นความสําเร็จของทุกภาคส่วน ที่ได้เหน็ดเหนื่อยในการร่วมกันแก้ไขปัญหามาโดยตลอด นับตั้งแต่เมื่อปี 2558 เป็นต้นมา ทั้งปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือIUUจนเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมงการบริหารจัดการกองเรือการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการตรวจสอบย้อนกลับและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทําให้ไทยสามารถแสดงบทบาทและความรับผิดชอบ ทั้งในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่า และรัฐตลาด ในระดับสากล จนทําให้มีการ“ปลดใบเหลือง”ให้กับไทยในที่สุดนะครับ นับเป็นความสําเร็จของคนไทย ของประเทศไทย ในการยกระดับการทําประมงเชิงพาณิชย์ ไปสู่มาตรฐานสากลและพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับสหภาพยุโรป ในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน โดยทั้งฝ่ายไทยและEUได้เห็นชอบร่วมกัน เกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือในอนาคต เพื่อให้ไทยบรรลุการเป็น“ประเทศปลอดประมงIUU”หรือIUU-ฟรี ได้โดยสมบูรณ์ ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUที่ไทยสั่งสมมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จนประสบความสําเร็จ ก็พร้อมที่จะร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกันEUจึงยกให้ไทยเป็น“ผู้นําของอาเซียน”ในการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUโดยจะมีการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว“ร่วมกัน”ด้วยการจัดตั้งคณะทํางานไทย-สหภาพยุโรป เรื่องการต่อต้านการทําประมงIUUเพื่อจะเป็นกลไกร่วมมือในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งในปีนี้ ประเทศไทยในฐานะ“ประธานอาเซียน”สามารถแสดงบทบาทสําคัญ ในการนําพาประเทศเพื่อนบ้านของไทย เข้าสู่“การปฏิรูปภาคการประมง”ในลักษณะเดียวกัน โดยผลักดันการจัดทํานโยบายประมงอาเซียนให้มีผลเป็นรูปธรรมพร้อมทั้งการจัดตั้งคณะทํางานร่วมอาเซียน เพื่อป้องกันและปราบปรามการทําประมงผิดกฎหมาย หรือASEAN IUU Task Forceสําหรับเป็นกลไกการป้องกันการทําประมงIUUของภูมิภาค อีกด้วยนะครับ อีกประเด็น ที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้ คือ การแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงซึ่งรัฐบาลไทย ให้ความสําคัญควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUมาโดยตลอด และได้ดําเนินมาตรการต่างๆ ในหลายด้าน เพื่อคุ้มครองแรงงานในภาคประมงจนกล่าวได้ว่า ขณะนี้สถานการณ์แรงงานในภาคประมงของไทย“ดีขึ้น”กว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วมาก สะท้อนได้จากรายงาน ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ที่เกี่ยวข้อง โดยไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้ยื่นสัตยาบันพิธีสารภายใต้อนุสัญญาILOว่าด้วยแรงงานบังคับ เมื่อปีที่ผ่านมา และจะยื่นสัตยาบันอนุสัญญาILOว่าด้วยการทํางานในภาคประมง ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ ซึ่งจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย ดังนั้น ผมจึงขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลไทยจะดูแลแรงงานที่ทํางานอยู่บนเรือประมง อย่างเต็มที่ เพื่อให้การประมงของไทยเป็นไปอย่างมีจริยธรรม และสอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนะครับ ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วม“ทุกภาคส่วน”ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และขอเป็นกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ในการทํางาน เพื่อให้ไทยสามารถรักษามาตรฐานสากลนี้ได้ ในระยะต่อ ๆ ไปด้วย ณ วันนี้ เราได้ปฏิรูปภาคประมงของไทย จนเปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างสิ้นเชิงแล้วจากในอดีตเราได้ก้าวข้ามความท้าทาย มาถึงจุดที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ อันดับ 4 ของโลก ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ“สมุทราภิบาลโลก”แล้ว เราพร้อมที่จะร่วมรับผิดชอบกับประชาคมโลก ในการรักษาทรัพยากรทางทะเล และการทําประมงตามหลักสากล จากนี้ไป เรายังคงต้องเดินหน้าในเรื่องการบริหารจัดการประมง และการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดปัญหาการทําประมงIUUให้หมดสิ้นไป และเพื่อรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ําของประเทศไว้ให้ลูกหลานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม งานของเรายังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ สิ่งที่เรายังต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง และควบคู่กันไป ได้แก่ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ รวมถึงการใช้แรงงานเด็กในภาคประมงให้ได้อย่างแท้จริงโดยเร็ว อีกทั้ง ยังปรากฏรายงานว่า มีคนไทย–เรือประมงไทย เข้าไปเกี่ยวข้องกับการลักลอบทําประมงผิดกฎหมายในต่างประเทศ โดยเฉพาะน่านน้ําประเทศแถบทวีปแอฟริกา ไม่ว่าจะชักธงชาติไทย หรือธงต่างชาติ หากมีพฤติกรรมการทําประมงผิดกฎหมาย หรือการใช้แรงงานที่ผิดกฎหมายอยู่ รัฐบาลก็ไม่อาจละเลยที่จะต้องดําเนินการตามกฎหมาย เนื่องจาก การแสวงผลประโยชน์ส่วนบุคคล กลับทําลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ของชาวโลก ต่อสินค้าประมงไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม และจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการประมงไทย ประมงพาณิชย์ และพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน ในภาพรวมด้วยนะครับ ขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงของประเทศไทยทั้งหมดนะครับ ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้นะครับ อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็จําเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสม ในการที่จะดูแล ในการเพิ่มรายได้ หรือในการแก้ปัญหาที่มีผลกระทบกับแรงงานชาวประมง หรือผู้ประกอบ การธุรกิจการประมงอีกด้วยนะครับ พี่น้องประชาชนที่รัก ทุกท่าน ครับ ผมอยากจะบอกว่า“ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ”ตราบเท่าที่เรามีความหวังและกําลังใจ ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค“พายุปาบึก”ผ่านไป ทิ้งความเสียหายไว้มากมาย แต่ก็เป็นเพียงความเสียหายทางกายภาพ ทรัพย์สิน บ้านเรือน เสาไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่างๆ สิ่งสําคัญที่เรารักษาไว้ได้ คือ ชีวิตจิตใจของพี่น้องผู้ประสบภัย ให้ทุกคนในครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันในพื้นที่ๆ ปลอดภัย เพื่อให้สามารถกลับไปฟื้นฟู ซ่อมสร้างบ้านเรือน แล้วกลับมาสู่ชีวิตที่เป็นปกติสุขโดยเร็วที่สุด ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และจิตอาสา ทุกคน ทุกฝ่าย ที่ช่วยกันดูแลผู้ประสบภัยด้วยความทุ่มเท เสียสละ และเข้มแข็ง รวมทั้งขอบคุณทุกกําลังใจ ที่แจ้งความประสงค์บริจาคเงินช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ ที่ประสบภัยในครั้งนี้ กว่า 130 ล้านบาท ในวันนี้ ผมขอฝากบทเพลง“ในความทรงจํา”ในช่วงท้ายของรายการ เพื่อเป็นสิ่งย้ําเตือนจิตใจของคนไทยทุกคน ว่าเราต่างก็ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคขวากหนามมาด้วยกัน เราจงอย่าให้ความทุกข์ร้อนเหล่านั้นสูญเปล่า แต่ต้องจดจําเป็นบทเรียน พร้อมกับตรึกตรองดูให้ดี ว่าอะไรถูกอะไรผิด และจะทําอย่างไร เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ํารอยเดิมนะครับ สุดท้ายนี้... ผมขอเชิญชวนลูกๆ หลานๆ มาร่วมงาน“วันเด็กแห่งชาติ”วันพรุ่งนี้ ณ ทําเนียบรัฐบาล จะได้เห็นห้องทํางานนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ที่มีความฝันว่าจะได้ทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน รอบๆ ตึกไทยคู่ฟ้า ก็จะมีกิจกรรมสนุกๆ และของรางวัลมากมาย เหมือนเช่นทุกปีอีกด้วยนะครับ นอกจากทําเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ยังมีสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง ที่ได้จัดงานวันเด็กเช่นกัน ให้ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ และศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีกิจกรรมสอนเด็กให้ใช้เงินให้เป็นด้วย ซึ่งผมหวังว่าเด็กๆ จะได้รับความรู้ผ่านกิจกรรมสนุกๆ และเพลิดเพลินกับการแสดงบนเวที พร้อมของรางวัลมากมาย นอกจากนี้ ยังมีสถานที่จัดงานที่น่าสนใจอื่นๆ อีกหลายแห่ง ทั่วกรุงเทพมหานคร เช่น พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร(จตุจักร) หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พิพิธภัณฑ์สภากาชาดไทย ท้องฟ้าจําลอง เป็นต้น สําหรับปริมณฑล ได้แก่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดปทุมธานีศูนย์ราชการนนทบุรีเทศบาลตําบลเชียงรากน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น ก็ขอให้ดูแลลูกหลานในการเดินทาง การเที่ยวชมงาน ระมัดระวังอุบัติเหตุเพราะจะมีผู้คนสัญจรจํานวนมากนะครับ ระวังเด็กพลัดหลงด้วย กรุณาเขียนชื่อ เขียนที่อยู่ เขียนเบอร์โทรศัพท์ ใส่กระเป๋าเด็กไว้ด้วยนะครับเพื่อจะได้ติดตามให้ได้นะครับ โดยเร็ว หรือให้เด็กท่องจํา ซักซ้อมให้ดีก่อนออกจากบ้านนะครับ เราต้องช่วยกันเป็นหู เป็นตา ดูแลเด็กๆ ของเราให้ปลอดภัย ทุกคน อย่าลืมลดใช้ถุงพลาสติก และสอนลูกหลานให้ดูแลความสะอาด ไม่ทิ้งขยะนอกที่รองรับ เป็นภาระคนอื่นด้วย นะครับ ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีความสุข ใช้เวลาร่วมกันในช่วง“วันเด็ก”และวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างมีคุณค่า สําหรับทุกคนในครอบครัวนะครับสวัสดีครับ .............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ! คุณแม่วัยใสตั้งครรภ์ ไม่ต้องลาออก สามารถหยุดเรียนได้
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561 ประกาศ! คุณแม่วัยใสตั้งครรภ์ ไม่ต้องลาออก สามารถหยุดเรียนได้ -- ปัญหาคุณแม่วัยใส หรือหญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วงวัยเรียน ถือเป็นปัญหาสําคัญที่ต้องแก้ไข เพราะเด็กและเยาวชนเหล่านี้อาจขาดความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วุฒิภาวะ และเศรษฐกิจ หลายคนต้องหยุดเรียนกลางคัน หรือออกจากโรงเรียน บางคนตัดสินใจทําแท้ง เป็นปัญหาสังคมและผิดศีลธรรม ที่ผ่านมาหลายฝ่ายได้ยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะรัฐบาลได้ผลักดัน พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 เพื่อบังคับใช้กับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับประเทศ เพื่อให้วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์แบบไม่พร้อมได้รับบริการด้านสุขภาพ รวมทั้งป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ซ้ําอีก และให้สามารถเรียนต่อจนจบได้ เป็นการทํางานร่วมกันระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกําหนดประเภทของสถานศึกษาและการดําเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 เพื่อลงลึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหา โดยมีสาระสําคัญ คือ 1. สถานศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ ปวช. ต้องสอนเรื่องเพศศึกษาและทักษะชีวิตให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน เน้นให้เข้าใจถึงพัฒนาการแต่ละช่วงวัย การมีสัมพันธ์กับผู้อื่น การพัฒนาทักษะของตัวเอง พฤติกรรมทางเพศ สุขภาวะทางเพศ เรื่องทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องเพศ และสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความหลากหลายและความเสมอภาคทางเพศ 2. สถานศึกษาระดับ ปวส. และปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ต้องสอนเรื่องเพศศึกษาและทักษะชีวิตให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักศึกษา และติดตามประเมินผลการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ 3. สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ต้องพัฒนาการเรียนการสอนสําหรับนักศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ หรือคณะ/สาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้และสามารถสอนเพศศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้ ตรงนี้สําคัญ...กฎหมายได้กําหนดให้สถานศึกษาห้ามให้นักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ออกจากสถานศึกษา ยกเว้นย้ายสถานศึกษา และต้องจัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้นักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ สามารถหยุดพักการเรียนในระหว่างที่ตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด เพื่อดูแลบุตรตามความเหมาะสม และจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นให้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีผู้ให้คําปรึกษาร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อให้คําแนะนําช่วยเหลือและสร้างความเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกับสังคม สถานศึกษาต้องจัดกิจกรรม หรือมีช่องทาง/วิธีการที่หลากหลาย ในการดูแลช่วยเหลือและคุ้มครองนักเรียนที่ตั้งครรภ์ โดยทํางานร่วมกับแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการยุติธรรม ด้วย ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะจัดทําคู่มือแนวปฏิบัติให้แก่โรงเรียนและสถานศึกษาทุกแห่ง โดยประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนเมษายน 2562 นับเป็นข่าวดีที่ผู้ใหญ่ให้ความสําคัญต่ออนาคตของเด็กและเยาวชนที่อาจผิดพลาดพลั้งไป โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างเหมาะสม คลิกดูรายละเอียดเต็ม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/081/T_0013.PDF --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ! คุณแม่วัยใสตั้งครรภ์ ไม่ต้องลาออก สามารถหยุดเรียนได้ วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561 ประกาศ! คุณแม่วัยใสตั้งครรภ์ ไม่ต้องลาออก สามารถหยุดเรียนได้ -- ปัญหาคุณแม่วัยใส หรือหญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วงวัยเรียน ถือเป็นปัญหาสําคัญที่ต้องแก้ไข เพราะเด็กและเยาวชนเหล่านี้อาจขาดความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วุฒิภาวะ และเศรษฐกิจ หลายคนต้องหยุดเรียนกลางคัน หรือออกจากโรงเรียน บางคนตัดสินใจทําแท้ง เป็นปัญหาสังคมและผิดศีลธรรม ที่ผ่านมาหลายฝ่ายได้ยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะรัฐบาลได้ผลักดัน พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 เพื่อบังคับใช้กับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับประเทศ เพื่อให้วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์แบบไม่พร้อมได้รับบริการด้านสุขภาพ รวมทั้งป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ซ้ําอีก และให้สามารถเรียนต่อจนจบได้ เป็นการทํางานร่วมกันระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกําหนดประเภทของสถานศึกษาและการดําเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 เพื่อลงลึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหา โดยมีสาระสําคัญ คือ 1. สถานศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ ปวช. ต้องสอนเรื่องเพศศึกษาและทักษะชีวิตให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน เน้นให้เข้าใจถึงพัฒนาการแต่ละช่วงวัย การมีสัมพันธ์กับผู้อื่น การพัฒนาทักษะของตัวเอง พฤติกรรมทางเพศ สุขภาวะทางเพศ เรื่องทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องเพศ และสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความหลากหลายและความเสมอภาคทางเพศ 2. สถานศึกษาระดับ ปวส. และปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ต้องสอนเรื่องเพศศึกษาและทักษะชีวิตให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักศึกษา และติดตามประเมินผลการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ 3. สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ต้องพัฒนาการเรียนการสอนสําหรับนักศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ หรือคณะ/สาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้และสามารถสอนเพศศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้ ตรงนี้สําคัญ...กฎหมายได้กําหนดให้สถานศึกษาห้ามให้นักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ออกจากสถานศึกษา ยกเว้นย้ายสถานศึกษา และต้องจัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้นักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ สามารถหยุดพักการเรียนในระหว่างที่ตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด เพื่อดูแลบุตรตามความเหมาะสม และจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นให้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีผู้ให้คําปรึกษาร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อให้คําแนะนําช่วยเหลือและสร้างความเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกับสังคม สถานศึกษาต้องจัดกิจกรรม หรือมีช่องทาง/วิธีการที่หลากหลาย ในการดูแลช่วยเหลือและคุ้มครองนักเรียนที่ตั้งครรภ์ โดยทํางานร่วมกับแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการยุติธรรม ด้วย ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะจัดทําคู่มือแนวปฏิบัติให้แก่โรงเรียนและสถานศึกษาทุกแห่ง โดยประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนเมษายน 2562 นับเป็นข่าวดีที่ผู้ใหญ่ให้ความสําคัญต่ออนาคตของเด็กและเยาวชนที่อาจผิดพลาดพลั้งไป โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างเหมาะสม คลิกดูรายละเอียดเต็ม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/081/T_0013.PDF --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดเตรียมอาหาร พร้อมที่พักคอย รองรับประชาชนเดินทางมาร่วมถวายดอกไม้จันทน์
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560 ศธ.จัดเตรียมอาหาร พร้อมที่พักคอย รองรับประชาชนเดินทางมาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ กระทรวงศึกษาธิการ จัดพื้นที่บริการประชาชนที่มาร่วมวางดอกไม้จันทน์ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตั้งแต่วันที่ 25-27 ตุลาคม 60 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบดูแลซุ้มดอกไม้จันทน์ ขนาดกลาง2จุด คือ จุดแรก แยก จ.ป.ร. และจุดที่2บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์นอกจากนี้ ภายในกระทรวงศึกษาธิการยังได้บริการเต้นท์ที่พักคอยและจุดบริการอาหาร เครื่องดื่ม รถสุขาเคลื่อนที่ ห้องอาบน้ํา ที่พักสําหรับประชาชนที่จะเข้ามาค้างคืน รวมถึงจุดบริการหน่วยพยาบาลหากมีประชาชนเจ็บป่วย ซึ่งทางเข้าประตูจะมีป้ายแสดงแผนผังตําแหน่งต่าง ๆ ภายในพื้นที่ โดยได้เปิดซุ้มอาหารเพื่อให้บริการแก่ประชาชนแล้ว ตั้งแต่วันนี้จนถึงเช้าวันที่27ตุลาคม60
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดเตรียมอาหาร พร้อมที่พักคอย รองรับประชาชนเดินทางมาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560 ศธ.จัดเตรียมอาหาร พร้อมที่พักคอย รองรับประชาชนเดินทางมาร่วมถวายดอกไม้จันทน์ กระทรวงศึกษาธิการ จัดพื้นที่บริการประชาชนที่มาร่วมวางดอกไม้จันทน์ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตั้งแต่วันที่ 25-27 ตุลาคม 60 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบดูแลซุ้มดอกไม้จันทน์ ขนาดกลาง2จุด คือ จุดแรก แยก จ.ป.ร. และจุดที่2บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์นอกจากนี้ ภายในกระทรวงศึกษาธิการยังได้บริการเต้นท์ที่พักคอยและจุดบริการอาหาร เครื่องดื่ม รถสุขาเคลื่อนที่ ห้องอาบน้ํา ที่พักสําหรับประชาชนที่จะเข้ามาค้างคืน รวมถึงจุดบริการหน่วยพยาบาลหากมีประชาชนเจ็บป่วย ซึ่งทางเข้าประตูจะมีป้ายแสดงแผนผังตําแหน่งต่าง ๆ ภายในพื้นที่ โดยได้เปิดซุ้มอาหารเพื่อให้บริการแก่ประชาชนแล้ว ตั้งแต่วันนี้จนถึงเช้าวันที่27ตุลาคม60
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7623
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้ง “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” รักษาการเลขาธิการกองทุนการออมแห่งชาติ
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 ตั้ง “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” รักษาการเลขาธิการกองทุนการออมแห่งชาติ บอร์ด กอช. เห็นชอบ "สมพร จิตเป็นธม" ยื่นลาออก ตําแหน่งเลขาธิการ กอช. จากปัญหาสุขภาพ และตั้ง “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” รักษาการแทน มีผล 4 ส.ค.นี้ คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในการประชุมครั้งที่ 7/2560 วันที่ 11 กรกฎาคม 2560 ได้พิจารณาการขอลาออกจากตําแหน่งของ นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องจากปัญหาสุขภาพและจําเป็นต้องเตรียมตัวรับการรักษาระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน จึงมีมติอนุมัติการลาออกจากตําแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ของ นายสมพร จิตเป็นธม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2560 และแต่งตั้งให้ นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย กรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบัญชี) ปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อเนื่อง และคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป จนกว่าการแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติคนใหม่จะแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการสรรหาบุคคลเพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเข้าดํารงตําแหน่งต่อไป สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : info@nsf.or.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้ง “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” รักษาการเลขาธิการกองทุนการออมแห่งชาติ วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 ตั้ง “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” รักษาการเลขาธิการกองทุนการออมแห่งชาติ บอร์ด กอช. เห็นชอบ "สมพร จิตเป็นธม" ยื่นลาออก ตําแหน่งเลขาธิการ กอช. จากปัญหาสุขภาพ และตั้ง “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” รักษาการแทน มีผล 4 ส.ค.นี้ คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในการประชุมครั้งที่ 7/2560 วันที่ 11 กรกฎาคม 2560 ได้พิจารณาการขอลาออกจากตําแหน่งของ นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องจากปัญหาสุขภาพและจําเป็นต้องเตรียมตัวรับการรักษาระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน จึงมีมติอนุมัติการลาออกจากตําแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ของ นายสมพร จิตเป็นธม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2560 และแต่งตั้งให้ นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย กรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบัญชี) ปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อเนื่อง และคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป จนกว่าการแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติคนใหม่จะแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการสรรหาบุคคลเพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเข้าดํารงตําแหน่งต่อไป สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : info@nsf.or.th
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ดึง รง. ช่วยหางาน ฝึกอาชีพ ให้ชาวชุมชนตกงาน ว่างงาน สู้ภัย COVID-19 [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563 รมว.พม. ดึง รง. ช่วยหางาน ฝึกอาชีพ ให้ชาวชุมชนตกงาน ว่างงาน สู้ภัย COVID-19 [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] รมว.พม. ดึง รง. ช่วยหางาน ฝึกอาชีพ ให้ชาวชุมชนตกงาน ว่างงาน สู้ภัย COVID-19 วันนี้ (22 พ.ค. 63) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ร่วมหารือกับผู้นําชุมชน 75 ชุมชนในพื้นที่ กทม. เพื่อกําหนดแผนการดําเนินงานในการจัดหางานและฝึกทักษะอาชีพที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการตลาดแรงงานให้กับประชาชนในชุมชนที่ว่างงานและตกงานจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้กิจกรรมสร้างอาชีพ เสริมรายได้ สร้างความมั่นคง สู้ภัย COVID-19 ของโครงการ “พม. เราไม่ทิ้งกัน” นายจุติกล่าวว่า ด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนโครงการ พม. เราไม่ทิ้งกัน ตามแนวคิด สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน ด้วยการลงพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กแรกเกิด เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บาน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ใน 286 ชุมชนนําร่องในพื้นที่ กทม. ภายใต้การดูแลของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ทั้งนี้ การลงพื้นที่ชุมชนดังกล่าวทําให้พบปัญหาชุมชนที่สําคัญ คือ ปัญหาการว่างงานและตกงาน ทําให้ขาดรายได้สําหรับเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นายจุติกล่าวต่อไปว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงแรงงาน เข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้นําผู้นําชุมชน 75 ชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมสร้างอาชีพ เสริมรายได้ สร้างความมั่นคง สู้ภัย COVID-19 เพื่อร่วมกันกําหนดแผนการดําเนินงานในการจัดหางานและฝึกทักษะอาชีพที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการตลาดแรงงานให้กับประชาชนในชุมชนที่ว่างงานและตกงาน สําหรับประชาชนที่ต้องการหาตําแหน่งงานว่าง ทางกรมการจัดหางาน ได้ชี้แจงถึงการเข้าถึงตําแหน่งงานว่างในพื้นที่เขตของชุมชน โดยใช้วิธีสแกน QR Code เพื่อดูว่า มีตําแหน่งว่างอะไรบ้าง ที่ไหน จํานวนกี่ตําแหน่ง และมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง อีกทั้งสามารถสมัครงานทางออนไลน์ได้ทันที สําหรับประชาชนที่ต้องการฝึกทักษะอาชีพให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ชี้แจงถึงทิศทางและแนวโน้มของตลาดแรงงาน และขอความร่วมมือผู้นําชุมชนสํารวจความต้องการของประชาชนในชุมชน เพื่อนําไปประกอบการจัดทําหลักสูตรฝึกอาชีพระยะสั้นต่อไป รวมทั้งจะขอความร่วมมือกับสถาบันอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาช่วยฝึกทักษะอาชีพอีกด้วย นอกจากนี้ ภาคเอกชน โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ด้วยการเปิดรับสมัครงานในตําแหน่งพนักงานขายและจัดส่งสินค้าจํานวนมาก นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หมดไป จะทําให้อาชีพเดิมๆ หายไป ทุกคนจึงต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง และปรับตัวเองให้ทันตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการฝึกฝนและพัฒนาฝีมืออาชีพด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องใช้ทักษะด้านไอที เพื่อให้สามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ทั้งนี้ ติดต่อสอบถามได้ที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชม. เพื่อประสานส่งต่อความช่วยเหลือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ดึง รง. ช่วยหางาน ฝึกอาชีพ ให้ชาวชุมชนตกงาน ว่างงาน สู้ภัย COVID-19 [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563 รมว.พม. ดึง รง. ช่วยหางาน ฝึกอาชีพ ให้ชาวชุมชนตกงาน ว่างงาน สู้ภัย COVID-19 [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] รมว.พม. ดึง รง. ช่วยหางาน ฝึกอาชีพ ให้ชาวชุมชนตกงาน ว่างงาน สู้ภัย COVID-19 วันนี้ (22 พ.ค. 63) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ร่วมหารือกับผู้นําชุมชน 75 ชุมชนในพื้นที่ กทม. เพื่อกําหนดแผนการดําเนินงานในการจัดหางานและฝึกทักษะอาชีพที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการตลาดแรงงานให้กับประชาชนในชุมชนที่ว่างงานและตกงานจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้กิจกรรมสร้างอาชีพ เสริมรายได้ สร้างความมั่นคง สู้ภัย COVID-19 ของโครงการ “พม. เราไม่ทิ้งกัน” นายจุติกล่าวว่า ด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนโครงการ พม. เราไม่ทิ้งกัน ตามแนวคิด สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน ด้วยการลงพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กแรกเกิด เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บาน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ใน 286 ชุมชนนําร่องในพื้นที่ กทม. ภายใต้การดูแลของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ทั้งนี้ การลงพื้นที่ชุมชนดังกล่าวทําให้พบปัญหาชุมชนที่สําคัญ คือ ปัญหาการว่างงานและตกงาน ทําให้ขาดรายได้สําหรับเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นายจุติกล่าวต่อไปว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงแรงงาน เข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้นําผู้นําชุมชน 75 ชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมสร้างอาชีพ เสริมรายได้ สร้างความมั่นคง สู้ภัย COVID-19 เพื่อร่วมกันกําหนดแผนการดําเนินงานในการจัดหางานและฝึกทักษะอาชีพที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการตลาดแรงงานให้กับประชาชนในชุมชนที่ว่างงานและตกงาน สําหรับประชาชนที่ต้องการหาตําแหน่งงานว่าง ทางกรมการจัดหางาน ได้ชี้แจงถึงการเข้าถึงตําแหน่งงานว่างในพื้นที่เขตของชุมชน โดยใช้วิธีสแกน QR Code เพื่อดูว่า มีตําแหน่งว่างอะไรบ้าง ที่ไหน จํานวนกี่ตําแหน่ง และมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง อีกทั้งสามารถสมัครงานทางออนไลน์ได้ทันที สําหรับประชาชนที่ต้องการฝึกทักษะอาชีพให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ชี้แจงถึงทิศทางและแนวโน้มของตลาดแรงงาน และขอความร่วมมือผู้นําชุมชนสํารวจความต้องการของประชาชนในชุมชน เพื่อนําไปประกอบการจัดทําหลักสูตรฝึกอาชีพระยะสั้นต่อไป รวมทั้งจะขอความร่วมมือกับสถาบันอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาช่วยฝึกทักษะอาชีพอีกด้วย นอกจากนี้ ภาคเอกชน โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ด้วยการเปิดรับสมัครงานในตําแหน่งพนักงานขายและจัดส่งสินค้าจํานวนมาก นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หมดไป จะทําให้อาชีพเดิมๆ หายไป ทุกคนจึงต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง และปรับตัวเองให้ทันตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการฝึกฝนและพัฒนาฝีมืออาชีพด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องใช้ทักษะด้านไอที เพื่อให้สามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ทั้งนี้ ติดต่อสอบถามได้ที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชม. เพื่อประสานส่งต่อความช่วยเหลือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจำปี 2561
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561 พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจําปี 2561 เมื่อ 21 พ.ย.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจําปี 2561 เมื่อ 21 พ.ย.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจําปี 2561 เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ที่จําพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดทองนพคุณ แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่สังกัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการและประชาชน เข้าร่วมในพิธีจํานวนมาก การทอดกฐินถือเป็นการสืบทอดบุญประเพณีนิยมที่สําคัญของพุทธศาสนิกชน ตามกําหนดระยะเวลาการถวายใน 1 เดือนตามกฐินกาล สําหรับวัดทองนพคุณ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร สร้างขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อมาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ได้เป็นผู้บูรณะซ่อมแซม และถวายให้เป็นพระอารามหลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่อีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจำปี 2561 วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561 พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจําปี 2561 เมื่อ 21 พ.ย.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจําปี 2561 เมื่อ 21 พ.ย.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจําปี 2561 เพื่อถวายแด่พระสงฆ์ที่จําพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดทองนพคุณ แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่สังกัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการและประชาชน เข้าร่วมในพิธีจํานวนมาก การทอดกฐินถือเป็นการสืบทอดบุญประเพณีนิยมที่สําคัญของพุทธศาสนิกชน ตามกําหนดระยะเวลาการถวายใน 1 เดือนตามกฐินกาล สําหรับวัดทองนพคุณ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร สร้างขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อมาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ได้เป็นผู้บูรณะซ่อมแซม และถวายให้เป็นพระอารามหลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่อีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเตรียมรับคณะนักธุรกิจเกาหลี พร้อมลงนาม “เอ็มโอยู” ดึงไบโอเทคโนโลยีเกาหลีลงทุนในอีอีซี
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561 บีโอไอเตรียมรับคณะนักธุรกิจเกาหลี พร้อมลงนาม “เอ็มโอยู” ดึงไบโอเทคโนโลยีเกาหลีลงทุนในอีอีซี บีโอไอเตรียมรับคณะนักธุรกิจเกาหลีกว่า 150 ราย ศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย จับมือกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับกลุ่มอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยีเกาหลี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและดึงดูดการลงทุนในอีอีซี นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 16-17 พฤษภาคม 2561 นี้ นายเพค อุน-กยู (Mr. Paik Un-gyu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน (Ministry of Trade, Industry and Energy: MOTIE) สาธารณรัฐเกาหลี จะนําคณะหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจ และนักลงทุนชั้นนําในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมรายใหญ่ จากสาธารณรัฐเกาหลี รวมจํานวนกว่า 150 คนจาก 70 บริษัท เดินทางมาศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย และร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ รวมทั้งมาเข้าร่วมงานสัมมนา “Korea-Thailand 60th Anniversary of Diplomatic Relations: Maekyung Thailand Forum” ซึ่งจัดโดย เมคยอง มีเดีย กรุ๊ป (Maekyung Media Group) ซึ่งเป็นสื่อชั้นนําด้านธุรกิจของเกาหลีใต้ ทั้งนี้ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบีโอไอ โดยนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กับนายจอง ซอน ซอ (Mr. Jeong-Sun Seo) ประธานโคเรียไบโอ หรือ องค์กรส่งเสริมเทคโนโลยีชีวภาพของสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Biotechnology Industry Organization: KoreaBio) โดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยาน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี ตลอดจนความร่วมมือในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การสัมมนา การจับคู่ทางธุรกิจ การสํารวจลู่ทางการลงทุน เป็นต้น “เกาหลีใต้มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในระดับโลก ไม่เฉพาะในด้านอิเล็กทรอนิกส์และด้านดิจิทัลเท่านั้น แต่รวมถึงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย โดยเฉพาะด้านไบโอเทคโนโลยี บีโอไอ จึงต้องการเชิญชวนให้ธุรกิจชั้นนําของเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งพร้อมรองรับการลงทุนด้านนวัตกรรมและดิจิทัลในพื้นที่ EECi และ EECd รวมทั้งการลงทุนพัฒนาสมาร์ทซิตี้ในประเทศไทยด้วย” นายนฤตม์ กล่าว สําหรับงานสัมมนา “Korea-Thailand 60th Anniversary of Diplomatic Relations: Maekyung Thailand Forum” บีโอไอจะร่วมกับ เมคยอง มีเดีย กรุ๊ป (Maekyung Media Group) ซึ่งเป็นสื่อชั้นนําด้านธุรกิจของเกาหลีใต้ จัดขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ ภาคเอกชนของไทย และสาธารณรัฐเกาหลีได้พบปะหารือ รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ ภายในงานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะร่วมปาฐกถาพิเศษถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ประเทศ และโอกาสการลงทุนของเกาหลีใต้ในไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมบรรยายพิเศษเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายเรื่องอุตสาหกรรม 4.0 และแผนพัฒนาพื้นที่ อีอีซี และนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะบรรยายเรื่องการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาธุรกิจและการประชุมหารือ (Roundtable Meeting) ระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนไทยและเกาหลีใต้ ร่วมกับบีโอไอและสํานักงานอีอีซี เพื่อแสวงหาความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันในอนาคต ภายใต้การดําเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นโยบายการพัฒนาอีอีซี นโยบายส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 นายนฤตม์ กล่าวด้วยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายเรื่องที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากเกาหลีใต้มาไทยมากยิ่งขึ้น ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ท ซิตี้ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บริษัทผู้พัฒนาระบบอัจฉริยะด้านต่างๆ ซึ่งบริษัทชั้นนําของเกาหลีใต้มีศักยภาพสูงมาก และยังมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่อีอีซี มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่าเดิม จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับบริษัทเกาหลีใต้ที่กําลังตัดสินใจเลือกแหล่งลงทุนให้เลือกประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่อีอีซี ตั้งแต่ปี 2553-2560 มีบริษัทชั้นนําจากเกาหลีใต้ลงทุนในประเทศไทยแล้วกว่า 230 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกันกว่า 38,800 ล้านบาท อาทิ กลุ่มบริษัทในเครือพอสโก้ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของเกาหลีใต้ บริษัท ไทยซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท ซัมซุง อิเล็กทรอ-เมคคานิกส์ บริษัท แอลจี อิเล็กทรอนิกส์ บริษัทฮันออน ซิสเต็มส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท สุมิเดน ฮโยซอง สตีล คาร์ด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และบริษัท ฮานซอล เทคนิคส์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ***************************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเตรียมรับคณะนักธุรกิจเกาหลี พร้อมลงนาม “เอ็มโอยู” ดึงไบโอเทคโนโลยีเกาหลีลงทุนในอีอีซี วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561 บีโอไอเตรียมรับคณะนักธุรกิจเกาหลี พร้อมลงนาม “เอ็มโอยู” ดึงไบโอเทคโนโลยีเกาหลีลงทุนในอีอีซี บีโอไอเตรียมรับคณะนักธุรกิจเกาหลีกว่า 150 ราย ศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย จับมือกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับกลุ่มอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยีเกาหลี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและดึงดูดการลงทุนในอีอีซี นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 16-17 พฤษภาคม 2561 นี้ นายเพค อุน-กยู (Mr. Paik Un-gyu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน (Ministry of Trade, Industry and Energy: MOTIE) สาธารณรัฐเกาหลี จะนําคณะหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจ และนักลงทุนชั้นนําในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมรายใหญ่ จากสาธารณรัฐเกาหลี รวมจํานวนกว่า 150 คนจาก 70 บริษัท เดินทางมาศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย และร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ รวมทั้งมาเข้าร่วมงานสัมมนา “Korea-Thailand 60th Anniversary of Diplomatic Relations: Maekyung Thailand Forum” ซึ่งจัดโดย เมคยอง มีเดีย กรุ๊ป (Maekyung Media Group) ซึ่งเป็นสื่อชั้นนําด้านธุรกิจของเกาหลีใต้ ทั้งนี้ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบีโอไอ โดยนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กับนายจอง ซอน ซอ (Mr. Jeong-Sun Seo) ประธานโคเรียไบโอ หรือ องค์กรส่งเสริมเทคโนโลยีชีวภาพของสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Biotechnology Industry Organization: KoreaBio) โดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยาน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี ตลอดจนความร่วมมือในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การสัมมนา การจับคู่ทางธุรกิจ การสํารวจลู่ทางการลงทุน เป็นต้น “เกาหลีใต้มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในระดับโลก ไม่เฉพาะในด้านอิเล็กทรอนิกส์และด้านดิจิทัลเท่านั้น แต่รวมถึงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย โดยเฉพาะด้านไบโอเทคโนโลยี บีโอไอ จึงต้องการเชิญชวนให้ธุรกิจชั้นนําของเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งพร้อมรองรับการลงทุนด้านนวัตกรรมและดิจิทัลในพื้นที่ EECi และ EECd รวมทั้งการลงทุนพัฒนาสมาร์ทซิตี้ในประเทศไทยด้วย” นายนฤตม์ กล่าว สําหรับงานสัมมนา “Korea-Thailand 60th Anniversary of Diplomatic Relations: Maekyung Thailand Forum” บีโอไอจะร่วมกับ เมคยอง มีเดีย กรุ๊ป (Maekyung Media Group) ซึ่งเป็นสื่อชั้นนําด้านธุรกิจของเกาหลีใต้ จัดขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ ภาคเอกชนของไทย และสาธารณรัฐเกาหลีได้พบปะหารือ รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ ภายในงานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะร่วมปาฐกถาพิเศษถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ประเทศ และโอกาสการลงทุนของเกาหลีใต้ในไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมบรรยายพิเศษเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายเรื่องอุตสาหกรรม 4.0 และแผนพัฒนาพื้นที่ อีอีซี และนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะบรรยายเรื่องการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาธุรกิจและการประชุมหารือ (Roundtable Meeting) ระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนไทยและเกาหลีใต้ ร่วมกับบีโอไอและสํานักงานอีอีซี เพื่อแสวงหาความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันในอนาคต ภายใต้การดําเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นโยบายการพัฒนาอีอีซี นโยบายส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 นายนฤตม์ กล่าวด้วยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายเรื่องที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากเกาหลีใต้มาไทยมากยิ่งขึ้น ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ท ซิตี้ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บริษัทผู้พัฒนาระบบอัจฉริยะด้านต่างๆ ซึ่งบริษัทชั้นนําของเกาหลีใต้มีศักยภาพสูงมาก และยังมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่อีอีซี มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่าเดิม จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับบริษัทเกาหลีใต้ที่กําลังตัดสินใจเลือกแหล่งลงทุนให้เลือกประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่อีอีซี ตั้งแต่ปี 2553-2560 มีบริษัทชั้นนําจากเกาหลีใต้ลงทุนในประเทศไทยแล้วกว่า 230 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกันกว่า 38,800 ล้านบาท อาทิ กลุ่มบริษัทในเครือพอสโก้ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของเกาหลีใต้ บริษัท ไทยซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท ซัมซุง อิเล็กทรอ-เมคคานิกส์ บริษัท แอลจี อิเล็กทรอนิกส์ บริษัทฮันออน ซิสเต็มส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท สุมิเดน ฮโยซอง สตีล คาร์ด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และบริษัท ฮานซอล เทคนิคส์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ***************************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12241
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. คลอดประกันภัย 7 บาท และประกันภัย 10 บาทพลัส โดยผนึกกำลังกับผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการฯ มอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 คปภ. คลอดประกันภัย 7 บาท และประกันภัย 10 บาทพลัส โดยผนึกกําลังกับผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการฯ มอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน • ศิลปินดังและภาคธุรกิจร่วมจัดงานเปิดตัวโครงการฯ คาดกระแสตอบรับทะลุเป้า ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. มีมาตรการเชิงรุกในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่ผ่านมาสํานักงาน คปภ. ได้มีการพัฒนาช่องทางการจําหน่ายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มสงกรานต์สุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์) หรือประกันภัย 10 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มียอดจําหน่ายสูงถึง 1,327,193 ราย เพิ่มขึ้น 21.04 เท่า เมื่อเทียบกับกรมธรรม์ประกันภัย 100 ที่มียอดจําหน่าย 63,069 ราย ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 94.75 เท่า เมื่อเทียบกับกรมธรรม์ประกันภัย 222 ที่มียอดจําหน่าย 14,006 ราย ในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์อุ่นใจ หรือ ประกันภัย 10 บาท ถือเป็นเครื่องมือสําคัญที่นําระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชน และเป็นการพัฒนาต่อยอดกลยุทธ์ Connectivity เพื่อเชื่อมโยงระบบประกันภัยเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการยกระดับการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงระบบประกันภัยมากขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการด้านการประกันภัยของประชาชน โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงในการเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กําลังจะมาถึง เลขาธิการ คปภ. จึงนําแนวคิดประกันภัย 10 บาท ซึ่งเป็นโครงการนําร่องและประสบความสําเร็จ มาต่อยอดพัฒนาเป็นกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม 7 บาท ซึ่งมีเบี้ยประกันภัยที่ลดลงจาก 10 บาท เป็น 7 บาท และกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม 10 บาทพลัส ซึ่งมีความคุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาลด้วย โดยกรมธรรม์ ทั้งสองแบบคุ้มครองเป็นระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ทําประกันภัย ในช่วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 โดยผู้ที่มีสิทธิเอาประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัย 7 บาท จะให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันภัย 10 บาทเดิม โดยคุ้มครอง 3 กรณี คือ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ มือ เท้า สูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 100,000 บาท กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะมือ เท้า สูญเสียสายตาหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 15 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จํานวน 5,000 บาท ส่วนกรมธรรม์ประกันภัย 10 บาทพลัส นอกจากจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับกรมธรรม์ประกันภัย 7 บาทแล้ว ยังเพิ่มเติมความคุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุจ่ายตามจริงไม่เกิน 5,000 บาท เพื่อแนะนํากรมธรรม์ประกันภัย 7 บาท และ 10 บาทพลัส สํานักงาน คปภ. จึงได้จัดงานเปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 7 บาท (ไมโครอินชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 10 บาทพลัส (ไมโครอินชัวรันส์) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ณ สํานักงาน คปภ. โดยมีศิลปินดาราชื่อดัง พร้อมผู้บริหารของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ มาร่วมงานเปิดตัวด้วย เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การจัดทํากรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 7 บาท (ไมโครอิน ชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 10 บาทพลัส (ไมโครอินชัวรันส์) ครั้งนี้ ถือเป็นของขวัญให้กับประชาชนคนไทยที่ได้นําผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีราคาถูกอยู่แล้วมาพัฒนาต่อยอดและเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุเข้าไปด้วยราคาที่ถูก เพื่อขยายฐานการประกันภัยให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้นในราคาที่ผู้ประกอบการสามารถซื้อ เพื่อมอบความคุ้มครองให้กับพนักงานลูกจ้างของตน รวมทั้งลูกค้าผู้มีอุปการคุณ หรือบุคคลทั่วไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มก็สามารถซื้อได้ ซึ่งสามารถซื้อได้โดยตรงที่บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการจํานวน 21 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทประกันชีวิต 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) บริษัท เอไอเอ จํากัด บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) บริษัท สหประกันชีวิต จํากัด (มหาชน)และบริษัทประกันวินาศภัย 16 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริษัท ธนชาต ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท นําสินประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จํากัด บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ศรีอยุธยา เจนเนอรัล ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เจพี ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จํากัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัทเจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) และบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จํากัด (มหาชน) ในการนี้ สํานักงาน คปภ. ได้ผนึกกําลังร่วมกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวันของประชาชนให้การสนับสนุนกรมธรรม์ประกันภัย 7 บาท และ 10 บาทพลัส เพื่อมอบเป็นของสมนาคุณในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้กับลูกค้า ผู้ใช้บริการ หรือพนักงานลูกจ้างขององค์กร ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในเบื้องต้น ได้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) (เอไอเอส) มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเอไอเอส บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ชําระค่าสินค้าหรือบริการ บริษัท เทสโก้ เจเนอรัล อินชัวรันส์โบรคเกอร์ จํากัด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าบัตรเครดิต Tesco บริษัท บิ๊กซี อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จํากัด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ใช้บริการที่เคาน์เตอร์บิ๊กเซอร์วิส และเป็นสมาชิกบิ๊กการ์ด (Big C) ธนาคารออมสิน มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ใช้บริการของธนาคารออมสิน และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกบัตรบางจากทุกประเภท “สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือท่องเที่ยว ควรขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท เมาไม่ขับ พักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมสภาพร่างกายและตรวจสภาพรถให้พร้อม และปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สิ่งที่สําคัญก่อนการเดินทาง ขอให้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและวันหมดอายุของการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ด้วย แม้ว่าการทําประกันภัยไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่การบริหารความเสี่ยงเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดอุบัติเหตุแล้วการประกันภัยสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินได้ หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการประกันภัย ตลอดจนประกันภัย 7 บาท และประกันภัย 10 บาทพลัส สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. คลอดประกันภัย 7 บาท และประกันภัย 10 บาทพลัส โดยผนึกกำลังกับผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการฯ มอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 คปภ. คลอดประกันภัย 7 บาท และประกันภัย 10 บาทพลัส โดยผนึกกําลังกับผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการฯ มอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน • ศิลปินดังและภาคธุรกิจร่วมจัดงานเปิดตัวโครงการฯ คาดกระแสตอบรับทะลุเป้า ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. มีมาตรการเชิงรุกในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่ผ่านมาสํานักงาน คปภ. ได้มีการพัฒนาช่องทางการจําหน่ายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มสงกรานต์สุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์) หรือประกันภัย 10 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มียอดจําหน่ายสูงถึง 1,327,193 ราย เพิ่มขึ้น 21.04 เท่า เมื่อเทียบกับกรมธรรม์ประกันภัย 100 ที่มียอดจําหน่าย 63,069 ราย ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 94.75 เท่า เมื่อเทียบกับกรมธรรม์ประกันภัย 222 ที่มียอดจําหน่าย 14,006 ราย ในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์อุ่นใจ หรือ ประกันภัย 10 บาท ถือเป็นเครื่องมือสําคัญที่นําระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชน และเป็นการพัฒนาต่อยอดกลยุทธ์ Connectivity เพื่อเชื่อมโยงระบบประกันภัยเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการยกระดับการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงระบบประกันภัยมากขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการด้านการประกันภัยของประชาชน โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงในการเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กําลังจะมาถึง เลขาธิการ คปภ. จึงนําแนวคิดประกันภัย 10 บาท ซึ่งเป็นโครงการนําร่องและประสบความสําเร็จ มาต่อยอดพัฒนาเป็นกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม 7 บาท ซึ่งมีเบี้ยประกันภัยที่ลดลงจาก 10 บาท เป็น 7 บาท และกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม 10 บาทพลัส ซึ่งมีความคุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาลด้วย โดยกรมธรรม์ ทั้งสองแบบคุ้มครองเป็นระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ทําประกันภัย ในช่วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 โดยผู้ที่มีสิทธิเอาประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัย 7 บาท จะให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันภัย 10 บาทเดิม โดยคุ้มครอง 3 กรณี คือ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ มือ เท้า สูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 100,000 บาท กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะมือ เท้า สูญเสียสายตาหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทําร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 15 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จํานวน 5,000 บาท ส่วนกรมธรรม์ประกันภัย 10 บาทพลัส นอกจากจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับกรมธรรม์ประกันภัย 7 บาทแล้ว ยังเพิ่มเติมความคุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุจ่ายตามจริงไม่เกิน 5,000 บาท เพื่อแนะนํากรมธรรม์ประกันภัย 7 บาท และ 10 บาทพลัส สํานักงาน คปภ. จึงได้จัดงานเปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 7 บาท (ไมโครอินชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 10 บาทพลัส (ไมโครอินชัวรันส์) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ณ สํานักงาน คปภ. โดยมีศิลปินดาราชื่อดัง พร้อมผู้บริหารของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ มาร่วมงานเปิดตัวด้วย เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การจัดทํากรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 7 บาท (ไมโครอิน ชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่อุ่นใจด้วยประกันภัย 10 บาทพลัส (ไมโครอินชัวรันส์) ครั้งนี้ ถือเป็นของขวัญให้กับประชาชนคนไทยที่ได้นําผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีราคาถูกอยู่แล้วมาพัฒนาต่อยอดและเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุเข้าไปด้วยราคาที่ถูก เพื่อขยายฐานการประกันภัยให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้นในราคาที่ผู้ประกอบการสามารถซื้อ เพื่อมอบความคุ้มครองให้กับพนักงานลูกจ้างของตน รวมทั้งลูกค้าผู้มีอุปการคุณ หรือบุคคลทั่วไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มก็สามารถซื้อได้ ซึ่งสามารถซื้อได้โดยตรงที่บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการจํานวน 21 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทประกันชีวิต 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) บริษัท เอไอเอ จํากัด บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) บริษัท สหประกันชีวิต จํากัด (มหาชน)และบริษัทประกันวินาศภัย 16 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริษัท ธนชาต ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท นําสินประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จํากัด บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ศรีอยุธยา เจนเนอรัล ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เจพี ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จํากัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัทเจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) และบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จํากัด (มหาชน) ในการนี้ สํานักงาน คปภ. ได้ผนึกกําลังร่วมกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวันของประชาชนให้การสนับสนุนกรมธรรม์ประกันภัย 7 บาท และ 10 บาทพลัส เพื่อมอบเป็นของสมนาคุณในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้กับลูกค้า ผู้ใช้บริการ หรือพนักงานลูกจ้างขององค์กร ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในเบื้องต้น ได้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) (เอไอเอส) มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเอไอเอส บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ชําระค่าสินค้าหรือบริการ บริษัท เทสโก้ เจเนอรัล อินชัวรันส์โบรคเกอร์ จํากัด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าบัตรเครดิต Tesco บริษัท บิ๊กซี อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จํากัด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ใช้บริการที่เคาน์เตอร์บิ๊กเซอร์วิส และเป็นสมาชิกบิ๊กการ์ด (Big C) ธนาคารออมสิน มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ใช้บริการของธนาคารออมสิน และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกบัตรบางจากทุกประเภท “สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือท่องเที่ยว ควรขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท เมาไม่ขับ พักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมสภาพร่างกายและตรวจสภาพรถให้พร้อม และปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สิ่งที่สําคัญก่อนการเดินทาง ขอให้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและวันหมดอายุของการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ด้วย แม้ว่าการทําประกันภัยไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่การบริหารความเสี่ยงเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดอุบัติเหตุแล้วการประกันภัยสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินได้ หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการประกันภัย ตลอดจนประกันภัย 7 บาท และประกันภัย 10 บาทพลัส สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17104
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ เยี่ยมคารวะ
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ เยี่ยมคารวะ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับนายเควิน ฉ็อก (H.E. Mr. Kevin Cheok) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับนายเควิน ฉ็อก (H.E. Mr. Kevin Cheok) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย ณ ห้องดํารงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ประเทศไทยและสิงคโปร์มีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการโรงเรียนเครือข่าย (Partner School Project) ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันมีแนวทางที่จะขยายความร่วมมือและขยายจํานวนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยการจับคู่โรงเรียนที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นของไทยกับสถานศึกษาของสิงคโปร์ ที่มีความสนใจตรงกันหรือมีบริบทที่คล้ายกัน สําหรับการพัฒนาด้านอาชีวศึกษานั้น ได้หารือถึงแนวทางการคงสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความภาคภูมิใจในการเรียนอาชีวศึกษา เพราะประเทศที่ประสบความสําเร็จด้านเศรษฐกิจ ส่วนมากจะมีสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาจํานวนมาก กระทรวงศึกษาธิการจึงให้ความสําคัญกับการวางแผนพัฒนากําลังคนด้านอาชีวศึกษา เพื่อยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมถึงมีแนวทางในการจัดตั้งศูนย์อบรมและซ่อมบํารุง โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเตรียมกําลังคนให้เป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสําคัญกับการนําเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาคุณภาพครู รวมทั้งการจัดการฐานข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นระบบและนํามาใช้งานได้จริง ทั้งนี้ ยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือด้านการศึกษากับสิงคโปร์ในทุกด้าน และพร้อมที่จะขยายความร่วมมือและเรียนรู้แนวทางการพัฒนาการศึกษาของสิงคโปร์ในรูปแบบต่าง ๆ นายเควิน ฉ็อก เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย กล่าวว่า สิงคโปร์และไทยมีความสัมพันธ์อันดีและมีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือในโครงการโรงเรียนเครือข่าย (Partner School Project) ซึ่งเป็นการจับคู่โรงเรียนไทยกับสิงคโปร์ในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ปัจจุบันมี 15 คู่โรงเรียน โดยสิงคโปร์ยินดีให้ความร่วมมือและแบ่งปันความรู้รวมถึงแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาการศึกษากับประเทศไทย ส่วนการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษานั้น สิงคโปร์ก็ให้ความสําคัญอย่างมาก เนื่องจากกําลังคนด้านอาชีวศึกษาส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกับการให้ความสําคัญกับการฝึกอบรมครู ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญที่สุดในการจัดการศึกษา ตลอดจนยินดีให้ความร่วมมือในการพัฒนาภูมิภาคอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวกันและมีความเข้มแข็งต่อไป อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ เยี่ยมคารวะ วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ เยี่ยมคารวะ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับนายเควิน ฉ็อก (H.E. Mr. Kevin Cheok) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับนายเควิน ฉ็อก (H.E. Mr. Kevin Cheok) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย ณ ห้องดํารงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ประเทศไทยและสิงคโปร์มีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการโรงเรียนเครือข่าย (Partner School Project) ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันมีแนวทางที่จะขยายความร่วมมือและขยายจํานวนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยการจับคู่โรงเรียนที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นของไทยกับสถานศึกษาของสิงคโปร์ ที่มีความสนใจตรงกันหรือมีบริบทที่คล้ายกัน สําหรับการพัฒนาด้านอาชีวศึกษานั้น ได้หารือถึงแนวทางการคงสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความภาคภูมิใจในการเรียนอาชีวศึกษา เพราะประเทศที่ประสบความสําเร็จด้านเศรษฐกิจ ส่วนมากจะมีสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาจํานวนมาก กระทรวงศึกษาธิการจึงให้ความสําคัญกับการวางแผนพัฒนากําลังคนด้านอาชีวศึกษา เพื่อยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมถึงมีแนวทางในการจัดตั้งศูนย์อบรมและซ่อมบํารุง โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเตรียมกําลังคนให้เป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสําคัญกับการนําเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาคุณภาพครู รวมทั้งการจัดการฐานข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นระบบและนํามาใช้งานได้จริง ทั้งนี้ ยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือด้านการศึกษากับสิงคโปร์ในทุกด้าน และพร้อมที่จะขยายความร่วมมือและเรียนรู้แนวทางการพัฒนาการศึกษาของสิงคโปร์ในรูปแบบต่าง ๆ นายเควิน ฉ็อก เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย กล่าวว่า สิงคโปร์และไทยมีความสัมพันธ์อันดีและมีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือในโครงการโรงเรียนเครือข่าย (Partner School Project) ซึ่งเป็นการจับคู่โรงเรียนไทยกับสิงคโปร์ในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ปัจจุบันมี 15 คู่โรงเรียน โดยสิงคโปร์ยินดีให้ความร่วมมือและแบ่งปันความรู้รวมถึงแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาการศึกษากับประเทศไทย ส่วนการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษานั้น สิงคโปร์ก็ให้ความสําคัญอย่างมาก เนื่องจากกําลังคนด้านอาชีวศึกษาส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกับการให้ความสําคัญกับการฝึกอบรมครู ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญที่สุดในการจัดการศึกษา ตลอดจนยินดีให้ความร่วมมือในการพัฒนาภูมิภาคอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวกันและมีความเข้มแข็งต่อไป อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22705